แฟ้มภาพ Brian Krzanich ประธานบริหารของ Intel         ถูกยกให้เป็นดีลสุดเซอร์ไพรส์สำหรับอินเทล (Intel) ที่เทเงินกว่า 1.53 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐซื้อบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอิสราเอลชื่อ "โมบิลอาย" (Mobileye) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำสถิติเป็นดีลซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ Intel กว่า 50 ปี

       เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Intel ยอมจ่ายเงินมหาศาลราว 5.2 แสนล้านบาทเช่นนี้คือ Mobileye เป็นบริษัทที่พัฒนาเซนเซอร์และซอฟต์แวร์หลายชนิดสำหรับรถไร้คนขับ การซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ Intel สามารถเป็นคู่แข่งกับผู้ผลิตรถอัตโนมัติอย่างเทสลา (Tesla) ได้เต็มตัว รวมถึงคู่แข่งของ Intel เองอย่างเอ็นวิเดีย (Nvidia)

       รายงานระบุว่า Mobileye มีลูกค้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกอย่างจีเอ็ม (General Motors), นิสสัน (Nissan), ฮุนได (Hyundai) และบีเอ็มดับลิว (BMW) เฉพาะผู้ผลิต 4 รายนี้สามารถครองตลาดรถยนต์มากกว่า 57% ของยอดขายรถในปี 2016 ทั้งปี

       การซื้อกิจการ Mobileye ของ Intel ยังถูกมองว่าเป็นการเตรียมแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งปูทางเข้ามาเป็นผู้ผลิตชิปรายหลักในตลาดรถอัตโนมัติ หลังจากที่ผ่านมาสามารถครองตลาดชิปสำหรับคอเกม รวมถึงตลาดอุปกรณ์พกพาได้สำเร็จ

       กรณีของ Nvidia วันนี้ลูกค้ารายใหญ่ของ Nvidia คือโฟลก์ (Volkswagen) และบริษัทลูกอย่างออดี้ (Audi) รวมถึงเดมเลอร์ (Daimler) ด้วย ขณะที่ Tesla เคยขานรับเทคโนโลยีของ Mobileye มาก่อนจะเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มของ Nvidia เมื่อปีที่ผ่านมา


แฟ้มภาพผู้บริหาร Mobileye (ซ้าย) Ziv Aviram ประธานบริหารและซีอีโอ, Ofer Maharshak (กลาง) ประธานฝ่ายการเงิน และ Amnon Shashua ประธานบริษัท         ประเด็นนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า Tesla และ Mobileye ตัดสินใจหันหลังให้กันนับตั้งแต่มีเหตุการณ์ผู้ขับ Model S เสียชีวิตขณะใช้โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla ดังนั้นการร่วมมือระกว่าง Intel และ Mobileye จึงตอกย้ำว่าทั้งสองพร้อมชนกับคู่ของ Tesla และ Nvidia จุดนี้มีการประเมินแล้วว่านักลงทุนนั้นหนุนหลังคู่ของ Tesla ซึ่งมีเจ้าพ่ออีลอน มัสก์ (Elon Musk) เป็นหัวหอกและ Nvidia มากกว่า

       ตลอดทั้งปี Tesla ได้รับความมั่นใจจากนักลงทุนจนกระทั่งหุ้นพุ่งกระฉูด 15% ขณะที่ Nvidia ก็ติดอันดับหุ้นร้อนแรงที่สุดในตลาด S&P 500 เมื่อปีที่ผ่านมา ขณะที่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทันทีที่ Intel ประกาศควบรวม Mobileye หุ้นของ Intel กลับตกลงกว่า 2% ทำให้ภาพรวมของปีนี้ Intel มีมูลค่าลดลงราว 3%

       ไม่ว่าอย่างไร ไบรอัน เคอร์ซานิช ประธานบริหารของ Intel มั่นใจกับการลงทุนครั้งนี้มาก โดยบอกว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้รถไร้คนขับมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและผลิตได้ด้วยราคาที่ถูกลง บนเดิมพันว่าอุตสาหกรรมนี้มีแนวโน้มเติบโตเต็มที่ในปี 2030 ซึ่งจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 2.45 ล้านล้านบาท

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.