Posted: 14 Jul 2017 11:12 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
เตือนนายจ้างอย่าใช้โบรกเกอร์ เถื่อนเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุ ษย์ด้านแรงงาน
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เตือนนายจ้าง/ผู้ประกอบการ อย่าใช้บริการจากนายหน้าเถื่อน เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ ด้านแรงงาน ทำลายเศรษฐกิจและความมั่ นคงของประเทศ ย้ำนายจ้างสามารถนำเข้าได้ด้ วยตนเองหรือใช้บริการผู้รับอนุ ญาตนำคนต่างด้าวเข้ ามาทำงานในประเทศอย่างถูกต้ องตามกฎหมายเท่านั้น
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานชี้ แจงทำความเข้าใจกับผู้ ประกอบการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ แรงงานต่างด้าวเดินทางกลั บประเทศเพื่อไปดำเนินการตรวจสั ญชาติและกลับเข้ามาทำงานอย่างถู กต้องตามกฎหมายในช่วง 180 วันที่ชะลอบทลงโทษนายจ้ างและคนต่างด้าวใน 4 มาตราคือ 101 102 119 และ 122 ดังนั้นจึงส่งผลให้นายจ้าง/ สถานประกอบการต่างๆ เช่น กลุ่มโรงสี กลุ่มแรงงานเกษตร เป็นต้น ขาดแคลนแรงงาน จำเป็นต้องนำเข้าแรงงานเข้ ามาใหม่โดยใช้บริการของนายหน้ าและโบรกเกอร์ ด้วยเหตุนึ้จึงเป็นช่องทางให้ กระบวนการนายหน้าอ้างกับนายจ้ างหรือผู้ประกอบการว่ าสามารถนำคนต่างด้าวเข้ ามาทำงานในประเทศได้ โดยเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายเป็ นจำนวนมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานขอเรียนชี้แจงว่ าผู้ที่จะดำเนินการนำเข้ าแรงงานได้นั้นมี 2 กลุ่มคือ 1) นายจ้างนำเข้าด้วยตนเอง และ 2) ผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ ามาทำงานในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียนกั บกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานอย่างถูกต้ องตามกฎหมาย และขอย้ำเตือนว่าหากผู้ ใดหลอกลวงผู้อื่นว่ าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกั บนายจ้างในประเทศหรือสามารถหาลู กจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กั บนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรื อประโยชน์อื่นใดจากผู้ถู กหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 1,000,000 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายวรานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้รับอนุญาตให้ นำคนต่างด้าวเข้ ามาทำงานในประเทศจำนวน 81 แห่งทั่วประเทศ โดยในกรุงเทพฯ จำนวน 38 แห่ง ส่วนภูมิภาค จำนวน 43 แห่ง และขอย้ำเตือนกับนายจ้างและผู้ ประกอบการให้ใช้บริการของผู้รั บอนุญาตฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หากผู้ใดพบเห็นหรือถู กกระบวนการนายหน้าเถื่ อนหลอกลวงดังกล่าว ขอให้แจ้งสำนักงานจัดหางานจั งหวัด สำนักงานจัดหางานกรุ งเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในพื้นที่โดยทันที ซึ่งกรมการจัดหางานจะดำเนิ นการกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่ างเคร่งครัด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้ มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 1729 , 0 2354 1386 หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 9/7/2560
SUPER POLL เผยผู้ประกอบการส่วนใหญ่กั งวลผลกระทบกม.แรงงานต่างด้ าวใหม่-บทลงโทษสูง
นายนพล กรรณิกา ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่ อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ร่วมกับ อดีตรองปลัดกระทรวงแรงงาน อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และอดีตรองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยผลโพล กฎหมายแรงงานต่างด้าว และแนวคิดวิเคราะห์สถานการณ์ เรื่อง ผลกระทบจากกฎหมายแรงงานต่างด้ าวต่อผู้ประกอบการที่ใช้ แรงงานต่างด้าวและมุ มมองของประชาชนทั่วไป จำนวนทั้งสิ้น 1,150 คน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 6 – 8 ก.ค. 60 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้ าว ก่ำกึ่งกันหรือร้อยละ 50.4 ระบุ กฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่มี ผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจกิ จการ ในขณะที่ร้อยละ 49.6 ระบุ ไม่มีผลกระทบ และประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.7 ระบุว่าไม่มีผลกระทบ โดยการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า ประชาชนทั่วไปกลับมองว่า กฎหมายที่เข้มงวดจะส่งผลดีต่ อแรงงานไทยเพื่อคนไทยมี งานทำและความมั่นคงปลอดภั ยของประเทศโดยส่วนรวม โดยมองว่า การไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายที่ ออกมาได้เป็นเพราะขาดการเตรี ยมการที่ดีในการเสริมสร้างการรั บรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการเตรียมความพร้อมของผู้ ประกอบการในการรับมือการเปลี่ ยนแปลงของข้อกฎหมายต่าง ๆ
ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้ าว ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 66.4 กังวลว่า โทษปรับที่สูงมากจะเป็นช่ องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรั บผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ แต่ ประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่หรือร้ อยละ 55.4 กลับไม่กังวล และเมื่อจำแนกกลุ่มผู้ ประกอบการออกตามขนาดธุรกิจ พบว่า ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและ ขนาดจิ๋ว กังวลมากที่สุด คือร้อยละ 71.1 ร้อยละ 62.1 และ ร้อยละ 60.2 ซึ่งมากกว่า กลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มี อยู่ร้อยละ 55.6 ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาคือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.6 ไม่มีแผนที่จะใช้ แรงงานไทยทำงานแทนแรงงานต่างด้ าวในอนาคต
ในขณะที่ นาย วินัย ลู่วิโรจน์ อดีตรองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ผลกระทบต่อสถานประกอบการต่างๆ มีข้อเท็จจริงมาจากปัญหาคนต่ างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงานซึ่ งเป็นความจำเป็นของนายจ้างที่รั ฐยังไม่ได้พูดถึง และบทลงโทษของกฎหมายควรทำให้เห็ นก่อนว่าเป็นบทลงโทษที่สมเหตุ สมผล แต่การว่าจ้างแรงงานต่างด้าวที่ ไม่มีใบอนุญาตเป็ นการกระทำความผิดต่อนโยบายของรั ฐที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเท่ านั้นไม่ใช่ความผิดในตัวมันเอง เช่น ฆ่าคน ลักทรัพย์ วางเพลิง และการค้ามนุษย์ เป็นต้น จึงจำเป็นต้องทบทวนมูลเหตุจู งใจของนายจ้างและความรุ นแรงของการกระทำผิด เพราะส่วนใหญ่ นายจ้างจ้างแรงงานต่างด้าวที่ ไม่มีใบอนุญาตเพราะต้องการลดต้ นทุน ไม่ต้องมีสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ให้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่ อนของผู้ประกอบการและออกมาคัดค้ านโทษปรับที่สูง
“ทางออกคือ รัฐต้องจัดระบบการทำงานของคนต่ างด้าว เพราะการใช้แรงงานต่างด้าวเป็ นสิ่งจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิ จของประเทศ การมีทางเลือกให้ผู้ ประกอบการปรับเปลี่ยนรู ปแบบการใช้แรงงาน และควรมีหน่วยงานที่บังคับใช้ กฎหมายเข้ามาดูแลคนต่างด้าวที่ ไม่มีใบอนุญาตทำงานในกิจการเป็ นพิเศษ เพื่อทำให้เกิดการยอมรั บความจำเป็นของกฎหมายควบคุ มแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่" อดีตรองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
ในขณะที่ นาย ธนิช นุ่มน้อย อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และ อดีตรองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สาเหตุสำคัญของข้อขัดข้ องในการบังคับใช้กฎหมายควบคุ มแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ คือ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปยั งขาดความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่อง ผลดีผลเสียของการออกกฎหมายฉบั บดังกล่าวและความไม่พร้อมของผู้ ประกอบการในการรองรับการเปลี่ ยนแปลง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว การออก พรก.ใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และป้องกันการทุจริตคอรับชั่นนั้ น ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ ที่สำคัญคือฝ่ายผู้ประกอบการที่ ใช้แรงงานต่างด้าวที่ต้องเตรี ยมความพร้อมทั้งแง่ความรู้ ความเข้าใจและการรองรับการเปลี่ ยนแปลงของกฎหมาย
“ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายที่ ออกมาได้ครบถ้วนจะทำให้เกิ ดความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติของประเทศ แต่เนื่องจากมีขั้ นตอนและเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็ นจำนวนมาก การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ ประกอบการเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้ านกฎหมายแรงงานจึงพร้อมบริการด้ วยจิตอาสาร่วมกับ สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล (SUPER POLL) โทร 02.308.0444 หรือ 02.308.0995 เปิดศูนย์ให้คำแนะนำปรึ กษากฎหมายแรงงานต่างด้าวฟรีไม่ คิดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ ประกอบการ เพื่อหนุนเสริมธุรกิ จและนโยบายรัฐบาล น่าจะช่วยให้การดำเนินการเกี่ ยวกับการใช้แรงงานต่างด้าว สำเร็จตามเจตนารมย์ของกฎหมายที่ ออกมา" อดีตผู้ ตรวจราชการกระทรวงแรงงานกล่าว
22 องค์กรมัคคุเทศก์ ออกโรงต้านต่างด้าวขึ้นทะเบี ยนไกด์ ชี้ต้นเหตุให้คนไทยตกงาน
ที่ศูนย์ประสานงานสมาพันธ์มัคคุ เทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย อาคารฟอร์จูน ตัวแทนจากสมาคมและชมรมด้านมัคคุ เทศก์ต่างๆ รวม 22 องค์กร จัดประชุมและก่อตั้งสมาคมสมาพั นธ์มัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศ โดยนายจารุพล เรืองเกตุ ประธานสมาพันธ์สมาคมมัคคุเทศก์ อาชีพแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนแถลงว่า การก่อตั้งสมาพันธ์ฯ เพื่อต้องการแสดงจุดยืนคัดค้ านนโยบายรัฐที่เปิดโอกาสให้บุ คคลต่างด้าวเข้ามาประกอบอาชีพมั คคุเทศก์(ไกด์)ในไทยได้ เพราะไกด์ไทยสามารถพูดภาษาจี นกลางได้จำนวนเพียงพอที่จะสื่ อสารกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ มาเที่ยวในไทยได้ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวน แม้รัฐบาลจะอ้างว่าเพื่อให้มั คคุเทศก์ต่างด้าวมาสอนภาษาหลัก 3 ภาษา คือ จีน เกาหลี และรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงแล้วมัคคุ เทศก์ต่างด้าวไม่ช่วยสอนภาษาแต่ อย่างใด
อีกทั้ง คนต่างด้าวที่มาทำหน้าที่ไกด์ผิ ดกฎหมายในไทย ส่วนใหญ่มาจากบริษัทนำเที่ ยวและทำหน้าที่เป็นไกด์จีน เป็นเรื่องที่รัฐบาลละเลย ควรตรวจสอบคนกลุ่มนี้ แต่กลับเลือกตรวจสอบและจับกุ มไกด์ไทยที่มีบัตรประจำตัวสี ชมพู หรือบัตรไกด์นำเที่ยวเฉพาะพื้ นที่จังหวัดที่ระบุไว้บนบั ตรและพื้นที่ติดต่อ โดยมักถูกจับกุมผิดฐานปฏิบัติ งานข้ามจังหวัด
นายชาติ จันทนประยูร นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่ งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลระบุว่าไกด์ไม่เพี ยงพอ แต่สมาคมอยากให้รัฐบาลเปิ ดโอกาสให้คนที่ทำงานไกด์จริ งๆได้แสดงความคิดเห็นบ้าง ตอนนี้ไกด์คนไทยพูดภาษาจี นตกงานถึง 50-60% เพราะบริษัทจีนที่มาเป็นนอมินี ในไทย จะใช้ไกด์คนจีน เพราะบริษัทต้องการยอดรายได้ และไกด์คนจีนมีกลยุทธ์ขายในลั กษณะบังคับ เพื่อให้ได้ยอดรายได้ สุดท้ายผลประโยชน์ตกกับบริษั ทคนจีน และอยากให้รัฐบาลหาโครงการช่ วยเหลือไกด์ที่ตกงาน เช่น โครงการช่วยสอนภาษาอื่นแบบพื้ นฐาน เพิ่มจากภาษาอังกฤษ รวมถึงสวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันสังคม โดยภายในเดือนกรกฎาคมนี้ จะนำปัญหาและข้อเสนอไปหารื อนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่ องเที่ยวและกีฬา
แรงงานต่างด้าวกลับถิ่น ไซต์รถไฟฟ้าสายสีแดงป่วน
กลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ต่อรั บเหมาก่อสร้าง หลังรัฐบาล คสช. ประกาศ พ.ร.ก.การบริหารจั ดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ทำให้แรงงานต่างด้าวที่แฝงตั วในไซต์ก่อสร้างแตกตื่นแห่กลั บประเทศเห็นภาพชัดไซต์รถไฟฟ้ าสายสีแดงช่วง “บางซื่อ-รังสิต” หลังการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ติ ดตามงานจากผู้รับเหมาทั้ง 2 สัญญา
ปรากฏว่าสัญญาที่ 1 งานสถานีกลางบางซื่อ อาคารซ่อมบำรุงและสถานีจตุจั กรของกลุ่มซิโน-ไทยฯ และยูนิคฯ วงเงิน 34,118 ล้านบาท งานเริ่มชะงัก
“หารือกับผู้รับเหมา พบปัญหายูนิคฯมีแรงงานพม่ากลั บประเทศไปดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกกฎหมาย เพราะตกใจคิดว่าใบสีชมพูใช้ไม่ ได้ จะกลับมา 10-20 วัน มีผลกระทบระยะสั้น ๆ ส่วนสัญญาที่ 2 ของอิตาเลียนไทยฯ ไม่มีปัญหา แรงงานที่ใช้ถูกกฎหมาย”
จากรถไฟฟ้าสายสีแดง ถามไปยังการรถไฟฟ้าขนส่ งมวลชนแห่งประเทศไทย “ภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ” รองผู้ว่าการด้านวิศวกรรมและก่ อสร้าง กล่าวว่า ทั้งสายสีน้ำเงินต่อขยายบางซื่ อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค และสีเขียวต่อขยายหมอชิต- สะพานใหม่-คูคต เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ก่อสร้าง จึงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะมีใบอนุญาตที่ถูกกฎหมายอยู่ แล้ว
ขณะที่บิ๊กรับเหมาที่ต้องพึ่ งพาแรงงานต่างด้าว แม้จะดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย แต่ลึก ๆ ก็กังวลใจ
“ภาคภูมิ ศรีชำนิ” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น กล่าวว่า บริษัทนำเข้าแรงงานต่างด้ าวมาหลายปี ทุกปีขอโควตาไว้ล่วงหน้า ปัจจุบันมีแรงงานเมียนมา 2,000 คน กัมพูชา 1,000 คน และได้ตั้งศูนย์บริหารจั ดการแรงงานต่างด้ าวตามกฎหมายมาร่วม 3 ปีแล้ว
“พ.ร.ก.ฯไม่ส่งผลกระทบต่ อเราโดยตรง จะกระทบรับเหมารายกลางและรายเล็ ก เพราะดำเนินการไม่ทันเวลา ต้องเสียค่าปรับและเกิ ดแรงงานขาดแคลนขึ้น”
และอาจกระทบต่อผู้รับเหมาช่ วงหรือต่อเนื่องถึงโครงการก่ อสร้างในมือของบริษัทได้ จะรีบหามาตรการป้องกันให้เร็วที่ สุด และการที่รัฐขยายเวลาจะช่ วยประคับประคองสถานการณ์ไปได้บ้ าง
กระทรวงแรงงาน ยืนยันไม่แยกกลุ่มรับใช้ในบ้าน จากการจัดระเบียบแรงงานเพื่อนบ้ าน
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แรงงานเพื่อนบ้านที่เข้ ามาทำงานรับใช้ในบ้าน และดูแลผู้สูงอายุในเมืองไทย จะได้รับการอำนวยความสะดวก ทำให้ถูกกฎหมาย ในขั้นตอนการเปลี่ยนนายจ้าง และตรวจพิสูจน์สัญชาติ เพื่อออกเอกสารรับรองบุคคล หรือซีไอ แต่คงไม่สามารถแยกแนวปฏิบัติให้ แตกต่างจากกรรมกรทั่วไปได้ กรณีไม่มีเอกสาร ไม่เคยจดทะเบียนขอใบอนุ ญาตทำงานมาก่อน ต้องเข้าสู่ระบบ ที่นายจ้างลูกจ้างต้องไปแจ้งศู นย์เฉพาะกิจรับแจ้ งการทำงานของแรงงานต่างด้าวเช่ นกัน
ขณะที่แรงงานเมียนมาวัย 38 ปี ที่เข้ามาอยู่ในไทยนานแล้ว ตอนนี้ ทำงานรับใช้ตามบ้าน รับจ้างทำความสะอาดบ้าน บอกว่า แม้จะมีมาตรการผ่อนผัน ไม่จับกุม ไม่ลงโทษ ตาม พ.ร.ก.การบริหารการจั ดการการทำงานของคนต่างด้าว ไปอีก 6 เดือน แต่ก็ไม่ได้ลดความกังวล เพราะตอนนี้ ไม่มีนายจ้างประจำ อยากเป็นแรงงานถูกกฎหมาย ในกรุงเทพมหานครต่อไป เพื่อหารายได้มาเลี้ยงลูกและจุ นเจือครอบครัว
ขณะที่นายสมพงศ์ สระแก้ว เลขาธิการมูลนิธิเครือข่ายส่ งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN เสนอแนวคิดแยกประเภทแรงงานรั บใช้ในบ้าน และดูแลผู้สูงอายุ ออกจากกรรมกรทั่วไป เพราะมีความแตกต่างเฉพาะ ทั้งรูปแบบการทำงานที่ใกล้ชิ ดนายจ้าง ความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่อยากได้คนเก่ากลับคืนมา และขอให้ภาครัฐปิดช่องโหว่การมี นายหน้า หรือ บริษัท เรียกรับผลประโยชน์จากการจัดหา และฉวยโอกาสตัดทอนค่าจ้างแม่บ้ านแรงงานเพื่อนบ้านด้วย
คลังคาดเงินสะสมกบช.ปีแรก "6 หมื่นล้าน" เปิดช่องกองทุนเลี้ยงชีพที่มี เงินสะสมและสมทบ
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังคาดการณ์ในปี แรกของการจัดตั้งกองทุนบำเหน็ จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) จะมีเงินสะสมในส่วนของสมาชิ กและนายจ้างรวมราว 6 หมื่นล้านบาท และ จะทะลุเกิน 1 แสนล้านบาท ในอีกไม่กี่ปีนับจากเริ่มจัดตั้ งกองทุน
ปัจจุบันมีแรงงานที่อยู่ ในระบบราว 16 ล้านคน แต่ในจำนวนนี้ มีลูกจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ ยงชีพภาคสมัครใจเพียง 3 ล้านคน ซึ่งมีเงินกองทุนรวมกันราว 9 แสนล้านบาท ที่เหลือราว 12-13 ล้านคน ไม่มีระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้ง กบช.
ปัจจุบันร่างกฎหมาย กบช.ซึ่งผ่านความเห็ นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาตั วบทกฎหมายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ จะกำหนดให้ลูกจ้างและนายจ้างต้ องเข้าเป็นสมาชิก กบช.โดยลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำ กว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปี สามารถสมัครเป็นสมาชิก กบช.ได้
สำหรับอัตราส่งเงินสะสมของลูกจ้ างและเงินสมทบของนายจ้าง จะใส่เข้ากองทุนฝ่ายละเท่าๆ กัน โดยปีแรกของการบังคับใช้ จะเริ่มในอัตรา 3% และทยอยปรับขึ้น เป็น 5% ,7% และ 10% ตามลำดับ ภายใน 10 ปี โดยกำหนดเงินนำส่งเข้ากองทุนสู งสุดไม่เกิน 1,800 บาทต่อเดือน และเพดานเงินเดือนที่ใช้เป็ นฐานในการคำนวณเงินสะสมและสมทบ จะอยู่ที่ไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน,สำหรับลูกจ้างที่มี เงินเดือนไม่เกิน 1 หมื่นบาทซึ่งมีสัดส่วนราว 50% ของแรงงานภาคเอกชน ไม่ต้องจ่ายเงินสะสม แต่ให้นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนฝ่ ายเดียว
ทั้งนี้ ในปีแรกการบังคับใช้กฎหมาย จะกำหนดให้กิจการขนาดใหญ่ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป กิจการที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ, กิจการที่ได้รับบีโอไอ, บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลั กทรัพย์, รัฐวิสาหกิจหรือกิจการที่ ประสงค์จะสมัครเข้ากบช.เอง
สำหรับในปีที่ 4 ใช้กฎหมายนี้ จะกำหนดให้กิจการที่มีลูกจ้างตั้ งแต่ 10 คนขึ้นไป จะต้องเข้าเป็นสมาชิก กบช. และในปีที่ 6 เป็นต้นไป กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จะต้องเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก
บริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชี พ (ภาคสมัครใจ) อยู่แล้ว หากอัตราการส่งเงิ นสะสมและสมทบเข้ากองทุนไม่ต่ำ กว่าอัตราที่กฎหมาย กบช.กำหนด ก็ไม่จำเป็นต้องโอนเข้ามาเป็ นสมาชิกของกบช. โดยยังคงอยู่ในระบบเดิมได้ แต่หากอัตราเงินสะสมและสมทบต่ำ กว่าที่ กบช.กำหนดหากสมัครใจเพิ่มเงิ นสะสมและสมทบให้เท่ากับหรือสู งกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็จะไม่ถูกบังคับให้ต้องเข้ ากบช.
หลังจากกฎหมายได้รับความเห็ นของจาก สนช.และประกาศบังคับใช้ กระทรวงการคลัง จะมีเวลา 1-2 ปี จัดตั้งสำนักงาน และวางระบบการบริหารจัดการ ก่อนที่จะเริ่มเดินระบบ กบช.
ส่วนการรับเงินหลังเกษียณของ กบช.นั้น จะให้สมาชิกเลือก ระหว่างการรับเป็นเงินก้อน (บำเหน็จ) หรือจะรับเป็นบำนาญ ซึ่งให้ทยอยรับในเวลา 20 ปีหลังจากเกษียณ สาเหตุที่ให้ทยอยรับ 20 ปี เนื่องจาก มีสมมุติฐานว่า คนไทยที่มีอายุเกิน 80 ปี มีเพียง 10% เท่านั้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิ จการคลัง (สศค.) พบว่า รายได้หลังเกษียณที่เพียงพอต่ อการดำรงชีพ อย่างน้อย จะต้องอยู่ที่ 50-60% ของรายได้ก่อนเกษียณแต่ในปัจจุ บัน แรงงานในระบบ ที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือไม่ได้เป็นข้าราชการที่มี กบข.หรือบำนาญ มีเพียงการจ่ายเงินเข้ากองทุ นประกันสังคม เพียงอย่างเดียว จะมีรายได้หลังเกษียณ เพียง 19% ของเงินเดือนสุดท้าย
สำหรับข้าราชการเป็นกลุ่มที่ถื อว่ามีระบบการออมเพื่อชราภาพที่ ทำให้ชีวิตหลังเกษียณ มีรายได้เพียงพอ โดยมีรายได้หลังเกษียณในอัตรา 70% ของเงินเดือนสุดท้าย
สธ.เร่งตั้ง “กองทุนเยียวยา” จ่ายเงินผู้เสียหายจากการรั กษาทุกสิทธิครอบคลุม 67 ล้านคน
(11 ก.ค.) นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการปรั บปรุงแก้ไขร่าง พ.ร.บ. เยียวยาผู้ได้รับความเสี ยหายจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ว่า จากการทำงานที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาแล้วว่า มีความจำเป็นต้องขับเคลื่อนเรื่ องนี้ด้วยการตั้งเป็น “กองทุนเยียวยาผู้ได้รับความเสี ยหายจากการบริการสาธารณสุข” ซึ่งจะดูแลทั้งผู้ให้บริการ หรือบุคลากรทางการแพทย์ และผู้รับบริการหรือประชาชนที่ เข้ารับบริการ ครอบคลุม 3 กองทุน คือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งมีประมาณ 67 ล้านคน เบื้องต้นจะเป็ นในสถานพยาบาลภาครัฐก่อน ส่วน รพ.เอกชนจะเป็นไปด้วยความสมั ครใจ
“ไม่ว่าจะเป็นบุ คลากรทางการแพทย์หรือผู้ป่วย หากได้รับผลกระทบจะมีการเยี ยวยาช่วยเหลือ โดย สบส.จะทำหน้าที่เป็นธุ รการในการเบิกจ่าย คล้ายเป็นหน่วยงานกลางคอยทำงาน โดยรับงบประมาณในการเยียวยาช่ วยเหลือจากแต่ละกองทุนมาไว้ส่ วนกลาง หากใครได้รับผลกระทบก็จะนำงบส่ วนนี้มาดำเนินการ ซึ่งจะไม่แบ่งว่าใครอยู่สิทธิ ใดใน 3 สิทธิสุขภาพ เรียกว่าเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ ยสุข ส่วนอัตราเท่าไรนั้นต้องมีการวิ เคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุ ขอีกครั้ง” อธิบดี สบส. กล่าวและว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เสนอต่ อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อพิจารณาแล้ว หากเห็นชอบอาจปรับแก้ไม่มาก เพื่อเสนอตามขั้นตอนเข้าสู่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการตั้งกองทุนต้องมีการแก้ กฎหมายของแต่ละกองทุนรั กษาพยาบาลหรือไม่ นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า ต้องมีการแก้ไข คือ มาตรา 41 พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และ พ.ร.บ. กองทุนประกันสังคม ส่วนสิทธิข้าราชการไม่ต้องแก้ไข เนื่องจากไม่มีในเรื่องการเยี ยวยาอยู่แล้ว แต่จากการพิ จารณาของคณะกรรมการพิจารณาเรื่ องนี้เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะเดิมไม่มีหน่ วยงานกลางทำให้ เมื่อเกิดความเสี ยหายทางสาธารณสุขใดๆ ก็จะเป็นแต่ละสิทธิสุขภาพ การเจราจาช่วยเหลือก็ไม่มี คนกลางมาทำให้ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ดังนั้น หากมีกองทุนนี้ขึ้นมาจะช่วยแก้ ปัญหาและลดเรื่องปัญหาความสัมพั นธ์ระหว่างผู้ป่วยและบุ คลากรสาธารณสุขได้ เพราะกองทุนนี้จะไม่มีการไล่เบี้ ยใด ๆ
นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสี ยหายทางการแพทย์ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจแทนผู้ป่ วยและประชาชนที่ สบส. และ สธ. ขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพียงแต่อยากได้การยืนยันจาก รมว.สาธารณสุข ว่า จะขับเคลื่ อนและกฎหมายจะประกาศใช้ได้จริง เพราะตลอด 15 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามให้ออกกฎหมายมาตลอด แต่ไม่สำเร็จ ทุกยุคทุกสมัยจะมีการคัดค้ านของกลุ่มหนึ่งเสมอ ตนจึงอยากเชิญชวนประชาชนที่เห็ นด้วยและเห็นความสำคัญกับร่าง พ.ร.บ. นี้ ที่จะมาช่วยกรณีเกิดความเสี ยหายทั้งแพทย์และคนไข้ โดยขอเชิญชวนช่วยกันลงชื่อผ่าน www.change.org/injuryact เพื่อจะรวบรวมรายชื่อเสนอต่อ นพ.ปิยะสกล เพื่อช่วยขับเคลื่อนเรื่องนี้ ให้ออกเป็นกฎหมายได้จริงๆ เสียที
ด้าน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริ ราชพยาบาล ม.มหิดล ในฐานะนายกแพทยสภา กล่าวว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว หลักการเบื้องต้นตนเห็นด้วย เพราะในเรื่องของการรักษาไม่ ควรมีการไล่เบี้ยเอาความผิดกั บใคร
เกิดเหตุแก๊สรั่วในโรงงานอุ ตหกรรมเคมีจ.ระยองอพยพพนักงานจ้ าละหวั่น
เมื่อเวลา15.00น. วันที่12 กรกฎาคม 2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งสารเคมีรั่ วไหล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)สาขาที่5 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุ ตสาหกรรมอาร์ไอแอล ถนนสาย3191 ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง จึงได้รุดไปตรวจสอบโดยได้สั่ งอพยพพนักงานและผู้รับเหมาอยู่ ในจุดรวมพลจากนั้นได้ใช้สเปย์น้ำ หรือม่านน้ำฉีดควบคุมไม่ให้ฟุ้ งกระจายและเพื่อไม่ให้กลิ่ นสารเคมีที่รั่ วไหลออกไปภายนอกใช้เวลากว่า 30นาทีจึงสามารถควบคุมไว้ได้ โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอั นตรายแต่อย่างใดและได้ตรวจวั ดปริมาณก๊าซที่รั่วไหลในอากาศมี ค่าปกติในเกณฑ์มาตรฐาน
ต่อมาเจ้าหน้าที่หน่วยงานสื่ อสารและภาพลักษณ์องค์กรบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)ได้ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุ ที่เกิดขึ้นเนื่ องจากเวลาประมาณ13.00น.ได้เกิ ดเหตุวาว์ลรั่วสารพาราไซลีนรั่ วไหลระหว่างเริ่มเดินเครื่อง โรงอะโรเมติกส์ 2 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 5ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุ ตสาหกรรมอาร์ไอแอล ถนนสาย 3191 ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยองทีมชำนาญการตอบโต้ภาวะฉุ กเฉินของบริษัทฯ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เรี ยบร้อยแล้ว โดยการใช้ม่านน้ำควบคุมไม่ให้ เกิดการฟุ้งกระจายออกไป และส่งเจ้าหน้าที่เข้าปิดวาล์ วและสามารถหยุดการรั่วไหลได้แล้ ว จากการส่งเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้ อมและเจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพอากาศบริ เวณชุมชนโดยรอบ พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
อย่างไรก็ตามทางบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัดจะชี้แจงเป็นทางการที่สำนั กงานอุตสาหกรรมอาร์ไอแอลในวันรุ่ งขึ้นต่อไป
ก.แรงงาน เร่งออก “อาชีพสงวน” ใหม่ ยัน “ต่างด้าว” ทำงานก่อสร้างได้
(12 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ประชุมหารือร่วมกับผู้ ประกอบการและสมาคมต่างๆ เช่น คณะกรรมการร่วม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายกสมาคมภัตตาคารไทย นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย นายกสมาคมผู้ส่งออกกล้วยไม้ไทย เป็นต้น เพื่อรับฟังความคิดเห็ นและทำความเข้าใจถึ งมาตรการดำเนินการภายหลังมีคำสั่ งมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ช่วยผ่อนคลายบทลงโทษตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่ างด้าว พ.ศ. 2560 ออกไปเป็นเวลา 180 วัน
ม.ล.ปุณฑริก กล่าวว่า การหารือวันนี้ก็ได้มีการชี้ แจงทำความเข้าใจกับทางผู้ ประกอบการ สมาคมต่างๆ ถึงแนวปฏิบัติในการขึ้นทะเบี ยนแรงงานต่างด้าว หลังจากมีประกาศกระทรวงแรงงานที่ ออกมารองรับมาตรา 44 ซึ่งหากพูดให้เข้าใจง่าย คือ จะแบ่งต่างด้าวออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผิดนายจ้าง สามารถมาแจ้งปรับเปลี่ยนนายจ้ างได้เลยที่สำนักงานจัดหางานจั งหวัดในพื้นที่ที่ทำงาน 2. กลุ่มมีพาสปอร์ต มีวีซ่า แต่ยังไม่ขอใบอนุ ญาตการทำงานภายใน 15 วัน ก็สามารถขอใบอนุญาตทำงานได้เลย 3. กลุ่มนายจ้างขอโควตาเพื่อนำเข้ าตาม MOU ก็ดำเนินการตามปกติได้ และ 4. กลุ่มแรงงานผิดกฎหมาย ไม่มีเอกสารอะไรเลย หรือมีบางส่วนแต่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมีมากที่สุดและเป็นกลุ่ มใหญ่ จะให้มายื่นเอกสารที่ศูนย์ เฉพาะกิจรับแจ้งการทำงานต่างด้ าว ระหว่างวันที่ 24 ก.ค. - 7 ส.ค. เพื่อมาพิสูจน์ความเป็นนายจ้ างลูกจ้าง และออกเอกสารรับรองให้ ไปทำเอกสารรับรองบุคคล (ซีไอ) และเข้าสู่ระบบการขออนุ ญาตทำงานตามปกติ คือขอวีซ่า การตรวจสุขภาพ และใบอนุญาตทำงาน ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่นานและค่าใช้ จ่ายไม่มาก ก็เข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้อง เชื่อว่าจะสามารถแก้ปั ญหาการขาดแคลนแรงงานได้มาก
“นายจ้างที่รับฟังหรือลูกจ้างที่ ยังผิดกฎหมายอยู่ อยากให้รีบเข้าสู่ระบบ เพราะถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่ ทำงานถูกต้องตามกฎหมายได้ ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก ส่วนการตั้งศูนย์เฉพาะกิจรับแจ้ งการทำงานของคนต่างด้าว จะเร่งประกาศในเร็วๆ นี้ ว่า ใช้สถานที่ใด แต่เบื้องต้นการขอเอกสารต่างๆ จากทางกระทรวงแรงงานสามารถดำเนิ นการได้ที่สำนักงานจัดหางานจั งหวัด อย่างไรก็ตาม วันนี้จะมีการหารือกั บทางกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในการจัดทำศูนย์วันสตอปเซอร์วิส ทั้งเรื่องการขอรับซีไอ ขอวีซ่าทำงาน การตรวจโรค และขอใบอนุญาตทำงานในพื้นที่เดี ยว ซึ่งอยู่ระหว่ างการกำหนดรายละเอียด” ปลัดแรงงาน กล่าว
เมื่อถามถึงข้อกังวลของนายจ้าง ม.ล.ปุณฑริก กล่าวว่า นายจ้างก็มีข้อกังวลบ้าง ซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องที่ หาทางออกได้ เช่น ข้อกังวลเรื่องพื้นที่รับอนุ ญาตทำงาน ซึ่งพื้นที่อนุญาตอยู่จังหวั ดหนึ่ง แต่มีการทำงานที่อีกจังหวัดหนึ่ งด้วย ตรงนี้กฎหมายก็เปิดช่องไว้อยู่ แล้วว่าสามารถทำได้ ส่วนเรื่องข้อกังวลอาชีพสงวนที่ ห้ามต่างด้าวทำ ซึ่งเดิมมี 39 อาชีพ ตามกฎหมายนี้ก็กำหนดให้มีการปรั บปรุงอาชีพสงวนโดยการออกเป็ นกฎหมายลูกด้วย ซึ่งสมาคมต่างๆ ก็ขอเข้ามารับฟังว่า อาชีพอะไรควรยกเลิกการสงวน หรืออาชีพใดที่ควรสงวนเอาไว้ ซึ่งอาชีพที่กังวล เช่น งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย ก็มีการตีความรวมไปถึงธุรกิจเสื้ อผ้าสำเร็จรูป (การ์เมนต์) ซึ่งอาจจะต้องมีการมาทำให้คำต่ างๆ นั้นชัดเจนขึ้น โดยอาจห้ามเฉพาะเรื่องของประดิ ษฐ์เสื้อผ้าชุดไทยในเชิงอนุรั กษ์หรือไม่
“ส่วนกรณีอาชีพกรรมกรที่ ก.แรงงาน ปลดล็อกอนุญาตให้ต่างด้ าวสามารถทำได้ ก็มีการตีความว่าต้องเป็นเรื่ องแบกหามอย่างเดียว ห้ามแตะงานฝีมือเช่น ช่างอิฐ ฉาบ เชื่อม เป็นต้น จริงๆ การเปิดช่องก็เขียนอธิบายไว้แล้ วว่า งานกรรมกรในงานก่อสร้าง ซึ่งหากพิจารณาแล้วก็ดูครอบคลุ มสามารถทำได้ โดยจะให้กรมการจัดหางาน (กกจ.) ประชาสัมพันธ์ให้ทราบอีกครั้ง ส่วนระหว่างที่ยังไม่ประกาศอนุ บัญญัติเรื่องอาชีพสงวนใหม่นั้ นก็ไม่ต้องกังวล ยืนยันว่าต่างด้าวสามารถทำงานด้ านก่อสร้างได้ ซึ่งอนุบัญญัติทั้งหมด 39 ฉบับ รวมเรื่องอาชีพสงวนด้วยนั้น จะต้องออกภายใน 120 วัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดำเนิ นการ” ปลัดแรงงาน กล่าว
เมื่อถามถึงเรื่องการรี ดไถแรงงานต่างด้าว ม.ล.ปุณฑริก กล่าวว่า กรณีข่าวต่างด้าวสัญชาติลาวที่ ร้องเรียนต้องมีการตรวจสอบแน่ นอน อย่างไรก็ตาม อยากให้ผู้เสียหายให้เบาะแสเพื่ อให้เกิดการดำเนินการตรวจสอบได้ แต่เท่าที่มีการแจ้งเบาะแสมา เช่น กรณีสัปดาห์ก่อนมีเคสต่างด้ าวประมาณ 200 คน ที่ระนองถูกกักตัวและเรียกเงิ นก็ตรวจสอบทันที โดยพบว่าจริงๆ แล้วเรือรับกลั บประเทศสามารถบรรทุกคนได้ 150 คน ทำให้เหลืออีก 50 คนที่ต้องพักในฝั่งไทยก่อน จากการตรวจสอบก็พบว่า เจ้าหน้าที่มี การอำนวยความสะดวกในการจัดหาที่ พัก และไปปรากฏเรื่องการกักตั วและเรียกเงิน ทั้งนี้ หากมีการรีดไถจริงให้แจ้งเข้ ามาได้เลย เพราะนายกฯ ก็กำชับอยู่แล้ว ว่า เจ้าหน้าที่หน่วยไหนที่ทำเช่นนั้ น จะมีโทษทั้งทางอาญา วินัย และทางแพ่ง
อดีตพนักงานบริษัทจิวเวอรี่ โวยถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ Aor Sunisa หรือนางสุนิสา สุขสมธรรม อดีตพนักงานบริษัทจิวเวลรี่แห่ งหนึ่ง โพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ ว่าอดีตเคยเป็นพนักงานที่บริษั ทจิวเวลรี่แห่งหนึ่งต่อมาได้ถู กเลิกจ้าง แต่ปรากฎว่า กรรมการบริษัทไม่ดำเนินการจ่ ายเงินชดเชย และเงินเดือนค่าจ้างที่ค้างจ่ ายมาเป็นเวลากว่า 3ปี ขณะที่อดีตพนักงานกว่า 20คน ได้รวมตัวฟ้องคดีต่ อศาลแรงงานกลางสมุทสาคร เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2558
ก่อนหน้าที่จะมีการฟ้องร้อง ทางบริษัทแห่งนี้เคยได้ทำบันทึ กกับพนักงานบริษัทก่อนที่จะมี การเลิกจ้างว่า ตกลงจะยินยอมที่จะจ่ายค่าบอกกล่ าวล่วงหน้าก่อนที่มีการเลิกจ้าง ค่าชดเชยตามกฎหมาย โดยบริษัทขะแบ่งชำระจ่ายเป็นงวด รวมทั้งหมดเป็นเงิน 418,000บาทแต่ต่อมาบริษัทไม่ ดำเนินการตามสัญญาที่ตกลงกัน จึงนำไปสู่การฟ้องร้องดังกล่าว
ทั้งนี้หลังจากที่มีการแชร์เรื่ องราวนี้ ออกไปปรากฎว่าอดีตพนักงานบริษั ทที่ถูกเลิกจ้างในคราวเดียวกัน ได้แชร์เรื่องราวดังกล่าวส่งต่ อกันไป เพื่อหวังให้หน่วยงานที่เกี่ ยวข้องเข้ามาหาทางให้ความช่ วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้ างไม่เป็นธรรม
เหยื่อแรงงานลิเบียร้องทหารช่ วยถูกเบี้ยวค่าจ้าง
นายพิสิษฐ์ หรือมานะ พึ่งกล่อม พร้อมด้วยนายสามารถ ท้าวชัยวงษ์ ชาว อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และตัวแทนผู้ใช้แรงงานจากแพร่, ลำปาง, ตาก และสุโขทัย รวม 20 คน ได้เข้ายื่นหนังสือพร้ อมเอกสารหลักฐานขอความช่วยเหลื อจาก พล.ต.ทรงวุฒิ จิตตานนท์ ผู้บัญชาการกองกำลังรั กษาความสงบเรียบร้อย จ.สุโขทัย เมื่อเร็วๆ นี้ หลังได้รับความเดือดร้ อนจากการไปทำงานในประเทศลิเบีย แต่ไม่ได้รับเงินค่าแรงตามสั ญญาจ้างงาน
นายพิสิษฐ์กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2552 ตน และพี่น้องแรงงานไทยหลายจังหวั ดรวมหลายพันคนได้เดิ นทางไปทำงานที่ลิเบีย ทันทีที่ไปถึงทางบริษัทจัดส่งก็ นำเอกสารภาษาแขกมาให้เซ็นสั ญญาจ้างงานใหม่ทันที โดยไม่รู้ว่าถูกเอาเปรียบ และตำแหน่งงานกับเงินเดือนก็ไม่ ตรงกับที่คุยไว้ในตอนแรก แต่ก็ต้องจำยอมเพราะกลัวไม่ได้ งานทำ กระทั่งผ่านไป 3 เดือนเงินไม่ออก ก็เดือดร้อนกันหมด
เนื่องจากไม่มีเงินส่งกลับมาผ่ อนชำระหนี้ที่กู้ยืมมาจ่ายเป็ นค่าเดินทาง ซึ่งบางรายต้องเอาบ้าน ที่ดิน ที่นา และรถยนต์ไปจำนองกู้เงินมาจ่ ายค่าหัวคิวเพื่อให้ได้เดิ นทางมาทำงานที่ลิเบีย โดยมีเสียเงินตั้งแต่รายละ 68,000 บาท ไปจนถึงเกือบ 200,000 บาท ทว่าทำงานกันได้ไม่กี่เดือนก็ต้ องเดินทางกลับประเทศไทยเพราะเกิ ดภัยสงครามขึ้นภายในประเทศลิเบี ย
นายพิสิษฐ์กล่าวอีกว่า เมื่อตน และเพื่อนๆ ผู้ใช้แรงงานด้วยกันกลับมาถึงบ้ าน แต่กลับไม่ได้รับความเป็ นธรรมในเรื่องค่าแรงตามสัญญาจ้ าง 2 ปี แถมโดนบริษัทจัดส่งฟ้องร้องคดี หมิ่นประมาทซ้ำอีก แต่ก็สู้กันจนชนะคดีมาได้ แล้วตนก็ฟ้องกลับในเรื่ องของการกระทำผิดสัญญาจ้าง, เงินเดือน-โอทีค้างจ่าย, เรียกเก็บค่าบริการ (หัวคิว) เกินกว่ากฎหมายกำหนด และค่าเสียโอกาส ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ที่ผ่านมาศาลฎีกาได้มีคำพิ พากษาให้ตนเป็นผู้ได้รับค่ าชดเชย
“ก่อนหน้านี้ผมไปร้องขอความเป็ นธรรมมาแล้วหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ทหารจึงเป็นความหวังสุดท้าย จึงได้พากันมาขอความช่วยเหลื อประสานไปยังเหยื่อแรงงานลิเบีย ซึ่งเฉพาะใน อ.ทุ่งเสลี่ยม ก็มีกว่า 100 คน และอีก 35 จังหวัดรวมกันก็หลายพันคน เพราะพวกเขาควรได้สิทธิในการรั บเงินค่าชดเชย ให้ต้องเร่งรวบรวมเอกสารหลั กฐานยื่นฟ้องเพิ่มโดยเร็ว เพราะคดีจะหมดอายุความภายใน 2 ปีนี้ หรือติดต่อมาที่ 06-1317-6092 และ 08-7841-1741 ก็ได้” นายพิสิษฐ์กล่าว
พีทีที โกลบอล เคมิคอล เข้าควบคุมสถานการณ์กรณีเหตุ สารไซลีนรั่วไหลที่โรงอะโรเมติ กส์ 2 ที่จังหวัดระยองได้แล้ว
วันที่ 13 กรกฎาคม 2560 เวลา 10.18 น. ตามที่เกิดเหตุสารไซลีนรั่ วไหลของโรงอะโรเมติกส์ 2 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 5 จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2560 เวลา 12.39 น. บริษัทฯ ขอสรุปสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ดังนี้
บริษัทฯ ขออภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ นและขอชี้แจงว่า สาเหตุเกิดจากการรั่วไหลบริ เวณกระจกช่องมองของไหล (Flow Sight Glass) ระหว่างการระบายของเหลวจากหอกลั่ นไปยังถังพักใต้ดินซึ่งเป็ นระบบปิด และเป็ นกระบวนการตรวจสอบการไหลของของเ หลวบริเวณด้านข้างหอกลั่ นภายในโรงงานอะโรเมติกส์ โดยทีมระงับเหตุได้ดำเนินการปิ ดวาล์ว ของท่อส่งสารไซลีนเพื่อหยุ ดการรั่วไหล และเพื่อควบคุมไม่ให้เกิ ดการแพร่ กระจายของสารออกไปภายนอกโรงงาน และใช้น้ำดับเพลิง ฉีดเป็นละอองน้ำ เพื่อไม่ให้แพร่กระจายไปในอากาศ
หลังเกิดเหตุ บริษัทฯ ได้แจ้งหน่วยงานราชการที่เกี่ ยวข้อง เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ นตามแนวทางปฏิบัติกรณีเกิดเหตุ ฉุกเฉิน อาทิ ศูนย์สื่อสารนิคมอุตสาหกรรม RIL กนอ. มาบตาพุด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจั งหวัดระยอง และเทศบาลเมืองมาบตาพุด
ด้านผลการตรวจวัดสิ่งแวดล้ อมโดยทีมสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุ มมลพิษลงพื้นที่ ตรวจสอบรอบโรงงาน โดยผลการตรวจวัดค่า VOCs หรือ สารอินทรีย์ระเหยง่าย ทั้ง 12 จุด อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยหลังเกิดเหตุ บริษัทฯ ได้ทำความสะอาดพื้นที่ กระบวนการผลิต ตรวจสอบอุปกรณ์กระจกช่ องมองของไหล และนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ รวมถึงลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพสิ่ งแวดล้อมโดยรอบโรงงานอย่างต่ อเนื่อง นอกจากนี้ ทีมชุมชนสัมพันธ์ลงพบปะชุมชนพื้ นที่โดยรอบนิคม RIL อย่างต่อเนื่อง
สารไซลีนที่รั่วไหลจากเหตุการณ์ นี้ อ้างอิงจากข้อมูลขององค์กรนักสุ ขศาสตร์อุตสาหกรรมภาครัฐแห่ งประเทศสหรัฐอเมริกา (ACGIH) องค์กรอนามัยโลก (WHO) และศูนย์รักษาพิษสารเคมีอันตราย ภาคตะวันออก โรงพยาบาลระยอง ทั้งนี้ สารไซลีนเป็นสารอินทรีย์กลุ่ มอะโรเมติกส์ มีสถานะเป็นของเหลว ไม่มีสี น้ำหนักเบากว่าน้ำ ระเหยง่าย ได้จากการกลั่นน้ำมันและก๊ าซธรรมชาติ ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หากสูดดมเข้าไปอาจก่อให้เกิ ดความรำคาญและระคายเคื องระบบทางเดินหายใจ ไม่จัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็ง
บริษัทฯ ขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ นและได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่ งแวดล้อม ชุมชนและบริษัทใกล้เคียง
แพทย์ให้พนักงานที่สูดดมแก๊สรั่ วในโรงงาน จ.ระยอง กลับบ้านแล้ว
บ่ายวานนี้ (12 ก.ค.) เกิดเหตุสารพาราไซลี นในโรงงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 5 จ.ระยอง รั่วไหล โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิ ดแถลงข่าวจากหน่วยงานที่เกี่ ยวข้องใดๆ ส่วนพนักงานที่ได้รับผู้บาดเจ็บ แพทย์ให้กลับบ้านได้แล้ว
เมื่อวานนี้ (12 ก.ค.2560) หลังเกิดเหตุสารพาราไซลีนรั่ วไหล ระหว่างการเดินเครื่ องของโรงงานในความรับผิ ดชอบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 5 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุ ตสาหกรรมอาร์ไอแอล ถนนสาย 3191 ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ขณะเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สั่งอพยพพนั กงานและผู้รับเหมาอยู่ในจุ ดรวมพลตามแผนความปลอดภัยที่ได้ ฝึกซ้อมไว้ จากนั้นได้ใช้สเปรย์น้ำหรือม่ านน้ำฉีดควบคุมไม่ให้สารเคมีฟุ้ งกระจายและเพื่อไม่ให้กลิ่ นสารเคมีที่รั่ วไหลออกไปภายนอกใช้เวลากว่า 30นาที จึงสามารถควบคุมไว้ได้
ต่อมาเจ้าหน้าที่หน่วยงานสื่ อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่เกิ ดขึ้น และตอบโต้ภาวะฉุกเฉินของบริษัทฯ ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เรี ยบร้อยแล้ว โดยการใช้ม่านน้ำควบคุมไม่ให้ เกิดการฟุ้งกระจายออกไป ส่วนเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้ อมและเจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพอากาศบริ เวณชุมชนโดยรอบแล้ว พบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยคนงานที่เกิดการวิงเวียน แพทย์ตรวจร่างกายแล้วให้กลับบ้ านได้
พนง.วิทยาลัยเอกชนที่อุบลฯ ร้องถูกเบี้ยวค่าจ้างตะลอนหาเด็ กเข้าเรียน
อุบลราชธานี - พนักงานลูกจ้างตำแหน่ งแนะแนวการศึกษาวิทยาลั ยเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองอุบลฯ เกือบร้อยชีวิต ตบเท้าร้องขอความเป็นธรรมจาก ผบ.มทบ.22 ช่วยเจรจาถูกวิทยาลัยเบี้ยวไม่ จ่ายเงินตามสัญญาจ้างทำงาน จึงให้พนักงานทั้ งหมดรวบรวมเอกสารได้รับความเสี ยหายเป็นปริมาณเงินเท่าไหร่ ก่อนนัดแนะ 4 หน่วยงานหลักประชุมหาทางออกให้ กับลูกจ้างกลุ่มนี้ในวันรุ่งขึ้ น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ลานสวนสนามในค่ายสรรพสิทธิ ประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 จ.อุบลราชธานี กลุ่มพนักงานลูกจ้างของวิทยาลั ยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุ บลราชธานี นำโดยนายบริบูรณ์ แสนดวง อายุ 26 ปี รวมตัวกันร้องเรียนให้ พล.ต.อชิร์ฉัตร โรจนะภิรมย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 22 ช่วยเหลือกรณีเข้าทำงานกับวิ ทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอเมื องอุบลราชธานี ในตำแหน่งแนะแนวการศึกษา โดยมีหน้าที่ไปชักชวนเด็กมั ธยมต้นและมัธยมปลายตามชนบทให้ เข้ามาศึกษากับวิทยาลัยแห่งนี้ โดยจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 8,000 บาท ระหว่างสมัครเข้าทำงานได้วางเงิ นมัดจำค่าสมัครงานรายละ 3,000 บาท และเงินค่าตัดเสื้อสูทคนละ 1,500 บาท พร้อมให้เริ่มทำงานวันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยใช้วิธีเรียกให้เข้ ามาทำงานเป็นบางวัน ตามที่วิทยาลัยสั่ง ทำให้พนักงานสงสัยได้สอบถามผู้ บริหารก็ได้รับแจ้งว่า แม้ไม่ได้ทำงานเต็มเดือน ก็จะจ่ายเงินเดือนให้ตามที่สั ญญาไว้
แต่เมื่อถึงวันจ่ายเงินเดือนเมื่ อวันที่ 10 ก.ค. ปรากฏวิทยาลัยดังกล่าวได้จ่ ายเงินค่าจ้างให้เป็นรายวันๆ ละ 266 บาท ทำให้ได้เงินเดือนไม่เท่ากัน โดยได้รับรายละ 500-2,000 บาท และระหว่างให้มารับเงินเดือนวิ ทยาลัยได้เอาใบลาออกให้พนั กงานลงชื่อ เพื่อขอรับเงินค่ามัดจำจำนวน 3,000 บาท
ส่วนเงินค่าตัดเสื้อสูทคนละ 1,500 บาท ยังไม่ได้รับคืน ทำให้กลุ่มพนักงานไม่พอใจรวมตั วมาร้องขอให้ พล.ต.อชิร์ฉัตร ช่วยเหลือ
เบื้องต้นได้ให้กลุ่มพนักงานที่ เข้าร้องเรียนในวันนี้ประมาณ 80 คน รวบรวมเอกสารการรับและจ่ายเงิ นของวิทยาลัย เพื่อดูรายละเอียดของความเสี ยหาย โดยจะมีการนัดผู้ประกอบการของวิ ทยาลัยมาหาข้อสรุปร่วมกับ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ คณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัด ศึกษาธิการจังหวัด ฝ่ายปกครอง และตัวแทนของพนักงาน เพื่อเจรจาหาทางออกให้กับพนั กงานที่ได้รับความเดือดร้ อนในสายของวันที่ 14 ก.ค.ที่มณฑลทหารบกที่ 22
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่ อสอบถามทางโทรศัพท์กับนายภั ทรพงศ์ บวรโชติยานนท์ เจ้าของและเป็นผู้ได้รับใบอนุ ญาตตั้งสถานศึกษา แต่ไม่มีใครรับสาย เมื่อโทรศัพท์เข้าไปที่วิทยาลั ยรับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชื่อ น.ส.จันนิภา พันเสาร์ว่า ผู้บริหารไม่อยู่ที่วิทยาลัย
ส่วนเรื่องการจ่ายเงินค่ าตอบแทนให้พนักงาน มีการจ่ายเงินให้แก่พนักงานที่ ทำงานตามความเป็นจริง และมีหลักฐานการจ่ายเงิน ไม่ได้ติดค้างแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวต่ออีกว่า ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 และ 12 ก.ค. กองอำนวยการความมั่นคงภายในจั งหวัดอุบลราชธานี (กอ.รมน.) ร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมประจำจั งหวัดได้ทำการไกล่เกลี่ยให้วิ ทยาลัยแห่งเดียวกันนี้ จ่ายเงินเดือนและเงินค่ามัดจำคื นให้กับพนักงานที่สมัครเข้ าทำงานในรุ่นเดียวกันนี้ไปแล้ วเกือบ 20 ราย ซึ่งวิทยาลัยยินดีคืนเงินค่ามั ดจำค่าเข้าทำงาน 3,000 บาท และจ่ายเงินให้ตามที่มาทำงานจริ งเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่มาร้องเรียนวันนี้ เป็นพนักงานอีกกลุ่มที่ได้รั บความเดือดร้อน
ชาวมอแกนเกาะเหลารับจ้างดำปลิ งเดือนละ 5 พันแต่ถูกจับแถมไร้บัตรประชาชน
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 นางเนาวนิตย์ แจ่มพิศ สมาชิกสภาเทศบาลปากน้ำท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 นี้ ชาวเลมอแกนเกาะเหลา 4 คน ที่ถูกจับกุมและคุมขังข้อหาบุ กรุกอุทยานและดำปลิงบริ เวณเกาะแรด หมู่ที่ 6 ตำบลหาดทรายรี อำเภอปากน้ำ จังหวัดชุมพร ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานหมู่เกาะชุ มพร จะขึ้นศาลจังหวัดชุมพรเป็นครั้ งแรก ซึ่งชาวบ้านบางส่วนอาจจะเดิ นทางไปให้กำลังใจแต่ยังไม่ ทราบว่าชะตากรรมของชาวเลกลุ่มดั งกล่าวจะเป็นอย่างไร
นางเนาวนิตย์ กล่าวว่า ชาวเลทั้งหมด 4 คนล้วนอยู่ในสถานะบุคคลที่ไม่มี สถานะทางทะเบียน และมีเพียง 1 รายเท่านั้นที่มีบัตรประจำตัวบุ คคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (บัตรเลข 0) ซึ่งได้ขอเลขประจำตัว 13 หลักมาแล้ว และรอวันจะไปถ่ายบั ตรประชาชนในเร็วๆ นี้ชื่อว่านายเล็ก ประมงกิจ ส่วนที่เหลือทั้ง 3 คนอยู่ระหว่างการดำเนินการพิสู จน์เอกสาร หลักฐานและสอบพยานเพิ่มเติมแต่ กลับถูกจับดำนินคดีและซึ่งขณะนี้ ทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนิ นการขอเงินประกันตัวจากกองทุนยุ ติธรรม และการช่วยเหลือของเครือข่ ายภาคีอื่นๆ ทราบว่าจะส่งทนายมาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นว่ าการจับกุมคดีดังกล่าว กระบวนการยุติธรรมจ้องจับผิดเพี ยงชาวเลมอแกนเท่านั้น แต่นายทุนเจ้าของเรือกลับรอดไม่ ถูกดำเนินคดีด้วย ทั้งที่อาชีพและรายได้ก็จำกัด ทำให้ต้องเจอกับความลำบากหลายด้ าน
“อย่างนายเล็กเขาอายุราว 20 กว่ามีลูกหนึ่งคนอายุ 2 ปีเอง ป่วยแขนขาลีบอยู่เลย พอพ่อถูกจับ มันลำบากไง พ่อเขาเป็นกำลังหลักและกำลั งจะได้บัตรประชาชน ได้เป็นคนไทยก็ต้องมาถูกจับกุ มก่อน ปัญหาแบบนี้เราเจอเราไปไม่เป็ นเลย แล้วถ้าศาลตัดสินให้ติดคุกยาว เด็กคนหนึ่งก็กลายเป็นคนด้ อยโอกาส เพราะเมียและลูกของนายเล็กก็ยั งไม่มีหลักฐานอะไรไปขอสัญชาติ ไทยเลย” นางเนาวนิตย์ กล่าว
สมาชิกสภาเทศบาลปากน้ำท่าเรือ กล่าวด้วยว่า นอกจากข้อหาบุกรุกอุทยานแห่ งชาติแล้ว ชาวเลทั้ง 4 รายยังถูกแจ้งข้อหาต่างด้าวที่ เดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้ รับอนุญาตด้วย แต่ตนยืนยันว่าหนังสือข้อหาดั งกล่าวไม่ถูกต้องเพราะชาวเลมี นายจ้างที่มีเรือมีทะเบียนถูกต้ อง และเมื่อมีการจ้างงานชาวเล นายจ้างต้องรู้เห็นการทำหนังสื ออยู่แล้วซึ่งหนังสือดังกล่ าวออกโดยอำเภอเมืองระนอง และหนังสืออนุญาตออกนอกเขตพื้ นที่ควบคุมคนต่างด้าวเป็นการชั่ วคราวของนายจ้างผู้ว่าจ้าง ซึ่งเอกสารดังกล่าวตนและญาติผู้ ต้องหาได้นำไปมอบให้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สภ.ปากน้ำชุมพร เพื่อประกอบหลั กฐานในการสอบสวนดำเนินคดีเรี ยบร้อยแล้วต้องมาลุ้นว่าจะมี การพิจาณาเอกสารหรือไม่ ไม่เช่นนั้นชาวเลจะลำบากฝ่ายเดี ยว
“การรับจ้างดำปลิงหรือไปหาปลากั บนายจ้างนั้นถ้าเกิดคดีแบบนี้ เชื่อไหมว่า ชาวเลไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งหากทำงานเสร็จเรียบร้อย รายได้พวกเขาจะอยู่ที่ราวเดื อนละ 5,000 บาท มันไม่มากมายนักแต่ต้องยอมรับ ว่ามีสิทธิแค่นี้เพราะบางคนพูด อ่าน เขียนไทยไม่ได้ บางคนไร้การศึกษา แถมยังไม่มีบัตรประชาชนด้วย งานอะไรที่พอจะทำได้ต้องคว้าไว้ ก่อน ตอนนี้บนเกาะเหลามีชาวเลเพียง 35 คนเท่านั้นที่ได้บั ตรประชาชนสมบูรณ์ ที่เหลือราว 240 ที่ยังมีปัญหาสัญชาติและอยู่ ระหว่างการช่วยเหลื อของหลายภาคส่วน” สมาชิกสภาเทศบาลปากน้ำท่าเรือ กล่าว
กระทรวงแรงงาน เผยล่าสุดไม่พบแรงงานต่าวด้ าวเดินทางออกไทยแล้ว มองกระทบอุตสาหกรรม- ธุรกิจระยะสั้น
นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ล่าสุดไม่พบแรงงานต่างด้าวเดิ นทางออกจากประเทศไทยแล้ว โดยตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่เดิ นทางออกไทยก่อนหน้านี้ คาดว่าอยู่ที่ 60,000 คน และตัวเลขดังกล่าวเป็นเพี ยงการประมาณการณ์เท่านั้น เนื่องจากคาดว่ามีบางส่วนที่ แอบลักลอบเดิ นทางออกตามแนวเขตชายแดน โดยวันที่ 24 กรกฎาคม ที่จะมีการเปิดศูนย์รับเรื่ องแรงงานต่างด้าว เชื่อว่าสถานการณ์แรงงานจะกลั บเข้าสู่สภาวะปกติ พร้อมขอชื่นชมนายจ้างบางส่วนที่ มีการส่งแรงงานกลับประเทศ เพื่อให้กลับไปทำประวัติ และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนผลกระทบกับอุตสาหกรรม หรือธุรกิจนั้นมีผลระยะสั้น
นายวรานนท์ กล่าวเสริมว่า ความคืบหน้าการเบิกจ่ ายงบประมาณของกรมการจัดหางาน เป็นไปตามเป้ าหมายของกระทรวงแรงงานและรั ฐบาล
แสดงความคิดเห็น