สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เกมตลกเรื่องกฎหมายควบคุมสื่อ


Posted: 12 Feb 2017 04:41 PM PST  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

เหตุการณ์ต้นเรื่องเกิดจากเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 30 องค์กร เช่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เป็นต้น ออกแถลงการณ์ร่วมแสดงการคัดค้านกฎหมายสื่อมวลชนฉบับใหม่ ที่กำลังจะถูกนำเสนอเข้าสู่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ครั้งแรกขององค์กรสื่อมวลชน นับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เป็นต้นมา

กฎหมายสื่อมวลชนฉบับนี้ มีชื่อเรียกอย่างสวยหรูว่า “ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน” โดยทั่วไปในระบอบประชาธิปไตย จะมีหลักการว่า รัฐจะต้องไม่เข้าไปควบคุมสื่อมวลชน แต่จะต้องปล่อยให้สื่อมวลชนและประชาสังคม ควบคุมด้านจริยธรรมกันเอง แต่ในรัฐเผด็จการ จึงจะมีการเข้าควบคุมสื่อมวลชนโดยใช้มาตรการเซ็นเซอร์ ในประเทศไทย หลังการรัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 คณะผู้ปกครองเผด็จการได้ออกกฎหมายควบคุมสื่อมวลชนเรียกว่า “คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ 42”หรือเรียกว่า “ปร.42” กฎหมายฉบับนี้ จะมาถูกยกเลิกเมื่อ พ.ศ.2533 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หลังจากนั้น ก็ไม่มีกฎหมายควบคุมสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ จนถึงสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เมื่อ พ.ศ.2553 ก็ได้เตรียมยกร่างกฎหมายสื่อมวลชนฉบับหนึ่ง ซึ่งวางอยู่บนหลักการให้สื่อมวลชนควบคุมจริยธรรมกันเอง แต่ยังไม่มีการประกาศใช้

จนเมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้อาศัยข้ออ้างเรื่องการปฏิรูปสื่อสารมวลชน นำร่างของกฎหมายสื่อมวลชนฉบับเดิมมาดัดแปลง ให้สอดคล้องกับเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับร่างโดยคณะกรรมการชุดนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ แต่เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบจาก สปช. ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ตกไปด้วย จากนั้น เมื่อมีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ขึ้นแทน ก็ได้มีการมอบหมายให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน นำร่างกฎหมายสื่อมวลชนขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง และดำเนินการจนเสร็จสิ้นพร้อมนำเสนอเข้าสู่สภา สปท.เพื่อการรับรองในเดือนกุมภาพันธ์นี้

สาระสำคัญของร่างกฎหมายสื่อมวลชนฉบับนี้ กำหนดให้สื่อมวลชนจัดตั้งเป็นองค์กรวิชาชีพ โดยต้องไปจดแจ้งกับสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ดังนั้น จึงให้มีการจัดตั้ง “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” ที่มีคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพเลือกกันเอง 5 คน ปลัดกระทรวง 4 คนจากสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการคลัง แล้วไปเลือกกกรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน รวมเป็น 13 คน สภานี้ จะมีอำนาจขึ้นทะเบียน ออกใบอนุญาตและเพิกถอนในอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และรับคำร้องอุทธรณ์ในกรณีผู้เสียหายอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากองค์กรสื่อมวลชน และมีอำนาจสั่งปรับองค์กรสื่อมวลชนที่ไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ในอัตราสูงสุดถึง 150,000 บาท

ร่างกฎหมายฉบับนี้ จึงถูกต่อค้านคัดค้านทันที โดยแถลงการณ์ขององค์กรสื่อมวลชน 30 องค์กร โต้แย้งว่า กฎหมายนี้มิได้อยู่บนพื้นฐานหลักการของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แต่กลับเน้นหลักการควบคุมสื่อมวลชนโดยใช้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่โดยอิสระของสื่อมวลชน ไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับผ่านการลงประชามติ ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้สื่อมวลชนกำกับดูแลกันเองโดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงจากภาครัฐ และยังจะมีผลกระทบโดยตรงต่อบทบาทของสื่อมวลชนในการตรวจสอบอำนาจรัฐ และเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน องค์กรสื่อมวลชนจึงเสมอให้ สปท. ยกเลิกการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ และย้ำว่า ถ้ามีการเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ โดยไม่มีการทักท้วง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั่วประเทศจะยกระดับมาตรการในการคัดค้านร่างกฎหมายนี้ต่อไปจนถึงที่สุด

ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ หยิบมาเน้นย้ำก็คือ การให้มีตัวแทนจากปลัดกระทรวง 4 กระทรวงเข้ามาอยู่ในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ และการกำหนดให้องค์กรนี้ มีอำนาจในการออกใบอนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาตสื่อมวลชน ซึ่งเท่ากับว่ารัฐก็จะมีอำนาจปิดสื่อมวลชนนั่นเอง เทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้อธิบายเหตุผลว่า ถ้าหากบ้านเมืองกลับสู่ยุคปกติ ปลัดกระทรวงที่ถูกเลือกมาจากฝ่ายการเมือง ก็เท่ากับปล่อยให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงสื่อมวลชน และการตรวจสอบรัฐจะเป็นไปได้ยาก เพราะจะเป็นเรื่องประหลาดมากหากหน่วยงานรัฐถูกตรวจสอบ แต่กรรมการกลับมีตัวแทนรัฐไปตรวจสอบด้วย

ปรากฏว่าอิทธิพลของสมาคมสื่อมวลชนเหล่านี้คงจะมากพอตัว ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ สภา สปท.ตีกลับ ให้คณะกรรมาธิการไปปรับปรุงเนื้อหาใหม่ 6 ประเด็น ก่อนจะนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประเด็นที่จะต้องไปปรับปรุงรวมถึงเรื่อง การลดจำนวนกรรมการสภาวิชาชีพที่มาจากตัวแทนภาครัฐ, การพิจารณาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และ ประเด็นการเขียนเนื้อหาที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นเกมตลกยุค คสช. เพราะความจริงแล้วตั้งแต่หลังจากการรัฐประหาร พ.ศ.2557 สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกละเมิดโดยอำนาจเผด็จการตลอดเวลา มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกดำเนินคดีในข้อหาขัดคำสั่งคณะรัฐประหาร และข้อหาอื่น เช่น มาตรา 112 และหลายคนต้องถูกจำคุกด้วยความผิดอันไม่ชัดเจน จากนั้น ศาลและกระบวนยุติธรรมก็ยังร่วมมือฝ่ายรัฐบาล ในการลงโทษประชาชนที่ต่อต้านเผด็จการ สร้างยุคมืดแห่งการคุกคามประชาชนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 เป็นต้นมา

นอกจากนั้น สื่อมวลชนเองก็ถูกลิดรอนสิทธิภายใต้ระบบเผด็จการ ตั้งแต่การใช้กฎอัยการศึกควบคุมการเผยแพร่ข่าวสาร การออกคำสั่งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ห้ามนำเสนอข่าว แจกจ่าย จำหน่ายสิ่งพิมพ์ ที่ส่งผลต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายทหาร ห้ามเชิญบุคคลหรือสัมภาษณ์บุคคลที่มีความคิดเห็นต่างจากคณะรัฐประหาร ระงับการออกอากาศของสถานีวิทยุชุมชน บังคับโทรทัศน์และสื่อมวลชนทุกช่องถ่ายทอดรายการของฝ่ายทหาร หรือรายการพูดเพ้อเจ้อของผู้นำฝ่ายทหาร ฯลฯ

ในกรณีเหล่านี้ สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งหลายแทบจะไม่เคยมีท่าทีหรือการเคลื่อนไหว ที่จะคัดค้านต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหารเลย และสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหลายก็พร้อมใจเซ็นเซอร์ตัวเอง ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตาม คสช.ด้วยดีตลอดมา เรื่องการคัดค้านกฎหมายควบคุมสื่อมวลชนครั้งนี้ จึงเป็นเพียงเกมตลกเกมเดียว ที่ไม่ส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเลย



หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 603 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.