ภาพชัยภูมิและเจ้าหน้าที่ทหารค้นรถคนเกิดเหตุที่ชัยภูมินั่งมาด้วย

Posted: 14 Mar 2018 06:17 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ทนายญาติผู้ตายระบุ กองพิสูจน์หลักฐานไม่พบภาพวันเกิดเหตุในฮาร์ดดิสก์ ศาลไม่อนุญาตขอภาพกล้องวงจรปิด อ้าง หลักฐานที่มีเพียงพอต่อการนำสืบไต่สวนการตาย ภาพหายไปอย่างปริศนา วอนสังคมเรียกร้องแม่ทัพภาค 3 และ ผบ.ทบ. ให้เปิดภาพที่ตัวเองบอกว่าเคยเห็น ไม่พบลายนิ้วมือบนมีด ดีเอ็นเอบนระเบิดตรงกับชัยภูมิแต่ก็มีของอีกหลายคนปะปน

14 มี.ค. ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีการนัดไต่สวนพยานคดีวิสามัญชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ที่ถูกทหารยิงเสียชีวิตที่ด่านบ้านรินหลวงเมื่อ 17 มี.ค. 2560 โดยวันนี้เป็นวันที่สองของการไต่สวนคดีการตายนัดที่สอง โดยมีหมอผู้ชันสูตรศพ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าพนักงานสอบสวนให้การ

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นและทนายความญาติผู้เสียชีวิต ระบุว่า การไต่สวนคดีการตายในวันนี้พบว่า รายงานที่พนักงานสอบสวนส่งให้อัยการนำมาส่งศาลวันนี้มาจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง กรุงเทพฯ กลุ่มงานอาชญากรรมด้านคอมพิวเตอร์ จากข้อมูลคือ ทหารส่งตัวเครื่องบันทึกภาพและฮาร์ดดิสก์ให้ตำรวจเมื่อ 25 เม.ย. 2560 ตำรวจก็ส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตั้งแต่วันนั้น แล้วก็รายงานผลกลับมา ให้ความเห็นว่า “ไม่พบภาพในวันเกิดเหตุคือวันที่ 17 มี.ค. 2560 ในตัวฮาร์ดดิสก์”

สุมิตรชัยเคยขอให้ศาลออกหมายเรียกขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปยังหน่วยที่ตั้งอยู่ที่ด่านรินหลวงอันเป็นที่เกิดเหตุ และทำสำเนาให้กับพลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาพที่ 3 ที่เคยระบุว่าได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ศาลไม่อนุญาตให้เรียกมา โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงที่นำสืบมีเพียงพอที่จะออกคำสั่งได้แล้ว หมายถึงพยานหลักฐานที่นำสืบนั้นเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ภาพจากกล้องวงจรปิด เนื่องจากหน้าที่การนำสืบของศาลไม่ใช่การตัดสินว่าใครผิดหรือถูก เพราะเป็นการไต่สวนคดีการตาย โดยหลังจากไต่สวนเสร็จ ศาลจะมีคำสั่งศาลว่าผู้ตายเป็นใคร อะไรเป็นเหตุแก่การตาย แล้วจึงจะส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนกับอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป

“คิดว่าภาพจากกล้องวงจรปิดยังเป็นประเด็น ตอนนี้มีความชัดเจนแล้วว่าภาพหายไปจากเครื่อง ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานยืนยันแล้วว่าเครื่องใช้ได้ตามปรกติ ไม่ได้เสีย ภาพหายไปจากฮาร์ดดิสก์อย่างเป็นปริศนาว่าหายไปได้อย่างไร ซึ่งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานไม่ได้บอกว่าหาย เพียงแต่บอกว่าไม่พบ ก็หมายความว่ามันไม่มีอยู่ก่อนที่จะถูกส่งไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน แต่เขายืนยันว่าเครื่องบันทึกและฮาร์ดดิสก์ใช้งานได้ปรกติ นี่คือสิ่งที่กองพิสูจน์หลักฐานยืนยัน แต่ศาลก็บันทึกไว้หมดว่ารายงานกองพิสูจน์หลักฐานไว้หมด ก็บันทึกในคดีไว้แล้วว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด” สุมิตรชัยกล่าว

“ทางทีมก็คงคุยกันต่อว่าจะต้องให้ทางหน่วยงานบางหน่วยงานตรวจสอบว่าภาพหายไปได้อย่างไร เพราะแม่ทัพภาคที่ 3 (พล.ท.วิจักขฐ์ ศิริบรรสพ) กับ ผบ.ทบ. (พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท) บอกว่าได้เห็นแล้ว สังคมก็ต้องเรียกร้องให้ท่านเปิดภาพ เพราะฮาร์ดดิสก์ที่หน่วยบ้านรินหลวงไม่มีภาพ แต่ท่านเห็นแล้วท่านก็ต้องบอกได้ว่าภาพที่ดูมาจากไหน และยังอยู่หรือไม่” สุมิตรชัยกล่าวเพิ่มเติม

การไต่สวนการตายวันนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องอาวุธที่พบในเหตุการณ์ ได้แก่มีดและระเบิด ที่ทหารอ้างว่าชัยภูมิใช้ในการขัดขืน ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โดยสุมิตรชัยให้ข้อมูลว่า ไม่พบลายนิ้วมือที่มีด ส่วนที่ระเบิดพบว่ามีดีเอ็นเอบางส่วนที่พบบนตัวระเบิดเป็นชนิดเดียวกับดีเอ็นเอของชัยภูมิ ตรงด้ามจับไม่พบ แต่ก็มีดีเอ็นเอของหลายคนปรากฏอยู่บนระเบิด

ทั้งนี้ การไต่สวนคดีการตายครั้งที่ผ่านมาไม่ปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดจากบัญชีพยานฝ่ายอัยการ แม้ที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้กองทัพเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านตรวจบ้านรินหลวงในวันที่ชัยภูมิเสียชีวิต โดยเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญต่อรูปคดีการตายของชัยภูมิ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่ระบุว่าเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วสองคน ได้แก่ พล.ท.วิจักขฐ์ แม่ทัพภาคที่สาม เจ้าของวลี “ถ้าเป็นผมอาจกดออโต้ไปแล้ว” และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกที่กล่าวว่า ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วแต่ไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดได้ ต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปเพราะถือว่าเป็นพยานหลักฐานชิ้นหนึ่ง

เหตุสืบเนื่องจาก ในวันที่ 17 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธปืนยิง ชัยภูมิ ป่าแส ชาติพันธุ์ลาหู่ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ขอเข้าตรวจค้นรถยนต์ ชัยภูมิ และพบยาเสพติดประเภทยาบ้าเป็นจำนวนมากบรรจุซองพลาสติกซุกซ่อนอยู่ภายในบริเวณส่วนกรองอากาศของรถ ต่อมา ชัยภูมิ ได้ทำการขัดขืนต่อสู้เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งจะใช้อาวุธระเบิดที่ ชัยภูมิ มีไว้ในครอบครองขว้างใส่ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงสังหาร ชัยภูมิ เหตุเกิด ณ บริเวณจุดตรวจด่านบ้านรินหลวงนั่นเอง


ชัยภูมิ ป่าแส

ชัยภูมิ เป็นเยาวชนนักกิจกรรมทางสังคม และอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า จ.เชียงราย ในฐานะตัวแทนของ 19 ชนเผ่า เข้าร่วมโครงการ “เด็กและเยาวชนส่งเสียงเพื่อสื่อสารสังคม” ซึ่่งจัดโดยมูลนิธิส่งเสริมเพื่อเด็กและเยาวชน สถาบันเด็กและเยาวชน (สสย.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยชัยภูมิ ได้พูดไว้ตอนหนึ่งในเวทีแสดงความคิดเห็นว่า

“เรื่องสถานะส่วนบุคคล ต้องยอมรับว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ชายแดนส่วนใหญ่ไม่ได้รับสถานะส่วนบุคคล ผมเองขณะนี้ก็ยังไม่มีสถานะบุคคล ทั้งที่เกิดในประเทศไทย เมื่อไม่มีสัญชาติทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตทางอำเภอ เวลาจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้สิทธิเหมือนคนไทย ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง ส่วนแรงจูงใจในการเรียนสูงๆ ก็ไม่มี เนื่องจากจบมาสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าทำงานในหน่วยงานของราชการได้ จึงอยากให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย” (อ่านต่อที่นี่)

สำหรับผลงานเพลง ชัยภูมิ ได้แต่งเนื้อร้อง และทำนอง เพลงขอโทษ และ เพลงจงภูมิใจ เผยแพร่ผ่านทางยูทูปช่อง Motha Lahu
[full-post]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.