Chaturon Chaisang
ผมได้เขียนถึงความเลวร้ายของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไปแล้วหลายครั้ง
ผ่านไป 14 ปี แทนที่จะรู้สึกว่าการรัฐประหารครั้งนั้นเป็นเรื่องเก่าที่มีความหมายน้อยลงเมื่อเทียบกับการรัฐประหารครั้งหลังสุดเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แต่กลับยิ่งเห็นว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้นได้ทำความเสียหายต่อประเทศชาติไว้มากมายจริงๆ

การรัฐประหารในครั้งหลังและการทำลายประชาธิปไตยหลังจากนั้นมาถึงปัจจุบัน ความจริงก็คือกระบวนการต่อเนื่องมาจากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั่นเอง

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือการทำให้ประเทศถอยหลังไปสู่ระบอบเผด็จการ สร้างกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง ไม่สามารถกำหนดอนาคตของประเทศและของชีวิตตนเองได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของตุลาการภิวัฒน์ที่ทำให้ฝ่ายตุลาการถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับการเมืองอย่างไม่ยุติธรรมจนทำให้กลายเป็นความขัดแย้งแบ่งข้างที่ยากจะแก้ไขและระบบยุติธรรมเองก็เสื่อมความน่าเชื่อถือลงไปด้วย ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระขาดความเป็นกลางและไม่มีความยึดโยงกับประชาชนแต่กลับอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่ไม่มาจาการเลือกตั้งและต่อมาก็อยู่ใต้การกำกับแทรกแซงของหัวหน้าคณะรัฐประหารเช่นเดียวกัน วุฒิสภาที่เคยมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดถูกยกเลิกไปเปลี่ยนเป็นแบบผสมและต่อมากลายเป็นมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดโดยหัวหน้าคณะรัฐประหารเช่นกัน พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมืองถูกทำให้อ่อนแอลงเป็นลำดับจนกระทั่งปัจจุบันแทบไม่เหลือบทบาทในการกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศตามความต้องการของประชาชน รัฐประหารปี 49 ลดอำนาจการตรวจสอบของประชาชนและปัจจุบันอำนาจของประชาชนในการตรวจสอบการทำงานรัฐก็เกือบจะไม่เหลืออะไร
การรัฐประหารปี 49 ถูกเรียกว่าเป็นการ “เสียของ” แล้วการรัฐประหารปี 57 ที่บอกว่าจะต้องไม่ให้เสียของก็กลับกลายเป็นการไม่เสียของสำหรับผู้ยึดอำนาจจริงๆ แต่เป็นความเสียหายอย่างยับเยินสำหรับประเทศทั้งประเทศ
มองความต่อเนื่องของกระบวนการทำประเทศให้ถอยหลังที่เริ่มจาก 19 กันยายน 2549 ผ่าน 22 พฤษภา 2557 มาจนถึงปัจจุบันแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าต้นธารแห่งหายนะที่แท้จริงก็มาจากการรัฐประหารปี 2549 ที่ต้องการหยุดยั้งการให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตของประเทศตามเจตจำนงของการปฏิรูปการเมืองที่มีขึ้นก่อนหน้านั้นนั่นเอง
มอง 19 กันยายน 2549 ในวันนี้ สิ่งที่แตกต่างไปจากปีที่ผ่านๆมาอย่างมากเป็นพิเศษก็คือภาพการยื้อยุดระหว่างพลังที่ต้องการดึงประเทศให้ถอยหลังไปสู่ระบอบเผด็จการกับพลังที่ต้องการผลักดันให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้เปลี่ยนไปอย่างมาก
พลังที่ยื้อยุดกันอยู่ยังคงอยู่และคงจะชักเย่อกันต่อไป แต่ที่ไม่เหมือนที่ผ่านมาเลยก็คือได้เกิดพลังใหม่แกนนำใหม่ที่มุ่งมั่นจะนำพาประเทศพ้นจากปลักตมแห่งความล้าหลังให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีศักยภาพ นั่นก็คือพลังของนักเรียนนักศึกษา พลังของคนรุ่นใหม่ที่กำลังประสานเข้ากับประชาชนอีกมากมายมหาศาลทั่วประเทศ
ที่ทำให้การนึกถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นระทึกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือการที่นักเรียนนักศึกษา คนหนุ่มสาวที่เข้มแข็งกล้าหาญและมีพลังนี้ ได้เลือกเอาวันที่ 19 กันยายน วันนี้มาเป็นวันเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่ทรงความหมาย
เขียนถึงวันที่ 19 กันยาจนมาหลายครั้ง มักต้องพูดถึงการหยุดชะงักหรือการถอยหลังของประเทศปีแล้วปีเล่า ปีนี้มานึกถึงอดีตกันในวันที่กำลังมีการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ด้วยพลังที่มีศักยภาพที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในหลายสิบปีที่ผ่านมา