DDoS: ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงภายใต้ บริบทการเมืองยุค คสช.
Posted: 05 Feb 2017 04:30 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
จากปรากฏการณ์การพยายามควบคุมสื่ อสังคม (social media) ของรัฐบาลภายใต้การนำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (หัวหน้า คสช.) โดยเฉพาะที่เป็นประเด็นถกเถี ยงกันอย่างแพร่หลายในสังคม อย่างการพยายามผลักดันการใช้ “ระบบซิงเกิลเกตเวย์” (Single gateway) และล่าสุดการผลักดันกฎหมาย “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทำความผิดเกี่ยวกั บคอมพิวเตอร์” (พ.ร.บ.คอมฯ) เพื่อปิดกั้น/ควบคุมเนื้ อหาการแสดงความคิดเห็ นของประชาชนที่มีแนวโน้มเป็ นไปในทิศทางที่ต่อต้านรัฐบาลหรื อการทำงานของรัฐบาลหรือสิ่งที่ รัฐบาลเห็นว่าขัดต่อ“ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอั นดีของประชาชน(และของชาติ)” ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้เขียนตั้งข้ อสังเกต 2 ประการ กล่าวคือ ประการแรก การแสดงออกผ่านสื่อสังคมออนไลน์ นั้น (น่าจะ)มี “พลัง” บางอย่างที่ทำให้รัฐบาลจำต้ องพยายามเข้ามาควบคุม และประการที่สอง เมื่อรัฐบาลพยายามเข้ามาควบคุ มแล้ว ปฏิกิริยาโต้กลับของผู้ใช้สื่ อสังคมออนไลน์นั้นเป็นไปในทิ ศทางใด และจากข้อสังเกตดังกล่าวนำมาสู่ ความสนใจในการศึกษา “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” ผ่านอินเทอร์เน็ต
ในรายงานเชิงวิจัย (research essay) ว่าด้วยการไม่ใช้ความรุ นแรงทางการเมืองชิ้นนี้ผู้เขี ยนมุ่งศึกษา “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” ที่เรียกว่า DDoS หรือชื่อเต็มคือ Distributed Denial of Service ภายใต้บริบทสังคมการเมืองไทยยุค คสช. โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วน อันประกอบไปด้วย ส่วนแรก ว่าด้วยทฤษฎี “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” ที่ใช้เป็นแว่ นในการมองปรากฏการณ์ ส่วนที่สอง ว่าด้วยการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ โดยการใช้ทฤษฎีดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ส่วนแรก ว่าด้วยทฤษฎีที่ใช้เป็นเครื่ องมือในการมองปรากฏการณ์ กล่าวคือ ผู้เขียนเลือกใช้ทฤษฎีว่าด้วย “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” (nonviolent action) ของ Gene Sharp ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในนักทฤษฎี การต่อสู้ด้วยสันติวิธีที่สำคั ญที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20 เขาเสนอว่า “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงเป็นวิ ธีการหนึ่งในบรรดาหลากหลายวิธี การของสันติวิธี ซึ่งเป็นคำกลาง ๆ ที่ใช้เรียกการประท้วง การไม่ให้ความร่วมมือ การแทรกแซง อันเป็นปฏิบัติการที่ผู้ กระทำได้ก่อให้เกิดภาวะขัดแย้ งโดยการกระทำ หรือปฏิเสธที่จะกระทำสิ่งใดสิ่ งหนึ่ง โดยไม่ใช้กำลังทางกายภาพ ดังนั้นในฐานะที่เป็นวิธีการ ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงจึงไม่ ใช้ความเฉื่อยชา ไม่ใช่ การไม่กระทำ แต่เป็น การกระทำ ที่ไร้ความรุนแรง”[1] ปฏิบัติการไร้ความรุนแรงนี้ ยืนอยู่บนฐานทฤษฎีอํานาจที่ มองความขัดแย้งในฐานะความสัมพั นธ์เชิงอํานาจ ซึ่งอำนาจมักจะไม่เท่าเทียมกัน และเชื่อว่าผู้ที่มีอํ านาจมากกว่านั้น สามารถธํารงอํานาจอยู่ได้ก็เพี ยงเพราะผู้อยู่ใต้อํานาจให้ ความยินยอม (consent) และให้ความร่วมมือ (cooperation) กล่าวอักนัยหนึ่ง คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของรั ฐบาลใด ๆ ซึ่งเมื่อขาดไปแล้วรั ฐบาลจะดำรงอยู่มิได้คือการยิ นยอมและการให้ความร่วมมือ ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการต่อต้ านอำนาจทางการเมืองของรัฐคื อการทำลายแหล่งที่มา(การยินยอม) ของอำนาจดังกล่าว เพื่อเปิดทางไปสู่การขัดขืนไม่ เชื่อฟัง จนผู้คนไม่ยินยอมเห็นชอบ (consent withdrawal)[2] อย่างไรก็ดี แม้ทฤษฎีดังกล่าวของ Sharp จะได้รับการยอมรับและมีอิทธิ พลอย่างยิ่งในการศึกษาสันติวิธี หากแต่ยังคงมีจุดอ่อนให้เกิ ดการถกเถียงขึ้น เช่นที่ Martinและ Burrowes มองว่า Sharp ละเลยมิติเชิงโครงสร้างของอํ านาจ กล่าวคือ นอกจากอำนาจทางการเมืองของรั ฐบาลจะถูกค้ำยันด้วยความยิ นยอมและความร่วมมื อของประชาชนแล้ว ยังมีโครงสร้างและสถาบันอื่น ๆ ที่ค้ำยันอำนาจนั้นไว้ด้วย ดังนั้น การต่อสู้โดยไร้ความรุนแรงใด ๆ จึงจำเป็นต้องเพิกถอนความยิ นยอมต่อโครงสร้างหรือสถาบันนั้น ๆ ที่ค้ำยันอำนาจทางการเมืองของรั ฐไว้อีกต่อหนึ่งด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีนักคิดคนสำคัญอย่ าง Michel Foucault ที่เสนอแนวคิดว่าด้วย “การปกครองชีวญาณ” (Governmentality) กล่าวคือ มีที่มาจากการพยายามตอบปัญหาพื้ นฐานที่ว่า ทำอย่างไรผู้ปกครองจึ งจะสามารถรักษา “อำนาจอธิปไตยของตนไว้ได้” ซึ่งคำตอบของคำถามดังกล่าวคือ รัฐบาลหรือผู้ปกครองต้องมีอำนาจ กำกับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งเป็น สิ่งที่มองไม่เห็น (visible the invisible) และสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เองจะเป็นหลักประกันต่ อการดำรงไว้ซึ่งระเบียบอันช่ วยในการรักษาอำนาจอธิปไตยของผู้ ปกครอง ทั้งนี้เพราะเป็นการเน้นถึงหลั กการสำคัญในการที่ทำให้ผู้คนนั้ นเป็นผู้ควบคุมตัวเอง (ตกเป็นsubjectของตัวเอง) ซึ่งสามารถทำ(ควบคุม)ได้กับทุก ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นความคิด จิตสำนึก หรือกระทั้งวิญญาณ (soul)[3] ในแง่นี้สิ่งสำคัญในการสร้ างอำนาจกำกับความคิดและพฤติ กรรมคือ การให้ความสำคัญกับวิธีการจั ดการความจริง (regime of truth) ซึ่งภายใต้ วิธีการจัดการความจริงนี้ ทำให้ผู้คนสามารถแยกแยะได้ว่า “ประโยคความรู้” ใดถูก “ประโยคความรู้” ใดผิด และลักษณะกฎเกณฑ์ทางภาษาที่ผลิต “ประโยคความรู้” ชุดหนึ่งที่จัดกลุ่มผิดกลุ่มถู กไว้ได้นั้น เรียกว่า “ดีสคอร์ส” (discourse) Foucault เชื่อว่าความพยายามที่จะออกหรื อหลุดพ้นจากระเบียบดังกล่าว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะ “ความจริง”นั้น ก็เป็นอำนาจอยู่ในตัวอยู่แล้ว สิ่งที่เขาเสนอคือการตั ดอำนาจของความจริง (power of truth) ออกจากการครองความเป็นเจ้า (hegemony)[4]
ส่วนที่สอง ว่าด้วยการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ โดยการใช้ทฤษฎี กล่าวคือ ผู้เขียนสนใจปฏิบัติการ DDoS ที่ถูกใช้ในสังคมการเมื องไทยภายใต้รัฐบาลคสช. ด้วยเห็นว่าสังคมการเมื องไทยในช่วงที่ผ่านมาใช้ เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตในการขั บเคลื่อนทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งปฏิบัติการที่เรียกว่า DDoS หรือชื่อเต็มคือ Distributed Denial of Service ก็ถือเป็นปฏิบัติการรูปแบบหนึ่ งใน “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” ของ Sharp โดยมีวิธีการคือ การโจมตีเครือข่าย(บนโลกอิ นเทอร์เน็ต) ที่มีเป้าประสงค์หลั กของการโจมตี คือการทำให้เครื่องแม่ข่ายหรื อเครื่องที่ให้บริการ (server) ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ เป็นการมุ่งโจมตีเพื่อทำให้เส้ นทางเชื่อมต่อนั้นเต็มหรือเกิ นขีดความสามารถของเครื่องแม่ข่ าย โดยลักษณะสำคัญของ DDoS นั้นไม่ได้มีที่มาจาก จุดเดียว ทว่ามีที่มาพร้อมๆ กันหลายจุด ซึ่งมีลักษณะกระจาย (distributed) ไปทั่วเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งการทำพร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมากจากหลายจุดนั่ นเองที่ทำให้ผลลัพธ์ร้ายแรงขึ้น [5] หรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่งคือ ปฏิบัติการ DDoS จะเริ่มจากการการรณรงค์เชิ ญชวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่ วไปให้ ทำการ “ถาโถม” (flooding) การเยี่ยมชมเว็บไซต์เป้าหมายพร้ อม ๆ กันและกระทำซ้ำ ๆ ตลอดเวลาโดย การกดปุ่ม “รีโหลด” (reload) หรือ “รีเฟรช” (refresh) หรือ F5 ที่หน้าเว็บของเว็บไซต์เป้ าหมายจนเว็บไซต์ดังกล่าวไม่ สามารถทำงานได้ปกติ
สำหรับในกรณีของสังคมการเมื องไทยภายใต้การบริหารงานของรั ฐบาล คสช.ซึ่งมีอาวุธคือมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจอั นเด็ดขาด(ชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและถือเป็นที่ สุด) แก่หัวหน้าคสช. โดยพบว่าในระยะเวลาภายใต้ การปกครองของคสช.นั้น มีปรากฏการณ์สำคัญ 2 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อิ นเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีข้อมูลข่ าวสาร ได้แก่ การผลักดันการใช้ “ระบบซิงเกิลเกตเวย์” (Single gateway) ช่วงปี พ.ศ.2558 และการผลักดันกฎหมาย “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทำความผิดเกี่ยวกั บคอมพิวเตอร์” (พ.ร.บ.คอมฯ) ช่วงปลายปี พ.ศ.2559 ซึ่งจากการพยายามผลักดันทั้ งสองกรณีโดยฝ่ายรัฐบาลพบว่า ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และข้อถกเถียงมากมาย เช่น ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิส่ วนบุคคล สิทธิในการแสดงออกทางการเมือง ไปจนถึงปัญหาทางเทคนิคอย่าง ปัญหาความเร็วของอินเทอร์เน็ ตลดลง เป็นต้น โดยการต่อต้านที่เกิดขึ้นก็มีด้ วยกันหลายวิธีการตั้งแต่วิธี การในระบบอย่าง การล่ารายชื่อคัดค้านหรือให้ยั บยั้งชั่วคราว(ชะลอ) การออกนโยบาย/กฎหมายดังกล่าว ไปจนถึงการเจาะระบบ (Hack) ฐานข้อมูลสำคัญของรัฐบาลเพื่ อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มี ความสามารถเพียงพอที่จะป้องกั นภัยจากการก่อการร้าย แต่ในที่นี้วิธีการที่จะใช้เป็ นกรณีศึกษาคือ ปฏิบัติการDDoS โดยมีแกนนำหลัก ๆ ได้แก่ เพจ“Thailand F5 Cyber Army against Single Gateway” และ เพจ“พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall” ที่ใช้ Facebook เป็นช่องทางการรณรงค์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเคลื่ อนไหวหลักทางการเมืองในยุครั ฐบาล คสช.อย่าง “พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen”[6]ด้วย โดยทั้งสามกลุ่มนี้มีลักษณะร่ วมกันคือขั้นตอนในการปฏิบัติการ กล่าวคือ มีการรณรงค์ นัดวันที่, เวลา และสถานที่ในการปฏิบัติการชั ดเจน ซึ่งสถานที่หลักที่กลุ่มเหล่านี้ มุ่งเป้าโจมตีคือ เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการสำคั ญของไทย เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงICT(กระทรวงดิจิตอลฯในปั จจุบัน) สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ทำเนียบรัฐบาล สำนักนายก และกองอำนวยการรักษาความมั่ นคงภายในราชอาณาจักร เป็นต้น ความแตกต่างของทั้งสามคือ สองกลุ่มแรกนั้น นิยามตนเองว่ าเป็น “ผู้ไร้ตัวตน” (anonymous) มีการวางหลักเกณฑ์ว่าห้ามเปิ ดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด[7] ในขณะที่ “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen” มีการ “เปิดหน้า” กล่าวคือสมาชิกไม่ได้มีการหลบซ่ อนปกปิดแต่อย่างใด สำหรับเหตุการณ์ในการเคลื่อนไหว พบว่าสองกลุ่มแรกเริ่มมีการเคลื่ อนไหวตั้งแต่กรณีการผลักดั นระบบซิงเกิลเกตเวย์และเรื่ อยมาจนกระทั่งการผลักดันพ.ร.บ. คอมฯ แต่ “กลุ่มพลเมืองโต้กลับResistant Citizen” มีการเคลื่อนไหวเฉพาะในกรณีซิ งเกิลเกตเวย์เท่านั้น ในกรณีพ.ร.บ.คอมฯ ได้หันมาเลือกใช้การร่วมรณรงค์ ลงชื่อคัดค้านในระบบแทน นอกจากนี้ยังพบจุดร่วมอี กประการคือ มีการพยายามประกาศและพยายามแจ้ งให้ทุกฝ่ายรับรู้และเตรี ยมการลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิ ตและธุรกรรมต่างๆ ไว้ล่วงหน้า
“ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง”: ปฏิบัติการ DDoS ในสังคมการเมืองไทย
จากที่กล่าวในส่วนของทฤษฎีข้ างต้นแล้วว่า “ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง” ของ Gene Sharp เป็นปฏิบัติการที่ผู้กระทำได้ก่ อให้เกิดภาวะขัดแย้งโดย การกระทำ หรือ ปฏิเสธที่จะกระทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไม่ใช้กำลังทางกายภาพ ซึ่งปฏิบัติการ DDoS นี้ก็ถือเป็น การกระทำ ที่แสดงออกถึงการปฏิ เสธการพยายามเข้ามาควบคุมสื่อสั งคมออนไลน์จากฝ่ายรัฐบาล ปฏิบัติการสันติวิธีของ Sharp นั้น ที่จริงแล้วมีกว่า 198 วิธี โดยแบ่ งตามกลไกการทำลายอำนาจออกได้เป็ น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก การประท้วงและชักจูง กลุ่มที่สอง การถอดถอนความร่วมมือ (non-cooperation) และสุดท้าย วิธีการแทรกแซงแบบไร้ความรุนแรง (non-violent intervention) เช่น “การ Sit-in” ในร้านอาหาร การปิดถนน การสร้างระบบภาษีคู่ขนาน เป็นต้น ซึ่ง DDoS นั้นสอดคล้องกับหลักการของวิธี การข้อสุดท้าย กล่าวคือ เป็นวิธีการแทรกแซงแบบไร้ความรุ นแรงที่ก่อให้เกิดการรบกวนหรื อทำลายโครงสร้างทางการเมือง นโยบาย ระเบียบทางสังคม กระทั่งรากฐานความสัมพันธ์เดิ มที่ค้ำยันอำนาจผู้ปกครองหรือรั ฐบาล[8] สำหรับปฏิบัติการ DDoS ดังกล่าว เป็นการแทรกแซงที่พยายามเข้ าไปรบกวน/กระทั่ งทำลายความสามารถในการเข้าถึ งและการใช้งานของเว็บไซต์หน่ วยงานราชการไทย วิธีการนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่ าการ “นั่งประท้วงเสมือน” (virtual sit-in)[9] ด้วยเหตุที่ไปขัดขวางระเบี ยบปกติ ทำให้ผู้คนทั่วไปไม่สามารถเข้ าถึงเว็บไซต์ของหน่ วยงานราชการได้
เมื่อเปรียบเทียบวิธีการประท้ วงในสามกลุ่มที่กล่าวมา พบว่าวิธีการแทรกแซงแบบไร้ ความรุนแรงนี้ ถือเป็นการท้ าทายโดยตรงและรวดเร็วรุ นแรงมากกว่าการประท้วงแบบสองกลุ่ มแรก ผลคือชัยชนะที่ได้จากวิธีการดั งกล่าวนี้จึงมักเกิดขึ้นได้ รวดเร็วกว่าด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าวิธี การแทรกแซงนี้ท้าทายตรงเป้ ามากกว่า หากแต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรั บรองว่าจะต้องได้รับชัยชนะอย่าง “ตรงเป้าหมาย” ที่แท้จริงเสมอไป การปฏิบัติการ DDoS ก็เช่นกัน แม้ว่าผลของปฏิบัติการจะทำให้ หน้าเว็บไซต์ของหน่ วยงานราชการไทยไม่สามารถใช้ งานได้ตามเป้า หากแต่ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลก็พยายามหาวิถีทางอื่น ๆ ในการเข้ามาควบคุมการแสดงความคิ ดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์เช่นเดิ ม (เช่น จากการผลักดันระบบซิงเกิ ลเกตเวย์มาสู่ร่างพ.ร.บ.คอมฯ) และในทางตรงกันข้ามอาจเกิ ดการปราบปรามอย่างรุ นแรงและรวดเร็วกว่าด้วยเช่นกัน( กรณีความรุนแรงต่อผู้ที่นั่ง “Sit-in” ในร้านอาหาร) โดยส่วนใหญ่การแทรกแซงแบบไร้ ความรุนแรงอาจนำมาซึ่งการเปลี่ ยนแปลง โดยอาศัยกลไกโอนอ่อนผ่อนตามหรื อการบังคับโดยไร้ความรุนแรง ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายตรงข้ ามหันมาเชื่อตาม หากแต่ถ้าได้ผลลัพธ์ดี อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนทั ศนะ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ คลายความมั่นใจในความถูกต้ องของตนลงและหันมารับฟังมากขึ้น [10] ซึ่งในกรณี DDoS นั่นผู้เขียนมองว่าผลลัพธ์ที่ ได้คือบรรลุแค่เพียงการโอนอ่ อนผ่อนตามของรัฐบาลที่ให้มี การชะลอการผลักดันเรื่องดังกล่ าวออกไปเสียก่อน ทั้งนี้อาจด้วยผลจากความเดือดร้ อนของการไม่สามารถเข้าใช้งานเว็ บไซต์ของหน่วยงานราชการได้เพี ยงเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่ายังไม่สามารถก้ าวข้ามไปถึงขั้นที่ทำให้ฝ่ ายตรงข้ามเชื่อตามหรือเปลี่ยนทั ศนะ ด้วยเหตุที่ที่ผ่านมารั ฐบาลไทยยังไม่มีทีท่า(แม้เพี ยงนิด)ว่าจะรับฟังความคิดเห็ นจากประชาชน
ประเด็นถกเถียงว่าด้วยปฏิบัติ การ DDoS
ประเด็นแรก ว่าด้วยข้อจำกัดของปฏิบัติการ DDoS กล่าวคือ ประการแรก คนทั่วไปมองว่าปฏิบัติการ DDoS นั้นเป็นวิธีการที่ไม่(ค่อยจะ) สันติ และสร้างความเดือดร้อนให้ ประชาชนทั่วไปที่มีความจำเป็ นในการเข้าถึงเว็บไซต์ของหน่ วยงานราชการ ประการที่สอง ด้วยเหตุที่เป็นปฏิบัติการแบบมี แกนนำ (นำโดยเจ้าของเพจ) ดังนั้นเมื่อมีการจับกุมหรือสั่ งปิดหน้าเพจขึ้น ปฏิบัติการดังกล่าวก็จำต้องหยุ ดชะงักลงไป ประการที่สาม การพยายามสร้างแรงกดดันด้วยปฏิ บัติการดังกล่าวอาจยิ่งทำให้รั ฐบาลปรับท่าทีให้แข็งกร้าวขึ้ นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ขึงขั งของตัวเอง(โดยเฉพาะรัฐบาลคสช.) ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ สภาวะสุ่มเสี่ยงที่ผู้เข้าร่ วมปฏิบัติการไม่สามารถรู้ผลลั พธ์ได้แน่ชัดว่าจะออกมาในทิ ศทางใด และประการสุดท้าย ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีข้อมูลข่ าวสารที่พัฒนาขี้นทุกวัน ๆ นั้น แม้จะถือเป็นข้อดีแก่ปฏิบัติการ แต่ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลก็มีอำนาจเอกสิทธิ์(เหนื อกว่า) กล่าวคือ รัฐบาลเป็นผู้กุมอำนาจเชิ งโครงสร้างทางเทคโนโลยี ดังนั้นย่อมได้เปรี ยบจากเทคโนโลยีที่พัฒนานี้ด้วย โดยเฉพาะมาตรการตอบโต้ ในทางเทคนิค ได้แก่ การที่รัฐบาลมีอำนาจเข้าถึงข้ อมูลส่วนบุ คคลบางประการในกระบวนการจับกุม เป็นต้น
ประเด็นที่สอง ว่าด้วยจุดแข็งของปฏิบัติการ DDoS กล่าวคือ ประการแรก เป็นปฏิบัติการที่เข้าถึงได้ง่ าย ผู้คนทั่วไปที่มี ความสามารถในการเข้าถึงระบบอิ นเทอร์เน็ตก็สามารถร่วมปฏิบัติ การได้ และแทบไม่มีต้นทุนให้ต้องจ่าย โดยเฉพาะต้นทุนทางสังคม ด้วยเหตุที่ทุกคนอยู่ในสภาวะไร้ ตัวตน ไม่มีใครเห็นหน้าใคร และแม้รัฐบาลจะพยายามหาตัวผู้ กระทำแต่รัฐบาลก็ไม่มี ความสามารถพอที่จะจับผู้ คนจำนวนมหาศาล(ยกเว้นแกนนำ)ได้ ประการที่สอง มีความสุ่มเสี่ยงน้อยกว่าวิธี การทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ บนโลกของอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุที่สื่อสังคมออนไลน์ไม่ สามารถเอื้อให้เกิดความรุ นแรงทางตรงได้อยู่แล้ว ทำให้ไม่มีข้อจำกัดเรื่ องการควบคุมอารมณ์คน ไม่ให้เผลอใช้ความรุ นแรงทางกายภาพ
ประเด็นที่สาม ว่าด้วยระดับความสำเร็จและพลั งของปฏิบัติการ DDoS กล่าวคือ ในเชิงรูปธรรมนั้นผู้เขียนมองว่ าปฏิบัติการดังกล่ าวสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ ยากนัก เพียงแค่เริ่มต้นจากการระดมผู้ คนแล้วสิ้นสุดที่การที่เว็บไซต์ ของหน่วยงานราชการอันเป็นเป้ าหมายไม่สามารถใช้งานได้ แต่หากมองให้มากไปกว่าแนวคิดของ Sharp คือมองว่ามีอำนาจที่ครอบงำสั งคมอยู่ เช่น วาทกรรมว่าด้วย “ความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงและศีลธรรมอันดี” เมื่อมองในแง่นี้ผู้เขียนเห็นว่ าปฏิบัติการดังกล่าวยังไม่ สามารถลดการครอบงำของวาทกรรมเหล่ านี้ได้มากนัก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่ ารัฐหรือผู้ปกครองมีสิทธิ/มี อำนาจในการให้ ความหมายและกำหนดขอบเขตของวาทกร รมเหล่านี้ พบว่าสังคมการเมืองไทยยังไม่ได้ มีการตั้งคำถามกับประเด็นเหล่ านี้กันอย่างกว้างขวาง สาเหตุหนึ่งอาจด้วยงื่อนไขทางสั งคมที่ประชาชนทั่วไปมีแนวโน้ มยอมรับในอำนาจนิยม ดังนั้นผู้เขียนมองว่าการที่ปฏิ บัติการนี้สำเร็จในเชิงรู ปธรรมได้ อาจเพราะแค่ไปขัดผลประโยชน์ บางอย่างของผู้คนในสังคมเท่านั้ น เช่น ความหวาดระแวงว่าจะไม่ได้ดูซีรี ย์เกาหลี ความกลัวว่าเพจฟุตบอลจะหายไป หรือกลัวว่าอินเทอร์เน็ตจะช้าลง เป็นต้น อย่างไรก็ดี หากกล่าวอย่างดีที่สุด ปฏิบัติการดังกล่าวไม่ใช่แค่ การไม่ใช้ความรุนแรงทางตรง หากแต่เป็นแนวคิดที่ต้องการปลี่ ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม โดยการเปลี่ยนแปลง/หยุดยั้ งกฎหมายอันกระทบต่อเสรี ภาพในการแสดงความคิดเห็น
ประเด็นที่สี่ ว่าด้วยคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ ต กล่าวคือ อินเทอร์เน็ตทำให้ความรุ นแรงและการไม่ใช้ความรุนแรงเปลี่ ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยเหตุที่คุณสมบัติของอิ นเทอร์เน็ตทำให้ผู้คนสามารถสื่ อสารและมีปฏิบัติการทางการเมื องต่อกันได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ าซึ่งกันและกัน ผลคือในระหว่างการสื่อสารหรือมี ฏิบัติการทางการเมืองไม่ พบหนทางที่จะก่อให้เกิดเป็ นความรุนแรงทางกายภาพได้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นชวนขบคิดต่อคือ แม้ปฏิบัติการทางตรงในอินเทอร์ เน็ตจะไม่สามารถเป็นปฏิบัติ การที่มีความรุนแรงทางกายภาพได้ โดยตัวของมันเอง หากแต่ปฏิบัติการดังกล่ าวสามารถก่อให้เกิดผลที่ ตามมาเป็นการกระทำความรุ นแรงทางกายภาพในลักษณะใดลั กษณะหนึ่งได้เสมอ[11]
ประเด็นสุดท้าย ว่าด้วยระเบียบวินัยของผู้เข้ าร่วมปฏิบัติการและการควบคุ มจากแกนนำ กล่าวคือ ด้วยความที่ปฏิบัติการดังกล่ าวเป็นปฏิบัติการที่ไม่ใช่แบบ “face to face” ดังนั้น แม้จะมีข้อดีคือไม่สามารถก่อให้ เกิดความรุนแรงทางกายภาพได้ดั งที่ได้กล่าวแล้วในข้างต้น กล่าวคือแกนนำคลายกังวลได้ว่ าหากผู้เข้าร่วมปฏิบัติการเกิ ดโทสะควบคุมตนเองไม่ได้ ก็จะไม่สามารถหยิบอาวุ ธออกมาฟาดฟันใครต่อใครได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะที่ไม่ “face to face” นี่เอง ทำให้แกนนำไม่สามารถควบคุมผู้ เข้าร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดปัญหาเช่น มีการพุ่งเป้าโจมตีไปที่หน่ วยงานการศึกษาและหน่ วยงานสาธารณสุขด้วย จนผู้คนในสังคมออกมาแสดงความเป็ นห่วงว่าอาจเกิดผลกระทบต่อเด็ กและผู้ป่วยได้ กลายเป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์ ของปฏิบัติการที่ดูจะเคลื่อนเข้ าใกล้กับ “ความรุนแรง” มากขึ้น แม้ในภายหลังพบว่า ทางแกนนำมีการประกาศจุดยืนชั ดเจนว่าจะโจมตีโดยหลีกเลี่ยงหน่ วยงานดังกล่าว[12] แต่ท้ายที่สุดแล้ว คำถามสำคัญก็อยู่ที่ว่า แกนนำมีความสารมารถในการควบคุ มผู้เข้าร่วมปฏิบัติการได้มากน้ อยเพียงใด ในสภาวะที่ไม่มีใครรู้จักใครเลย
กล่าวโดยสรุป ในสังคมยุคโลกาภิ วัตน์ที่เทคโนโลยีข้อมูลข่ าวสารพัฒนาแบบไร้ขีดจำกัด อินเทอร์เน็ตถูกคาดหวังไว้ว่ าจะสามารถใช้เป็นเครื่องมื อในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทางการเมืองและเรียกร้องประชาธิ ปไตยได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ประชาชนผู้บริโภคข้อมู ลข่าวสารกลายเป็นผู้สร้างเนื้ อหาการสื่อสารได้เอง กระทั่งสามารถเป็นผู้ปฏิบัติ การทางการเมืองได้ ดังเช่น การเข้าร่วมปฏิบัติการไร้ความรุ นแรงโดยการใช้วิธี DDoS ที่ได้อภิปรายไว้ข้างต้ นในรายงาน โดยผู้เขียนรู้สึกว่าการศึ กษาปฏิบัติการไร้ความรุนแรงนี้ เสมือนเป็นกระบวนการสร้างเครื่ องเตือนใจว่า เมื่อยามที่สังคมการเมืองต้ องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ยังคงมีทางเลือก/หนทางสำหรับสั งคมอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้ ความรุนแรง โดยทางเลือกดังกล่าวเหล่านี้ รอให้ผู้คนค้นพบ เลือกหยิบใช้ กระทั่งรังสรรค์ต่อยอดความคิด อันจะนำมาสู่ทางออกของปัญหา แทนที่การหยิบอาวุธอันนำมาซึ่ งความสูญเสียต่อเนื้อตัวร่ างกายของกันและกัน
เชิงอรรถ
[1] ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และคมสัน หุตะแพทย์(ผู้แปล), อำนาจและยุทธวิธีไร้ความรุนแรง, (กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2529), 96.
[2] จันจิรา สมบัติพูนสิริ, หัวร่อต่ออำนาจ อารมณ์ขันและการประท้วงด้วยสั นติวิธี, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2558), 43.
[3] ธเนศ วงศ์ยานนาวา, การวิเคราะห์ซับเจค (subject) ทฤษฎีที่ใช้ทฤษฎีว่าด้ วยอำนาจของมิเชล ฟูโก, (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532), 15.
[4] ธเนศ วงศ์ยานนาวา, การวิเคราะห์ซับเจค (subject) ทฤษฎีที่ใช้ทฤษฎีว่าด้ วยอำนาจของมิเชล ฟูโก, (กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532), 54-55.
[5] blognone. “ความเข้าใจอย่างย่อต่อ DDoS ในฐานะเครื่องมือประท้ วงทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ มกราคม 2, 2560, https://www.blognone.com/node/ 74257.
[6] blognone. “เว็บที่สาม เว็บกอ.รมน.ล่ม.” สืบค้นเมื่อ มกราคม 2, 2560, https://www.blognone.com/node/ 73103.
[7] facebook. “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall”. สืบค้นเมื่อ มกราคม 2, 2560, https://web.facebook.com/ OpSingleGateway/?_rdr.
[8] จันจิรา สมบัติพูนสิริ, หัวร่อต่ออำนาจ อารมณ์ขันและการประท้วงด้วยสั นติวิธี, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2558), 44-45.
[9] ชาญชัย ชัยสุขโกศล, Hate speech และข้อมูลที่อันตราย : ทางเลือกวิธีตอบโต้ทางการเมือง, (ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี, มหาวิทยาลัยมหิดล, 2554), 33.
[10] ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และคมสัน หุตะแพทย์(ผู้แปล), อำนาจและยุทธวิธีไร้ความรุนแรง, (กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2529), 180-181.
[11] ชาญชัย ชัยสุขโกศล, Hate speech และข้อมูลที่อันตราย : ทางเลือกวิธีตอบโต้ทางการเมือง, (ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี, มหาวิทยาลัยมหิดล, 2554), 51.
[12] facebook. “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall”. สืบค้นเมื่อ มกราคม 2, 2560, https://web.facebook.com/ OpSingleGateway/?_rdr.
หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม “Distributed Denial of Service (DDoS) : ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง (Nonviolent action) ภายใต้บริบทสังคมการเมืองไทยยุ
แสดงความคิดเห็น