‘แม่ไผ่’ ในวันแห่งความรัก-เสวนา 112 ครั้งแรกปี 2560 ฝ่ายความมั่นคงร่วมฟังจริงจัง
Posted: 14 Feb 2017 11:25 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ตำรวจคุยกับ เอกพันธ์ ปิณฑวณิช ผอ.สถาบันสิทธิฯ
บัณฑิต อานียา ขายหนังสือหลังมีการฉายภาพยนตร์ คนหมายเลข0
ครั้งนี้เขาไม่ตั้งคำถามหลั
หลังจากที่เขาโดนดำเนินคดี
14 ก.พ.2560 ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มีการจัดเสวนาในวิชาเรียนว่าด้ วยประเด็นสิทธิมนุษยชนในปัจจุบั น โดยนักศึกษาปริญญาโทหลักสูตรสิ ทธิมนุษยชนและสันติศึกษา งานดังกล่าวถูกเปลี่ยนชื่ อหลายครั้งจากเดิม คือ Love is…เสวนาสาธารณะว่าด้ วยกระบวนการยุติธรรมและผู้ได้รั บผลกระทบจากประมวลกฎหมายอาญามาต รา 112 เป็น ความรัก ความหวัง และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสุดท้ายเป็น ความยุติธรรม ความรัก และความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ นักศึกษาผู้จัดงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้ โทรสอบถามถึงรายละเอียดงานดั งกล่าวโดยเห็นว่าเป็นประเด็นอ่ อนไหว สุดท้ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่ องาน ส่วนวัตถุประสงค์ในการจัดงานนั้ น เนื่องจากเห็นว่าสังคมไทยกำลั งเข้าสู่ภาวการณ์รื้อฟื้ นปรองดอง จึงเห็นว่าควรเปิดพื้นที่ให้กั บการสนทนา และเยียวยาผู้ที่รู้สึกว่าถู กกระทำ ถูกกีดกัน ถูกลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานเสวนาดังกล่าวมีผู้เข้าร่ วมฟังราว 30 คน เป็นเจ้าหน้าที่เกือบ 1 ใน 3 โดยเป็น ตำรวจทั้งในและนอกเครื่ องแบบจำนวน 5-6 นาย ฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งปลัดอำเภอ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากฝ่ ายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN) และแอมเนสตี้ประเทศไทย ร่วมสังเกตการณ์ ส่วนผู้ร่วมเสวนาคือ แม่ของไผ่ ดาวดิน , อาจารย์ด้านปรัชญาจากศิลปากร, นักข่าวและตัวแทนองค์กรที่ติ ดตามเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคดี 112 โดยมี ชูเวช เดษดิษฐรักษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ภายหลังเสร็จสิ้นการเสวนา มีการฉายหนัง “คนหมายเลข 0” ถ่ายทอดเรื่องราวของบัณฑิต อานียา นักเขียนสูงวัยผู้ต้องหาคดี 112 ผลงานของ นัชชา ตันติวิทยาพิทักษ์
พริ้ม บุญภัทรรักษา แม่ของจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ตอบคำถามผู้ดำเนินรายการดังนี้
ไผ่เคยพูดว่า เราต้องให้ความรักกับคนที่ กระทำเราไม่ต่างจากจากที่เรารู้ สึกกับคนอื่นๆ อยากรู้ว่าแม่เลี้ยงเขามาอย่ างไร ทำไมเป็นคนแบบนี้ ?
“เราเป็นแม่ไม่สามารถยัดเยี ยดอะไรให้ลูกรักใครหรือเกลี ยดใครได้ แต่อาจเป็นเพราะเขาได้เห็นตั วแบบจากพ่อซึ่งเป็นคนบรรยายให้ ความรู้ด้านกฎหมายกับชาวบ้าน ช่วยเหลือคดีกับชาวบ้านตลอด เราก็ไม่รู้ว่าเขาซึมซับเรื่ องพวกนี้ไปมากน้อยแค่ไหน แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็จะแสดงออกอะไรที่เป็ นแบบนั้น เขาจะคิดถึงคนอื่น .. อย่างตอนตำรวจถอนการประกันตัวนี่ เขาก็ไม่ได้โกรธตำรวจ บอกว่าเขาทำตามหน้าที่ แต่แม่นี่โกรธมากมายเลย”
“คนมองว่า เวลาถูกจับทุกครั้งไผ่ทำไมยังยิ้ มแย้มทุกครั้ง อยากจะบอกว่ามันเป็นบุคลิ กของเขาอย่างนั้น ไม่ใช่การเยาะเย้ยถากถางหรือถู กจับแล้วมีความภาคภูมิใจ ไม่ใช่แบบนั้น”
เขาเป็นอย่างไรตอนเรียนมหาวิ ทยาลัยใหม่ๆ ?
“ตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกเขาอยู่ ในแวดวงลูกคนรวย ไปเซ็นทรัลตลอด เพื่อนขี่รถเก๋ง เราก็ตกใจเหมือนกัน จะเลี้ยงลูกยังไงเพราะไปเซ็นทรั ลก็ต้องมีไอโฟน มีนู่นมีนี่ให้ได้ระดับกับเพื่ อน แต่เราไม่มีฐานะแบบนั้น พอขึ้นปี 2 ก็ได้ยินข่าวว่าไผ่ไปช่วยชาวบ้ านที่อุดร เรื่องสายส่งไฟฟ้าที่ไปลงที่ ชาวบ้าน ชาวบ้านกว่าจะได้ที่ดินของตั วเอง เขาได้จากบรรพบุรุษมาน้อยนิดหรื อสะสมมาด้วยหยาดเหงื่ อแรงงานของเขา แต่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน แปลงที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ าจะกลายเป็นสามเหลื่อมทันที ชาวบ้านเขาทนไม่ได้ ชาวบ้านร้องไห้ ไผ่ก็ทนไม่ได้ เขาเป็นแบบนั้น ไผ่กับเพื่อนๆ ไปนอนขวางตรงที่เขาจะเอาแบ็ คโฮขุดดินด้วยซ้ำ ถ้าคนที่ขุดใจดำพวกนี้ตายหมดแล้ ว”
“หลังจากนั้นมาไผ่ก็ทำกิ จกรรมแนวนี้ตลอด เขาคงเห็นพ่อคอยช่วยเหลือคนแล้ วบังเอิญไปเจอปัญหาจริงๆ แล้วชาวบ้านก็เป็นเสียงเล็กเสี ยงน้อยไม่สามารถป่าวประกาศกั บใครได้ ไผ่กับเพื่อนเรียนนิติศาสตร์ เขาก็อยากจะใช้ความรู้ไปช่วย”
การเป็นภรรยาของทนายสิทธิและเป็ นแม่ของนักกิจกรรมด้านสิทธินั้ นยากไหม?
“ลำบากมาก ความทุกข์ยากเรื่องสถานภาพหรื อปัจจัยต่างๆ เมื่อลงไปแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่ องเศรษฐกิจ แต่สิ่งตอบแทนคือนน้ำใจของชาวบ้ าน ได้ข้าวสาร กล้วย แต่ความภาคภูมิใจคือ เรามีความสุขที่ได้ช่วยเหลื อชาวบ้าน แต่แน่นอนด้านเศรษฐกิจเราก็ ลำบากอันนี้เป็นเรื่องธรรมดา”
วันที่ไผ่โดนคดีเรื่องราวเป็ นอย่างไร แม่รู้สึกอย่างไร?
“วินาทีแรกที่รู้เรื่องว่าไผ่ โดนจับที่ ธรรมยาตราของพระอาจารย์ ด้วยมาตรา 112 ไปมาพักหนึ่งแล้ว วันนั้นไผ่นัดครอบครัวจะเจอกั นเพื่อทำบุญหาปู่ พอทราบเรื่องก็ตกใจ ปกติครอบครัวเราไม่เคยคิดหรื อกระทำเรื่องแบบนี้เลย ตอนนั้นยังไม่รู้ข้อเท็จจริ งอะไร ถ้าเป็นคดีอื่นเราจะไม่ห่วง คดีอาญาอย่างอื่นเรามีเหตุมี ผลของเรา แต่คดีมาตรา 112 บางครั้งเราไม่เชื่อในเหตุผลหรื อกฎหมาย พอเรารู้ว่าเป็นข่าวของบีบีซี แล้วคนแชร์ตั้ง 2,800 มันก็เป็นข้อสังเกตว่าทำไมต้ องเป็นไผ่”
“หลังจากที่รู้เรื่อง พอดีวันนั้นย่ามาเยี่ยมที่บ้าน เราไม่อยากให้คนแก่มีสภาพจิ ตใจหนักอย่างเรา ย่ารักหลานมาก เราพยายามเก็บความลับไว้ วันนี้เป็นวันที่ทรมานที่สุด ไปหาลูกก็ไม่ได้ จะบอกใครก็ไม่ได้ แต่ด้วยความเป็นแม่ยังไงก็ต้ องไปดูแลลูก ในที่สุดย่าก็รู้ ปัญหาใหญ่ตอนนั้นคือทนายและแม่ ติดต่อไผ่ไม่ได้หลั งจากตำรวจเอาตัวไป ก็โพสต์เฟซบุ๊กว่าลูกฉันอยู่ไหน เรามีกฎหมายเล่มเดียวกัน มันก็ต้องใช้แบบเดียวกัน เราไม่คิดเลยว่าจะต้องวิ่ งตามหาลูกเราในวันที่โดนจั บแบบนั้น”
หากทหารที่แจ้งความไผ่นั่งตรงนี้ แม่อยากบอกอะไร?
"เราอยู่ในประเทศไทยมีกฎหมายฉบั บเดียวกัน ไผ่เป็นนักกิจกรรม เขาเข้าถึงข้อมูลพื้ นฐานของชาวบ้าน รับรู้ความรู้สึกความทุกข์ร้ อนของชาวบ้าน มลพิษที่ชาวบ้านได้รับ เขาเห็นมาตลอด เขาจะซึมซับเรื่องนี้ ถ้าเป็นรัฐบาลปกติไผ่เข้าชุ มชนได้ ไปช่วยเหลือให้ความรู้ชาวบ้ านได้ แต่ตั้งแต่มีรัฐประหารเป็นต้นมา ไผ่ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ กลายเป็นกีดกัน เข้าเมื่อไหร่จะโดนบล็อค คนเป็นนักกิจกรรมไม่ให้ ทำอะไรเลย เด็กก็อยู่ไม่ได้ กิจกรรมที่เขาทำไม่ได้เลวร้าย ถามว่าเสธ.พีทที่แจ้งความ เสธ.พีทเป็นทหารอยู่แล้ว เรื่องครบรอบ 1 ปีรัฐประหารก็เป็นคนไปแจ้งจั บไผ่ เรื่อง 112 เขาก็แจ้งจับไผ่ อยากถามว่ากฎหมายฉบับเดียวกัน เราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ในรัฐบาล คสช. แล้วมาเลือก จงใจ หรือ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เลือกจับหรือเลือกปฏิบัติกับใคร มันใจร้ายและโหดร้ายมาก ต้นเหตุที่สำนักข่าวข้อความยั งไม่รู้เลยว่าผิดหรือไม่ คนแชร์อีก 2,800 กว่าคน ทำไมเป็นไผ่ คุณเกลียดไผ่มากมายขนาดนั้นเหรอ เด็กคนนึงที่ช่วยเหลือสั งคมมาตลอด ครอบครัวเราช่วยเหลืองสั งคมมาตลอด คุณไม่เห็นความทุกข์ยากของเราบ้ างเหรอ (ร้องไห้) ความทุกข์ยากของเราที่ช่วยเหลื อคนแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่สิ่งที่เราได้รับ มันผิดมากใช่มั้ย"
- - - - - - - - - - -
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่ อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวว่า เนื่องจากมาตรานี้อยู่ ในหมวดความมั่นคงของรั ฐในประมวลกฎหมายอาญา การเริ่มคดีจึงเริ่มโดยใครก็ได้ สมมติว่าหมันไส้พิธีกรงานวันนี้ เขาก็สามารถกล่าวโทษกับตำรวจได้ แต่ถ้าตำรวจเห็นว่าไม่เข้าข่ ายความผิดจะไม่ทำคดีก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่ในคดีนี้การกล่ าวโทษทั้งหลายของผู้เข้าแจ้ งความมักนัดหมายนักข่าวไปทำข่ าวด้วย ทำให้ตำรวจมีความกดดันและต้ องเดินหน้าทำคดี แต่ในยุคของ คสช.นั้นหนักยิ่งขึ้น เพราะมีกฎหมายพิเศษให้นำบุ คคลเข้าไปสอบสวนในค่ายทหารได้ 7 วันโดยไม่ให้ติดต่อญาติ และทนายความ หลังจากนั้นก็ออกมาพร้อมกับคดี 112 มีให้เห็นหลายกรณีมากในปี 2557 และหากดูสถิติของผู้ต้องขั งในคดีมาตรา 112 จะเห็นว่าก่อนรัฐประหารมีอยู่ 5 คนในเรือนจำ กระทั่งสิ้นปี 2557 มีถึง 24 คน นี่เป็นเพียงส่วนที่ สามารถรวบรวมข้อมูลได้ แต่สถิติถึงปี 2560 นั้น ตัวเลขที่ทหารแถลงมีหลายร้อยคน แต่ตัวเลขที่ไอลอว์ติดตามผู้ต้ องหาได้เพื่อยืนยันจริงๆ นั้นมี 73 คน โดยหลัง 13 ต.ค.2559 นั้นมี “ข่าว” จับกุมด้วยคดี 112 มากถึง 18 คนแต่เราตามเจอตัวจริงๆ ได้แค่ 3 คน จึงนับเพียงเท่านี้
สำหรับสิทธิการประกันตัว คนที่เคยยื่นประกันตัวสูงสุดแล้ วไม่ได้รับอนุญาตจากศาลคือ หลักทรัพย์ 2.5 ล้านบาท ส่วนจำนวนครั้งดูเหมือนจะเป็น จตุภัทร์หรือไผ่ยื่นมากถึง 6 ครั้งแต่ไม่ได้ ในช่วงปีนี้จากสถิติผู้ต้องขั งคดี 112 จำนวน 73 คน มีหลักทรัพย์และโอกาสเพียงพอที่ จะยื่นประกันตัว 46 คน ในจำนวนนี้ได้ประกันตัว 18 คน ไม่ได้ 28 คน และเมื่อดูแนวโน้มตามปี จำนวน 18 คนที่ได้รับการประกันตัวเกือบทั้ งหมดอยู่ในปี 2559 ขณะที่ปี 2557 แทบไม่มีใครได้ประกันตัวเลย อีกประเด็นคือ เมื่อถึงชั้นศาลก็จะเผชิญกั บการพิจารณาคดีลับ ประกอบกับเมื่อจำเลยไม่ได้รั บการประกันแล้วต้องอยู่ในเรื อนจำยาวนานก่อนพิจารณาคดีก็ ทำให้จำเลยส่วนใหญ่ตัดสินใจรั บสารภาพ
มุทิตา เชื้อชั่ง ผู้สื่อข่าวจากประชาไท กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานอยากตั้ งข้อสังเกตว่า จำนวนคดีนั้นสัมพันธ์กับอุณหภู มิทางการเมือง ซึ่งต้องย้อนกลับไปดูตั้งแต่จุ ดตั้งต้นของความขัดแย้ งทางการเมืองคือ ตั้งแต่กระแสการเคลื่อนไหวที่ดึ งสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น วาทกรรมเราจะสู้เพื่อในหลวง, คืนพระราชอำนาจ, มาตรา 7 และอีกมากมาย ทำให้สถาบันอยู่ในขั้วความขั ดแย้งฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ทั้งที่ลักษณะของความขัดแย้ งทางการเมืองนั้นมีการโต้ ตอบการไปมา วิจารณ์ จับผิด กระทั่งป้ายสีกันเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็ถูกจำกัดความ ถูกทำให้เป็นทางการ ถูกทำให้เป็นเนื้อเดียว โดย ศอฉ. ซึ่งนำเสนอ“ผังล้มเจ้า” แจกให้ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 การทำผังดังกล่าวน่าจะเป็นการก่ อร่างสร้างขบวนการล้มเจ้ าในความรับรู้ของสังคมได้ ทรงประสิทธิภาพ ทั้งที่ในปีต่อมา พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เองก็ยอมรับเองว่า ผังดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริ งรองรับ
อีกประเด็นคือ “ข้อความ” ที่เป็นคดีต่างๆ นั้น มีหลายลักษณะคำหยาบคายแบบไม่มี เนื้อหาก็มี เป็นข้อกล่าวหาที่วิญญูชนย่อมต้ องรู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จก็มี ทั้งสองแบบนี้เป็นการสะท้อน “อารมณ์” มากกว่า “แนวคิด” ขณะที่บางส่วนเป็นเนื้อหาการวิ พากษ์วิจารณ์ ซึ่งต้องยอมรับด้วยความสัตย์จริ งว่ามีบางส่วนที่หากไม่ใช่ ประเทศไทย มันอาจกลายเป็นประเด็นถกเถี ยงธรรมดาในข้อเท็จจริ งและในแนวคิดเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าความคิดเห็นของคนพู ดจะถูกต้องแต่หากใช้ มาตรฐานประเทศประชาธิปไตยอื่นมั นจะอยู่ในระดับถกเถียงกันได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังการตีความมาตรานี้ยิ่ งกว้างขวางมากขึ้น เช่น กรณีสุนัขทรงเลี้ยง หรือการกล่าวถึงรัชกาลที่ 4 นั่นสะท้อนวิธีคิดของคนในระบบยุ ติธรรมทางอาญาได้เป็นอย่างดี
คงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวเริ่มต้นถึงความรักว่า นักปรัชญาจำนวนหนึ่งเห็นว่ าความรักสัมพันธ์กับการเมือง โดยในงานที่ชื่อ I Love to Youของอิริกาเรย์ บอกว่า ประชาธิปไตยนั้นเริ่ มจากการยอมรับความแตกต่างทางเพศ เนื่องจากเธอเป็นแฟมินิสต์ เธอเห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม การเมือง สงคราม ล้วนมาจากปัญหาการไม่ยอมรั บความแตกต่างทางเพศ ผู้หญิงนั้นเป็นหญิ งเฉพาะในครอบครัวแถมยังโดนผู้ ชายกดขี่อีกด้วย แต่พอในปริมณฑลทางสังคมการเมือง ผู้หญิงกลับเป็นคนไร้เพศ เราไม่มีกฎหมายออกมารองรับสิทธิ ของผู้หญิง
มีงานอีกชิ้นที่เห็นว่า ประชาธิปไตยเริ่มจากสองเพศ คือ ความต่างทางเพศเป็นพื้นฐานสำคั ญของการเคารพความแตกต่างทางเพศ ในบทที่ว่าด้วยประชาธิปไตยคื อความรัก เขาบอกว่า ประชาธิปไตยคือการยอมรั บความแตกต่างทางเพศและการเปิ ดไปสู่การไม่ลดทอนความต่างที่ มองจากมุมมองตนเองฝ่ายเดียว มันเป็นพื้นฐานสำคัญไปสู่ การเคารพความต่างอื่นๆ ไม่ว่าชาติพันธุ์ ศาสนา ฯลฯ และเป็นพื้นฐานความเป็นประชาธิ ปไตยที่แท้จริง หาไม่แล้วมันก็ไม่ใช่ความรัก ความรักคือ การทำให้คนที่แตกต่างจากเราอยู่ ร่วมกับเราได้โดยไม่ไล่เขาไปอยู่ ดาวอังคาร
แสดงความคิดเห็น