ย้อนอดีต ..

‘ยุทธการแม่น้ำซอมม์’ สมรภูมิที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารตายหลายแสน 
ยุทธการแม่น้ำซอมม์ (Battle of Somme) เป็นสมรภูมิรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมรภูมิที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เนื่องจากมีทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตเป็นจำนวนมากและไม่มีผู้ชนะอีกด้วย
แม่น้ำซอมม์ เป็นแม่น้ำที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส และยังเป็นสมรภูมิรบระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส และฝ่ายเยอรมนี การสู้รบเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1916 โดยฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสมีความต้องการที่จะตีฝ่าแนวป้องกันของเยอรมนี ตั้งแต่ป่าอันเคอร์ ยาวไปจนถึงตอนเหนือของแม่น้ำซอมม์ ที่รวมระยะทางได้กว่า 24 กิโลเมตร โดยอังกฤษจะนำทัพบุกทางตอนเหนือของแม่น้ำซอมม์ ในขณะที่ทางตอนใต้เป็นหน้าที่ของฝรั่งเศสที่จะนำกองทัพตีฝ่าแนวป้องกันของเยอรมนี
กองทัพอังกฤษได้ระดมยิงปืนใหญ่เพื่อทำลายแนวป้องกันของเยอรมนี และระดมกำลังพลทั้งหมดบุกโจมตีแนวป้องกันของเยอรมนีนานถึง 8 วันติดต่อกัน แต่ฝ่ายเยอรมนีเองก็สามารถตั้งรับได้อย่างเหนียวแน่นด้วยแนวรั้วลวดหนามและป้อมปืนกล รวมถึงนำ ‘แก๊สมัสตาร์ด’ เข้ามาใช้ จนทำให้ทหารอังกฤษที่บุกเข้าในแนวป้องกันของเยอรมนีเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าในวันแรกของการบุก ทหารอังกฤษเสียชีวิตไปราว 50,000 นาย เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน กองทัพฝรั่งเศสสามารถฝ่าแนวป้องกันของเยอรมนีทางใต้ได้สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันรุกและรับเช่นนี้ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลง ยุทธการแม่น้ำซอมม์จึงยุติลง โดยไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงบนสมรภูมิแห่งนี้ โดยฝ่ายอังกฤษสูญเสียทหารไป 456,000 นาย ฝรั่งเศส 200,000 นาย และเยอรมนี 500,000 นาย รวมแล้วมีทหารเสียชีวิตทั้งหมดมากกว่าหนึ่งล้านนายเลยทีเดียว



Atukkit Sawangsuk

ว่าด้วยผังล้มธนาธร

1.คือมันเห็นชัดว่า อนาคตใหม่กำลังกวาดเสียงคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงคนชั้นกลางในเมือง ที่ไม่เอาเพื่อไทยแต่เหลือทนตู่และเบื่อหน่าย ปชป. IO จึงต้องทำงาน

2.ถามว่าผังนี้มีผลแค่ไหน กับคนที่จะเลือก ผมว่าไม่มากหรอก นอกจากปลุกความเกลียดชังในพวกอนุรักษ์สุดติ่ง โดยเฉพาะ พวก กปปส. (ไอ้เทือก พุทธิพงษ์ เอาไปอ้างว่าจะล้มพิธีไหว้ครู)
คือสำหรับคนรุ่นใหม่ ความนิยมธนาธร-อนาคตใหม่ มาจากกระแสออนไลน์ ซึ่งอาจไม่ลึกมากแต่ก็ไม่ได้ฉาบฉวย เพราะอนาคตใหม่บุกโลกออนไลน์มากที่สุด อย่างน้อยก็ต้องได้เห็นสโลแกน เห็นคลิป เห็นบุคลิกผู้นำ

การปลุกความเป็นไทย ศาสนา พิธีกรรม ค่านิยมเก่าต่างๆ มาล้มธนาธร ไม่น่าจะมีผลมากนัก ต่อให้ตัดต่อยังไงก็เหอะ ยกตัวอย่าง "ไม่ต้องหมอบกราบพระเจ้าองค์ไหน" พูดจริงไม่จริง สำหรับคนสมัยใหม่ ก็โคตรโดนใจ "รัฐไทยไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ" (ที่จริงคือรัฐไม่ควรอุปถัมภ์ทุกศาสนา) อันนี้คนฟังก็เข้าใจ คือแยกรัฐกับศาสนา เมริงคิดว่าคนรุ่นใหม่แคร์วัดแคร์ศาสนาแค่ไหนเชียว เห็นแต่ข่าวเงินทอนวัด สร้างวัดกันใหญ่โต ถวายพระกันเข้าไป
คือสิ่งเหล่านี้ IO มันคิดว่าคนรุ่นใหม่ยังยึดติดอยู่ ความเป็นจริงหาใช่ไม่ เพียงแต่เขาไม่พูดไม่แสดงออกเท่านั้นเอง เรื่องอย่างฟ้าเดียวกัน 112 ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เมริงคิดว่า "ฟ้ารักพ่อ" ไม่เคยได้ยินเรื่องโจมตีเหล่านี้มาเลยเรอะ
ในส่วนคนในเมือง (สลิ่มแหละ) ที่เคยเลือก ปชป. แล้วตอนนี้จะเปลี่ยนใจมาเลือกอนาคตใหม่ มันก็มีเหตุผลหลายอย่างที่ไม่ถูกทำลายง่ายๆ ด้วยผัง IO อย่างนี้หรอก อย่างน้อยที่สุด ไม่เลือกอนาคตใหม่แล้วเลือกใคร พปชร.เรอะ ปชป.เรอะ เพื่อไทยเรอะ ผมมองว่าคนพวกนี้ตัดสินใจ เพราะวันที่ 8 ก.พ.ที่อนาคตใหม่แสดงจุดยืนชัดเจน ว่าไม่เล่นด้วยกับเกม ทษชว. คือก่อนหน้านั้นก็ไม่เอา พปชร. ปชป.อยู่แล้ว แต่กลัวธนาธรเข้าข้างแม้ว พอเห็นความกล้าประกาศชัด ก็เอาวะ ผัง IO อาจทำให้บางคนไขว้เขว แต่ไม่เท่าไหร่ ทำความเข้าใจแล้วช่วยให้กระแสดีกว่าเดิมก็ได้
3.สำหรับคำตอบโต้ บางประเด็นก็ดีนะ เช่นอันไหนธนาธรไม่ได้พูด จริงๆ พูดอย่างไร แต่บางประเด็นก็เกร็งไปหน่อย เช่นภาพในม็อบเสื้อแดง บอกไปเลยว่าเป็นแดงไม่เห็นเป็นไร เพราะเป็นแดงด้วยความรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม ไม่ใช่เห็นด้วยกับแม้วทุกเรื่อง ก่อนหน้าที่ร่วมม็อบเหลือง ก็บอกให้ชัดว่าสมัย พธม.ไล่แม้ว มีคนเข้าร่วมตั้งมาก หมอเหวงยังขึ้นเวที แต่พอโผล่ ม.7 ก็ถอนตัวกันระนาว

4.ย้ำอีกที สิ่งที่ IO ไม่เข้าใจ และฝ่ายที่ตอบโต้ควรเข้าใจคือ ความเป็นไทย ศาสนา พิธีกรรม ค่านิยมต่างๆ เรื่องผู้หลักผู้ใหญ่ อาวุโส อะไรนี่ คนไทยจำนวนมากเบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว แต่ไม่แสดงออก เพราะกระแสอนุรักษ์นิยมมันครอบงำ แบบสมมติทำโพล เห็นด้วยไหมเลิกอุปถัมภ์ทุกศาสนา เลิกให้เงินอุดหนุนวัด มัสยิด (ที่พวกคลั่งพุทธเอาไปด่าๆ กันว่ารัฐอุดหนุนมัสยิด ก็เพราะเมื่อให้เงินวัดก็ต้องให้มัสยิด) เชื่อเหอะว่า ผลออกมาจะคัดค้าน 99% ไม่มีใครอยากสวนกระแส เดี๋ยวหาว่าเป็นคนบาป แต่ในใจบ่นพึมพำ โคตรเปลืองเลย เอามาซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลดีกว่ามั้ง

อัลติมา ทูลี (Ultima Thule) วัตถุอวกาศสองก้อนติดกัน และค้นพบว่ามันแบน!


[full-post]



ไขปริศนาจักรวาล ตอน หลุมดำ ปีศาจจอมกระหายแห่ง จักรวาล What Is a Black Hole?


[full-post]


THE FINAL CUT เผยแพร่เมื่อ 11 ก.พ. 2019

พบกับการสรุปเส้นทางเรื่องราวของหนัง Fast and Furious ทั้ง 8 ภาค จนมาถึงทางแยกแห่งจักรวาลขยายที่ใหญ่และเดือดกว่าเดิมใน Fast and Furious Presents: Hobbs & Shaw


[full-post]



ออกล่ามนุษย์ต่างดาว ตอน ดาวเทียมเอเลี่ยน Black Knight Satellite และสัญญาณจากต่างดาว


[full-post]



ทฤษฎีใหม่!! ดวงจันทร์คือยานอวกาศและภายในกลวง? | ผู้มาเยือนจากต่างดาว EP.4 : ฐานบัญชาการบนดวงจันทร์


[full-post]



สงครามอวกาศเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อพันปีก่อน? | ผู้มาเยือนจากต่างดาว EP.3 : สงครามอวกาศ


[full-post]



คลิปข่าว / ภัยธรรมชาติที่รุนแรงของโลก ขยายตัว / เป็นข่าวดังข่าวใหญ่ล่าสุดวันนี้ ที่น่าติดตาม! สัก ศิลา 11/2/2562 ( ภาพประกอบข่าวจาก Ruptly / ข่าวอิสระ )


[full-post]



superent02 เผยแพร่เมื่อ 19 ต.ค. 2018

เชื่อไหมว่า !!!อวกาศนั่นใช่ว่าจะไม่มีเสียงใด ๆ การพัฒนาในวงการวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่า ในอวกาศนั้นมันไม่ได้มีแต่ความเงียบสงบ ในอวกาศเต็มไปด้วเสียงอันอึกกะทึก เสียงของดวงดาว เสียงของดวงจันทร์บริวาร หรือแม้แต่เสียงวงแหวนของดาวบางดวงเอง ก็แตกต่างกันออกไป และรวมไปถึงโลกที่เราอยู่ก็มีเสียงที่แตกต่างเช่นกัน นี่คือเสียงของดวงดาวที่มันแตกต่างกันและยัง มีเสน่ห์ของมันซ่อนตัวอยู่ เสียงจะเป็นยังไงบ้าง ไปติดตาม

[full-post]



สัก ศิลา ข่าวอิสระ

เผยแพร่เมื่อ 8 ก.พ. 2019

คลิปข่าว / รัสเซีย ประกาศยืนหยัดต้าน สหรัฐ / เป็นข่าวดังข่าวใหญ่ล่าสุดวันนี้ สัก ศิลา 8/2/2562 ( ภาพประกอบข่าว จาก Ruptly / ข่าวอิสระ )

[right-side]



สัก ศิลา ข่าวอิสระ

เผยแพร่เมื่อ 9 ก.พ. 2019

คลิปข่าวด่วน / มี 2 ปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ซ้ำเติมวิกฤต สภาพอากาศโลก / เป็นข่าวดังล่าสุดวันนี้ ที่น่าติดตาม! สัก ศิลา 9/2/2562 ( ภาพประกอบข่าว จาก Ruptly / ข่าวอิสระ )

[right-side]



สัก ศิลา ข่าวอิสระ เผยแพร่เมื่อ 30 ม.ค. 2019

คลิป ข่าวด่วน! ค้นพบเชื้อโรคร้ายดื้อยา ตัวใหม่ ที่อาร์กติก / เป็นข่าวดังล่าสุดวันนี้ ที่น่าติดตาม! สัก ศิลา 31/1/2562 ( ภาพประกอบข่าว จาก Ruptly / ข่าวอิสระ )


[right-side]


Surasak Asvasena Asvasena

คุณสราริน ชาลีวรรณ เขต22 เบอร์10 ครับ ฝากน้องโบเพื่อรับใช้พี่น้องด้วยครับ (ผู้สมัครท่านใดสนใจยินดีรับจ้างทำสื่อครับ)



รีระวี ดาวดิน

พฤ.7กพ.62 หน้าทำเนียบรัฐบาล ถ.พิษณุโลก กทม.

#สำนักข่าวพลังมด

กลุ่มราษฎรสามัญชนโดยทนายความประเวศน์ ประภานุกูล และกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย โดย สรัญญา แก้วประเสร็ฐ โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ กานต์ พงษ์ประภาพันธ์ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ร่วมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและกองทัพหยุดความรุนแรงและการปราบปรามประชาชน


1. รัฐบาลเผด็จการทหารต้องคืนศพสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นำฆาตกรมาลงโทษ
2. หยุดทำร้ายและหยุดการกระทำที่นำไปสู่การอุ้มฆ่านายเอกชัย หงส์กังวานและนักกิจกรรมการเมืองคนอื่นๆ
3. ยุติคำสั่งเผด็จการ ปล่อยตัวนักโทษการเมือง ยุติคดีที่เกิดจากประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพ และนำผู้ลี้ภัยกลับบ้านก่อนการเลือกตั้ง
4. หยุดใช้เล่ห์และการใช้อำนาจทำลายพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ให้มีการจัดการเลือกตั้งเสรี เป็นธรรม

(ไลฟ์โดย : ทีมข่าวพลังมด)



today.line.me

เมื่อไหร่จะมา? “นารีขี่ม้าขาว” คำทำนาย“หลวงพ่อฤาษีลิงดำ”

พุทธทำนายกระฉ่อนร่อนสะพัด. เมื่อผู้สมัครเลือกสตรีเข้าแถวเตรียมนำทัพ. จับตาจุดพลิกชะตาประเทศ. ต้องให้นารีขี่ม้าขาวสักกี่คนถึงสางปัญหาประเทศจนรอดพ้นวิกฤต

ฤดูกาลเลือกตั้งอันร้อนแรง ผู้สมัครว่าที่นายกรัฐมนตรีแต่ละพรรคการเมืองล้วนน่าสนใจ แต่เมื่อมี “สุภาพสตรี” โผล่เข้ามาในรายชื่อเมื่อไหร่ คนไทยก็มักมีความหวังว่า อาจจะเป็น "นารีขี่ม้าขาว" มาพลิกลิขิตประเทศให้กลับมาสดใส

ทำไมต้องนารีในยุคที่การสื่อสารยังไม่เฟื่องฟูและถูกตรวจสอบได้ มีคนหยิบร้อยกรองหนึ่ง อ้างถึงพุทธทำนาย ว่าเป็นดำรัสของพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อดีตเจ้าอาวาสวัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อุทัยธานี ผู้ที่ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้าง ว่าเป็นพระปฏิบัติดี และมีชื่อเสียงในด้าน การบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเนื้อหาคำทำนาย มีการตีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือ จะมีผู้หญิง ขึ้นนำประเทศ และนำพาให้ชาติพ้นภัย

แม่นจนต้องจำ ที่ผ่านมาแต่ละวรรคตอนของร้อยกรองที่อ้างว่าเป็นของท่าน ล้วนเป็นหลักกิโลของประเทศได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ.2460-2535) ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่วงการสงฆ์มากมาย อีกทั้งเป็นพระที่ขึ้นชื่อว่า เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ยามที่ท่านละสังขารไป ร่างกายก็ไม่เน่าเปื่อย อยู่ที่วัดท่าซุง ให้ผู้คนได้เข้าไปกราบไหว้จนทุกวันนี้

กาขาวเต็มประเทศ ในคำทำนายเรื่อง ชาวต่างชาติเข้ามาหลบลี้หนีคดี พำนักอยู่ในประเทศสยาม สูบกินทรัพยากร มีความแจ่มชัดที่สุด การเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติ การเมืองแบ่งฝักฝ่ายอย่างชัดเจน เป็นไปตามลำดับขั้นตอน แต่ละวรรค และละวลีอย่างที่ไม่ต้องมโนเอา ในปี 2517 หลวงพ่อบอกว่า ในสยามเรานี้ มีน้ำมันอยู่เต็มพื้นดิน ถ้าได้คนดี มีศีลมาเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์จากน้ำมันนี้อย่างแท้จริง

ข้าเป็นนายนายเป็นข้า ดูจะเป็นคำทำนายซึ่งประจักษ์แก่สายตาที่สุดในเรื่องของการเมือง เมื่อตัวแทนนอมินีแห่กันเข้ามาเป็นหุ่นเชิดบริหารงานแผ่นดินจนทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา ผู้คนในประเทศจึงมีความหวังว่า สักวัน จะมีนารีขี่ม้าขาวมาช่วยประเทศได้อย่างแท้จริง “จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง”

นารีตกม้า เมื่อการเมืองไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 เป็นผู้หญิงคนแรก เมื่อ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 หลายคนที่เชื่อในพุทธทำนาย ต่างมีความหวังเรืองรอง ตลอดระยะเวลา 2 ปี 275 วัน ความหวังนั้นก็มลายไป เพราะหนทางนำพาประเทศไปสู่ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ยังคงมืดบอด เมื่อตระหนักแล้วว่า อดีตนายก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ยังไม่ใช่ นารีคนนั้น และอดีตนายกหญิงยังคงไม่ได้อยู่ในแผ่นดินสยามด้วยการหลบหนีคดีความผิด จนผู้คนคิดว่า สิ้นแล้วตำนานม้าขาว

ยุคมหาชนพาไป เมื่อการเมืองแบ่งฝ่ายเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ตัวแทนจากเปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา น่าจะเป็นคนที่ได้ใจทั้งสองฝ่าย หรือสามารถเข้าถึงประชาชนตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับข้าหลวงได้ ตัวเต็งอย่าง "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" จะเป็นคนนั้นได้หรือไม่ เมื่อตัวคุณหญิงเอง มีภาพลักษณ์ของฝั่งการเมืองหนึ่งอย่างชัดเจน และประชาชนในประเทศไทยก็ไม่มีวุฒิภาวะน้ำใจนักกีฬาทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่เหมือน ผู้คนในสหรัฐ ที่เมื่อการเมืองสิ้นสุด ก็พร้อมจะสนับสนุนผู้นำอีกฝั่ง แต่ในสยาม ยังห่างไกลจากจุดนั้น

รวมใจกันเป็นหนึ่ง หากจะมีสตรีสักคน รวมใจให้คนในชาติให้เดินต่อไปผ่านวิกฤติไปได้ สตรีคนนี้ ควรเป็นใคร ต้องมีความคิดที่ล้ำเลิศ หรือเป็นคนที่โอบอ้อมอารี ใครที่ทุกคนเกรงใจ ปราบได้ทั้งทหาร ได้ทั้งตำรวจ ปรามได้ทั้งอำมาตย์ ทั้งข้าราชการกังฉิน ตงฉิน เมื่อนั้น สยามไซร้ ยังมีความหวัง ที่จะมีช่วงเวลาแห่งยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพอันแท้จริง

[full-post]


today.line.me

“แต๊ะเอียก้อนใหญ่” เงินคนไทยที่รัฐบาลไทยใส่หีบถวายรัฐบาลจีน!

เข้าสู่ฤดูกาลแห่งเทศกาลตรุษจีน “ซินเจียหยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้” เทศกาลปีใหม่ของชาวจีนที่เต็มไปด้วยสีแดงอันเป็นสีมงคลของวัฒนธรรมจีน พ่วงมาด้วยธรรมเนียมของการให้ “แต๊ะเอีย” อันเป็นสัญลักษณ์ของการอวยพร ผ่านการให้สิ่งของหรือเงินเพื่อเป็นสิริมงคลกับคนที่รักในวันปีใหม่

คนทั่วไปอาจจะได้รับแต๊ะเอียเป็นเงินขวัญถุง แต่ถ้ามองไปในช่วงที่รัฐบาล คสช. ขึ้นมาบริหารประเทศ ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและจีน จะดูแน่นแฟ้นขึ้นมากกว่าเก่าเป็นเท่าตัว

สอดคล้องกับนโยบายสร้าง “เส้นทางสายไหม” ของจีน ที่รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อก้าวสู่ความเป็นมหาอำนาจของโลก ต่อกรกับจ้าวโลกเดิมอย่างสหรัฐอเมริกา

ในสถานะแบบ บ้านพี่เมืองน้องที่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น หนีไม่พ้นที่จะมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และรัฐบาลไทยเองก็ดูเหมือนจะมอบ แต๊ะเอียเป็นของขวัญสร้างสัมพันธภาพแสนดีให้กับจีน จนบางครั้งดูเหมือนว่าจะ ‘มากเกินเหตุ’ และถูกครอบงำอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ จนกลายเป็น ‘ลูกไล่’ มากกว่าจะเป็น ‘คู่ค้า’

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน จากคำพูดของ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล"ที่ออกมาเขียนบทความ ชื่อว่า “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก” ที่มีตอนหนึ่งพูดถึงการถ่วงดุลอำนาจผ่านนโยบายต่างประเทศ ที่แต่เดิมเข้าหาหลายประเทศเพื่อไม่ฝักใฝ่ประเทศใดประเทศหนึ่งจนเกินไป แต่ในช่วงที่ คสช. เข้ามาทำหน้าที่ ดูเหมือนจะดำเนินนโยบายที่เอาใจประเทศจีนมากกว่ามหามิตรอื่น ๆ

ผ่าน แต๊ะเอียก้อนยักษ์ที่ใส่ซองเอาใจจีนอย่างไม่สนผลประโยชน์ชาติ

โครงการยักษ์แรก อย่าง ‘รถไฟความเร็วสูงไทย- จีน’ ที่เป็นโครงการความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ หวังให้ทางการจีนรับซื้อข้าวจากไทยเพื่อแลกเปลี่ยน และยอมให้ใช้ทรัพยากรจากจีนในการก่อสร้างและเดินรถ ทั้งการใช้ขบวนรถไฟจากจีน ให้บริษัทจีนออกแบบและคุมงาน โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ ที่อาจมีความสามารถที่พอสู้ได้เข้ามานำเสนอเพื่อเปรียบเทียบก่อนเลือก

แถมยังใช้อำนาจมาตรา 44 ลงดาบออกคำสั่งเปิดช่องให้สถาปนิกและวิศวกรจากจีนเข้ามาทำงานได้ จากที่แต่เดิมมีกฎหมายตามพระราชบัญญัติวิศวกรและสถาปนิก กำหนดให้ต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพเสียก่อน เมื่อมีคำสั่งนี้ ก็เพียงแค่มีหลักสูตรฝึกอบรบเร่งรัดตามความเหมาะสมอย่างเดียวก็พอ

แถมในคำสั่งนี้ยังอนุญาตให้การรถไฟแห่งประเทศไทยในฐานะเจ้าของโครงการ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ หรือการจัดหาผู้ประกอบการและเสนอราคา อย่างที่โครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องทำตาม เพื่อลดช่องคอร์รัปชั่น

เป็นผลประโยชน์ที่มีแต่ คสช. เท่านั้นที่ทำได้ ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จในการยกเลิกกฎหมายตามมาตรา 44 ที่มีอยู่ในมือ เป็น ‘ของขวัญ’ ที่มอบให้จีนเพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น

อีกหนึ่งโครงการยักษ์ที่เหมือนเป็นของขวัญให้กับรัฐบาลและนักลงทุนชาวจีน คือ "โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" หรือ EEC ที่เป็นความฝันของไทยในการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาค ทั้งด้านอุตสาหกรรมและดิจิทัล ตามยุทธศาสตร์ ไทยแลนด์ 4.0

ดูเผิน ๆ จะเป็นการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ผ่านการเชื่อมโยงกับนโยบาย One Belt One Road ของประเทศจีน แต่ในตัวกฎหมาย EEC เอง กลับมีข้อความที่เปิดโอกาสเต็มที่ให้ชาวต่างชาติมาเป็นผู้อยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทย อย่างไม่จำกัดจำนวนสูงสุด

อีกทั้งยังไม่ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่ดินเดิม หรือกฎหมายอาคารชุดเดิม ที่จำกัดจำนวนสิทธิ์ที่ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาถือครองที่อยู่อาศัยและที่ดินในไทยได้

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรยังกล่าวด้วยว่า การเปิดช่องทางถือครองที่ดินแบบนี้ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนชาวจีนโดยตรง เพราะในแวดวงของนักลงทุนชาติอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีความต้องการเข้ามาซื้อที่ดินมากขนาดนั้น (อาจมีเฉพาะผู้ประกอบการที่อาจมาตั้งโรงงานต่าง ๆ)

นี่ดูจะเป็นการเข้ามาครอบงำดินแดนไทยภายใต้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ผ่านฉลุยอย่างง่ายดาย ไม่มีการทบทวนแต่อย่างใด เพื่อให้รัฐบาลจีนมองไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ส่งเครื่องบรรณาการเป็นข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจในแบบที่ ‘ยอม’ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

ในระดับโลก เขาเรียกสิ่งที่จีนกำลังพยายามทำกันว่า ‘New Colonialism’ หรือการสร้าง จักรวรรดินิยมยุคใหม่ผ่านข้อแลกเปลี่ยนในการสร้างระบบโครงสร้างขนาดยักษ์ หรือสิทธิ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อแลกกับประโยชน์ทางการฑูตในภายภาคหน้า

น่าจับตามองว่า ซองแต๊ะเอียขนาดยักษ์ที่รัฐบาลทหารไทยยื่นให้จีนครั้งนี้ เราจะต้องเสียอะไรไปในอนาคตบ้าง

ที่มาข้อมูล:

https://www.khaosod.co.th/politics/news_1997305

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/162/27.PDF

https://www.prachachat.net/economy/news-209895

https://prachatai.com/journal/2018/06/77305

https://thestandard.co/news-politics-worasak-mahatdhanobol-china-one-belt-one-road/

[full-post]



ไอ้พวกที่โอดครวญว่าประเทศไทยไม่ผิดอะไร เขาแจ้งมาให้จับก็จับ กลายเป็นแพะรับบาป ช่วยกันเซฟไทยแลนด์ไว้

ขอให้ดูความจริงหน่อยนะ อย่างน้อยก่อนที่จะไปไล่เรื่องย้อนหลัง เมริงว่าดีดีเย ดร็อกบา, เจมี วาร์ดี้ ฯลฯ ก่อนหน้านี้มีใครรู้เรื่องฮาคีมมั่ง เขาก็รณรงค์กันในกลุ่มเฉพาะ แม้จะมีรัฐมนตรี ตปท.ออสเตรเลีย มีฟีฟ่า ออกมาแสดงท่าที
แต่ที่มันเป็นเรื่องเป็นราว ก็เพราะเช้าวันจันทร์ ชั่วพริบตาเดียว ภาพฮาคีมโดนใส่ตรวน ที่ราชทัณฑ์เรียกว่ากุญแจเท้า มันแพร่สะพัดไปทั่วโลก ใครเห็นก็สะเทือนใจ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาไม่ผิด เป็นการยัดข้อหาทางการเมือง เพราะเหตุมันเกิดในช่วงอาหรับสปริง หรือผิดไม่ผิด ก็ยังอยู่ในขั้นขอตัว กลับสูญสิ้นอิสรภาพ ถูกคุมขังล่ามโซ่ยังกะอาชญากรปล้นฆ่า
กระบวนการยุติธรรมไทยฉิบหายในพริบตา ไม่ต้องมาแถหรอก บอกแล้วว่านึกภาพศาลฝรั่ง ถ้ามีการพิจารณาคดีอย่างนี้ ฮาคีมคงได้ประกัน ใส่สูทมาขึ้นศาลกับทนาย เจ้าหน้าที่สถานทูต
ข้อถัดมา ที่ว่าตำรวจสากลออสเตรีเลียผิดพลาด แจ้งหมายแดง เป็นเรื่องที่สื่อออสเตรเลียเขาขุดคุ้ยมา วิจารณ์ว่าเกิดเรื่องแบบนี้หลายครั้งแล้ว ไม่กรองผู้ลี้ภัย แต่หมายแดงไม่ใช่การแจ้งให้จับ เป็นการแจ้งว่า มีหมายจับของบาห์เรน ซึ่งหลังจาก ตม.ไทยจับ ออสเตรเลียก็แจ้งยกเลิกทันที และขอตัวคืน มีเวลาหลายวันให้ตัดสินใจ เนรเทศกลับต้นทางก็ได้ แต่ประเทศไทยกลับรอให้บาห์เรนซึ่งไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทำเรื่องขอตัวมา
จนวันนี้ที่จริงก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า ไทยมีสิทธิปฏิเสธ โดยใช้อำนาจบริหาร ถอนฟ้อง ส่งตัวกลับต้นทาง ให้เขาไปว่ากันเอง ก็ทำได้ แต่ต้องให้นักกฎหมายระหว่างประเทศมาชี้ชัด
ข้อสุดท้าย ที่สำคัญ คือจุดยืน ทัศนะ วิธีปฏิบัติ ต่อผู้ลี้ภัยของรัฐไทย เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปี จากประเทศที่ก้าวหน้าทางสิทธิมนุษยชนอันดับต้นๆ ของภูมิภาคนี้ เข้าใจวิถีปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยการเมือง กลายเป็นประเทศที่ส่งกลับอุยกูร์ ส่งกลับผู้ลี้ภัยกัมพูชา (ไม่ขึ้นศาลด้วยนะ อ้างว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายแล้ว ตม.ส่งกลับทันที เช่น ผู้หญิงที่มีคลิปปารองเท้าใส่ภาพฮุนเซ็น UNHCR รับเป็นผู้ลี้ภัยแล้ว ส่งกลับเฉยเลย)
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่มีคนต้องลี้ภัยจำนวนมากมาย กระจัดกระจายกันไปอยู่ทุกมุมโลก แต่ไม่ยอมแพ้ ยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐประหาร รวมตัวกันต้านประยุดไปเยือนยุโรป ไม่ต่างจากฮาคีมไปอยู่ออสเตรเลียก็ยังวิจารณ์บาห์เรน ทั้งรัฐบาลทหารและสลิ่ม ก็เลยเกลียดกติกาสากลว่าด้วยผู้ลี้ภัยทางการเมือง หลักปฏิบัติก็เปลี่ยนไปหมด กลายเป็นประเทศนักจับส่ง ไม่ใช่ประเทศที่คำนึงถึงสิทธิ
กรณีฮาคีม ที่พะวักพะวงก็เพราะกลัวเสียผลประโยชน์ คนออสเตรเลียต่อต้าน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่งั้นเรอะ รัฐไทยคงไม่แยแสฮาคีมหรอก ส่งกลับเหมือนเขมรนั่นแหละ สลิ่มก็ไม่แยแส โยนทะเลดีกว่า ปัดโธ่ ก็ผู้ลี้ภัยคนไทยถูกฆ่า ทิ้งแม่น้ำโขง บางคนยังสะใจ จะไปแยแสอะไรกับต่างชาติต่างศาสนาอย่างฮาคีม


Posted: 05 Feb 2019 12:42 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-02-05 15:42


ศรายุทธ ฤทธิพิณ สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงาน

สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน คปอ.ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าศรีสะเกษ ผ่านถึงประธาน สนช.ให้ชะลอร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ หวั่นกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ประชาชนไม่มีส่วนร่วมบริหารทรัพยากร อำนาจผูกขาดที่เจ้าหน้าที่รัฐ ชี้เคยรวมหมื่นรายชื่อเสนอ พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

5 ก.พ. 2562 วานนี้ เวลาประมาณ 10.00 น.ตัวแทนสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย ชุมชนหนองบัว ชุมชนหนองหมู ต.โพธิ์ อ.เมืองศรีสะเกษ และชุมชนโคกป่าแดง ต.สำโรงปราสาท อ.ปรางก์กู่ จ.ศรีสะเกษ กว่า 30 คน เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ส่งถึงประธานสภานิติบัญญัติ ให้ชะลอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ (พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ)

ปฐม รัตนวรรณ สมาชิก คปอ.ตัวแทนชาวบ้านชุมชนหนองบัว กล่าวว่า ภายหลังตัวแทนพี่น้องสมาชิก คปอ.ในพื้นที่ศรีสะเกษ ที่ต่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกิน เดินทางมาถึงบริเวณศาลากลางจังหวัด ได้ร่วมกันเขียนข้อความลงแผ่นกระดาษเพื่อเป็นสื่อรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งบุคคลต่างๆที่พบเห็นได้เข้าใจความหมาย โดยมีใจความว่า คนอยู่กับป่าหาของป่า ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ ,สนช.อยู่ในห้องแอร์ ชาวบ้านอยู่ในป่ามาแต่กำเนิด ใครควรมีสิทธิอยู่อาศัย,หยุดลิดรอนสิทธิชุมชน หยุดกระบวนการร่างกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม,จำคุก 4 - 10 ปี ปรับ 400,000 - 2,000,000 บาท นี่หรือคือสิ่งที่ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรม เป็นต้น


ปฐม บอกอีกว่า จากนั้นร่วมกันถือแผ่นป้ายที่เขียนข้อความดังกล่าว เดินรณรงค์ในบริเวณศาลากลาง และเดินขึ้นไปยังอาคารเพื่อเข้าพบผู้ว่าฯ แต่ปรากฎว่าทั้งผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ ไม่อยู่ในห้องทำงาน ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าติดภารกิจที่อื่น จึงมอบหมายให้อนุรักษ์ ธรรมประจำจิต หัวหน้าสำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้รับและลงลายมือชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือที่ยื่นเพื่อส่งมอบให้ผู้ว่าฯ แทน

ตัวแทน คปอ.ชี้ว่า หาก พ.ร.บ.อุทยาน มีการประกาศใช้โดยไม่ปรับแก้เนื้อหา จะมีผลกระทบต่อคนที่อยู่ในป่า ซึ่ง พ.ร.บ.เดิมที่ใช้อยู่ก็กระทบอยู่แล้ว แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับยิ่งจะส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนมากกว่าเดิม

เช่น ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิชุมชนในการอนุรักษ์ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรที่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมทั้งเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยการกำหนดให้มีการขออนุญาตใช้ประโยชน์เป็นรายบุคคล ที่ประชาชนสามารถทำกินได้คราวละ 20 ปี หากบุคคลนั้นเสียชีวิต ทายาทผู้สืบทอดต้องเริ่มดำเนินการขออนุญาตอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ทำให้ไม่มีความมั่นคงในชีวิต และการขออนุญาตต้องอยู่ใต้อำนาจของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังกำหนดให้ชาวบ้านหาของป่าไม่ได้ เป็นต้น

"แสดงให้เห็นถึงขาดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า โดยอำนาจผูกขาดอยู่ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว ซึ่งมองว่าจะยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาอย่างรุนแรงในอนาคตมากยิ่งขึ้น จึงมาร่วมแสดงจุดยืนว่า คนที่อยู่กับป่าไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่ภาคประชาชนในหลายส่วนได้เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนกลับไม่ได้รับการสนองกลับ ดังนั้น สนช.ควรพิจารณาในการชะลอ พ.ร.บ.อุทยานออกไปก่อน โดยเปิดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเนื้อหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ดีกว่า ไม่ใช่เป็นการมาเพิ่มปัญหาให้ประชาชนยิ่งทุกข์หนักยิ่งไปอีก" ปฐม กล่าว

[full-post]


Posted: 05 Feb 2019 12:59 AM PST
Submitted on Tue, 2019-02-05 15:59

อันนา หล่อวัฒนตระกูล และธรรมชาติ กรีอักษร : เรื่อง
กิตติยา อรอินทร์ : ภาพ


แนะนำหนังสือดีอีก 8 เล่มที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งจากถ้อยคำของผู้เป็นเหยื่อโดยตรงและจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น พร้อมตั้งคำถามว่าความโหดร้ายอันเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของมนุษยชาตินั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเราจะทำอย่างไรอาชญากรรมอันร้ายแรงระดับนั้นจึงจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก


หลังจากได้แนะนำหนังดีทั้ง 8 เรื่องที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของมนุษย์ที่มีใบหน้าและมีหัวใจกันไปแล้ว เราขอแนะนำหนังสือดีอีก 8 เล่มที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งจากถ้อยคำของผู้เป็นเหยื่อโดยตรงและจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ซึ่งให้ใบหน้าและเลือดเนื้อแก่เหยื่อที่หลงเหลือเพียงตัวเลขในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ไปจนถึงมุมมองแบบนักวิชาการ ซึ่งชวนเรามาตั้งคำถามว่าความโหดร้ายอันเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของมนุษยชาตินั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเราจะทำอย่างไรอาชญากรรมอันร้ายแรงระดับนั้นจึงจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก

การอ่านวรรณกรรมอาจทำให้เราเข้าใจบาดแผลของผู้อื่นมากขึ้น อาจสอนให้เราเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่ไม่ใช่เราและไม่ใช่พวกพ้องของเรา อีกทั้งยังอาจชวนให้เราหันมองชีวิตและบ้านเมืองของเราเองว่ากำลังเดินไปทางใด เราจะรักษาเสรีภาพของเราไว้ได้อย่างไร และทำอย่างไรเราจึงจะไม่ตกหลุมแห่งความเกลียดชังจนถึงกับยินยอมพร้อมใจส่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปสู่ความตาย ดังเช่นที่ซูซาน ซอนทาคได้กล่าวไว้ว่า

“วรรณกรรมอาจถูกเรียกได้ว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของการตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่กำลังจะตายในขณะที่วัฒนธรรมต่างๆพัฒนาไปและมีปฏิสัมพันธ์กับกันและกัน...วรรณกรรมสามารถบอกเราว่าโลกเป็นอย่างไร วรรณกรรมให้บรรทัดฐานและเป็นเครื่องส่งต่อความรู้ที่บรรจุอยู่ในภาษาและในเรื่องเล่า วรรณกรรมสามารถสอนเราและฝึกฝนเราให้สามารถร้องไห้ให้กับผู้ที่ไม่ใช่ตัวเราหรือพวกพ้องของเรา”

000


แนะนำ 8 หนังดีเกี่ยวกับ ‘นาซี’, 30 ม.ค. 2562

Night

โดย เอลี วีเซล (Elie Wiesel)
พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2501
ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “คืนดับ” แปลโดยสายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี พิมพ์โดยสำนักพิมพ์โอ้มายก้อด


นวนิยายซึ่งเขียนขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเอลี วีเซล ซึ่งเป็นนักโทษในค่ายกักกันเอาท์ชวิตซ์และบูเคนวัลด์ในช่วงปีค.ศ. 1944 – 1945 “คืนดับ” เป็นเรื่องเล่าของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่สูญสลายไปด้วยผลแห่งความโหดร้ายของชีวิตในค่ายกักกัน และความเป็นมนุษย์ที่ถูกทำลายไปจนไม่เหลือแม้แต่ความต้องการจะมีชีวิตอยู่ ดังที่เอลี วีเซลได้เขียนไว้

“ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมความเงียบสงัดในค่ำคืนนั้นที่ได้พาความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ไปจากข้าพเจ้าจนหมดสิ้น ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาเหล่านั้นซึ่งได้ฆ่าพระเจ้าและจิตวิญญาณของข้าพเจ้าและทำลายความฝันของข้าพเจ้าจนเป็นผุยผง”

ซึ่งเรื่องเล่าของการสูญเสียตัวตนและความเป็นมนุษย์นี้พบเห็นได้มากในวรรณกรรมว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นาซี เมื่ออยู่ในค่ายกักกัน นักโทษสูญเสียทุกอย่าง ตัวตนของพวกเขาถูกลดทอนลงจนเหลือเพียงตัวเลขที่สักไว้บนแขน และความเจ็บปวดของอาชญากรรมสงครามนาซีกลับกลายเป็นบาดแผลที่อาจไม่มีวันเลือนหายของมนุษย์ชาติ วีเซลเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้สิบปีหลังจากค่ายกักกันบูเคนวัลด์ถูกปลดปล่อย โดยเขากล่าวว่า “ใน “คืนดับ” ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงจุดจบ...ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง – มนุษย์ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ศาสนา พระเจ้า ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก แต่ถึงกระนั้นเราก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในยามราตรี”

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในงานเขียนไตรภาคของเอลี วีเซลที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยเล่มที่สองและสาม คือ “Dawn” และ “Day”

The Diary of a Young Girl

โดย แอนน์ แฟรงค์ (Anne Frank)
พิมพ์ครั้งแรกในภาษาดัชท์ปี 2490 ภาษาอังกฤษปี 2495
ฉบับภาษาไทยชื่อว่า “บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์” แปลโดยสังวร ไกรฤกษ์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ


แอนน์ แฟรงค์ได้รับสมุดไดอารี่ปกสีแดงเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี ซึ่งแอนน์ตั้งชื่อว่า “คิตตี้” หนึ่งเดือนต่อมา พี่สาวของแอนน์ได้รับใบเรียกให้ไปรายงานตัว ครอบครัวของเธอจึงต้องย้ายจากบ้านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นบนของตึกที่ทำงานของพ่อของเธอ โดยประตูทางเข้าถูกบังไว้ด้วยชั้นหนังสือ หลังจากแอนน์เสียชีวิตในค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซน ขณะที่มีอายุได้ 15 ปี พ่อของเธอ ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว ได้ตีพิมพ์ไดอารี่ของเธอ

แอนน์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1945 ถ้าหากในขณะนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะมีอายุ 90 ปี และถึงแม้ว่าเธออาจไม่มีชีวิตรอดมาเล่าเรื่องราวของตัวเองเหมือนกับเอลี วีเซล แต่ข้อความในไดอารี่ที่เธอทิ้งไว้ก็เป็นเหมือนตัวแทนของเธอและสื่อกลางในการเล่าเรื่องราวของชีวิตที่ถูกตัดให้สั้นไปด้วยเหตุแห่งสงคราม ขณะนี้ “บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์” ได้มีการแปลไว้แล้วถึง 60 ภาษา และอาจถือเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์นาซีที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในโลก

The Book Thief

โดย มาร์คัส ซูซัก (Markus Zusak)
พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2548
ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “จอมโจรหนังสือ” แปลโดยบีจา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพิร์ล พับบลิชชิ่ง
สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2556 กำกับโดย ไบรอัน เพอร์ซิวาล (Brian Percival)
โซฟี เนลิสเซ (Sophie Nélisse) รับบทลีเซล เมมิงเจอร์


ในนวนิยายเรื่องนี้ ความตายเป็นผู้เล่าเรื่องราวของลีเซล เมมิงเจอร์วัย 10 ปี ซึ่งพ่อของเธอหายตัวไป น้องชายเสียชีวิต และแม่จำต้องส่งลีเซลให้กับพ่อแม่อุปถัมป์ ลีเซลล์เริ่มขโมยหนังสือจากที่ต่างๆ รวมไปถึงจากในกองไฟที่ทหารนาซีกำลังเผาหนังสือเพื่อฉลองในวันเกิดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นอกจากนี้พ่อแม่อุปถัมป์ของลีเซลยังให้ที่หลบซ่อนกับชายชาวยิวคนหนึ่ง อันเป็นการกระทำที่อาจหมายถึงความตายในนาซีเยอรมนี นวนิยายเรื่องนี้เลือกเล่าเรื่องราวของการใช้ชีวิตในนาซีเยอรมนีผ่านสายตาของเด็กหญิง ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักโทษในค่ายกักกันเ ลีเซลเองก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามเช่นกัน โดย “จอมโจรหนังสือ” เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงพลังของถ้อยคำและงานเขียนในห้วงเวลาแห่งความเกลียดชัง เป็นเรื่องราวของความกล้าหาญของผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกกระทำ แม้ว่าการให้ความช่วยเหลือนั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวพวกเขาเอง เรื่องราวของความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในโลกที่โหดร้าย เรื่องราวของชีวิตและความตาย

Sophie Scholl กุหลาบขาวและนาซี

โดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งแรกปี 2559 โดยสำนักพิมพ์ Way of Book


โซฟี โชล เป็นสมาชิกของ “ขบวนการกุหลาบขาว” กลุ่มนักศึกษาปัญญาชนที่ต่อต้านระบอบนาซีโดยใช้สันติวิธี ไม่ใช่อาวุธ ใช้เพียงถ้อยคำ ต่อมาโซฟีถูกจับข้อหากบฏหลังจากเธอถูกพบว่าแจกใบปลิวต่อต้านสงครามในมหาวิทยาลัยมิวนิค เธอและฮันส์ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับแกนนำของกลุ่มถูกตัดสินประหารชีวิต

เรื่องราวของโซฟีและขบวนการกุหลาบขาวคือเรื่องเล่าของกลุ่มคนเล็กๆที่แม้อาจไม่มีพลังอำนาจมากมาย แต่เป็นผู้ยึดมั่นในหลักการและกล้ายืนหยัดต่อสู้กับความโหดร้ายและอยุติธรรม และถึงแม้ว่าจะไม่มีแรงสนับสนุนมากมายในเวลานั้น เรื่องราวของโซฟีและขบวนการกุหลาบขาวก็ได้กลายเป็นตำนานในปัจจุบัน โดยในมหาวิทยาลัยมิวนิคยังมีจัตุรัสชื่อ “จัตุรัสสองพี่น้องโชล” ซึ่งเป็นที่ระลึกถึงฮันส์และโซฟี หนังสือเล่มนี้อาจไม่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าของประวัติศาสตร์ที่ไกลตัว แต่อาจเป็นเครื่องเตือนใจว่าเราควรตั้งคำถามต่อระบบและยืนหยัดต่อสู้ความโหดร้ายแทนที่จะเงียบเสียงไว้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยได้อีกครั้งเช่นกัน

I Serve the King of England (Obsluhoval jsem anglického krále)

โดย โบฮุมิล ฮราบัล (Bohumil Hrabal)
พิมพ์ครั้งแรกในภาษาเช็ก ปี 2514 ภาษาอังกฤษปี 2532


นวนิยายเรื่องนี้คือเรื่องของชายนามดีเจ (Dítě เป็นภาษาเช็ค แปลว่าเด็ก) ซึ่งทำงานอยู่ในโรงแรมในกรุงปราก คนรักของเขาคือลีเซ่นั้นเป็นชาวเยอรมันและเป็นผู้สนับสนุนฮิตเลอร์อย่างสุดจิตสุดใจ ยานและลีเซ่แต่งงานกันและย้ายไปอยู่ในสถานตากอากาศสำหรับหญิงชาวอารยันของพรรคนาซี เมื่อเขาและภรรยาต้องการมีบุตร ยานต้องถูกตรวจร่างกายเพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้มีบุตร เนื่องจากเขาไม่ใช่ชาวเยอรมัน นี่คือนวนิยายที่ชวนให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับเส้นแบ่งระหว่างเหยื่อและผู้กระทำ ยานนั้นอาจไม่ได้สนับสนุนระบอบนาซีอย่างเต็มตัว แต่เขาก็ไม่ได้ต่อต้านเช่นกัน เขาเพียงแต่ใช้ชีวิตไป พยายามไปให้ถึงความฝัน เช่นนี้แล้ว เขาทำผิดหรือเปล่าที่เลือกจะใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต่อต้านหรือตั้งคำถามกับระบอบ เขาคือผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำกันแน่ นอกจากนี้ นวนิยายเรื่องนี้ยังชวนให้คิดถึงผลกระทบของสงคราม ที่ไม่ได้มีผลแค่กับผู้ที่เป็นเหยื่อโดยตรง หรือเป็นผู้กระทำโดยตรงเท่านั้น

I Serve the King of England ได้มีการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยยิชี เมนเซล ผู้กำกับชาวเช็ค และได้ฉายครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2549

Why Read Hannah Arendt Now?

โดย ริชาร์ด เจ. เบิร์นสไตน์ (Richard J. Bernstein)
พิมพ์ครั้งแรกปี 2561


หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Richard J. Bernstein นักวิชาการจาก New School for Social Research และเพิ่งตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 นี้เอง หนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอความคิดและงานเขียนของ Hannah Arendt ที่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในยุครว่มสมัย

ผู้เขียนบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตและแนวคิดที่สำคัญของ Hannah Arendt นักคิดคนสำคัญแห่งยุคศตวรรษที่ 20 ซึ่งลี้ภัยจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีมาอยู่ฝรั่งเศส และเมื่อฝรั่งเศสถูกยึดครอง ก็ได้ย้ายหนีมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1941 ในระหว่างนี้ อาเรนท์ต้องเป็นคนไร้รัฐเป็นเวลานาน

ในช่วงชีวิตของเธอ เธอได้พัฒนา​แนวคิดขึ้นมากมาย งานบางส่วนของเธอเขียนขึ้นเพื่อศึกษา​ระบอบนาซี​ในช่วงดังกล่าว​ หนึ่งในงานที่สำคั​ญ​ของเธอ คือ งานเขียนเรื่อง Eichmann in Jerusalem ซึ่ง​เธอ​เสนอ​ว่า​ความ​โหดร้าย​ในระบอบนาซีเป็นสิ่งซึ่งสามัญ​ธรรม​ดา (banal)​ และเกิดขึ้น​เพียงเพราะ​ความ​สิ้นไร้ซึ่งความ​สามารถ​ในการคิด (thoughtlessness)​ มากกว่า​ที่​จะเกิดจากจิตวิญญาณ​ซาตานที่ต้องการทำลายล้างโลกของปีศาจผู้ชั่ว​ร้าย

หลายคนเห็นอย่างกับอาเรนท์อย่างรุนแรง แต่อาเรนท์ไม่ได้พยายาม​บอกว่า​ความ​โหดร้ายของระบอบนาซี​เป็น​เรื่องปกติ​ เธอพยายาม​เสนอให้เห็น​ว่าความชั่วร้ายนั้นทำงานอยู่ได้เพราะการที่คนไร้ซึ่งความสามารถ​ในการคิดเช่นนี้เอง และวิธีการแก้ปัญหา​ความโหดร้าย​เช่นนี้อาจสามารถเริ่มต้น​ได้ด้วยการคิด หนังสือเล่มนี้นำแนวคิดต่าง ๆ ของ Hannah Arendt​ ให้อ่านง่าย และชี้ให้เห็น​ว่าแนวคิดของเธอ ยิ่งสำคัญ​ในยุคร่วมสมัยที่เราใช้ชีวิต​อยู่​

Escape from Freedom

โดย อีริค ฟรอมม์ (Eric Fromm)
พิมพ์ครั้งแรกปี 2484
ฉบับภาษาไทยชื่อ “หนีไปจากเสรีภาพ” แปลโดยสมบัติ พิศสะอาด


หนังสือ Escape from Freedom เขียนโดย อิริก ฟรอมม์ นักจิตวิเคราะห์ชาวยิวที่หนีออกมาจากเยอรมนีภายใต้ระบอบนาซีใน ค.ศ. 1934 หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1941 (ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ซึ่งเป็นช่วงกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 อิริก ฟรอมม์ วิเคราะห์เงื่อนไขทางสังคมในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางถึงศตวรรษที่ 20 เพื่ออธิบายว่าเหตุใดมนุษย์ถึงหนีเสรีภาพ จนนำไปสู่การขึ้นมาของระบอบนาซีและฮิตเลอร์

หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การขาดไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แต่อาจเป็นเพราะลักษณะนิสัยของมนุษย์บางอย่างไม่สามารถหลีกหนีจากอิทธิพลของปัจจัยทางสังคมที่สร้างมันขึ้นมาได้ ในทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์เป็นปัจเจกที่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์สามารถจัดการกับความโดดเดี่ยวได้หลายวิธี

อย่างไรก็ตาม ระบอบประชาธิปไตยภายใต้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลับยิ่งทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก ด้วยเหตุนี้ การยอมเชื่อฟังจำนนต่อผู้มีอำนาจภายใต้ระบอบนาซีจึงเป็นวิธีหนึ่งในการหลีกหนีความโดดเดี่ยวดังกล่าว ผู้เขียนเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเศรษฐกิจไปสู่สังคมนิยม เป็นทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาความโดดเดี่ยวทางจิตวิทยาดังกล่าวได้ และอาจป้องกันไม่ให้ระบอบอำนาจนิยมอย่างเผด็จการนาซีเกิดขึ้นอีก
ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

โดย ภาณุ ตรัยเวช
พิมพ์ครั้งแรกปี 2559 โดยสำนักพิมพ์มติชน


วาทกรรม “ฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง” อยู่คู่กับการเล่าเรื่องราวของเยอรมนีในยุคนาซีมาเป็นเวลานาน แต่หนังสือเล่มนี้พยายามที่จะลบล้างวาทกรรมดังกล่าวด้วยการแสดงให้เห็นถึงภาพของสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยในเยอรมนี แต่ก็อาจถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ปั่นป่วนที่สุดของประเทศด้วยเช่นกัน ประชาธิปไตยในสาธารณรัฐไวมาร์ล่มสลายลงได้อย่างไร เผด็จการนาซีเยอรมนีกำเนิดมาได้อย่างไร นี่คือคำถามที่หนังสือเล่มนี้ต้องการตอบ ซึ่งอาจทำให้เราต้องย้อนมามองดูบ้านเมืองของเราเองว่ากำลังเดินไปในเส้นทางใด และเราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดการแบ่งเขาแบ่งเราหรือสร้างความเกลียดชังในระดับที่จะทำให้เราผลักผู้อื่นไปสู่ความตาย
[full-post]


Posted: 05 Feb 2019 01:12 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-02-05 16:12


นักเศรษฐศาสตร์ชี้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหลักหมื่นล้าน กุมารแพทย์แนะนำให้งดกิจกรรมกลางแจ้งของเด็ก นักวิชาการเสนอ ทำค่ามาตรฐานควบคุมสารก่อมะเร็ง สร้างดัชนีคุณภาพอากาศเชิงสุขภาพ เร่งปลูกพืชใบหยาบเพื่อช่วยดูดซับฝุ่นละออง งานวิจัยพบค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็ง 19 ชนิด กรุงเทพสูงสุด ตามด้วยเชียงใหม่และภูเก็ต

5 ก.พ. 2562 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน Bangkok Breathe และโรงเรียนรุ่งอรุณ สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ Thai PBS (ไทยพีบีเอส) จัดเวทีพูดคุย ‘มลภาวะทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 กับผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย’ เพื่อร่วมกันหาทางออก


พญ.ปองทอง ปูรานิธี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อเด็กว่า ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีขนาดเล็กจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของเด็กได้

“เด็กจะมีความเสี่ยงมาก เพราะอยู่ใกล้พื้นดิน และเด็กหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ดูดซึมมลพิษได้มากกว่า และถ้าเด็กวิ่งเล่นหรือออกกำลังกาย จะยิ่งหายใจเร็ว ก็จะรับมลพิษเข้าร่างกายได้มากขึ้น ขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ จึงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ ถ้ารับมลพิษตั้งแต่อายุน้อยก็จะเกิดโรคในระยะยาวได้” พญ.ปองทอง กล่าวพร้อมแนะนำว่า ในสภาวะที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ควรงดกิจกรรมกลางแจ้งของเด็กและอยู่ในอาคารที่ปิดมากที่สุดเพื่อป้องกันฝุ่นจากสภาพแวดล้อมภายนอก

ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ระบุว่า ตอนนี้สาธารณะสนใจเรื่องฝุ่น PM 2.5 กับดัชนีคุณภาพอากาศมาก แต่อยากให้ใส่ใจสารก่อมะเร็งที่มากับฝุ่นเหล่านี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีค่ามาตรฐานควบคุมสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ จากงานวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็ง 19 ชนิด ในกรุงเทพมีปริมาณสูงสุด ตามด้วยเชียงใหม่และภูเก็ต

เอื้อมพร มัชฌิมวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินคุณภาพอากาศและมลพิษทางอากาศ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ตอนนี้เหมือนอยู่ในห้องที่เพดานต่ำลงมา ทำให้ฝุ่นสะสมค่อนข้างมาก และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในระยะยาว ประเทศไทยควรสร้างดัชนีคุณภาพอากาศเชิงสุขภาพ (Air Quality Health Index: AQHI) เพื่อเป็นมาตรฐานในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ นอกจากนี้ในด้านการติดตามสภาพอากาศ ผศ.ดร.เอื้อมพร แนะนำว่าควรใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับการอ้างอิงคุณภาพอากาศที่มีการอัพเดทที่สุดและเครื่องมือที่ใช้วัดที่มีมาตรฐานในระดับสากล เช่น แอพพลิเคชั่นแอร์ฟอไทยของกรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น

ในส่วนของมาตรการแก้ปัญหา นพ.อนวัช เสริมสวรรค์ อายุรแพทย์ด้านหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เสนอการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น เช่น กระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดมาตรฐานเครื่องป้องกันและควบคุมราคาเครื่องฟอกอากาศ ในฟากกรมควบคุมมลพิษก็ควรตรวจสอบโรงงานและแหล่งก่อมลพิษต่างๆ รวมถึงการจัดการจราจรในกรุงเทพฯ เพื่อลดการปล่อยควันจากรถยนต์

วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายในแง่เศรษฐศาสตร์ว่า ทุกๆ 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 ที่เกินกว่าระดับปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน จะสร้างความเสียหายแก่คนกรุงเทพฯ มูลค่า 18,400 ล้านบาทต่อปี นั่นหมายความว่าเมื่อเป็นฝุ่น PM 2.5 จะยิ่งสร้างความเสียหายมากกว่า ในคราวนี้จึงขอเสนอมาตรการแก้ปัญหา 6 อย่าง คือ การสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของฝุ่นพิษ ลดการปล่อยฝุ่นพิษจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในรถยนต์ ลดฝุ่นจากการเผาในที่โล่งแจ้งในภาคเกษตร ควบคุมและตรวจสอบการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม สร้างความร่วมมือ ข้อตกลง และใช้มาตรการทางการค้าเพื่อป้องกันมลพิษจากประเทศเพื่อนบ้าน และการประเมินผลความสัมฤทธิ์ของมาตรการต่างๆ

ธรรมรัตน์ พุทธไทย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสนอมาตรการระยะยาวด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง โดยให้พิจารณาต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบหรือใบร่วงน้อย เลือกพืชที่ใบมีขน มีความสากของใบ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าต้นไม้ที่ใบผิวหยาบ มีความสาก หรือมีขน จะสามารถดักจับฝุ่นได้ดีกว่าต้นไม้ที่มีผิวใบเรียบ ดังนั้น ต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มที่มีใบขนาดเล็กจำนวนมากจะมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละอองสูงกว่าต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่แต่มีจำนวนใบน้อย

ด้าน วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า จากเวทีพูดคุยวันนี้ทำให้เห็นว่าฝ่ายวิชาการมีความเข้มแข็งมากในด้านข้อมูล ดังนั้น บทบาทต่อจากนี้ของ สช. คือการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาควิชาการ ภาคประชาชน และฝ่ายนโยบายเข้าหากันตามทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา สร้างกระบวนการปรึกษาหารือ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับผิดชอบ ผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น และดึงข้อเสนอที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันไปสู่การปฏิบัติ

“วิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะใช้พลิกฟื้นกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องฝุ่น แต่รวมถึงประเด็นอื่นๆ อย่างเมืองสีเขียว เมืองจักรยาน กระบวนการต่างๆ จะประกอบเป็นภาพใหญ่ที่จะพลิกเมืองกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรม” วีระศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
[full-post]


Posted: 05 Feb 2019 04:41 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-02-05 19:41


กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล : สัมภาษณ์/เรียบเรียง

กิตติยา อรอินทร์ : ภาพ

มองผู้ใช้ยาเสพติดผ่านงานศึกษาระดับปริญญาเอกของแพร ศิริศักดิ์ดำเกิง เมื่อพวกเขาละเมิดทุกบรรทัดฐานที่สังคมกำหนด พวกเขาจึงต้องยึดถือคุณค่าอื่นแทนเพื่ออยู่ร่วมกับชุมชน ต้องสนทนากับตนเองและพระเจ้า ปรับตัวกับบาปโดยไม่ต้องการทิ้งศาสนา เมื่อผู้ใช้ยาเป็นมากกว่า ‘ไอ้ขี้ยา’ แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

กฎหมาย สุขภาพ และศีลธรรมทางศาสนา เมื่อผู้ใช้ยาละเมิดทุกบรรทัดฐานหลักๆ พวกเขาจึงต้องหาคุณค่าอื่นเพื่อยึดถือและอยู่ร่วมกับชุมชน ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
ชุมชนไม่ได้มองเพียงมิติของการเป็นผู้ใช้ยา แต่ยังมองว่าคนเหล่านี้คือลูก หลาน เพื่อน ที่เติบโตขึ้นมาในชุมชน

งานศึกษาชิ้นนี้นำไปสู่คำตอบเชิงนโยบายเรื่องการลดอันตรายจากการใช้ยาและการใช้ชุมชนเป็นฐานในการดูแลผู้ใช้ยา


ทัศนคติของสังคมไทยต่อผู้ใช้ยาเสพติดยังเป็นไปในทางลบ ยากที่จะมองเป็นอย่างอื่น การเคลื่อนไหวกรณีกัญชาที่ค่อยๆ เห็นผลในทางรูปธรรมเป็นเพียงข้อยกเว้น

มันยาก เมื่อสังคมไทยถูกบ่มเพาะความคิด ความเชื่อ มุมมองต่อยาเสพติดและผู้ใช้ยาเสพติดมาอย่างยาวนานในแบบที่เห็นกันอยู่ พอฉายไฟไปที่ผู้ใช้ยาเสพติด สิ่งที่มองเห็นคือไอ้ขี้ยา ตัวถ่วงสังคม อาชญากร และอื่นๆ มันแบนราบถึงขนาดนั้น ไม่เหลือมิติอื่นๆ ให้ทำความเข้าใจอีกเลย

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของแพร ศิริศักดิ์ดำเกิง เรื่อง ‘ชีวิตมุสลิมใน “รังยาเสพติด”: ความปกติที่ต้องต่อรองในชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย’ พยายามมองผู้ใช้ยาเสพติดในมิติที่เป็นมนุษย์มากขึ้น มากกว่าตัวละครแบนราบและดำสนิทในฉากชีวิต ผู้ใช้ยา-พวกเขารู้ตัวดีว่าบาปและไม่บริสุทธิ์ตามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของศาสนา พวกเขาจึงต้องเสาะแสวงหาบรรทัดฐานอื่นๆ เพื่ออยู่ในชุมชนให้ได้ จัดรูปแบบความสัมพันธ์บางประเภทที่ยังพออนุญาตให้เขาเกาะเกี่ยวและมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ถึงวิทยานิพนธ์จะมีชื่อศาสนาระบุไว้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง การใช้ยาเสพติดมึนชาสติตนเองในทุกศาสนาล้วนเป็นบาป พวกเขาอาจเป็นคนบาป แต่ก็เป็นมนุษย์

จุดตั้งต้นแรกที่ทำให้สนใจศึกษาเรื่องนี้?

เราไปทำงานให้มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เขาอยากให้เล่าเรื่องชีวิตผู้ติดเชื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีสถานะแตกต่างจากผู้ติดเชื้อในที่อื่น เพราะผู้ติดเชื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มักเกิดจากการมีสามีเป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด เขามีความรู้เรื่องเอชไอวี แต่เขาไม่คิดว่ามันจะติดต่อกันภายในครอบครัว และการที่อิสลามอนุญาตให้มีภรรยา 4 คน บางครอบครัวก็มีภรรยามากกว่า 1 คน การแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีจึงมีรูปแบบแตกต่างจากที่อื่น แล้วก็ได้หนังสือชื่อใต้เงาฮิญาบออกมา

คำถามตอนที่เราลงไปเก็บข้อมูลเรื่องนี้คือทำไมยาเสพติดถึงเยอะขนาดนี้ เข้าไปในชุมชนสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อ เขาก็เล่าว่ายาเสพติดเยอะมาก คำถามที่มีต่อผู้คนที่นั่นคือเขากังวลเรื่องความรุนแรงหรือเปล่า เขาบอกว่าความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่าคือยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ เป็นที่มาของความอยากรู้เรื่องนี้ว่ามันเป็นยังไง เยอะแค่ไหน และทำไมคนที่นี่จึงเลือกใช้ยาเสพติด

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตอนลงไปศึกษา เราไม่ได้เลือกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมันมีปัญหาปะปนไปกับเรื่องความมั่นคง เราจึงเลือกพื้นที่หนึ่งซึ่งเป็นชุมชนมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ คำถามต่อมาคือชาวมุสลิมเป็นกลุ่มคนที่ถูกรับรู้ว่าเคร่งศาสนา แล้วทำไมถึงจัดการเรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดไม่ได้ เพราะเราเชื่อเสมอว่าความเชื่อเรื่องศาสนาจะเป็นเครื่องป้องกันความไม่ดีทั้งปวง

แล้วได้คำตอบหรือเปล่าว่าทำไมเคร่งศาสนาแล้วยาเสพติดจึงแพร่ระบาดหนัก?


ท้ายที่สุดแล้วไม่ได้คำตอบแบบนั้น เพราะลงไปก็จะมีมิติอื่นๆ ที่ทำให้เราเห็น ตอนออกแบบงานวิจัยมีคำถามแค่ว่า ทำไมเคร่งศาสนาแล้วยังมียาเสพติดแพร่ระบาด คำหนึ่งที่เราจะได้ยินเสมอจากคนในพื้นที่หรือคนที่เกี่ยวข้องว่า เห็นโดมมัสยิดไหนก็มียาเสพติดที่นั่น เป็นคำพูดที่เหมือนว่าชุมชนมุสลิมก็มียาเสพติด แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่ไหนก็ใช้ยาเสพติดทั้งนั้น สังคมพุทธก็ไม่ได้สามารถป้องกันยาเสพติดได้ เพราะมันมีตัวแปรอื่นๆ อีกเยอะแยะ

เราในฐานะคนที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เราจะมีการรับรู้ว่าคนใช้ยาเป็นอันตราย คำถามที่ 2 ของงานวิจัยคือเมื่อคนใช้ยามากขนาดนี้ เขาอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างไร

ที่ว่ามากนี่คือมากขนาดไหน?


ตอนที่เราลงไปทำใต้เงาฮิญาบ เราก็จะถามว่าที่บอกว่ามีปัญหาหนักๆ เราจะเรียกมันว่าหนักอย่างไร คนก็จะบอกว่าผู้ชายหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของหมู่บ้านใช้ยาเสพติดอย่างใดอย่างหนึ่ง เบาๆ ก็กัญชา น้ำกระท่อม หนักๆ ก็เฮโรอีน ยาบ้า ซึ่งก็เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะ

กับผู้หญิง ตอนอยู่ในสนามมีคำเล่าลือว่าผู้หญิงใช้ยาเสพติด เราพยายามจะหาคล้ายๆ ว่าถ้าผู้ชายที่ใช้ยาได้รับการยอมรับในสังคมน้อยแล้ว ผู้หญิงน้อยยิ่งกว่าอีก การหาผู้หญิงที่ใช้ยาเสพติดที่ยอมให้สัมภาษณ์จึงยากมาก และเขาก็โดนตีตรา แต่เราหาเจอและมีผู้หญิงบางคนที่ยินดีที่จะเล่า ในวิทยานิพนธ์ก็จะมีเรื่องราวของผู้หญิงอยู่นิดหนึ่ง

พวกเขาทำอย่างไรเพื่อให้อยู่ในชุมชนได้?

เวลาเราคิดถึงคนใช้ยาว่าเขาจะอยู่ร่วมกับคนในสังคมอย่างไร หรือคนในสังคมจะอยู่ร่วมกับคนใช้ยาอย่างไร เรากำลังมีบรรทัดฐานใหญ่ๆ ในสังคม เช่น กฎหมาย เรารู้สึกว่าคนใช้ยาเป็นพวกทำผิดกฎหมาย สองคือผิดหลักการศาสนา เพราะเราก็รู้ว่าทุกศาสนาห้ามเรื่องยาเสพติด สามคือคนใช้ยาผิดบรรทัดฐานทางสุขภาพ เพราะคุณทำร้ายตัวเองด้วยการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วคนใช้ยา ณ วันนี้ถูกนิยามว่าเป็นผู้ป่วย ดังนั้น ตอนที่เราตั้งโจทย์วิจัยซึ่งไม่ดีหรอก เพราะเราใช้บรรทัดฐานของเราในการมองว่า เขาผิดบรรทัดฐานเหล่านี้ใช่มั้ย จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไรล่ะ คือถ้าเราไม่มีบรรทัดฐานนี้มาตั้ง เราก็จะไม่มีคำถามว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไร เพราะเขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งตอนหลังก็พบว่าคำถามวิจัยนี้ก็ตีตราเขาเหมือนกัน

สิ่งที่เราไปหาก็คือเขาอยู่กับคนอื่นอย่างไร ก็พบว่าจริงๆ สังคมไม่ได้มีบรรทัดฐานแค่นั้น แต่สังคมชุมชนมีบรรทัดฐานอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายที่เขาให้คุณค่ายึดถือ ไม่จำเป็นต้องเป็นสามอย่างนี้เท่านั้น มันมีคุณค่าอื่นๆ อีกที่ชุมชนให้ค่า

ชุมชนที่เราไปศึกษาถูกบอกว่าเป็นชุมชนที่ไม่เคร่งศาสนา ยินดีที่จะทำผิดกฎหมายทุกอย่าง ถ้าถามคนนอกชุมชนก็จะบอกว่าเพราะพวกนี้ไม่เคร่งศาสนาไง ช่วยเหลือกันดีเหลือเกินเวลามีใครตรวจค้น ก็เลยทำให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด คำถามคือเคร่งและไม่เคร่งคืออะไร และการละเมิดกฎหมายก็มีทุกชุมชน ไม่ใช่มีเฉพาะชุมชนนี้เท่านั้น

เราก็ลงไปดูในชุมชนว่าคนใช้ยาอยู่ได้อย่างไร ในขณะที่สังคมตีตราว่าผิดกฎหมาย คนในสังคมชุมชนที่อยู่ร่วมคิดอย่างไรกับพวกเขา เพราะเวลาที่เราเดินเข้าไปก็ดูเป็นชุมชนที่สงบสุขดี อยู่ร่วมกันได้ คนใช้ยาก็เดินไปเดินมา คนในชุมชนรู้มั้ยว่าใครใช้ยา รู้หมด แล้วอะไรที่ทำให้เขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราคิดเสมอว่าคนใช้ยาเป็นคนอันตราย เขาอาจจะลักขโมยสิ่งของ จี้ปล้นเรา เพราะอยากได้เงินไปซื้อยา หรือเขาอาจจะคลุ้มคลั่งแล้วมาทำร้ายเรา

แต่ถามว่าคนในชุมชนกลัวคนใช้ยามั้ย คิดกับคนใช้ยาแบบนี้มั้ย พอเราลงไปเก็บข้อมูลก็พบว่า เขาไม่ได้เห็นคนใช้ยาเป็นแค่คนใช้ยา เพราะเขายังเห็นคนใช้ยาเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเพื่อน เป็นคนที่เติบโตในชุมชน เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาเรามองเข้าไปเราจะเห็นคนใช้ยาเป็นคนใช้ยา แต่จะไม่เห็นความเป็นคนในมิติอื่นๆ ของเขา ตรงนี้สำคัญ คนในชุมชนก็บอกว่า มันติดยาก็ใช่ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่มันก็ลูกเราน่ะ ก็ญาติเรา แล้วเราจะทำยังไง


มีหลายเรื่องเล่าที่ทำให้เห็นว่าคนใช้ยาเป็นคนที่สำคัญกับเขาในทางใดทางหนึ่ง เป็นเพื่อนบ้าน เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นลูก ซึ่งมันตัดไม่ตาย ขายไม่ขาด จะให้เรียกตำรวจมาจับ เขาก็ทำไม่ได้ เพราะมันมีความสัมพันธ์มากกว่าแค่การเป็นคนใช้ยา

คำตอบแรกที่ได้ก็คือเพราะเขาไม่ได้ยึดถือบรรทัดฐานตามกระแสหลัก แต่ยึดถือความเป็นญาติพี่น้องซึ่งสำคัญ การที่คนใช้ยาอยู่ในชุมชนและคนในชุมชนยึดถือเรื่องเครือญาติ มันจึงสำคัญ ส่งผลยังไงเมื่อยึดถือบรรทัดฐานแบบนี้ ผลก็คือคนใช้ยาจะต้องระมัดระวัง เขารู้ว่าอยู่ในชุมชนแบบนี้ ในความสัมพันธ์แบบนี้ และความสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้เขาปลอดภัย

ในมุมหนึ่งคนใช้ยาเห็นคุณค่าตรงนี้มั้ย เห็น เพราะคนใช้ยาที่นี่ก็จะเลือกใช้ยาที่ไม่ทำให้เกิดความคลุ้มคลั่ง เช่น ถ้าใช้ยาประเภทกล่อมประสาท ถ้าใช้มากก็จะทำให้หลอน เขามีคำพูดว่าใช้แล้วมันจะจำพี่ จำน้อง จำเพื่อนไม่ได้ ซึ่งมีแนวโน้มจะไปทำร้ายร่างกาย หรือใช้ยาบ้าในปริมาณมากและไม่นอนหลายวันก็จะทำให้เกิดภาวะหลอน จะคลุ้มคลั่งทำร้ายคนอื่น เขารู้ว่าถ้าทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นในซีนถัดไป เขาก็เลยเป็นคล้ายๆ ข้อห้ามของในชุมชนนี้ว่าจะไม่ใช้ยาประเภทนี้หรือจะไม่ใช้ยาบ้าเกินกว่านี้ เพราะจะจำพี่จำน้องไม่ได้

การจำพี่จำน้องไม่ได้แปลว่าอะไร แปลว่าเขาไม่กล้าใช้ เพราะเดี๋ยวจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วไปทำร้ายญาติพี่น้อง ซึ่งเขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะถ้าเขาทำร้ายญาติพี่น้องก็จะมีปัญหาต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติ หรือเฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่มีอยู่ในชุมชนแห่งนี้ เขาก็รู้ว่าถ้าใช้เฮโรอีนจะต้องเพิ่มปริมาณ เพิ่มปริมาณแปลว่าเพิ่มเงิน เพราะฉะนั้นเมื่อต้องเพิ่มเงินแล้วจะหาเงินจากไหน ก็ต้องลักขโมย จี้ปล้น เขาบอกว่าเพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มปริมาณการใช้เฮโรอีน เขาก็ไปใช้เมธาโดนโดยไปรับที่โรงพยาบาล เมธาโดนออกฤทธิ์ระยะยาว แปลว่าใช้ตอนนี้จะอยู่ได้ทั้งวัน ก็จะไม่อยากไปใช้อย่างอื่น ทำให้ลดการใช้ยา

ประการต่อมา เขาจะรู้ว่าการลักขโมยอาจเป็นสิ่งที่ยังพอรับกันได้ แต่การจี้ปล้น ทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ภายในชุมชน คุณจะไปจี้ญาติเป็นความผิดร้ายแรง ในชุมชนบอกเลยว่าไม่เคยมีอาชญากรรมประเภทจี้ปล้น ข่มขืน ฆ่า อันเกิดจากคนใช้ยาเสพติด ไม่มี แล้วพอไปถามคนใช้ยาว่าทำไมไม่มีอาชญากรรมประเภทนี้ เขาก็ตอบว่าทำได้ยังไง คุณจะไปเอาเงินญาติด้วยการจี้ปล้น นี่ญาตินะ ทั้งหมดนี้คือการให้คุณค่าของการเป็นเครือญาติ

ผลของมันคืออะไร ผลของมันก็คือคนใช้ยาสามารถอยู่ได้โดยไม่ถูกรังเกียจรังงอน ถ้ามีคนใช้ยาสักคนที่ไปจี้ปล้น ฆ่า คนในชุมชนก็คงไม่ให้เขาอยู่ การที่ไม่ละเมิดกฎของเครือญาติก็ทำให้เขาอยู่ในชุมชนได้ ขณะเดียวกันชุมชนก็ยังยอมรับเขาในมิติของความเป็นญาติได้


พวกเขามีความพยายามที่จะเลิกไหม?

มีอยู่แล้วค่ะ คิดว่าทุกคนที่เคยใช้ยาผ่านความรู้สึกพยายามที่จะเลิก เพราะการใช้ยาเสพติดมีวงจรของมัน เริ่มต้นรู้จักแล้วก็ใช้ ใช้จนหนัก จากเป็นผู้ใช้ก็กลายเป็นผู้ติด ตอนที่ติดหนักๆ สภาพร่างกายจะแย่ คนทุกคนรู้ว่าร่างกายจะไปไม่ไหวแล้ว เป็นช่วงที่รู้สึกผิด ก็ต้องหาทางเลิก ที่สำคัญคือหลายคนใช้ศาสนาเป็นหนทางเลิก เช่น ไปดะวะห์หรือการไปเผยแผ่ศาสนา เป็นกระบวนการที่ผู้ชายเดินทางไปหมู่บ้านต่างๆ เพื่อชักชวนคนให้กลับมาสู่ศาสนา ไม่ได้ชวนคนต่างศาสนานะ แต่ชวนคนในศาสนามานั่งสนทนาธรรม พูดคุยเรื่องศาสนา ซึ่งก็อาจจะไปดะวะห์ตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน 10 วัน 100 วันก็แล้วแต่ เป็นหนทางหนึ่งที่คนใช้ยาใช้เป็นทางเลือกในการละทิ้งหรือลดเลิกการใช้ยา

หมายความระหว่างที่ไปดะวะห์ พวกเขาจะไม่เสพ แล้วจะไม่เกิดอาการถอนยา?

ก็มีอยู่แล้ว แต่เขาก็ใช้ศาสนาบำบัด เช่น ไปละหมาด ไปอาบน้ำ ในระหว่างกระบวนการหลายคนบอกว่าช่วงเวลานั้นทำให้เขารู้สึกละ ลด เลิกได้ ในทางจิตใจทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายบริสุทธิ์ขึ้น หลายคนก็เลือกไปบำบัดในสถานบำบัดที่เป็นเรื่องศาสนาก็มี ก็แล้วแต่ใครจะเลือก บางคนก็เลือกวิธีสาบานต่อพระเจ้าว่าจะเลิกแล้ว ภาษาอาหรับเรียกว่าเตาบัต

มีเหตุให้ต้องถอนคำสาบานบ้างไหม?

อันนี้ก็มีปัญหาเรื่องการตีความอยู่เยอะ เพราะมีคนถามว่าจะไปสาบานหลายรอบได้มั้ยว่าจะเลิกแล้วนะ คนใช้ยาบางคนบอกว่าไม่เป็นไร ก็ตอนนี้สำนึกก็ต้องบอกว่าจะเลิก แล้วก็กลับมาใช้ยา แล้วก็สำนึกใหม่ก็ได้ หรือผู้นำศาสนาก็บอกว่าสาบานได้ครั้งเดียวพอแล้วในชีวิตว่าจะเลิก ไม่อย่างนั้นพระเจ้าจะไม่ยอมรับ มันมีความหลากหลายในการตีความ ซึ่งแล้วแต่ผู้นำจะอธิบาย
การเป็นผู้ใช้ยาก็คงหนักแล้ว และถ้าเป็นผู้ใช้ยาที่ติดเชื้อเอชไอวี มันจะยิ่งเพิ่มปัญหาในชีวิตหรือเปล่า?

โดยทั่วไปเวลาเป็นผู้ติดเชื้อ มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะบอกหรือไม่บอกคนอื่น ไม่แน่ใจว่าชุมชนจะรู้มากน้อยแค่ไหน เราก็ไม่ได้โฟกัส แต่เท่าที่เห็นหลายคนเลือกไม่บอกญาติพี่น้องในชุมชน

มีคนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อและใช้ยาหนัก ขโมยของด้วย คนนี้เราใช้ชื่อเขาในวิทยานิพนธ์ว่าการิม เขาเป็นคนที่ใช้ยาเสพติดตั้งแต่วัยรุ่น ที่บ้านเดิมมีฐานะดี พ่อแม่ก็เลี้ยงดูด้วยการให้ทุกอย่าง บ้านการิมมีลูกชาย 2 คน คนหนึ่งติดยา อีกคนค้ายาและติดยาด้วย การิมก็เป็นคนที่ใช้ยามานานและติดเชื้อเอชไอวี ความทุกข์สาหัสในชีวิตของการิมคือตอนที่รู้ว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี การิมแต่งงานแล้ว ถามว่าเขารักภรรยามั้ย รัก แต่ว่าภรรยาขอให้เลิกใช้ยากี่ครั้งกี่หนก็ไม่ยอมเลิก แต่พอรู้ว่าเขาติดเชื้อ เขาให้ภรรยาออกจากบ้านไปอยู่กับคนอื่น อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย

เขารู้สึกว่าใช้ยาก็แย่แล้ว ติดเชื้อยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ด้วยความรักที่เขามี เขาจะไม่เหนี่ยวรั้งภรรยาเขาอีกแล้ว พยายามให้ภรรยาออกไปจากชีวิต ภรรยาก็รักการิม แต่ท้ายที่สุดก็ไปและแต่งงานใหม่ หลังจากให้ภรรยาออกจากบ้านไปสิบกว่าปี ทุกวันนี้ การิมก็ไม่ได้มีภรรยาใหม่ เพราะเขาก็ยังรักภรรยา

และหลังจากที่รู้ว่าติดเชื้อ เขาจะให้ที่บ้านแยกจาน ชาม ช้อน ส้อมของตัวเองออก ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ติดผ่านสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ป้องกันทุกวิถีทางไม่ให้ครอบครัวต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ามันไม่ติด แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบเดียวที่เขาจะมีต่อครอบครัวได้

ครอบครัวเอง หลังจากแม่ตาย พี่สาวซึ่งรักกันมาก ก็แสดงให้เขารู้ว่าไม่รังเกียจ แล้วพี่สาวก็สั่งลูกๆ เอาไว้ว่าห้ามใครในบ้านแสดงท่าทีรังเกียจเขาโดยเด็ดขาด การิมมีหน้าที่อยู่สองอย่างคือดูแลพ่อที่ป่วยและเลี้ยงหลาน ดังนั้น ลูกของพี่สาว การิมจะเป็นคนเลี้ยง ทุกคนก็จะทำให้ชีวิตปกติ ด้วยความที่รักเขา แต่ยังใช้ยาอยู่ การิมเป็นคนที่อธิบายว่าไม่กล้าเจอโต๊ะครู เขาละอายใจ ตอนที่ติดยาเยอะๆ เขาก็ขโมยของทุกอย่าง

ในฐานะชาวมุสลิม ผู้ใช้ยาคุยกับตัวเองและคุยกับพระเจ้าอย่างไร?

คนใช้ยาเกือบทั้งหมดที่เราสัมภาษณ์ก็เรียนศาสนาที่โรงเรียนหรือที่บ้านโต๊ะครู เขารู้ว่าสิ่งนี้มันผิดหลักการ รู้สึกผิดมั้ย รู้สึกผิดตลอด แต่มันเป็นภาวะติด ไม่ต้องเป็นคนมุสลิมหรอก คนพุทธก็รู้ว่าผิดหลักศาสนา คนใช้ยาทุกคนก็ต้องต่อสู้กับตนเองในเรื่องความรู้สึกผิดบาป หลายคนเล่าว่าเขาไม่กล้ามองหน้าโต๊ะครูที่เคยสอนศาสนาเขา เขาจะหลบไปอีกทาง บางคนเล่าว่าหลายครั้งที่ใช้ยาก็ร้องไห้ว่าในที่สุดเขาจะตกนรก หลายคนก็ละอายใจที่จะไปละหมาดในมัสยิดเพราะคิดว่าตัวเองสกปรกจากการใช้ยา

การเตาบัตหรือการสาบานก็เป็นการคุยกับพระเจ้าของเขา การยอมรับว่าตัวเองทำบาป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับตัว มีคนหนึ่งพยายามที่จะเลิกใช้ยาและไปทำงานกับกลุ่มโอโซน เขาก็เล่าให้ฟังว่าทุกวันศุกร์เขาอยากไปละหมาด เพราะเขารู้ว่าทำบาป การไปละหมาดจะได้ทำให้เขาอยู่ในลู่ในทางของศาสนา เวลาไปละหมาดที่มัสยิดในชุมชน ก็จะถูกมอง บางทีก็มีคนมาถามว่าจะตายแล้วใช่มั้ยถึงมาละหมาด ใกล้จะไปกุโบร์ (สุสาน) แล้วใช่มั้ย เป็นการเบียดขับเขาออกไป ถูกตีตรา ไม่มีใครต้อนรับเขาให้กลับสู่ศาสนา เพราะฉะนั้นคนนี้ก็ไปทำงานกับกลุ่มโอโซนที่จังหวัดหนึ่ง ทุกเสาร์อาทิตย์ก็พยายามจะกลับบ้าน แต่เขาต้องละหมาดวันศุกร์ให้เสร็จก่อน จะไม่กลับมาละหมาดที่บ้าน เพราะมัสยิดอื่นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนใช้ยา ทั้งที่ทางที่ดีที่สุดสำหรับชาวมุสลิมคือการกลับมาละหมาดที่มัสยิดที่บ้าน การไปละหมาดทุกครั้งของเขาก็คือการไปต่อรอง การคุยกับพระเจ้าของเขา เพราะเป็นการพยายามที่จะเข้าหาพระเจ้า

แล้วในเดือนรอมฎอนพวกเขาต้องทำอย่างไร?

เขาถือศีลอดนะ ไม่เสพยาตอนกลางวัน แล้วก็ไปใช้ยาตอนกลางคืน ใช้ไซเคิลปกติของคนถือศีลอด ไม่บริโภคอะไร คือในหมู่บ้านนี้มีคนไปรับเมธาโดนที่โรงพยาบาลเยอะ ในโรงพยาบาล ปกติจะให้เมธาโดนตั้งแต่ 8 โมงจนถึงเที่ยงเท่านั้น และต้องกินต่อหน้าผู้ให้คือพยาบาล แต่โรงพยาบาลก็เข้าใจในวิถีและอยากสนับสนุนให้คนใช้ยาถือศีลอด โรงพยาบาลแห่งนี้จึงอนุญาตให้ผู้ใช้ยามารับเมธาโดนหลังพระอาทิตย์ตกดินได้ วงจรการใช้ยาของเขาจะได้ล้อไปกับการถือศีลอด

ถ้าในฐานะผู้นำศาสนาก็บอกว่าก็คงไม่ได้รับการยอมรับล่ะมั้ง การถือศีลอดของเขาคงไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะถือศีลอดไปด้วย ใช้ยาไปด้วย แปลว่าอะไร การถือศีลอดคุณต้องบริสุทธิ์ ปราศจากการทำผิดหลักการศาสนา การใช้ยาแม้ในช่วงตอนกลางคืนก็ยังผิดอยู่ใช่มั้ย แต่นี่คือกระบวนการที่คนใช้ยาพยายามปฏิบัติกิจทางศาสนา เขาจัดการตัวเองได้แค่นี้

ข้อค้นพบจากงานชิ้นนี้ จะนำไปสู่นโยบายอะไรได้บ้างที่จะทำให้คนที่เสพและไม่เสพอยู่ร่วมกันได้?

มันมี 2 เรื่อง Harm Reduction หรือการลดอันตรายจากการใช้ยา อันที่ 2 คือชุมชนเป็นฐานในการดูแลผู้ใช้ยาเสพติด ซึ่งตอนนี้รัฐก็ออกนโยบายมาแล้วเรื่องชุมชนดูแลผู้ใช้ยา

การลดอันตรายจากการใช้ยาด้วยการแจกเข็มสะอาด สนับสนุนให้ไปรับเมธาโดน เป็นข้อถกเถียงมากทั้งทางกฎหมายและศาสนา เพราะฉะนั้นหลักการศาสนาก็จะไม่พูดว่านี่เป็นหลักการที่ทำได้ แต่ศาสนาอิสลามก็มีข้อดีคือความปลอดภัยในร่างกายของมนุษย์เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้นำศาสนาบางคนก็ยึดหลักนี้คือให้ความปลอดภัยกับร่างกายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้นำทางศาสนาบางคนจึงยอมรับการลดอันตรายจากการใช้ยาในแง่นี้

การลดอันตรายจากการใช้ยาไม่ใช่แค่นี้ แต่เป็นการลดอันตรายสำหรับผู้ใช้ยาและคนรอบข้าง การแจกเข็มคือการที่ผู้ใช้ยาไม่ติดเชื้อเอชไอวี การไม่ติดเชื้อเอชไอวีก็เท่ากับคนที่อยู่รอบข้างเขาจะปลอดภัย แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าคุณอยู่กับเขา ยอมรับเขาในฐานะมนุษย์ ไม่เบียดขับเขาเป็นผู้ใช้ยาที่ละเมิดบรรทัดฐานทุกสิ่งอย่าง มันก็ทำให้เขารู้ว่าจะต่อรองเพื่ออยู่กับคุณยังไง เหมือนกับข้อค้นพบในงานวิจัย เขารู้ว่าถ้าเขาทำให้ชุมชนไม่ปลอดภัย เขาก็ไม่ปลอดภัย เขาทำตัวแย่มากๆ คนในชุมชนไม่ยอมรับ ขับเขาออกจากชุมชน การไปอยู่นอกชุมชนยิ่งทำให้เขาไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นการที่เห็นคนใช้ยายังเป็นลูก เป็นหลาน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และดูแลเขาเท่าที่คุณจะดูแลได้ ยอมรับเขาเท่าที่คุณจะยอมรับเขาได้ ยอมรับเขามากกว่าเขาเป็นคนติดยาเสพติด เขารู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่กับคุณ คุณก็รู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่กับเขาเหมือนกัน


ในแง่นี้ถามว่าเป็นข้อเสนอทางนโยบายได้มั้ย คือทำให้คนใช้ยาปลอดภัย เราปลอดภัย ก็เป็นการลดอันตรายจากการใช้ยาอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ อันนี้เป็นข้อที่หนึ่ง

ข้อเสนอเรื่องการดูแลผู้ใช้ยาโดยชุมชน จริงๆ มีตัวอย่างหลายที่ ชุมชนที่ยอมรับ ไม่เบียดขับผู้ใช้ยา ดูแลเขาเท่าที่จะดูแลได้ เช่น การดูแลเขา ตักเตือนเขา เห็นว่าช่วงนี้ใช้ยาหนักมากก็บอกให้เพลาๆ ลงหน่อย ตักเตือนกันด้วยความเป็นมิตร เป็นลูก เป็นหลาน ก็จะทำให้เขาลดการใช้ยาลง หรือท้ายที่สุดเขาอาจจะเลิกได้ก็ได้ การไม่เบียดขับเขาออกไป มันก็ทำให้เขาอยู่ในความสัมพันธ์ชุดใดชุดหนึ่งและดูแลเขาไปด้วยกันในชุมชน

แต่ตอนนี้มีความเข้าใจผิดว่าการดูแลผู้ใช้ยาโดยชุมชนกลายเป็นคิดว่าต้องไปตั้งสถานบำบัดในชุมชนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ การตั้งสถานบำบัดไม่ใช่การดูแลโดยชุมชน และถ้าเกิดคุณเอาคนใช้ยาที่ไม่ใช่ลูกใช่หลานมาอยู่ในชุมชน ชุมชนก็อาจจะมีความวิตกกังวล เป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ในชุมชนที่เราไปเก็บข้อมูล เพราะเขารู้จัก เขาไว้ใจได้ว่าคนนี้โตมากับมือ ให้ใช้ยายังไงมันก็ไม่ทำร้ายเรา ไม่ขโมยเรา คนใช้ยาไม่ใช่ทุกคนที่จะขโมยของ ไม่ใช่ทุกคนที่จะโกหก คนที่ไม่โกหกก็มี คนที่ไม่ขโมยก็มี คนที่รับผิดชอบก็มี แล้วคนในชุมชนก็มั่นใจว่าคนนี้ไม่ทำ เพราะเขารู้ไงว่าคนนี้โตมากับมือ เลี้ยงมากับมือ เห็นกับตา รู้จักคนนี้ นี่คือการดูแลผู้ใช้ยาโดยการดูแลด้วยชุมชน ซึ่งแปลว่าชุมชนเห็นสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ไม่ใช่ตั้งสถานบำบัด แล้วเอาคนใช้ยาที่ไหนก็ไม่รู้มาไว้ที่นี่


[full-post]

ที่มาภาพ: wikipedia

Posted: 05 Feb 2019 06:17 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2019-02-05 21:17


สื่อเรดิโอฟรีเอเชียรายงาน หน่วยงานเซนเซอร์ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนสั่งถอดแบบเรียนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญออกจากร้านหนังสือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทางการจีนสั่งไล่ปราบปรามสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญทั่วประเทศ นักวิชาการตั้งคำถามถึงมูลเหตุ เพราะจริงๆ แล้วคอมมิวนิสต์ก็มาจากตะวันตก

ทางการจีนสั่งถอดหนังสือที่ชื่อ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" เขียนโดย จางเฉียนฟาน นักวิชาการของมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือ "เป่ยต๋า" ออกจากร้านหนังสือ หลังจากที่มีคำสั่งถึงมหาวิทยาลัยจีนทั่วประเทศให้มีการรายงานต่อรัฐบาลระดับมณฑลถ้าหากมีสื่อการเรียนการสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ

การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังคงรณรงรค์ทางการเมืองต่อต้านสิ่งที่ถูกมองว่ามีจุดกำเนิดมาจาก "ตะวันตก" เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรมและรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ

จางลี่ฟาน นักวิชาการเรื่องรัฐธรรมนูญกล่าวว่าการสั่งถอดแบบเรียนที่มีเนื้อหารัฐธรรมนูญในครั้งนี้ มาจากการที่ในจีนไม่เคยมีการปฏิบัติตามหลักการรัฐธรรมนูญเลย ถึงแม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะมีระบุถึงเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุม รวมถึงสิทธิในการที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ทางการก็ตาม

จางลี่ฟานกล่าวอีกว่าการถอดแบบเรียนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีคนรายงานเรื่องนี้อย่างลับๆ ต่อเจ้าหน้าที่ทางการ คนที่รายงานเรื่องนี้ทำไปด้วยความโกรธเคืองโดยกล่าวหาว่าไม่เพียงหนังสือเนื้อหารัฐธรรมนูญของจางเฉียนฟานเท่านั้นที่ "มีอิทธิพลจากตะวันตก" แต่รวมไปถึงการศึกษาด้านนิติศาสตร์ทั้งและรัฐธรรมนูญทั้งหมดด้วย ผู้ที่รายงานต่อทางการในเรื่องนี้เป็นนักวิชาการผู้ไม่พอใจที่ผลงานของตัวเองถูกละเลยจากนักวิชาการคนอื่นๆ

จางลี่ฟาน กล่าวว่าจริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญเป็นแนวคิดที่มาจากตะวันตกเพราะไม่เคยมีรัฐธรรมนูญมาก่อนในจีนโบราณ แต่การที่อ้างว่าจีนไม่ควรมีรัฐธรรมนูญเพราะกล่าวหาว่ามันเป็น "แนวคิดตะวันตก" นั้นถือเป็นข้ออ้างไร้สาระ เขากล่าวอีกว่าตัวแนวคิดคอมมิวนิสต์เองก็มาจากนักคิดเยอรมนีที่มาจากตะวันตก เพลงแองเตอร์นาซิอองนาลก็เขียนโดยชาวฝรั่งเศส และธงชาติของจีนก็ได้ชาวรัสเซียเป็นผู้ออกแบบ

โมเชาปิง นักกฎหมายด้านสิทธิในจีนกล่าวว่าหนังสือของจางเฉียนฟานเป็นการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โมเชาปิงพูดถึงจุดยืนตัวเองว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการรายงานทางการอย่างลับๆ เพื่ออาศัยให้เจ้าหน้าที่รัฐมาถอดถอนหนังสือเหล่านี้ และบอกว่าผู้ที่ไม่พอใจควรจะเสนอเอกสารเพื่อให้มีการอภิปรายกันในเรื่องนี้แทน การรายงานทางการอย่างลับๆ ไม่ใช่วิถีของคนเป็นปัญญาชน

เฟิงจื่อเฉียง นักกฎหมายในแคนาดากล่าวไว้เช่นกันว่าการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ต้องการให้คนพูดถึงรัฐธรรมนูญเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยนำมาปฏิบัติใช้จริง นอกจากนี้เนื้อหาบางส่วนของรัฐธรรมนูญที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากหลังจากที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นผู้นำต่อไปได้โดยไม่มีการหมดวาระ เฟิงจื่อเฉียงประเมินว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามจะกลับไปเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบที่ "โยนรัฐธรรมนูญทิ้ง"

เติ้งเปียว นักวิชาการด้านกฎหมายในสหรัฐฯ กล่าวว่าการถอดหนังสือแบบเรียนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมวงการวิชาการในจีนโดยรัฐบาลสีจิ้นผิง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าทางการจีนกลัวแนวคิดที่มีความเอนเอียงไปในทางเสรีนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป

แต่ในขณะเดียวกันรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของจีนก็สั่งให้สถาบันการศึกษาระดับสูงทุกแห่งจัดทำสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจีนเพื่อใช้ในทุกระดับชั้นการศึกษา

เรียบเรียงจาก

China Censors Law Textbook Over 'Western' Influences, Radio Free Asia, 04-02-2019


Posted: 05 Feb 2019 06:20 AM PST
Submitted on Tue, 2019-02-05 21:20

ใบตองแห้ง

ท่านผู้นำอ้าง รัฐธรรมนูญทั่วโลกไม่เคยบอก ผู้นำรัฐบาลต้องลาออกเมื่อลงเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี 2475 ก็ไม่เคยบังคับว่านายกฯ ต้องลาออก

ใช่เลย แต่รัฐธรรมนูญ 2560 นี่ไง บอกไว้ บทเฉพาะกาลมาตรา 263, 264, 265, 266 บังคับว่า คสช. ครม. สนช. สปท. ถ้าจะสมัคร ส.ส. ต้องลาออกภายใน 90 วันหลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้

ถึงไม่ได้เขียนตรงตัว ว่าถ้าเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค หรือได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องลาออก แต่การสมัคร ส.ส. กับสมัครนายกฯ อันไหนหนักข้อกว่ากัน

ทำไมรัฐธรรมนูญห้าม คสช. ครม. สนช. สปท. สมัคร ส.ส. กรธ.ไม่ยักออกมาอธิบาย (รับเบี้ยประชุมคนละหลายล้านแล้วหายหมด) แต่ก็พอได้เห็น กรธ.มีชัย พยายามสร้างภาพ “รัฐประหารในอุดมคติ” พระเอกขี่ม้าขาว เข้ามายึดอำนาจ กู้ชาติบ้านเมือง จัดระเบียบอำนาจ วางกฎกติกา แล้วจะจัดการเลือกตั้ง อย่างเป็นกลางเที่ยงธรรม ชาวบ้านโปรดเชื่อว่า คณะรัฐประหารจะเป็นกลาง เพราะใครจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องลาออกก่อน

จากนั้น กรธ.ก็ให้อำนาจ คสช. ครม. อย่างไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่ารัฐประหารทุกคณะ คือยังมีอำนาจพิเศษ เป็นกรรมการคุมประเทศ จนมีรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ซ้ำยังต่อท่ออำนาจให้ตั้งพรรค 250 ส.ว. ไว้เลือกนายกฯ อีก 5 ปี

พูดง่าย ๆ คือ เขียนรัฐธรรมนูญว่า รัฐประหารจะเป็นพระเอก เป็นกลาง เป็นผู้มาวางกฎกติกาแล้วจะไม่ลงเลือกตั้ง จึงให้มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลปกติ มากกว่ารัฐประหารในอดีตด้วยซ้ำ

ที่ไหนได้ กลับเลี่ยงบาลีว่า รัฐธรรมนูญห้ามสมัคร ส.ส. แต่ไม่ห้ามสมัครนายกฯ ลอยหน้าลอยตา อ้างโอบามา โอบามาร์ค ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ทั้งที่คนละอำนาจ คนละระบอบ ตัวเองถืออำนาจเผด็จการลงเลือกตั้ง ยังบอก “มึงมาไล่ดูสิ”

ไล่แล้วเป็นไง ถูกจับ นักศึกษาไป 2 คน หาว่าผิด พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ถูกยึดพริก เกลือ กระเทียม เป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด ในวันครบรอบ 5 ปี ม็อบปิดเมืองปิดสถานที่ราชการขัดขวางเลือกตั้ง 2 ก.พ. โดยอ้างคำสั่งศาลคุ้มครองการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

นี่เป็นภาวะที่ตรรกะวิบัติ กฎหมายวิบัติ ถึงขีดสุด เพราะพลังอนุรักษนิยมทำทุกอย่างเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจ

ถามว่าทำไมประยุทธ์ไม่ถอย ออกไปเป็นคนกลาง อย่างที่ปริญญา เทวานฤมิตรกุล เรียกร้อง อย่างที่ซูเปอร์โพลคาดหวัง ทั้งที่น่าจะสบายตัวกว่า เพราะโดยโครงสร้าง พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ภายใต้ 250 ส.ว. แต่งตั้ง กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ควบคุมโดย 6 ผบ.เหล่าทัพ และองค์กรอิสระ ที่ตั้งไปจากยุคนี้

คำตอบง่าย ๆ ก็คือโครงสร้างนี้จะไปไม่รอด ต่อให้อยู่ใต้รัฐราชการ ทหาร ตุลาการ เป็นใหญ่ ทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อ แต่รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ 2560 ของตัวเองเมื่อไหร่ คือหายนะ คือทางตันของฝ่ายอนุรักษนิยม

ประยุทธ์จึงต้องลงสนามเอง เพื่อค้ำโครงสร้างนี้ไว้ ถึงแม้ต้องเสี่ยงรบในสนามที่ตัวเองไม่เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การเลือกตั้ง ไปถึงการบริหารประเทศในระบอบรัฐสภาโดยไม่มี ม.44 แต่ไม่มีทางเลือกอื่น ตายคาสมรภูมิก็ต้องยอม

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอนุรักษนิยมก็ไม่มีตัวเลือกอื่น หลังรัฐประหาร 49 ฝากความหวังพรรคประชาธิปัตย์แล้วล้มเหลว ณ วันนี้ กวาดตามองทั้งทหาร นักการเมือง ก็ไม่เหลือใครสักคน นอกจาก “ลุงตู่” ผู้ที่กอบศักดิ์ ชุติกุล เชิดชูว่าพูดจารุนแรงเพราะจริงใจตรงไปตรงมา คะแนนนิยมก็เป็นที่หนึ่งทุกโพล คือเกือบ 30%

นักการเมืองฟังแล้วหัวร่อก๊าก ตัวเลือกอันดับหนึ่ง และเหลือเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครให้เลือกอีกแล้ว ในฝ่ายอนุรักษนิยม
ขับเคลื่อนโดย Blogger.