ภาพครอบครัวของบิลลี่

Posted: 17 Apr 2018 12:44 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)

แอมเนสตี้ร้องทางการไทยสอบสวนการหายตัวไปของ บิลลี่ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ชี้ที่ผ่านมามีการดำเนินการที่ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเยียวยาผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

17 เม.ย.2561 เนื่องวาระครบรอบ 4 ปีที่นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยง พอละจี “บิลลี่” รักจงเจริญ ถูกกระทำการที่มีลักษณะเป็นการบังคับให้สูญหายไป ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2557 นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ ระบุว่า พอละจีหายตัวไปที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังถูกควบคุมตัวในวันเดียวกันโดยเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งระบุว่า พวกเขาควบคุมตัวบิลลี่ไว้เนื่องจาก “การมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย” แต่ได้ปล่อยตัวเขาไปในวันนั้น อย่างไรก็ตาม มีพยานหลักฐานซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่า บิลลี่ตกเป็นเหยื่อการบังคับบุคคลให้สูญหายและการสูญหายโดยไม่สมัครใจ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง และเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ

แอมเนสตี้ จึงเรียกร้องอีกครั้งให้ทางการไทยทำการสอบสวนการหายตัวไปของบิลลี่อย่างเป็นอิสระ เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และเยียวยาครอบครัวของเขาและผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมทั้งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และถึงเวลาแล้วที่ทางการไทยต้องกำหนดให้มีกรอบและสถาบันทางกฏหมาย เพื่อป้องกันและส่งเสริมการเยียวยากรณีการสูญหายโดยไม่สมัครใจและการบังคับบุคคลให้สูญหาย และยอมรับสิทธิของผู้เสียหาย รวมทั้งครอบครัวของผู้สูญหายและบุคคลหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการสูญหาย ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว การสูญหายของบุคคลเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของความทุกข์อย่างยิ่ง

ที่ผ่านมาแอมเนสตี้พบว่าครอบครัวของบิลลี่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ตั้งแต่ความล้มเหลวในการสอบสวนเพื่อหาตัวบิลลี่ ไปจนถึงความล่าช้าในการผ่านร่างกฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำการบังคับบุคคลให้สูญหาย ทางการยังแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว กลับลดหย่อนมาตรการคุ้มครองเพื่อป้องกันการสูญหายของบุคคล และลดทอนมาตรการป้องกันทางกฎหมายที่สำคัญไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนั้นขึ้น

แอมเนสตี้จึงเรียกร้องทางการไทยเร่งรัดการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามกฎหมายของประเทศไทย รวมทั้งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) และให้ผ่านเป็นกฎหมายโดยเร็ว นอกจากนี้ ประเทศไทยควรปฏิบัติตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อเดือนมีนาคม 2560 เพื่อให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามรับรองอนุสัญญาไปก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
4 ปีที่ 'บิลลี่' หายตัว 'นักนิติศาสตร์สากล' จี้ดีเอสไอ (อีกครั้ง) ทำคดีอย่างมีประสิทธิภาพ

[right-side]

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.