Posted: 13 Mar 2018 08:54 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง 2 อดีตการ์ด นปช. คดียิงระเบิด M79 ใส่ กปปส. 29 มี.ค.57 เหตุ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัย ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ติดต่อ ทั้งที่สามารถกระทำได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

13 มี.ค.2561 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดแจ้งผลคำพิพากษาศาลฎีกาให้อัยการโจทก์ ในคดีพยายามฆ่าผู้อื่น หมายเลขดำ อ.4334/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อายุ 32 ปี และ พีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 43 ปี อดีตการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นฯ

กรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2557 เวลากลางวันจำเลยกับพวก ร่วมกันใช้เครื่องยิงระเบิดแบบเอ็ม 79 และเครื่องกระสุน ยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.บริเวณสี่แยกเสาวนีย์ ถ.สวรรคโลก ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์เสียหายหลายคัน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 43 ปี 4 เดือน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยระหว่างฎีกา โดยอัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกา

วันนี้อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยทั้งสองไม่ได้มีการเบิกตัวมาศาล เนื่องจากจำเลยทั้งสองถูกแยกคุมขังในคดีอื่นที่เรือนจำจังหวัดสระบุรีและจังหวัดอื่นในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังที่ศาลดังกล่าวแล้วเมื่อเดือน ม.ค. และ ก.พ. ที่ผ่านมา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ที่โจทก์ยื่นฎีกาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องนั้น โจทก์มีเพียงพนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และนำไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่ารู้จักกับจำเลยที่ 2 มา 2-3 ปี เนื่องจากมีแนวคิดทางการเมืองเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ 1 ให้ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ศาลเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต โจทก์จะต้องนำสืบความจริงโดยปราศจากข้อสงสัย แต่การนำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นสอบสวน คดีนี้โจทก์มีเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนจะต้องมีเหตุผลหนักแน่นน่ารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัย แต่ก็ยังพบว่าบันทึกคำให้การข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 มีความขัดแย้งกัน ทั้งที่เบิกความห่างกันไม่เกิน 7 วัน แต่จำเลยที่ 1 กลับให้การแตกต่างกัน อีกทั้งที่จำเลยที่ 1 ให้การว่ามีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ซึ่งตรงนี้โจทก์สามารถตรวจสอบได้จากบริษัทผู้ให้บริการมือถือ แต่โจทก์ไม่กระทำ ทั้งที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพให้มีน้ำหนักได้

ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์มีแต่เพียงพยานบอกเล่าเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ไม่มีพยานหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ อีกทั้งยังไม่มีพยานหลักฐานอื่นๆ ส่วนประเด็นอื่นศาลอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานโจทก์โดยให้เหตุผลไว้ชอบแล้ว ประกอบกับจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การปฏิเสธในชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายืนยกฟ้อง


ทั้งนี้ในคดีอื่นเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก ณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 35 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ หรือคดีร่วมกับพวกยิงระเบิดชนิด เอ็ม 79 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. หน้าอาคารชินวัตร 3 เขตจตุจักร แต่ระเบิดไปถูกเสาอาคารและต้นไม้ประดับของอาคารชินวัตร 3 ทำให้ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 2 หมื่นบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มี.ค.57 ขณะที่ และ พีรพงษ์ จำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.