คือรักและหวัง
Posted: 14 Feb 2017 05:46 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
หน้าตาของความรัก
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก ผมจึงอยากเล่าที่มาของความรั กตามปรัมปราของกรีกโบราณ ในสุนทรพจน์ของอริสโตฟานเนส ในงานนิพนธ์ชื่อ ซิมโพเซียม ของเพลโต อริสโตฟานเนสได้เล่าเรื่ องราวของความรักโดยอ้างอิ งเทพปกรณัม เรื่องมีอยู่ว่าแต่เดิมมนุษย์มี 3 เพศ คือ เพศชาย หญิง และกะเทย แต่ละเพศมีสองหัว สี่แขน สี่ขา ทำให้มีพลังอำนาจมากแล้วท้ าทายเทพเจ้า ซุสจึงเรียกเทพเข้าประชุม ณ เทพสภา ว่าจะเอาอย่างไรกับมนุษย์ดี จะกำจัดมนุษย์ทิ้งให้หมดก็ไม่ ได้ เพราะจะไม่มีใครบูชาเทพเจ้า ว่าแล้วซุสก็ตัดสินใจส่งสายฟ้ ามาผ่าแยกร่างมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์อ่อนแอลง แต่นั้นมามนุษย์ก็ตามหาส่วนที่ หายไปของตัวเอง เราจึงพบเห็นชายที่สนใจชาย หญิงสนใจหญิง และความรักระหว่างชายหญิง
เรื่องราวที่อริสโตฟานเนสเล่ าแสดงให้เห็นถึงความรักชนิดที่ ผ่านเรื่องราวมาด้วยกัน แม้แต่แรกรักพบก็มีมิติของเรื่ องราวความรักเมื่อมองย้อนกลั บหลัง แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปต่ างคนต่างสังขารโรยราลง กระนั้นสิ่งที่ทำให้เรายังบอกว่ ารักอีกคนคือบุคลิกลักษณะที่ สะท้อนมาจากด้านในที่ผ่ านประสบการณ์และเรื่องราวร่วมกั น แล้วความสง่างามที่เกิดจากบุคลิ กลักษณะนี้เองที่มาแทนที่ความรั กเพราะความงามหน้าตา เอาเข้าจริงๆแล้วผมออกจะเห็นด้ วยกับอาร์ธู โชเปนฮาวร์ นักปรัชญาเยอรมันที่กล่าวว่ าคนเราจะมีหน้าตาที่แท้จริ งของตนตอนอายุ 40 ทั้งหน้าที่การงาน ความสง่างามและวุฒิภาวะ เมื่อผ่านวั นเวลาไปเราอาจจะมองความงามของคู่ รักในมุมที่แตกต่างไป
รักที่ต่าง ต่างที่รัก
ที่กล่าวมาข้างต้นเราจะเห็นว่ าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน หากจะบอกว่าความรักเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับการเมือง ก็คงฟังดูแปลก แต่นักวิชาการบางคนกลับเห็นว่ าความรักเกี่ยวข้องกับการเมือง
ในงานที่ชื่อ I Love to You (1996) อิริกาเรย์ (Luce Irigaray) ชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยจะต้ องเริ่มจากการตระหนักถึ งความแตกต่างทางเพศ ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการกดขี่ขูดรีด สงคราม หรือชาตินิยม ล้วนแต่มีจุดกำเนิดจากการไม่ สำนึกเรื่องความต่างทางเพศ สำหรับอิริกาเรย์แล้ว การกดขี่ผู้หญิงจะเห็นได้ จากการวิเคราะห์เรื่องความรั กในงานของเฮเกล ซึ่งเฮเกลนับเป็นนักปรัชญาคนเดี ยวที่วิเคราะห์เรื่องความรั กในฐานะแรงงาน อิริกาเรย์เห็นว่าเพศหญิงเป็ นหญิงเฉพาะในครอบครัวเท่านั้น แต่ก็ยังโดนกดขี่โดยผู้ชาย เมื่อเข้าสู่ปริมณฑลการสั งคมการเมือง ผู้หญิงก็กลายเป็นพลเมืองที่ไร้ เพศ ซึ่งสิทธิก็เป็นสิทธินามธรรมที่ ตกทอดมาจากศาสนาคริสต์ซึ่งยึดผู้ ชายเป็นใหญ่อยู่แล้ว มิหนำซ้ำแม้แต่ในครอบครัวผู้หญิ งก็เป็นได้แค่แม่และเมีย ซึ่งก็เป็นสิทธินามธรรมสากลที่ ยัดเยียดให้ผู้หญิง
ในงานที่ชื่อ I Love to You (1996) อิริกาเรย์ (Luce Irigaray) ชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยจะต้
ในด้านสังคมวัฒนธรรม ผู้หญิงถูกยัดเยียดให้ยอมรั บสถานะของแม่และเมีย เกิดจากยึดผู้ชายเป็นศูนย์กลาง เราเห็นเรื่องนี้ได้ง่ ายจากคำนำหน้าของเพศหญิงที่เปลี่ ยนไปตามการแต่งงาน เมื่อออกมาสู่ปริมณฑลสาธารณะ ความเป็นหญิงก็ไม่ถูกตระหนักรั บรู้ เนื่องจากสิทธิของพลเมืองนั้ นเป็นกลาง ไม่มีเพศ เราเห็นเรื่องนี้ได้จากกฎหมายที่ ยังยึดผู้ชายเป็นตัวตั้ง ทำให้ไม่มีกฎหมายที่รองรับพลเมื องผู้หญิงเป็นการเฉพาะ แต่ถูกจัดให้อยู่ในกรอบของ “พลเมืองเหมือนกัน”
ในหนังสือ Democracy Begins Between Two (2001) อิริกาเรย์วินิจฉัยว่าปัญหาทั้ งหลายทั้งปวงเกิดขึ้ นมาจากการไม่คำนึงถึงความต่ างทางเพศนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม การกดขี่ขูดรีด เผด็จการ หรือชาตินิยม การไม่ยอมรับความต่างทางเพศไม่ อาจจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ มีความสุขสันติได้ ในบทที่ชื่อ “Democracy is Love” อิริกาเรย์ย้ำว่าประชาธิปไตยคื อความรัก คือการตระหนักถึงความต่างระหว่ างเพศ และการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเกื้ อกูลระหว่างชาย/หญิง เปิดไปสู่การเป็นแม่ของลูกชาย พ่อของลูกสาว อยู่ร่วมกันโดยไม่ลดทอนความต่ างทางเพศให้อยู่ใต้อำนาจของฝ่ ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในช่วงหลังๆ อิริกาเรย์ได้รับอิทธิพลอย่ างมากจากภูมิปัญญาตะวันออก เธอมีโอกาสฝึกโยคะและสนใจพุ ทธปรัชญา อิริกาเรย์ยกตัวอย่างช่วงขณะที่ พระพุทธเจ้าทรงมองดอกไม้อย่ างใส่ใจ โดยไม่ได้อยากเข้าไปครอบครอง แต่มองดอกไม้อย่างที่ดอกไม้เป็น การพิจารณาดอกไม้อย่างมีสติจะช่ วยเพิ่มพูนพลังความคิดด้วย พระพุทธเจ้ามองดอกไม้โดยไม่ อยากเด็ดมัน ซึ่งเท่ากับเราสัมพันธ์กับสิ่ งอื่นโดยไม่กระทำความรุนแรง ดอกไม้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ เราได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่ างร่างกายกับจิตวิญญาณ โดยไม่ยัดเยียดรูปแบบความคิดที่ ไม่สอดคล้องกับร่างกาย ซึ่งเราจะเห็นได้จากระบบทุนนิ ยมที่กดขี่ผู้หญิง ผลก็คือจิตวิญญาณตายลง ผู้หญิงถูกเรียกร้องให้เตรี ยมพร้อมสำหรับการมีเซ็กซ์และมี ลูก ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่กำหนดโดยผู้ ชายทั้งสิ้น
ตัวอย่างพระพุทธเจ้ามองดอกไม้นี้ แม้เธอไม่อาจระบุชัดว่าแหล่งอ้ างอิงมาจากพระสูตรใด และเธออาจจะยังเข้าใจพุ ทธศาสนาไม่รอบด้านพอ แต่ท่าทีของอิริกาเรย์เองก็มี ประโยชน์อย่างมากในแง่ ของการเสาะแสวงหาเมล็ดพันธุ์ ทางจิตวิญญาณเพื่อเพาะปลูกวั ฒนธรรมแห่งการไม่กระทำความรุ นแรงต่อกัน ผมคิดว่าหากอิริกาเรย์หันมาหาตั วอย่างแถวบ้านเมืองเรา ไม่แน่นัก เธออาจจะได้ตัวอย่างของการสร้ างความรุนแรงต่อกันมากกว่า
เมื่อเราอยู่ใกล้จนมองไม่เห็น ก็อาจจะต้องอ้อมวกไปไกล มองผ่านสายตาคนอื่น ผ่านนักปรัชญาผู้หญิงชาวตะวันตก เพื่อที่จะเสนอตั วแบบของการเคารพยอมรับความแตกต่ าง ไม่ใช่แค่เพียงความต่างระหว่ างเพศเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงความต่างด้านอื่ นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นความต่างทางชาติพั นธุ์ ลัทธิ ศาสนา ภาษา หรืออายุ
ผมคิดว่า ถึงที่สุดแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้า ความแตกต่างระหว่างเพศ หรือกระทั่งความแตกต่างด้านอื่ นๆ อย่างเช่นศาสนา ชาติพันธุ์ และประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออก ประชาธิปไตยที่กดทับความต่ างทางเพศ หรือกดทับความแตกต่าง ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มีเสรี ภาพที่แท้จริง เพราะประชาธิปไตยคือความรัก ความรักที่โอบรับความแตกต่างให้ อยู่ร่วมโลกกันได้
ข้อเสนอของเฟมินิสต์อย่างอิริ กาเรย์ที่ชี้ให้เห็นถึ งการตระหนักถึงความต่างทางเพศ ด้วยการเปิดโปงการกดทับผู้หญิง และพยายามผลักดันการดำรงอยู่ร่ วมกันในโลก ในความแตกต่างนี้ แต่จุดอ่อนก็มีอยู่ เพราะหากถือว่าความต่างระหว่ างเพศมีเพียงชาย-หญิง ก็ไม่อาจจะเปิดโอกาสไปสู่ ความหลากหลายอื่นๆ ที่อาจจะเป็นไปได้
ผมอยากให้ลองพิจารณาข้ อเสนอของไมเคิล ฮาร์ท นักทฤษฎีคนสำคัญที่ยังมีชีวิ ตอยู่ในปัจจุบัน คนเรามักจะรักคนที่เราเหมื อนเรามากกว่า และรักคนที่ต่างจากเราน้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นความต่างด้านชาติพั นธุ์ ประเทศหรือชาติ ในแง่นี้ ชาตินิยม ฟาสซิสต์ รากฐานนิยมทางศาสนา ไม่ได้เกิดจากความรักหรื อความเกลียดโดยตัวมันเอง แต่เกิดจากความรักสิ่งที่เหมื อนกับเรามากเกินไป
“ความรักที่ความเหมือน” นำไปสู่การผลิตซ้ำสิ่งที่เหมื อนๆกัน ตรงข้ามกับ “ความรักที่ความต่าง” ที่นำไปสู่การสร้างตัวตนและเครื อข่ายความสัมพันธ์ใหม่ที่มี ความเฉพาะตัว เปิดไปสู่ความเป็นไปได้อื่นๆ
เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ให้เห็ นภาพชัด ฮาร์ท (Micheal Hardt) หยิบยืมเอาอุปลักษณ์อันเป็นที่ โปรดปรานของจีล เดอเลิซ (Gilles Deleuze) กับเฟลิกซ์ กัตตารี (Félix Guattari) คู่หูทางปรัชญาชาวฝรั่งเศส นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างกล้ วยไม้กับตัวต่อ ทั้งคู่ประกาศว่า “ขอให้รักของพวกคุณจงเป็นเช่นตั วต่อกับกล้วยไม้”
ตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบของ “ความรักที่ความเหมือน” ก็คือผึ้งกับดอกไม้ เราจะเข้าใจว่าผึ้งกับดอกไม้เป็ น “ความรักที่ความต่าง” เพราะผึ้งกับดอกไม้เป็นสิ่งที่ ต่างกัน แต่เอาเข้าจริงๆแล้วผึ้งกั บดอกไม้เป็น “ความรักที่ความเหมือน” ที่นำไปสู่การหลอมรวมและผลิตสิ่ งเหมือนๆกันออกมา นั่นก็คือความรักแบบชายหญิงที่ หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งในความสั มพันธ์แบบครอบครัว
ในทางกลับกัน ความรักที่ความต่างอาจจะเปรี ยบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างตั วต่อกับกล้วยไม้ เนื่องจากกลิ่นกล้วยไม้มีกลิ่ นคล้ายฟีโลโมนของต่อตัวเมีย และกล้วยไม้ก็มีรูปร่างเหมื อนอวัยวะสืบพันธุ์ของต่อเพศเมีย เมื่อต่อตัวผู้จุ่มอวัยวะสืบพั นธุ์ลงไปในดอกกล้วยไม้ก็เท่ากั บมันเสพสังวาสกับกล้วยไม้ แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ได้ก่ อให้เกิดอะไรขึ้นมาในเชิงวัตถุ เหมือนกับผึ้งกับดอกไม้
เราอาจะนึกถึงความสัมพันธ์ของ LGBT ซึ่งแม้จะไม่ได้ยังผลให้เกิ ดผลบั้นปลายเหมือนความรักระหว่ างหญิงชาย แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ก็ก่อให้ เกิดผลผลิตที่ไม่ใช่วัตถุ (immaterial) เช่น ภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ อารมณ์ความรู้สึก ความรู้ ตลอดจนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้ องกับความสัมพันธ์แบบนี้
ข้อได้เปรียบของการมองแบบนี้ก็ คือ มันเป็นโอกาสให้ความหลากหลายได้ มีที่เหยียบยืน เปิดโอกาสให้ความสัมพันธ์ใหม่ ๆเกิดขึ้น ก่อเกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่ความแตกต่าง (difference) หากแต่ยังรวมความหลากหลาย (multiplicity) ที่คำนึงคาดไม่ถึงด้วย
ในทางสังคมการเมือง ฮาร์ทเสนอว่าปัจจุบันผู้คนมี ความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่แต่กรอบของรัฐชาติ หรือประเทศหนึ่งๆเท่านั้น ผู้คนในความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ ใช่ “ประชาชน” ซึ่งเน้นการมีอัตลักษณ์ร่วมกั นภายใต้เอกภาพบางอย่าง อย่างเช่นเอกภาพแห่งชาติ หากแต่เป็นผู้คนที่มีลั กษณะบางอย่างร่วมกัน และอยู่ร่วมกันได้ทั้งที่ต่างกั น
ความรักเป็นพลังผลักดันในการก่ อรูปชุมชนใหม่ขึ้นมา เป็นการอยู่ร่วมกันแบบใหม่ ดังนั้น “ความรักที่ความต่าง” จึงต้องอาศัยการสื่อสารและปฏิสั มพันธ์กับคนอื่น เพื่อเรียนรู้สิ่งที่เราไม่เข้ าใจ แทนที่จะเปิดรับแต่คนที่เหมื อนกันกับเราเท่านั้น
เมื่อผู้คนเหล่านี้สร้างชุมชนขึ้ นมาเป็นชุมชนประชาธิปไตย จึงไม่ใช่การรวมเอาคนที่เหมื อนกันกับตัวเองเข้ามาในอยู่ ภายใต้เอกภาพ หากแต่สร้างชุมชนที่ลั กษณะเฉพาะเจาะจง แต่ยังความความแตกต่างเอาไว้ แน่นอนว่าฟังดูเสี่ยง เพราะเราต้องรับเอาสิ่งที่แตกต่ างจากที่เราคุ้นเคย แต่สิ่งนี้เองที่จะนำไปสู่ การเกิดสิ่งใหม่ ไม่ใช่ผลิตซ้ำแต่สิ่งเดิมๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่ความรักที่อยู่ ภายใต้คุณธรรมหรือความดีแบบเดี ยว ไม่ใช่ความรักชนิดที่ออกคำสั่ งบังคับเอา ไม่ใช่ความรักที่บังคับให้คนคิ ดเห็นเหมือนกัน มองไปทางเดียวกัน เดินไปทางเดียวกัน และตกเหวไปพร้อมๆกัน
ทั้งนี้ เพราะประชาธิปไตยคื อการแสดงออกซึ่งความรัก
คือรักและหวัง
เมื่อเราเอ่ยถึงความรัก ก็ย่อมหมายความด้วยว่ าเราปราถนาดีต่อคนที่เรารัก ไม่อยากให้พวกเขาหรือพวกเธอต้ องเผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้าย หัวข้อสุดท้ายผมจะพูดถึงความหวั ง ชื่อหัวข้อ “คือรักและหวัง” มาจากนวนิยายของวัฒน์ วรรลยางกูร (ซึ่งเป็นที่มาของข้อเขียนนี้ด้ วย)
หากมองในประวัติศาสตร์ที่มี การต่อสู้ทางการเมือง เราก็จะพบว่ามีคนจำนวนมากลุกขึ้ นมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรี ภาพจากอำนาจกดขี่ที่ไม่ชอบธรรม แม้ว่าในช่วงแรกจะดูไม่เห็ นปลายทาง หรือต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการ หลายต่อหลายครั้งความหวังนั้นก็ ไม่บรรลุผล
เราจะเห็นตัวอย่างที่ชั ดเจนจากงานเขียนของ ริชาร์ด รอร์ตี้ (Richard Rorty) นักปรัชญาอเมริกันคนสำคัญ รอร์ตี้มองว่าความหวังของมนุ ษยชาตินั้นสะท้อนผ่านข้อเขี ยนสำคัญ 2 ชิ้น ได้แก่ พระคัมภีร์ไบเบิลพันธะสัญญาใหม่ และ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งสองต่างแสดงถึงความหวังอย่ างเดียวกัน นั่นคือความหวังที่มนุษย์ จะเคารพยอมรับความต้องการของกั นและกันอย่างที่กระทำกับคนรั กและคนใกล้ชิดของตน แม้ว่าทั้งข้อเขียนทั้งสองฉบั บนี้จะเป็นคำทำนายที่ผิดพลาด เพราะไม่มีพระมหาไถ่เสด็ จลงมาและสังคมในอุดมคติแบบคอมมิ วนิสต์ก็ไม่เกิดขึ้นจริง แต่เราควรอ่านเอกสารทั้ งสองในฐานะแรงบันดาลใจที่สำคัญ เพื่อเข้าใจ “ความหวัง” อันประเสริฐที่เคยมีมาก่อน
ในหลายกรณี ความหวังของคนสองกลุ่มที่ขัดแย้ งกันเอง ก็นำไปสู่การปะทะกันถึงขั้ นนองเลือด แต่ข้อพิจารณาของรอร์ตี้ก็น่ าจะนำมาเป็นข้อคิดของเราได้ นั่นคือความหวังอันประเสริฐก็คื อการที่เราปรารถนาให้มนุษย์มี ความเคารพยอมรับคนอื่นเฉกเช่ นคนรักของตน คำพูดที่เราชอบจะพูดว่า ถ้าเป็นญาติพี่น้องของคุณบ้างคุ ณจะรู้สึกอย่างไร ก็น่าจะกระตุกความคิดของเราได้ เวลาเราเห็นฝ่ายตรงข้ามถู กกระทำอย่างไร้ความเป็นธรรม
และที่สำคัญ ในเมื่อความหวังย่อมต้ องประกอบด้วยคุณค่าของความรู้ที่ ทำให้เราประเมินสถานการณ์โดยไม่ หลอกตัวเอง แล้วทำไมเราไม่ย้อนทบทวนว่ าการแก้ปัญหาความขลุกขลั กของระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็ นอย่างไร กลับจะยิ่งสร้างปัญหาอย่างใหม่ ขึ้นมาใช่หรือไม่ ถ้าเรายอมรับความจริงได้แล้วเลิ กหวังลมๆแล้งๆ การปรับทิศทางความหวังก็น่ าจะเป็นทางเลือกที่ดีมิใช่หรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเห็ นอนาคตของความหวังที่เปี่ยมด้ วยการเคารพยอมรับความต้ องการของเพื่อนมนุษย์หรือเพื่ อนร่วมชาติ เฉกเช่นที่เรากระทำกับญาติพี่น้ องและคนรักของตนเอง?
เพราะประชาธิปไตยคื อการแสดงออกซึ่งความรัก
หมายเหตุ: เนื้อหาของข้อเขียนนี้ผู้เขี ยนประมวลขึ้นใหม่ จากบทความหลายชิ้นที่ได้เขี ยนเอาไว้ ซึ่งบางส่วนตีพิมพ์ต่างกรรมต่ างวาระใน มติชนสุดสัปดาห์ ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเป็นข้อพิ จารณาทบทวนอีกครั้งเนื่องในวั นวาเลนไทน์ 2560 นี้
เกี่ยวกับผู้เขียน: คงกฤช ไตรยวงค์ เป็นอาจารย์ประจำ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และสมาชิกกลุ่ม Black Circle
แสดงความคิดเห็น