Atukkit Sawangsuk

อันดับแรก ประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่อง ทักกี้ควรเสียภาษี หรือไม่ควรเสียภาษี

ประเด็นสำคัญคือ กรมสรรพากรผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง เขายืนยันว่า 1.หมดอายุความ เพราะไม่ได้เรียกตรวจสอบก่อน 31 มีนาคม 2555

2.เมื่อศาลฎีกายึดทรัพย์โดยบอกว่าหุ้นกลับไปเป็นของทักษิณก็กลับไปเป็นการขายในตลาดหุ้นไม่เสียภาษี

ย้ำว่านี่คือกรมสรรพากรที่อยู่ในยุครัฐประหารมาเกือบ 3 ปี ไม่ได้มีซากเดนเยื่อใยไอ้แม้วอีปูแล้ว

แต่เท่านั้นละ จะเป็นจะตายกันให้ได้ จะเอาสรรพากรให้ตาย โทษฐานละเว้นไม่เก็บภาษีไอ้แม้ว

ว่าแล้วก็ใช้อภินิหาร เกจิบริกร ภาษาสวยๆ แทนคำว่า "ศรีธนญชัย" ตีความว่าเมื่อศาลบอกว่าโอ๊คเอมเป็นตัวแทนทักกี้ = สรรพากรได้เรียกตรวจสอบทักกี้แล้ว ประเมินภาษีได้ ไชโยๆๆๆ นี่แหละประเทศไทย

อันดับสอง ที่ผมซ่อนไว้ถ้าเผื่อคนอ่านฉุกคิดคือ เรื่องมันยุ่งเพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ ส่วนตัวผมมองว่าถ้าไม่มีคดียึดทรัพย์ (หุ้นเป็นของทักกี้) โอ๊คเอมต้องเสียภาษี 12,000 ล้านไปแล้ว

แต่ถ้าศาลฎีกาไม่เริ่มต้นด้วยการตีความว่า "หุ้นยังเป็นของทักษิณ" ก็ไม่สามารถยึดทรัพย์ 46,000 ล้าน คดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านเลยมาทำลายคดีภาษี 12,000 ล้าน เพราะศาลฎีกาชี้ว่า การที่ทักกี้ดอนหุ้นให้แอมเพิลริช แอมเพิลริชโอนให้โอ๊คเอม ราคาพาร์ 1 บาท แล้วโอ๊คเอมขายเทมาเสก ทั้งหมดเป็น "นิติกรรมอำพราง" ไม่เกิดขึ้นจริง จึงเก็บภาษีโอ๊คเอมไม่ได้

แต่ตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความกระเหี้ยนกระหือจะย้อนกลับไปเก็บภาษีทักษิณจากสิ่งที่ศาลฎีการะบุว่าเป็น "นิติกรรมอำพราง" ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง คือ "ทักกี้ 1" โอนหุ้นให้ "ทักกี้ 2" (แอมเพิลริช) แล้วโอนให้ "ทักกี้ 3" (โอ๊ค-เอม) นี่อธิบายตามศาลฎีกานะครับ แต่ก็ยังจะย้อนกลับไปเก็บภาษีด้วย ไม่ใช่ทักษิณ ไม่เกิดอภินิหารอย่างนี้นะเมริง

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.