วงถก 3 พฤษภา ย้ำต้องวิจารณ์ตนเอง ยอมรับความผิดพลาด เพื่อผลักดันขบวนการประชาธิปไตย
Posted: 20 May 2017 01:00 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
วงเสวนา มองย้อน 3 เหตุการณ์เดือนพฤษภา หมอสันต์เผย หลัง พ.ค.35 ทหารแทบไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกมาเดินตลาด ด้าน 'รัฐพล-อนุธีร์' เห็นพ้องย้ำต้องวิจารณ์พวกกันเอง ยอมรับความผิดพลาดระหว่างกัน เพื่อผลักดันขบวนการประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน
20 พ.ค. 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พรรคใต้เตียง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัดเสวนาวิชาการ หัวข้อ "มองย้อน 3 เหตุการณ์เดือนพฤษภา มองไปข้างหน้าอนาคตสังคมไทย" โดยมีร่วมเสวนาโดย ผู้อยู่ในเหตุการณ์เดือนพฤษภา 3 รุ่น ประกอบด้วย พฤษภา 2535 โดย นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย พฤษภา 2553 โดย อนุธีร์ เดชเทวพร อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) พ.ศ. 2552-2553 และ พฤษภา 2557 โดย รัฐพล ศุภโสภณ อดีตสมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD)

ยึดที่หลักการ ไม่ใช่ตัวบุคคล

รัฐพล กล่าวถึงสาเหตุที่ตนออกมาต่อต้านการนิรโทษกรรม แบบเหมาเข่ง รวมทั้งการรัฐประหาร ว่า เนื่องจากเพื่อนตนมีหลายหลายกลุ่ม ทำให้มองภาพรวมมากขึ้น มีการทบทวนตนเอง ส่วนที่ที่พวกเรามีจุดร่วมกันคือเรื่องของประชาธิปไตย ภายใต้หลักการ 1 สิทธิ 1 เสียง อีกทั้งเรามีบทเรียนจากการรัฐประหารปี 49  โดยสิ่งที่นักศึกษายึดถือคือเราไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลว่าเป็นใคร เช่น ถ้าพรรคเพื่อไทยทำผิด นั้น ไม่ได้ผิดแค่รัฐธรรมนูญ แต่ผิดในแง่หลักการ รวมทั้งหักหลังคนเลือกเข้ามา ดังนั้นเมื่อเลือกตั้งอีกครั้ง 2 ก.พ. 57 ตนก็ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย ดังนั้นคิดว่าไม่ใช่ว่าต้องง้อพรรคเพื่อไทย แต่ต้องสั่งสอน นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนถือชะตาคุณอยู่

หลัง พ.ค.35 ทหารแทบไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกมาเดินตลาด

สันต์ กล่าวว่า ชาวไร่ชาวนา ตื่นตัวมานานแล้ว แต่เขาถูกกดไว้ แม้แต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ชาวไร่ชาวนาก็ออกมาต่อต้านการกดขี่ หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.16 นักศึกษา ได้ออกไปชนบท ทำให้ชาวไร่ชาวนาตื่นตัว แต่ภายหลังเกิดปรากฏการณ์ขวาพิฆาตรซ้าย ทำให้ลดการเคลื่อนไหวไป
 
สันต์ กล่าวถึงวาทกรรมโง่จนเจ็ บด้วยว่า จริงๆ แล้วเขาไม่โง่ หลังเหตุการณ์สำคัญๆ ทางการเมืองทำให้พวกเขาได้ตาสว่างมากขึ้น
 
หลังเหตุการณ์ พ.ค.35 สันต์ เล่าด้วยว่า ทหารแทบไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกมาเดินตลาดเลย ทำให้ทหารเป็นทหารอาชีพอย่างแท้จริง อยู่แต่ในกรมกอง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางกลุ่ม สื่อบางพวก ไปดึงออกมาอีก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าหลังเหตุการณ์ พ.ค.35 ที่เราว่างเว้นจากการรัฐประหารเป็นสิบปีเช่นกัน

ควรวิจารณ์พวกเรากันเอง - สภาวะก้ำกึ่งของขบวนการเสื้อแดง 

อนุธีย์ กล่าวว่า วันนี้ควรเน้นการวิจารณ์พวกเรากันเอง ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ขบวนการเสื้อแดง ตนคิดว่าเราพูดถึงตรงนี้น้อยกันมาก หากพูดอะไรในวันนี้เสื้อแดงอาจฟังแล้วไม่สบายใจก็หวังจะได้แลกเปลี่ยนเพิ่ม โดย 7 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเรียนรู้และทำผิดซ้ำ เช่น การผูกขบวนการประชาชน เข้ากับชนชั้นนำ ปล่อยให้ชนชั้นนำพาการเคลื่อนไหวของเรามาโดยตลอด โดยไม่ตั้งคำถามหรือเห็นแย้งกับเขา

อนุธีย์ กล่าวอีกว่า ถ้าเรามองฝั่งการเมือง เราจะเห็นสีต่างๆ แต่ถ้าเราตัดเรื่องสีออกไป เราจะเห็นว่าชนชั้นนำมีบทบาทสูงมาก กลุ่มก้อนที่มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม มีบทบาทมาก การเมืองไทยที่่ผ่านมาเป็นการเมืองของพวกเขา เราก็จะเห็นว่าขบวนการประชาชนที่ผ่านมาทุกสี ปัญหาคือการผูกการนำไว้กับคนกลุ่มนี้ และขบวนการเสื้อแดงที่ผ่านมาเราไม่เคยสลัดหลุดจากการนำเขาได้เลย มีใครกล้าปฏิเสธไหมว่า การนำของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาไม่มีอิทธิพลจากเพื่อไทยและ ทักษิณ ชินวัตร เลย ลองจินตนาการดูในการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดของเสื้อแดงที่ผ่านมา ถ้าไม่มีโครงสร้างพรรคเพื่อไทยหนุนจะชุมนุมได้สมบูรณ์ขนาดนั้นไหม แม้จะมองได้ว่าเป็นการหนุนเสริมกัน แต่นั้นหมายความว่าเราผูกตัวเองเข้ากับเขามากไปหรือเปล่า รวมทั้งในแง่ยุทธศาสตร์เอง ขบวนการเสื้อแดงมีข้อผิดพลาด เช่น การชุมนุมปี 53 แน่นอนเป็นเรื่องที่รัฐปราบปราม แต่มีบางอย่างที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ในปี 53 ตอนที่มีการเจรจาว่าจะยอมถอยคนละครึ่งทางให้ นปช. สลายการชุมนุม และ สุเทพ อภิสิทธิ์ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งที่วันนั้นเราอ่อนแรงกันมาก สามารถถอยได้ แต่เราก็ไม่ทำ ทำไมการนำของเราไม่ตัดสินใจหลีกเลี่ยง

4 ปีที่ผ่านมา อนุธีย์ มองว่า ก็เป็นเช่นนั้น เรื่องวิกฤตินิรโทษกรรมเหมาเข่ง ตนคิดว่า 50% ของคนเสื้อแดงเอาด้วย แต่อาจจะมากกว่า 70% ด้วย เพราะทักษิณเอาด้วย นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันแสดงให้เห็นการนำที่ผิดพลาดอย่างไร

อนุธีย์ กล่าวถึงสภาวะก้ำกึ่งของขบวนการเสื้อแดงโดยระบุว่า แม้ว่ามวลชนจะมีอำนาจต่อรอง แต่ก็ไม่สามารถออกจากโครงสร้างการนำของชนชั้นนำได้ จากโครงสร้างการนำแบบนี้ถ้ามีประเด็นอย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ตอนที่ จตุพร ณัฐวุฒิ ออกมาไม่เอา นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ก็ถูกตัดจากช่องเอเชียอัพเดทเลย ที่ตนพูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสลัดจากชนชั้นนำ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องสร้างพลังต่อรองอำนาจ ทำอย่างไรให้ชนชั้นนำฟัง นี่เป็นลักษณะที่ควรจะเป็น เพราะเราต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ของชนชั้นนำมันไม่ได้ไปกันได้กับผลประโยชน์ของประชาชน

แม้เขาจ้องรัฐประหาร แต่ก็เกิดไม่ได้หากเราไม่เสียความชอบธรรมเองด้วย

รัฐพล กล่าวว่า ประชาชนทั้ง 2 สีก็มีข้ออ้างเช่นกันว่า อีกฝ่ายไม่ยอมเปลี่ยน ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่า เรื่องของผลลัพธ์ เราต้องการแค่จะเหยียบย่ำอีกฝ่ายมากกว่าที่จะมองที่ผลของมัน
 
สำหรับความพยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ของเพื่อไทยและทักษิณ นั้น รัฐพล กล่าวว่า ถึงวันนี้เพื่อไทยไม่มีการขอโทษ ทำให้อาจมองได้ว่าที่ พวกเขาอยู่กับหลักการประชาธิปไตยก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขา ตนยอมถูกด่าว่าเป็นสลิ่ม หรือโง่ ที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็เพราะว่ามันผิดหลักการ แต่อย่างน้อยตอนนั้นจุดยืนที่พวกตนทำไป ไม่ได้ไปเน้นเรื่องโกง แต่เราเน้นที่เรื่องของชีวิตประชาชนที่ต้องสูญเสียไปจากการสลายการชุมนุม แต่เพื่อไทยหรือคุณทักษิณก็ไม่ได้สนใจข้อเรียกร้องของพวกตนเลย
 
รัฐพล กล่าวด้วยว่า หลังรัฐประหารยิ่งแย่ เพราะเราบอกว่าให้ลองทบทวนดูว่าเพื่อไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุของการรัฐประหาร แต่เสื้อแดงก็รับไม่ได้ บอกว่าเขาจะทำอยู่แล้ว แต่ตนมองว่ารัฐประหารจะเกิดไม่ได้ถ้าเราไม่สูญเสียความชอบธรรมในตัวเองเช่นกัน
 
สันต์ กล่าวเสริมว่า ประชาชนถูกแบ่งแยกและปกครอง มาโดยตลอด ทำให้ต้องตีกันเอง
 

ยอมรับความผิดพลาด เพื่อผลักดันขบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

อนุธีย์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องยอมรับคือ วันนี้สถานการณ์มันก้าวไปอีกขั้น ในรอบ 7 ปี รวมทั้งหลังรัฐประหาร ตนก็ตั้งคำถามกับตัวเองตลอด ตนก็เคยตั้งคำถามว่าตนยังเป็นคนเสื้อแดงหรือเปล่า หากมองในแง่การจะก้าวไปข้างหน้าอาจจะไม่ใช่แล้ว คิดว่าขบวนการประชาชนเรามีบทเรียนสำคัญมากไม่ว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง มันชัดเจนหลังรัฐประหารแล้วมีรัฐบาลหนึ่งขึ้นมา มันชัดเจนว่าขบวนการประชาชนถูกกระทำ บางกลุ่มถูกกระทบจากรัฐบาลนายทุน แต่ก็ถูกกระทำจากรัฐบาลทหารด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของพวกเขา ขบวนการประชาชนควรต้องสรุปบทเรียน ว่าเรากำลังสู้อยู่กับอะไร

อนุธีย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาคือทุกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหลักการจริงๆ อยากตั้งคำถามกับเสื้อแดง เช่น วีระ สมความคิด หรือคนฝั่งเสื้อเหลือถูกละเมิดสิทธิเราสะใจหรือเปล่า ถ้าเราสะใจตรงนี้ได้ เหมือนที่เราเคยโดนละเมิดสิทธิ เรากำลังออกใบอนุญาติให้กับรัฐไทยทำแบบนั้นหรือเปล่า

"ถ้าเราออกใบอนุญาติให้ทำกับฝ่ายตรงข้ามได้ มันก็ย้อนกลับมาทำกับเราได้" อนุธีย์ กล่าว พร้อมกล่าอีกว่า หากเราจะผลักดันขบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจริงๆ เราจะผลักดันให้เกิดการยอมรับความผิดพลาดระหว่างกันได้หรือเปล่า
 

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.