อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกของประชาชน ข้าราชการ ต้องทำงานเพื่อประชาชนและรับฟังเสียงของประชาชน



iLaw

#DemocracyAfterDeath

นวมทอง ไพรวัลย์ -หนึ่งทศวรรษกับทรงจำของทรงจำ'ประชาธิป'ไทย'


ค่ำคืนของวันนี้เมื่อสิบเอ็ดปีที่เเล้ว (31 ตุลาคม 2549) เพราะ “ต้องการลบคำสบประมาทของพ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค.ที่กล่าวว่า ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้” นวมทอง ไพรวัลย์ ชายวัย 60 ปี อดีตพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ตัดสินใจผูกคอเสียชีวิตกับราวสะพานลอย ที่ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก เยื้องกับสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บทกวีเพื่อประชาธิปไตยของรวี โดมพระจันทร์และกุหลาบ สายประดิษฐ์ ทั้งที่หน้าและหลังเสื้อยืดสีดำที่นวมทองสวมใส่ยืนยันอุดมการณ์ที่เขาตั้งใจพลีชีพให้

ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน รถแท็กซี่สีม่วงคันหนึ่งพุ่งเข้าชนรถถังจนคนขับได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยไม่ใช่อุบัติเหตุ และนวมทองคือผู้พยายามพรากชีวิตออกจากร่างกายในเหตุการณ์นั้น เพื่อประท้วงรัฐประหารไทยปี 2549 แม้ไม่ใช่ในรถคันนั้น แต่เป็นที่สะพานลอยแห่งนี้ที่นวมทองพลีชีพเพื่อประชาธิปไตย พร้อมพิสูจน์ถ้อยคำหยามเหยียดที่ว่า

ในหนึ่งทศวรรษที่ผันผ่าน คณะรักษาความสงบแห่งชาติพาประเทศไทยมาเผชิญการรัฐประหารอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ภายใต้บรรยากาศคืนความสุขที่ว่ากันว่า การชุมนุมและกิจกรรมทางการเมืองถูกปิดกั้น เสรีภาพการแสดงออกถูกปิดปาก ประชาชนจำนวนมากถูกเรียกไปปรับทัศนคติและดำเนินคดีเพราะความเห็นต่างทางการเมือง

ยิ่งเฉพาะกิจกรรมรำลึกการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และที่เพื่อรำลึกถึงการลบคำสบประมาทด้วยชีวิตของนวมทองต่างถูกจับตามองตลอดสองปีที่ผ่านไปhttp://prachatai.com/journal/2015/10/62198

สิบปีก็อาจนานพอแล้วที่ข่าวหนึ่งจะถูกลบเลือนจากความทรงจำ และไม่มีใครกล้าหาญจนเป็นข่าวเช่นนี้อีก กระทั่งความตายของ 'ประชาธิป'ไทย' ที่น่าอับอาย ด้วยการฉีกฆ่ากฎหมายสูงสุดของบ้านเมืองเพราะความขลาดกลัว ที่ไม่เคยเป็นบทเรียนในทรงจำของทรงจำครั้งเเล้วครั้งเล่า

น่าคิดว่าวิญญาณที่ลับล่วงไปของทั้งนวมทองและประชาธิปไตยไทยคงหนีไม่พ้นรัฐประหาร ไม่ว่าเกิดใหม่ในอีกกี่ภพชาติก็ตาม เพราะปัญหาการเมืองไทยที่ย่ำย้ำซ้ำซากไม่เคยถูกแก้ด้วยกติกาและอุดมการณ์ประชาธิปไตยใดๆเลย


Social ข่าวฮอต

เมื่อนายตำรวจใหญ่แอบมาตรวจโรงพัก ความซวยจึงบังเกิด!!! #ดาบเมาแอ๋ 🥂 😭 — @ โรงพักแห่งหนึ่ง จ.หนองคาย (27'ต.ค.60)




iLaw

ยกฟ้อง! คดีนักศึกษาเรียกเงินชดเชยจากการใช้กำลังสลายการชุมนุมที่หอศิลป์ ปี’58 ชี้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว

วันนี้ (30 ตุลาคม 2560) เวลา 9.00 น. ศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่นักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ,กองบัญชาการกองทัพบก และสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่หนึ่งถึงสามตามลำดับ เพื่อเรียกค่าสินไหมชดเชยจำนวน 16,468,583 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ จากกรณีการสลายการชุมนุมที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558

บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีมีรังสิมันต์, กรกนกและกันต์ โจทก์ในคดีนี้, เจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและนายทหารในเครื่องแบบ 1 นายมาร่วมฟังคำพิพากษา ต่อมาเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาสั่งยกฟ้องโดยให้เหตุผลว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นการจงใจประมาท เลิ่นเล่อตามมาตรา 420 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่มีการละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ทั้ง 13 คนจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯได้

คำพิพากษาสรุปความได้ว่า วันที่ 22 พฤษภาคม 2558 โจทก์ทั้ง 13 คนและพวกเข้าร่วมกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ศุกร์ 22 เรามาฉลองกันมะ?” จากนั้นจึงถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมตัวไปที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และปล่อยตัวในเวลา 6.00 น.ของวัดถัดมา โดยเหตุที่เกิดขึ้นสร้างความกระทบกระเทือนทางร่างกายและจิตใจแก่โจทก์ทั้ง 13 คนนั้น มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยในสามประเด็นดังนี้

++หนึ่ง การชุมนุมดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?++

ตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล รู้โดยทั่วไปว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวคุ้มครองการชุมนุมโดยสงบ แต่อย่างไรก็ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้ให้อำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการป้องปรามหรือยับยั้งเหตุที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของชาติ การกระทำตามคำสั่งถือว่าชอบด้วยกฎหมายและเป็นที่สุด ต่อมาคสช.ได้อาศัยมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ข้อ 12 กำหนดห้ามการชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ดังนั้นเสรีภาพในการชุมนุมจึงถูกจำกัดโดยมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งตามบทบัญญัติ แม้การชุมนุมจะสงบก็ย่อมมีความผิด การที่โจทก์อ้างว่า การชุมนุมของโจทก์เป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญหรืออ้างว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ที่อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมีลำดับศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นความเข้าใจของโจทก์เองและเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

ทั้งการชุมนุมดังกล่าวยังถือเป็นการชุมนุมทางการเมือง เห็นได้จากคำเบิกความของพยานโจทก์แอนเดรีย จิออเก็ตตา ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย สมาพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ที่กล่าวว่า ในการชุมนุมครั้งนี้ตนเชื่อว่า เป็นการชุมนุมทางการเมือง และคำเบิกความของพยานโจทก์ จันทจิรา เอี่ยมมยุรา อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่กล่าวว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมทางการเมืองเนื่องจากเป็นการชุมนุมครบรอบหนึ่งปีของการรัฐประหาร ประกอบกับในวันเกิดเหตุผู้จัดกิจกรรมไม่ได้ทำการขออนุญาตเจ้าหน้าที่ก่อน ดังนั้นกิจกรรมดังกล่าวจึงถือเป็นการชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคนเข้าข่ายต้องห้ามของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558

++สอง โจทก์ทั้ง 13 คนเข้าร่วมการกิจกรรมหรือไม่?++

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้ง 13 คนได้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการควบคุมตัวโดยชอบ ประเด็นที่โจทก์ทั้ง 13 คนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้มีการใช้กำลัง ฉุดกระชาก และไม่ได้มีการใช้เจ้าหน้าที่หญิงควบคุมตัวผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิงนั้น พิเคราะห์จากข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ก่อนเริ่มทำกิจกรรมเจ้าหน้าที่ได้มีการนำแผงเหล็กสีเหลืองมากั้นบริเวณด้านหน้าหอศิลป์ มีตำรวจตรึงกำลังราว 50-80 นาย แต่ผู้ชุมนุมยืนยันว่า มีสิทธิที่จะกระทำได้ เมื่อตำรวจบอกว่า กิจกรรมดังกล่าวขัดต่อคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ผู้ชุมนุมก็ยังไม่เลิกกิจกรรม เห็นถึงพฤติการณ์ของโจทก์ทั้ง 13 คนที่ทราบเป็นอย่างดีว่า ไม่ให้ทำกิจกรรม แต่ยังฝ่าฝืนที่จะทำต่อไป

จากคำเบิกความของพยานจำเลย ไปพ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผู้กำกับ สน.ปทุมวัน ที่กล่าวว่า วันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้อาวุธ โล่ กระบองหรือพันธนาการ โดยพ.ต.อ.จารุต ได้เจรจากับพรชัย หนึ่งในโจทก์ สามครั้ง และเมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวโจทก์ทั้ง 13 คนยังแสดงอาการขัดขืนการควบคุม ดึงรั้งสิ่งของไม่ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ส่วนเรื่องการควบคุมตัวผู้หญิงโดยเจ้าหน้าที่ชาย มีเพียงชลธิชา โจทก์ ที่กล่าวว่า ตนถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ชาย เมื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยแล้วเห็นว่า ชลธิชาถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ชายเพียงสิบเมตรเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่หญิงมารับหน้าที่ต่อ การดำเนินการควบคุมของเจ้าหน้าที่จึงไม่ได้เกินกว่าเหตุ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจากมาตรการเบาไปหาหนักแล้ว วินิจฉัยว่าดำเนินการโดยชอบ

++สาม การควบคุมตัวที่สถานีตำรวจโดยมิชอบ++


การควบคุมตัวโจทก์ทั้ง 13 คนไปที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการยึดเครื่องมือสื่อสารหรือขังโจทก์ไว้ในห้องขัง ทั้งยังให้ทนายความและอาจารย์ของโจทก์เข้าพบได้ นอกจากนี้เมื่อพบว่า รังสิมันต์และชลธิชามีอาการป่วยก็ได้ส่งตัวไปทำการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อแพทย์ตรวจว่ามีอาการเพียงเล็กน้อยจึงนำตัวกลับมีสถานีตำรวจ เหตุที่ต้องควบคุมตัวจำเลยไว้เป็นเวลาสิบชั่วโมงเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้มีการยื่นข้อเสนอให้โจทก์ว่า จะดำเนินคดีเฉพาะแกนนำผู้จัดกิจกรรมเท่านั้น แต่โจทก์ปฏิเสธ ขณะเดียวกันโจทก์ยังไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนแก่เจ้าหน้าที่ ดังนั้นการควบคุมเป็นเวลานานจึงไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่ วินิจฉัยว่า การควบคุมตัวเป็นไปโดยชอบแล้ว

การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่ได้จงใจประมาท เลิ่นเล่อตามมาตรา 420 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่มีการละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ทั้ง 13 คนจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯได้ พิพากษายกฟ้อง

สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งหมดได้เข้าร่วมกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ศุกร์ 22 เรามาฉลองกันมะ?” ในโอกาสวันครบรอบหนึ่งปีรัฐประหาร ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวกระทำด้วยความสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และเป็นเสรีภาพที่ประกันไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 แต่ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบได้พยายามปิดกั้นกิจกรรมและใช้กำลังประทุษร้ายทั้งกายและจิตใจต่อโจทก์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวโจทก์ทั้ง 13 คนไปไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันและหน่วงเหนี่ยวเสรีภาพของโจทก์เป็นเวลาสิบชั่วโมง โดยปราศจากอำนาจในการควบคุมตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐได้กระทบกระเทือนต่อร่างกายและจิตใจของโจทก์ ทั้งหมดจึงขอฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายดังกล่าว

ดูรายละเอียดคดีนี้เพิ่มเติม ที่

http://www.tlhr2014.com/th/?p=4691

http://www.tlhr2014.com/th/?p=4713

http://www.tlhr2014.com/th/?p=4747

http://www.tlhr2014.com/th/?p=4749





ผู้ว่าฯ ชลบุรี กราบขออภัยประชาชนเหตุจัดการผิดพลาดงานถวายดอกไม้จันทน์: Matichon 

TV




source :  matichon tv


‘เซเรนา วิลเลียม’ คือนักกีฬาหญิงคนเดียวที่สามารถยืนหยัดอยู่ในลิสต์นักกีฬาที่ทำรายได้สูงสุดของปี 2560 ตามการจัดอันดับของฟอร์บส์ ที่มาภาพประกอบ: facebook.com/SerenaWilliams

Posted: 28 Oct 2017 08:15 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)


ช่องว่างรายได้ชาย-หญิงในวงการกีฬายังห่างกันลิบลับ 100 อันดับนักกีฬาที่ทำรายได้สูงสุดปี 2560 มีนักเทนนิสหญิงติดอันดับคนเดียว แต่ก็มีความก้าวหน้าอยู่บ้างเมื่อสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์จะให้เงินอัดฉีดทีมชาติทั้งชายและหญิงเท่ากัน พบภาพผู้หญิงใน ‘วงการกีฬาไทย’ ขายความน่ารัก-เซ็กซี่ หรือในบทบาทที่คอย 'แคร์' หนุ่มนักกีฬาของตน


29 ต.ค. 2560 จากการ จัดอันดับนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดปี 2560 (The World's Highest-Paid Athletes 2017 RANKING) ของ forbes.com พบว่านักกีฬาชายมีรายได้สูงสุดในการจัดอันดับนี้ถึง 99 คน และมีผู้หญิงติดอันดับแค่คนเดียวเท่านั้น

ซึ่งหนึ่งเดียวคนนั้นก็คือนักเทนนิสอย่าง ‘เซเรนา วิลเลียม’ ที่ติดอยู่ในอันดับที่ 51 เธอทำรายได้รวม 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าเหนื่อย-เงินรางวัลการแข่งขัน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจากรายได้อื่น ๆ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในการจัดอันดับในครั้งก่อน (2016 RANKING) วิลเลียมอยู่อันดับที่ 40 รายได้รวมต่อปีที่ 28.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ในการจัดอันดับครั้งก่อนยังมีมาเรีย ชาราโปวา อยู่ในอันดับที่ 88 มีรายได้รวมต่อปีที่ 21.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนอันดับ 1 ของนักกีฬาที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี 2560 นี้ยังคงเป็นคริสเตียโน โรนัลโด ที่ทำเงินได้ถึง 93 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนักเทนนิสที่ทำเงินได้มากที่สุดคือโรเจอร์ เฟเดเรอร์ อยู่ในอันดับ 4 ของการจัดอันดับ โดยทำเงินได้ 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กีฬาเทนนิสที่ถือว่าให้ความสำคัญเรื่องเงินรางวัลที่เท่าเทียมทางเพศ การจัดอันดับล่าสุดของฟอร์บส์ก็พบว่านักกีฬาที่ทำเงินสูงสุด 100 อันดับแรกมีนักเทนนิสแค่ 6 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 1 คน ใกล้เคียงกับสถานการณ์ของกีฬาแบดมินตันที่ 5 อันดับนักแบดมินตันที่ทำเงินได้สูงสุดเป็นชาย 4 คน และหญิง 1 คน (แต่ไม่มีนักกีฬาแบดมินตันติดอันดับของฟอร์บส์) แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้วพบว่าอุตสาหกรรมกีฬาอาชีพส่วนใหญ่ค่าจ้าง เงินรางวัล และค่าตอบแทนของนักกีฬาหญิงยังไม่สามารถเทียบกับผู้ชายได้ (อ่านเพิ่มเติม: ช่องว่างค่าตอบแทนในเกมกีฬา ‘หญิง vs ชาย’)

ค่าแรงและรายได้ ที่ต่างกัน


เนื่องจากมูลค่าทางการตลาดรวมของการแข่งขันบาสเกตบอลหญิง (WNBA) ในสหรัฐฯ มีน้อยกว่าการแข่งขันของผู้ชาย (NBA) ส่งผลให้ช่องว่างค่าแรงของผู้หญิงและผู้ชายในกีฬานี้มีสูงด้วยเช่นกัน ที่มาภาพประกอบ: wikimedia.org

โดยเฉลี่ยแล้วจากการทำงานทุกอาชีพในสหรัฐฯ พบว่าผู้หญิงจะมีรายได้เพียงร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับผู้ชาย แต่สำหรับนักกีฬาอาชีพนั้นสัดส่วนจะห่างกว่านี้มาก จากการรวบรวมข้อมูลของภาควิชาการจัดการกีฬา มหาวิทยาลัยอะเดลฟี (Adelphi University) พบตัวอย่างเช่น นักบาสเกตบอลหญิงจะมีรายได้เพียงร้อยละ 1.6 เมื่อเปรียบเทียบกับที่นักบาสเกตบอลชาย, นักกอล์ฟหญิงมีรายได้เพียงร้อยละ 16.6 เมื่อเปรียบเทียบกับที่นักกอล์ฟชาย, นักเทนนิสหญิงมีรายได้เพียงร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับนักเทนนิสชาย และนักฟุตบอลหญิงมีรายได้เพียงร้อยละ 14.4 เมื่อเทียบกับนักฟุตบอลชาย เป็นต้น

เมื่อพิจารณาจากการแข่งขันกีฬาหลาย ๆ ชนิดก็จะเห็นช่องว่างทางรายได้ของชายและหญิงชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะกีฬาในหลายชนิดที่การแข่งขันประเภทชายได้รับความนิยมมากว่าของผู้หญิง ทำให้เงินสนับสนุนจากหลากหลายทางมุ่งสนับสนุนไปที่การแข่งขันประเภทชายมากกว่า และต้นสังกัดทีมกีฬาต่าง ๆ สามารถจ่ายค่าแรงนักกีฬาชายได้มากกว่านักกีฬาหญิง

ตามที่ sports.vice.com เคยรายงานไว้เมื่อปี 2558 ว่านักบาสเกตบอลในลีก NBA ได้รับค่าจ้างร่วมกันเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าทางการตลาดรวมของลีก แต่ในลีกบาสเกตบอลของผู้หญิงอย่าง WNBA กลับได้ค่าจ้างรวมกันคิดเป็นเพียงร้อยละ 33 ของมูลค่ารวมของลีก ซึ่งลีก WNBA นั้นมีมูลค่าต่ำว่าลีก NBA อยู่หลายเท่าตัว (พิจารณาแค่จากมูลค่าการถ่ายทอดสดพบว่า NBA มีถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน WNBA มีแค่ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการถ่ายทอดสด NBA ) ‘ไดอานา เทาราซี’ นักบาสเกตบอลหญิงที่ได้ค่าจ้างมากที่สุดใน WNBA อยู่ที่ 107,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนักกีฬาบาสเกตบอลชายที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดใน NBA คือ ‘โคบี ไบรอัน’ ได้รับที่ 23.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยค่าจ้างที่เทาราซีได้รับนั้นสามารถจ้างนักบาสเกตบอลชายในลีก NBA ที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดได้เพียง 198 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้รายได้เฉลี่ยของนักบาสเกตบอลชายใน NBA อยู่ที่ 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่วนนักบาสเกตบอลหญิงใน WNBA อยู่ที่เพียง 72,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

กีฬากอล์ฟเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ความต่างด้านเงินรางวัลในการแข่งขันของชายและหญิงเหลื่อมล้ำกันอยู่สูงมาก โดยการแข่งขัน PGA ของนักกอล์ฟชายมีเงินรางวัลรวมสูงถึง 340 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2557 ซึ่งสูงกว่าการแข่งขัน LPGA ของผู้หญิงถึง 5 เท่า โดยเงินรางวัลรวมของ LPGA ปี 2558 มีแค่ 61.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้นักกอล์ฟชายใน PGA มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 973,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนักกอล์ฟหญิงใน LPGA มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 162,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

กีฬาการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมอย่าง UFC นักกีฬาฝ่ายหญิงมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 25,487 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนักกีฬาชายอยู่ที่ 61,691 ดอลลาร์สหรัฐฯ, กีฬาคริกเกต ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกให้เงินรางวัลแก่ทีมแชมป์โลกชายที่ 3.975 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนแชมป์โลกทีมหญิงได้เพียง 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนกีฬาที่สหรัฐฯ เป็นแชมป์โลกอย่าง ‘ฟุตบอล(หญิง)’ ก็มีช่องว่างทางรายได้สูงเช่นกัน นักฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐฯ ถึงกับเคยออกมารณรงค์ 'เล่นเท่ากัน ค่าจ้างเท่ากัน' (Equal Play, Equal Pay) เพราะว่าทีมฟุตบอลหญิงของสหรัฐฯ ได้รับค่าตอบแทนเพียง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการที่พวกเธอคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 2558 (พวกเธอคือทีมที่เก่งที่สุดในโลกเมื่อคว้าแชมป์โลกมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2534, 2542, 2558) ส่วนทีมชายที่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อปี 2557 กลับได้ค่าตอบแทนรวมสูงถึง 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หนำซ้ำฟุตบอลโลกปี 2561 ที่จะถึงนี้ทีมชายก็ยังไม่ผ่านรอบคัดเลือก) (อ่านเพิ่มเติม: ฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐฯ รณรงค์จ่ายค่าจ้างเท่าเทียมกับทีมฟุตบอลชาย)


‘ภาพของผู้หญิง’ ใน ‘สื่อกีฬา’


'มาดามเดียร์' วทันยา วงษ์โอภาสี อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี (ทีมชาย) ผู้สร้างความฮือฮาให้กับวงการฟุตบอลเมื่อไม่นานมานี้ ที่มาภาพ: facebook.com/dear.watanya.wongopasi

ดร.ทิฆัมพร เอี่ยมเรไร ภาควิชานิเทศศาสตร์, มหาวิทยาลัยนเรศวร เคยเขียนบทความเกี่ยวกับภาพของผู้หญิงบนสื่อกีฬา โดยระบุเอาไว้ว่าแม้ภาพของผู้หญิงในโลกของการกีฬาโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแนวโน้มว่า น่าจะดีขึ้นจากผลงานสร้างชื่อเสียงในหลายระดับ และก็มีผู้หญิงในหลากหลายอาชีพเข้ามาเกี่ยวข้องกับกีฬาทั้งในระดับบริหาร เช่น 'มาดามแป้ง' หรือ 'มาดามเดียร์' หรือในระดับผู้เล่นที่มีความสำเร็จมากมายในระดับโลก และระดับภูมิภาค

แต่โดยรวมแล้วภาพที่ปรากฏในสื่อกีฬากลับยังดูเหมือนว่าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย พบว่าการจัดวาง 'ภาพผู้หญิง' ที่ปรากฏบนพื้นที่สื่อกีฬายังถูกจัดวางให้มีฐานะ 'เป็นรอง' ผู้ชายในเกือบทุก ๆ เรื่อง จากตัวอย่างการศึกษาในโลกตะวันตกนิตยสารกีฬาชื่อดังของโลกอย่าง Sports Illustrated และ ESPN รวมไปถึงเวลาออกอากาศ (airtime) ของรายการกีฬาระดับโลกทั้งในอเมริกา และในยุโรป เช่น รายการ Sportscenter พบว่ากว่า ร้อยละ 90 เป็นเรื่องของนักกีฬาชาย แต่จัดเวลาให้ไม่ถึงร้อยละ 10 ในการนำเสนอเกี่ยวกับนักกีฬาหญิง หนำซ้ำการเสนอภาพนักกีฬาหญิงในแบบที่ไม่ใช่คุณลักษณะของการเป็นนักกีฬา เช่น นักกีฬาสาวที่ได้ขึ้นปกนิตยสารกีฬามักจะถูกกำหนดให้โพสท่า (poses) สวยงามแลดูเซ็กซี่ นำไปรีทัช ถูกจับแต่งเติม หรือหนักกว่านั้นคือให้สวมใส่เสื้อผ้า และเลือกสถานที่ถ่ายทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาเลย ที่สำคัญหลายภาพที่ปรากฏ สาวนักกีฬาถูกนำเสนอในแบบที่ดู ‘โป๊นิด ๆ’ (soft pornographic) เพื่อโชว์บางอย่างในเรือนร่าง

เช่นเดียวกับกรณีของไทยในปัจจุบัน ที่สื่อกีฬาของไทยมักนำเสนอภาพผู้หญิงไทยในแวดวงกีฬาวนเวียนอยู่กับประเด็นความสวยความงาม ความน่ารัก ความเซ็กซี่ หรือในบทบาทของการเป็นแฟน เป็นเมีย หรือเป็นแม่ที่คอย 'แคร์' หนุ่มนักกีฬาของตน แม้แต่ภาพนักมวยไทยหญิงบางคนที่มีชื่อเสียงก็ได้รับความสนใจเพียงเพราะเธอมีหน้าตาเรือนร่างที่สะสวยตาม 'ค่านิยมหญิงสาว' ในกระแสหลักของสังคม

ทีมฟุตบอลนอร์เวย์ ชาย-หญิง อีกหนึ่งความพยายามให้ค่าตอบแทนเท่ากัน


จากการรายงานของ independent.co.uk เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2560 ที่ผ่านมาระบุว่าสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ได้ประกาศว่าในปี 2018 สมาคมจะให้เงินสนับสนุนแก่ทีมฟุตบอลทีมชาติทั้งหญิงและชายเท่ากัน หลังจากที่ทีมฟุตบอลชายตกลงจะตัดเงินสนับสนุนของตนเองออกส่วนหนึ่งเพื่อนำไปเพิ่มให้ทีมหญิงเพื่อให้ทั้งสองทีมได้รับเงินสนับสนุนที่เท่าเทียมกัน โดยทั้งสองทีมจะได้รับทีมละ 6 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 5,700,000 ยูโร) ต่างจากประกาศการเงินฉบับเก่าที่ทีมชายได้รับ 6.55 ล้านอยู่ที่ ส่วนทีมหญิงอยู่ที่เพียง 3.1 ล้านโครเนอร์ ซึ่งหากมองผลงานในการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นทีมหญิงที่ทำผลงานได้ดีกว่าทีมชายในหลาย ๆ ครั้ง โดยทีมฟุตบอลหญิงนอร์เวย์เคยเป็นแชมป์โลกเมื่อปี 2538 และปัจจุบันทีมฟุตบอลหญิงของนอร์เวย์รั้งอันดับที่ 14 ตามการจัดอันดับของ FIFA ส่วนทีมชายอยู่ในอันดับที่ 58 (ข้อมูล ณ 28 ต.ค. 2560)

สมาคมนักกีฬานอร์เวย์ (Norske Idrettsutøveres Sentralorganisasjon หรือ NISO) ระบุว่านอร์เวย์กำลังเป็นผู้บุกเบิกเรื่องค่าตอบแทนที่เท่าเทียมระหว่างชายหญิงจากเกมกีฬาในภูมิภาคนี้อีกด้วย ส่วนกัปตันทีมชาติฟุตบอลชายอย่าง สเตฟาน โยฮันเซน ระบุว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น พวกเราต้องผลักดันให้ฟุตบอลของนอร์เวย์ก้าวไปข้างหน้า และผู้หญิงก็มีความสำคัญเท่ากันกับผู้ชาย



ที่มาข้อมูล

A LOOK AT MALE AND FEMALE PROFESSIONAL ATHLETE SALARIES (sportsmanagement.adelphi.edu, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 28/10/2017)
Basketball’s Gender Wage Gap Is Even Worse Than You Think (sports. vice.com, 12/8/2015)
Norway men's national team takes wage cut so players paid same as women's side (independent.co.uk, 7/10/2017)
The World's Highest-Paid Athletes 2017 RANKING (forbes.com, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 28/10/2017)
Which Sports Have The Largest And Smallest Pay Gaps? (Andrew Brennan, forbes.com, 5/5/2016)
คอลัมน์: ขอคิดด้วยคน: 'ภาพ'สตรีบนพื้นที่สื่อกีฬา (ดร.ทิฆัมพร เอี่ยมเรไร, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 21/9/2560)

ที่มาภาพ: Alan Fitzsimmons/Queen’s University Belfast/Isaac Newton Group La Palma

Posted: 28 Oct 2017 08:45 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ทีมนักดาราศาสตร์ของอลัน ฟิตส์ซิมมอนส์ ค้นพบวัตถุนอกโลกชื่อ A/2017 U1 ที่มีลักษณะการเคลื่อนที่ต่างจากวัตถุชนิดอื่น ๆ ที่เคยค้นพบก่อนหน้านี้ มีการตั้งสมมุติฐานว่ามันอาจจะเป็นวัตถุที่มาจากระบบดาวดวงอื่น ถ้าจริงมันจะเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ค้นพบวัตถุที่มาจากจากระบบดาวอื่นเคลื่อนเข้ามาในระบบสุริยะ

29 ต.ค. 2560 ข้อมูลจากศูนย์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียนเพื่อฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ที่ตีพิมพ์ในวารสารไมเนอร์แพลนเน็ตระบุถึงวัตถุซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชื่อ A/2017 U1 โดยวัตถุตัวนี้มีวิถีการโคจรแบบเส้นโค้งไฮเปอร์โบลาในแบบที่เร็วพอจนสามารถหนีแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ได้ นักดาราศาสตร์มองว่ามันอาจจะเป็นวัตถุนอกโลกชิ้นแรกที่มาจากนอกระบบสุริยะ

เอ็ดเวิร์ด บลูมเมอร์ นักดาราศาสตร์จากหอดูดาวหลวงกรีนิชกล่าวว่า "สิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับวัตถุนี้คือการที่ที่มาของมันอาจจะเป็นผู้มาเยือนจากระบบดาวอีกระบบหนึ่ง" โดยวัตถุชิ้นนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 400 เมตร

ที่ผ่านมาวัตถุนอกโลกต่าง ๆ มักจะมาจากภายในระบบสุริยะเองและมีการโคจรอยู่รอบ ๆ ระบบนานมากจนกระทั่งสามารถทำวิถีแบบเส้นโค้งไฮเปอร์โบลาได้ โดยอาศัยวิธีต่าง ๆ เช่น เพิ่มความเร่งจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงดาวเคราะห์ยักษ์ แต่ในกรณีล่าสุดไม่เป็นเช่นนี้

แกเรธ วิลเลียมส์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการของศูนย์ไมเนอร์แพลเน็ตกล่าวว่าเมื่อพิจารณาเส้นทางโคจรของดาวหางชนิดนี้แล้วมันโคจรด้วยวิถีแบบไฮเปอร์โบลาอยู่ตลอดและไม่ได้เคลื่อนไปใกล้กับดาวเคราะห์ยักษ์เพื่อเพิ่มความเร่งเลย จึงมีสมมุติฐานว่ามันน่าจะมาจากนอกระบบสุริยะและกลับออกไปนอกระบบสุริยะ

จากการสังเกตการณ์ของนักดาราศาสตร์พบว่าวัตถุดังกล่าวนี้เข้าสู่ระบบสุริยะเฉียดผ่านวงโคจรของดาวพุธ จากนั้นจึงเคลื่อนไปทางดวงอาทิตย์ในคนละทิศจากตอนที่เข้ามาก่อนจะย้อนกลับออกไปจากวงโคจรของดาวเคราะห์แล้วมุ่งกลับไปยังหมู่ดาวฤกษ์

มีการค้นพบวัตถุลึกลับนี้ครั้งแรกในช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาจากกล้องโทรทรรศน์ที่ฮาวาย หนึ่งในผู้ที่ค้นพบคือ อลัน ฟิตซ์ซิมมอนส์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์ยูนิเวอร์ซิตีเบลฟาสต์ ฟิตซ์ซิมมอนส์กล่าวว่าเขาค่อนข้างแน่ใจในเรื่องที่วัตถุนี้น่าจะเป็นวัตถุจากนอกระบบสุริยะชิ้นแรกแต่ต้องมีการร่วมมือกับทีมในการคำนวณวิถีการเคลื่อนที่และสารเคมีประกอบวัตถุนี้และขนาดของมัน

ในการตรวจสอบช่วงแรก ๆ มีการประเมินว่าสิ่งนี้คล้ายกับวัตถุที่อยู่ตามแถบไคเปอร์ซึ่งเป็นพื้นที่เลยห่างจากดาวเนปจูนออกไป มีวัตถุต่าง ๆ ลอยอยู่จำนวนมาก บลูมเมอร์บอกว่าในระบบสุริยะของเราเองก็มีพื้นที่ห่างจากแถบไคเปอร์ออกไปชื่อเมฆออร์ตที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งบางครั้งเกิดการรบกวนจนเมฆออร์ตส่งวัตถุออกไปนอกระบบสุริยะ จึงเป็นไปได้ที่ระบบดาวอื่น ๆ จากภายนอกอาจจะส่งวัตถุเข้ามาสู่ระบบสุริยะได้เช่นกัน

ฟิตส์ซิมมอนส์เสนอความเป็นได้อีกอย่างหนึ่งว่าวัตถุนี้อาจจะถูกส่งออกมาจากระบบดาวที่กำลังมีการก่อตัวของดาวเคราะห์กลายเป็นระบบสุริยะระบบใหม่ มีดาวฤกษ์อยู่จำนวนมากและดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในแกแล็กซีที่พวกเราอยู่ก็มีดาวเคราะห์โคจรรอบ กระบวนการก่อตัวของดาวเคราะห์นั้นเป็นกระบวนการที่ยุ่งเหยิงมากจากการศึกษาระบบสุริยะของเรา หรือวัตถุนี้ก็อาจจะเดินทางผ่านดวงดาวอื่น ๆ หลายพันล้านปีแสงจนกระทั่งมาปรากฏให้พวกเราเห็นก็ได้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้นักดาราศาสตร์มองว่าวัตถุอวกาศนี้ต่างจากวัตถุที่แถบไคเปอร์คือการที่มันเป็นคล้าย ๆ จุดแสงที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไรมากกว่าจะเป็นน้ำแข็ง รวมถึงเมื่อมันโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มันก็ไม่ได้ทำให้ชั้นบรรยากาศหนาแน่นขึ้นด้วยซึ่งถ้าหากว่ามันเป็นน้ำแข็งควรจะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้ฟิตส์ซิมมอนส์ระบุว่ามันน่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อยที่เต็มไปด้วยหินมากกว่าจะเป็นดาวหางน้ำแข็ง


เรียบเรียงจาก

Mysterious object seen speeding past sun could be 'visitor from another star system', The Guardian, 27-10-2017
https://www.theguardian.com/science/2017/oct/27/mysterious-object-detected-speeding-past-the-sun-could-be-from-another-solar-system-a2017-u1



Posted: 28 Oct 2017 10:20 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

พนังกั้นน้ำในพื้นที่ ต.บึงเนียม อ.เมืองขอนแก่น ถูกกระแสน้ำกัดเซาะขาดกว่า 30 เมตร น้ำปริมาณมากไหลทะลักเข้าใกล้เขตเมือง เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเร่งซ่อม



ที่มาคลิปวีดีโอ: สำนักข่าวไทย

29 ต.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่าที่บริเวณคลองส่งน้ำ 3L-RMC บริเวณกิโลเมตรที่ 10 บ้านคุยโพธิ์ หมู่ 6 ต.บึงเนียม อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมจังหวัดขอนแก่น ถูกน้ำกัดเซาะเป็นโพลง ตั้งแต่เวลา 14.30 น.ของเมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) ก่อนที่พนังกั้นน้ำจะทานแรงน้ำไม่ไหว แตกออกยาวกว่า 30 เมตร ส่งผลให้น้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่นาข้าวหลายหมื่นไร่

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ พบว่ายังมีปริมาณน้ำไหลผ่านจุดดังกล่าวปริมาณมาก โดยเบื้องต้นได้กันเป็นพื้นที่อันตราย ห้ามเข้าใกล้ เพราะตลิ่งทรุดได้ตลอดเวลา และได้นำถุงบิ๊กแบ็กมาเสริมคันดิน พร้อมกล่าวว่า จุดนี้ถือว่ามีมวลน้ำมีปริมาณมาก และสิ่งที่น่าเป็นห่วงต้องเร่งให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ คือ พื้นที่ด้านล้างบริเวณห้วยพระ ว่าจะมีจุดอ่อนไหวที่จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันได้อีกหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำกัดเซาะจนถนนขาดอีก กรมชลประทาน ทหารจาก มทบ.23 นำกำลังพลเข้ามากรอกและวางกระสอบทราย รุกคืบทีละเมตร ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะปิดกั้นทางน้ำได้

และวันนี้ (29 ต.ค.) จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนมาช่วยกันแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนน้ำจะเข้าท่วมพื้นที่ในเขตเทศบาลนครขอนแก่นหรือไม่นั้น ต้องรอประเมินสถานการณ์นาทีต่อนาที




ที่มาภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2560 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าเวลาประมาณ 15.00 น. ที่ถนนเลียบคลองชลประทานฮ่องไข่นก บ้านคุยโพธ์ ตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองขอนแก่น ได้ขาดความยาวประมาณ 30 เมตร ทำให้มวลน้ำมหาศาล กระจายพื้นที่การเกษตรอีกด้าน และจะไหลไปรวมกันตรงห้วยพระคือ จะไปเสริมกับน้ำชั้นใน โอกาสเสี่ยงสูงที่จะไหลเข้าสู่รอบๆ เขตเทศบาลนครขอนแก่นขณะนี้ทาง ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นพร้อมด้วย ปภ.จังหวัด นายกเทศมนตรีนครขอนแก่นเข้าพื้นที่ไปประเมินสถานการณ์และร้องขอกำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 23 หลายร้อยนายเข้าช่วยเหลือ ตอนนี้สถานการณ์เสี่ยง อีก 1-2 วัน น้ำจะไหลเข้าชั้นในจะทำให้ห้วยพระคือน้ำทะลักเข้าเมืองได้ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในเขตตำบลพระลับ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่นและรอบๆเขตเทศบาลนครขอนแก่น เฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้สั่งการให้นายอำเภอเมืองขอนแก่นเตรียมพร้อมใช้แผนเผชิญเหตุหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นให้เตรียมอพยพคน จัดหาเต็นท์ หาไฟฟ้าแสงสว่างให้พร้อม


Posted: 29 Oct 2017 02:50 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

โฆษก คสช. เผยสถานการณ์น้ำในปีนี้เทียบกับปี 2554 ปริมาณน้ำสะสมใกล้เคียงกัน แต่รัฐบาลเตรียมการวางแผนไม่ให้ผลกระทบวงกว้าง เยียวยาพื้นที่สุดวิสัยตามความเหมาะสม พร้อมส่งทหาร 31 กองร้อยช่วย 22 จังหวัด

29 ต.ค. 2560 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าพันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่สถานการณ์น้ำที่มีค่อนข้างมากในปีนี้ว่าสืบเนื่องจากประเทศไทยได้รับอิทธิพล จากพายุโซนร้อน ตาลัส เซินกา พายุไต้ฝุ่นทกซูรี และพายุดีเปรสชั่นเมื่อเปรียบกับ ณ เวลา เดียวกัน ในปี 2554 มีปริมาณน้ำฝนรวมสะสม ที่ 1,798 มิลลิเมตร ในทางสถิตินับว่ามีปริมาณใกล้เคียงกัน

แต่ด้วยรัฐบาลได้พยายามบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมมาแต่เนิ่น ๆ ตามห้วงเวลาตั้งแต่ในช่วงก่อนน้ำมา และระหว่างน้ำมา เช่น การพัฒนาเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำ แก้มลิง ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งประเทศ การวางแผนเวลาการระบายน้ำฤดูฝน การบริหารระดับน้ำในเขื่อนให้มีระดับเหมาะสม การวางวางแผนใช้พื้นที่ทุ่งรับน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เช่นการกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำในพื้นที่ต่าง และเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกลต่าง ๆ โดยกรมชลประธาน กษ. ซึ่งทั้งหมดได้มีการคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนนั้น โดยพยายามที่จะไม่ขยายเป็นวงกว้างมาก โดยในส่วนพื้นที่สุดวิสัยที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลได้มีแผนการดูแลเยียวยาไว้แล้วตามความเหมาะสมอย่างดีที่สุด อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าว นรม.และ หน.คสช. ได้มีสั่งการกำชับผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดูแลให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจากการติดตามข่าวสภาพอากาศ และ การแจ้งเตือนจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนกองทัพบก ผบ.ทบ.จึงได้ให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ปัจจุบัน ทุกหน่วยอยู่ในขั้นระหว่างการให้ความช่วยเหลือ ร่วมกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ จะได้มีการติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด

โดยในภาพรวมขณะนี้ทาง ศบภ.ทบ. ได้ส่งกำลังพลจำนวน 31 กองร้อยช่วยเหลือ ปชช. เข้าปฏิบัติการอยู่ใน พื้นที่ๆ ได้รับผลกระทบทั้ง 22 จังหวัด ในพื้นที่ภาค เหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทาง ศบภ.ทบ. ส่วนกลางได้มีการเตรียมการที่จะสนับสนุนเพิ่มเติม ในเรื่องจำเป็นต่าง ๆ เอาไว้ ทั้งเรื่องคน และ เครื่องมือต่าง ๆ ไว้คอยเสริม กรณีจำเป็น หรือเมื่อมีการร้องขอเข้ามา

Posted: 29 Oct 2017 06:26 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)


หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี และชานันท์ ยอดหงษ์ พูดคุยกับ ทรายแก้ว ทิพากร นักวิจัยชำนาญการพิเศษ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ "การทูตวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในประเทศไทยในทศวรรษ 1970-1980" หาคำตอบร่วมกันว่านับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น นอกจากความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจนกลายเป็นประเทศแถวหน้าทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังแก้ไขภาพลักษณ์พร้อมแผ่ขยายอิทธิพลผ่านการทูตวัฒนธรรม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศอย่างไร พร้อมคำแนะนำหากสังคมไทยจะเลือกรับปรับใช้ซอฟท์พาวเวอร์จากญี่ปุ่น




ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลัง
ที่เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai


Posted: 27 Oct 2017 09:21 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

เมียนมาพิสูจน์สัญชาติทะลุ 5.3 แสน ก.แรงงานย้ำประมงต่ออายุก่อน 1 พ.ย.


นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวลือว่าทางการเมียนมาจะปิดศูนย์ตรวจสัญชาติจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานขอยืนยันว่าศูนย์ฯ ยังคงให้บริการตามปกติ และเตรียมจะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งเป็น 11 ศูนย์ ที่จังหวัดปทุมธานีและนนทบุรีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะทำให้การตรวจสัญชาติของเมียนมาเสร็จเร็วยิ่งขึ้น โดยขณะนี้มีแรงงานเมียนมาเข้ารับการตรวจสัญชาติและได้รับหนังสือรับรองบุคคล (CI) แล้วจำนวน 531,059 คน แบ่งเป็นกลุ่มบัตรสีชมพู จำนวน 413,048 คน กลุ่มที่ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง (ใบจับคู่) จำนวน 118,011 คน ปัจจุบันศูนย์ตรวจสัญชาติเมียนมามี 9 ศูนย์คือ 1. ศูนย์ฯ จังหวัดสมุทรสาคร (แห่งที่ 1) ข้างโรงแรมนิวเฟรนด์ ต.ท่าจีน อ.เมือง 2. ศูนย์ฯ จังหวัดสมุทรสาคร (แห่งที่ 2) สถานีขนส่งจังหวัดสมุทรสาครเก่า ข้างตลาดทะเลไทย ต.ท่าจีน อ.เมือง 3. ศูนย์ฯ จังหวัดสมุทรปราการ เลขที่ 1467 หมู่ 1 ถ.เทพารักษ์ ต.เทพารักษ์ อ.เมืองสมุทรปราการ 4. ศูนย์ฯ จังหวัดเชียงราย เลขที่ 889/6-7 หมู่ 9 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย

5. ศูนย์ฯ จังหวัดตาก เลขที่ 298 หมู่ 2 ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด 6. ศูนย์ฯ จังหวัดระนอง เลขที่ 89/150 ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง 7. ศูนย์ฯ จังหวัดเชียงใหม่ อาคารปรับปรุงคุณภาพ ศูนย์สินค้าเกษตรภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ เลขที่ 230 หมู่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ 8. ศูนย์ฯ จังหวัดนครสวรรค์ เลขที่ 135 หมู่ 2 ต.กลางแดด อ.เมืองนครสวรรค์ และ 9. ศูนย์ฯ จังหวัดสงขลา ตลาดฟุกเทียน เลขที่ 99 หมู่ 3 ต.คลองแห อ.หาดใหญ่

“แรงงานเมียนมาสามารถไปจ่ายค่าธรรมเนียม CI จำนวน 310 บาท ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส (เซเว่น อีเลฟเว่น) ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยขณะนี้สามารถเลือกศูนย์ตรวจสัญชาติได้ที่ศูนย์ฯ จังหวัดเชียงราย สงขลา และนครสวรรค์ ส่วนศูนย์ฯในจังหวัดที่ปิดบริการชั่วคราวเนื่องจากคิวล้นเกินจำนวนรับได้จนต้องเคลียร์คิวที่ค้างให้จบก่อนนั้นจะเร่งเปิดให้เร็วที่สุด และขอย้ำให้กลุ่มประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำที่ใบอนุญาตการทำงานจะหมดในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ให้รีบมาดำเนินการตรวจสัญชาติให้แล้วเสร็จ ซึ่งหากมาดำเนินการทันเวลาที่กำหนดก็จะสามารถต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้อีก 2 ปี จนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562” นายวรานนท์กล่าว

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 23/10/2560

กนอ. แจงเหตุนิคมฯอมตะนคร สารเคมีรั่วไหล สั่งปิด 30 วัน จัดทำแผนปรับปรุง-ป้องกันเกิดเหตุซ้ำ
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า วันที่ 25 ต.ค. 2560 สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครได้รับแจ้งเหตุสารเคมีรั่วไหลจากโรงงานของ บริษัท ไทยเมกิ (2012) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 10.15 น. จึงเร่งเข้าพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบโดยเบื้องต้นพบว่า โรงงานดังกล่าวประกอบกิจการชุบโลหะมีพนักงานอยู่จำนวน 100 คน

ซึ่งเหตุการณ์สารเคมีคือ กรดไนตริกเกิดปฏิกิริยาเป็นกลุ่มควันลอยขึ้นจากปล่องระบายอากาศของโรงงาน เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทางบริษัทฯ รวมถึงหน่วยงานบรรเทาสาธารณะภัย จากนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และเทศบาลดอนหัวฬ่อ ได้เร่งทำการควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ภายใน 45 นาที

“เหตุการณ์สารเคมีรั่วไหลดังกล่าว กนอ. ได้ส่งรถตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดคุณภาพอากาศของพื้นที่โดยรอบโรงงาน นอกจากนี้ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครยังมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่สามารถรายงานผลคุณภาพอากาศแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. ซึ่งผลจากการตรวจสอบคุณภาพอากาศดังกล่าวพบว่าอยู่ในภาวะปลอดภัย สารเคมีที่รั่วไหลมีปริมาณน้อยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อ โรงงานอุตสาหกรรมใกล้เคียง ชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีการเข้าระงับเหตุควบคุมสถานการณ์จากศูนย์ควบคุมและบรรเทาสาธารณะภัยอมตะนคร เทศบาลตำบลดอนหัวฬ่อ สิ่งแวดล้อมภาค 13 สิ่งแวดล้อมจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยรวดเร็ว อีกทั้งมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ในการเข้า ระงับฉุกเฉินขั้นวิกฤต” นายวีรพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. ใช้มาตรา 39 ตาม พ.ร.บ. โรงงาน สั่งการให้บริษัท ไทยเมกิ (2012) จำกัด หยุดประกอบกิจการ 30 วัน เพื่อตรวจสอบความเสียหายและปรับปรุง ซ่อมบำรุงระบบการผลิต ให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งบริษัทจะต้อง ชี้แจงรายละเอียดสาเหตุการเกิดเหตุ พร้อมทั้งจัดทำแผนปรับปรุงระบบให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัย ต่อ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิจารณาก่อนอนุญาตให้เปิดดำเนินการในระยะต่อไป

นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ต.ค. 2560 สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครและนิคมฯอมตะ จะนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่รอบโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่ชุมชนต่อไป

ที่มา: ข่าวสด, 25/10/2560

'นายกฯ' แจง รบ.ยังไม่ไฟเขียวปรับเพดานเงิน 'กองทุนประกันสังคม'

นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อน แจงเก็บเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่ม เป็นเพียงการหารือ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เตรียมเรียกเก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนประกันสังคมจากสูงสุด 750 บาท เป็น 1,000 บาท ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นเพียงการหารือ และที่ผ่านมามีการหารือมากว่า 15 ปีแล้ว ดังนั้นต้องมีความเข้าใจให้มากขึ้น และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ยืนยันรัฐบาลชุดนี้ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่รับฟังปัญหานำมาแก้ทุกปัญหา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความเป็นจำและสาเหตุ และขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุม คสช.ยังหารือถึงการรับฟังความเห็นของผู้ด้อยโอกาสและคนพิการเกี่ยวกับการรับเบี้ยประกันที่มีอยู่ 2 ทาง คือ 1. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. และ2. กองทุนประกันสังคม ซึ่งได้เห็นชอบร่วมกันเพื่อร่างคำสั่งให้เลือกได้ตามความสมัครใจ โดยให้ระยะเวลา 1 ปีในการตัดสินใจ

ที่มา: VoiceTV, 24/10/2560

กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครชายไทยไปฝึกงานญี่ปุ่น 3 ปี มีเบี้ยเลี้ยง-เงินเดือน

กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM Japan ตำแหน่งคนงานทั่วไป ระยะเวลาฝึกงาน 3 ปี มีเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกงาน ฝึกครบได้รับใบประกาศนียบัตร และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพ 600,000 เยน สมัครฟรี 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2560

นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกงานปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM Japan ตำแหน่งคนงานทั่วไป ระยะเวลาฝึกงาน 3 ปี โดย IM ประเทศญี่ปุ่น จะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ (กรุงเทพฯ – โตเกียว – กรุงเทพฯ) และได้รับเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกงาน โดยในเดือนแรกได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 80,000 เยน หรือประมาณกว่า 23,000 บาท และรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ยกเว้นค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ และค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะฝึกปฏิบัติงานเทคนิคภายใต้สัญญาจ้างตามกฎหมายแรงงานญี่ปุ่น ได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคจะต้องรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และค่าประกันสังคม รวมทั้งค่าภาษีตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติงานแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน พร้อมเงินสนับสนุนในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยอีกจำนวน 600,000 เยน หรือประมาณกว่า 175,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2560) คุณสมบัติเป็นเพศชาย อายุ 20 – 30 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่จำกัดสาขาวิชา ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 160 ซม. สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ สายตาปกติ และตาไม่บอดสี พ้นภาระการรับราชการทหาร ไม่มีรอยสัก หรือความผิดปกติทางร่างกาย ไม่มีความประพฤติเสียหาย และไม่เคยเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมายในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอื่น ๆ และไม่เคยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าประเภท Technical lntern มาก่อนหรือเป็นผู้ต้องห้ามในการเข้าประเทศญี่ปุ่น

นายวรานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจสามารถสมัครได้ด้วยตนเองพร้อมหลักฐานได้แก่ ใบสมัครสอบคัดเลือก รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก และไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 รูป สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หลักฐานการศึกษา หลักฐานการพ้นภาระการรับราชการทหาร ใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าสุขภาพแข็งแรง สายตาปกติและตาไม่บอดสี ประวัติส่วนตัว ใบผ่านงาน (ถ้ามี) ทั้งนี้ หากตรวจพบว่าผู้สมัครรายใดขาดคุณสมบัติ ข้อใดข้อหนึ่งจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการทันที สมัครตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2560 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น สมัครได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 – 10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ชั้น 8 ภายในกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพมหานคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 245 1186 หรือ สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 25/10/2560

กสร.เตือนลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับสารเคมีต้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยฯ

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556 กำหนดให้นายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลตามลักษณะอันตรายและความรุนแรงของสารเคมีอันตราย หรือลักษณะของงานให้ลูกจ้างสวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกายและสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง กรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับลูกจ้างผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายเมื่อนายจ้างได้จัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลให้แล้วต้องสวมใส่ทุกครั้งเมื่อปฏิบัติงาน ทั้งนี้หากลูกจ้างไม่ปฏิบัตินายจ้างมีสิทธิสั่งให้ลูกจ้างหยุดการทำงานทันทีจนกว่าลูกจ้างจะได้ใช้หรือสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว หากนายจ้าง ลูกจ้างมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่กองความปลอดภัยแรงงาน โทร.0 2448 9128-39 หรือที่หน่วยงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั่วประเทศ

ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, 25/10/2560

ประกาศแล้ว! ม.44 ผู้พิการประกันสังคม มีสิทธิเลือกรับบริการสาธารณสุขบัตรทองหรือไม่ก็ได้

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 45/2560 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 58/2559 โดยที่สมควรปฏิรูประบบการช่วยเหลือคนพิการ ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วย การประกันสังคมให้สามารถเลือกรับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ได้โดยสะดวกตามความสมัครใจ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพึ่งพาตนเองได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจน ไม่เกิดอุปสรรคในการดํารงชีวิต การประกอบอาชีพ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 1 และข้อ 2 ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 58/2559 เรื่อง การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ลงวันที่ 14 กันยายน พุทธศักราช 2559 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน

“ข้อ 1 นอกจากประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทํางานตามมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 แล้ว ให้คนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพตามที่กําหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้วย ทั้งนี้ ให้คนพิการดังกล่าวแสดงความประสงค์ใช้สิทธิเลือกรับประโยชน์ทดแทนหรือรับสิทธิบริการสาธารณสุขได้เพียงสิทธิเดียวในการเลือกรับสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สํานักงานประกันสังคมกําหนด โดยให้แสดงความประสงค์เลือกใช้สิทธิหรือเปลี่ยนแปลงสิทธิที่เลือกได้เป็นรายปีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามวรรคสอง ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ

ข้อ 2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริการสาธารณสุขที่จ่ายให้สําหรับคนพิการที่เลือกรับสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้จ่ายจากกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กระทรวงการคลังประกาศกําหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ โดยมิให้นํามาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ในส่วนที่เป็นวัตถุประสงค์ของกองทุนประกันสังคมมาใช้บังคับกับการจ่ายเงิน ค่าใช้จ่ายสําหรับคนพิการที่เลือกรับสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมให้เป็นไป ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม”

ข้อ 2 ให้ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ออกตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 58/2559 เรื่อง การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ลงวันที่ 14 กันยายน พุทธศักราช 2559 ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคําสั่งนี้ จนกว่าจะมีประกาศที่ออกตามข้อ ๒ ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 58/2559 เรื่อง การรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ลงวันที่ 14 กันยายน พุทธศักราช 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งนี้ใช้บังคับ

ข้อ 3 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ, 25/10/2560

เปิดแล้ว ! ศูนย์ OSS เมียนมา ที่ปทุมธานี -นนทบุรี เริ่ม 1 พ.ย. นี้

ทางการเมียนมาเปิดให้บริการพิสูจน์สัญชาติแรงงานเพิ่มอีก 2 แห่งที่ ศูนย์การค้าเดอะสแควร์ บางใหญ่ จ.นนทบุรี และที่ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จ.ปทุมธานี เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 นี้ โดยสามารถรองรับคิวที่ตกค้าง 20,000 คน ได้ประมาณ 500 คิวต่อวัน แรงงานเมียนมากลุ่มผ่านการคัดกรองฯ รีบไปจองคิวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2560

นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งว่า ทางการเมียนมาพร้อมเปิดจุดให้บริการพิสูจน์สัญชาติแรงงานเพิ่มอีก 2 แห่งที่ ศูนย์การค้าเดอะสแควร์ บางใหญ่ เลขที่ 99 ม.12 ถ.ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และที่ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 นี้ ซึ่งทั้ง 2 ศูนย์จะสามารถให้บริการได้ศูนย์ละประมาณ 500 คนต่อวัน โดยในช่วงแรกจะดำเนินการให้กับแรงงานเมียนมากลุ่มที่ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง (ใบจับคู่) ที่จ่ายค่าธรรมเนียมหนังสือรับรองบุคคล (CI) ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส (เซเว่น อีเลฟเว่น) และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานแล้ว แต่ยังไม่ได้คิวเข้าไปดำเนินการพิสูจน์สัญชาติและขอใบอนุญาตทำงานที่ศูนย์บริการเพื่อการทำงานของคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมา (OSS) ที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 9 แห่งได้เนื่องจากคิวเต็ม ซึ่งมีจำนวนประมาณ 20,000 คน ให้ไปติดต่อเพื่อลงนัดคิวการพิสูจน์สัญชาติและขอใบอนุญาตทำงานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ได้ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2560 โดยเลือกศูนย์ OSS ที่จังหวัดปทุมธานี หรือนนทบุรี ทั้งนี้ เมื่อแรงงานที่ลงนัดคิวแล้วขอให้ไปเข้ารับบริการตรงตามกำหนดวันนัด ซึ่งขณะนี้ มีแรงงานเมียนมาไปจ่ายค่า CI แล้ว จำนวน 295,000 คน คงเหลืออีกจำนวน 125,000 คน

กระทรวงแรงงานจึงขอประชาสัมพันธ์ให้แรงงานเมียนมาเร่งไปดำเนินการชำระเงินค่า CI และค่าใบอนุญาตทำงานที่เซเว่น อีเลฟเว่น และเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 โดยสามารถเลือกศูนย์ OSS ได้ทุกศูนย์ นายวรานนท์ กล่าว

ที่มา: VoiceTV, 27/10/2560

Posted: 28 Oct 2017 01:59 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน

รายงานพิเศษ เล่าเรื่องราวปมคดีและความเดือนร้อนจากนโยบาย ‘ทวงคืนผืนป่า’ บนความทุกข์ยากของคนจน กรณีอุทยานแห่งชาติไทรทอง



เพราะความจนจำต้องดิ้นรนจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาเป็นสาวโรงงานเย็บผ้าในเมืองหลวง หลังจากบริษัทล้มละลาย เธอเป็นหนึ่งในอีกจำนวนหลายพันคนที่ถูกนายจ้างลอยแพ เมื่อหวนคืนสู่ถิ่นอีสาน ยึดอาชีพเกษตรกร เมื่อลุกขึ้นสู้เรียกร้องสิทธิจากผลกระทบนโยบายทวงคืนผืนป่า ความทุกข์ยากจากการถูกคดีความได้ซ้ำเติมเธอและครอบครัวอีกครั้ง
นิตยา ม่วงกลาง หรือกบ อายุ 34 ปี เล่าว่า ในช่วงเดือน พ.ค. 2549 หลังจากถูกเลิกจ้าง กบได้ตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดที่บ้านซับหวาย ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ซึ่งผู้เป็นแม่(ทองปั่น ม่วงกลาง) มีที่ดินทำกินที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จำนวนกว่า 60 ไร่ และได้แบ่งที่ดินทำกินให้กบกับน้องสาวอีก 2 คนล่ะจำนวน 10 ไร่ ต่างยึดอาชีพทำการเกษตรกรไร่มันสำปะหลังเพื่อทำรายได้หาเลี้ยงครอบครัว

นิตยา บอกว่า หลังจากรัฐบาลมีนโยบายทวงคืนผืนป่า ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2558 มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ประมาณ 25 คน เข้ามาแม่ในไร่และบอกว่าครอบครัวทำผิดกฎหมาย บุกรุกพื้นที่ของอุทยาน พร้อมกับให้แม่เซ็นเอกสารยินยอมคืนพื้นที่ทำกินทั้งหมด เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการข่มขู่บังคับว่าหากไม่เซ็น จะถูกจับกุมดำเนินคดีหมดทั้งครอบครัว และจะไม่ให้เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังที่ปลูกไว้ ซึ่งตอนนั้นมีแม่อยู่คนเดียว ด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต และจะไม่มีเงินใช้หนี้ จึงตัดสินใจยอมเซ็นคืนพื้นที่ให้กับทางอุทยานแห่งชาติไทรทอง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ให้แม่เซ็นเอกสารแทนน้องสาวอีกสองคนรวมกบด้วย เป็น 4 คน

“เพราะความจนจึงต้องไปเป็นลูกจ้างสาวโรงงานเย็บผ้ามานับปีแต่ปี 2542 ก็มีความลำบากเกินทน ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2556 เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาหาแม่ในไร่มันสำปะหลัง เพื่อขอคืนพื้นที่ทำกินไปแล้วครั้งหนึ่ง แม่ก็ให้ไปจำนวน 3 ไร่ โดยมิได้กลับเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ที่คืนให้อีก แต่กลับมาถูกผลพวงจากการทวงคืนป่ามาซ้ำเติมชีวิตอีก ครั้งนี้จะมาทวงคืนที่ทำกินทั้งหมด แล้วชีวิตกบกับครอบครัวจะเป็นยังไง ถ้าไม่ต่อสู้เรียกร้อง ก็ต้องถูกอพยพออกจากพื้นที่กลายเป็นคนไร้ที่ดินทำกิน ชีวิตในอนาคตของครอบครัวต้องกลับไปเป็นลูกจ้างแรงงานทั้งหมดอีกนั้นหรือ” นิตยา กล่าวพร้อมเผยความรู้สึกต่อคำถามของตัวเองว่าต้องสู้เพื่ออนาคตในสิทธิที่ดินทำกิน

ด้วยความกังวลต่ออนาคตของครอบครัวที่จะต้องสูญเสียที่ดินทำกิน รวมทั้งในละแวกบ้านของเธอ ก็ถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาข่มขู่ในเซ็นเอกสารในลักษณะเดียวกันรวมกว่า 70 ราย กบจึงได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำชุมชนเพื่อปกป้องสิทธิในที่ดินทำกินของตนและของเพื่อนบ้าน และเข้าร่วมกลุ่มกับอีก 5 ชุมชน 2 ตำบล ประกอบด้วย ต.ห้วยแย้ และ ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ด้วยการเข้ายื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐให้มีกระบวนการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพื่อไม่ให้ทางเจ้าหน้าที่ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ทำกิน



นิตยา บอกอีกว่า เริ่มจากครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2559 ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เนื่องในวันสตรีสากล พร้อมกับเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านผู้อำนวยการสำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี) และเดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งเข้ายื่นหนังสือต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์เขต 7 (นครราชสีมา) และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยภูมิ

ตำรวจเรียก 3 แม่ลูกรับทราบข้อหารุกป่า

ทั้งกบ และน้องสาวคือ นางสาวนริสรา ม่วงกลาง รวมทั้งแม่ เป็น 3 รายแรกที่ได้รับหมายเรียกให้เข้าพบ ร.ต.ท.เนาวรัตน์ ซ้ายเขว้า พนักงานสอบสวนเวรสถานีตำรวจภูธรวังตะเฆ่ ต. วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เพื่อรับทราบข้อหา ในวันที่ 18 ก.ค.2559 ตามที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง แจ้งข้อหาร่วมกันบุกรุกเขตพื้นที่อุทยาน เข้ายึดถือครอบครอง เพื่อตนเองหรือผู้อื่น มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และต่อมาช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2559 คือวันที่ 23 ต.ค.ชาวบ้านถูกแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 9 คน และเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ชาวบ้านถูกแจ้งข้อหาอีก 2 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 14 ราย ทั้งหมดได้เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อแสดงตนและรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งให้การปฏิเสธโดยยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ เพราะชาวบ้านอาศัยทำกินมาก่อนประกาศเป็นเขตอุทยาน



นิตยา บอกอีกว่า หลังจากถูกฟ้องดำเนินคดีได้ร่วมเดินทางไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการจังหวัดชัยภูมิ และได้ขออนุญาตให้เลื่อนระยะเวลาในการยื่นส่งฟ้องศาลออกไปถึง 3 ครั้ง กระทั่งวันที่ 20 ก.ค.2560 อัยการจังหวัดชัยภูมิได้ยื่นฟ้องศาลจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 14 ราย 18 คดี (ครอบครัวของกบถูกฟ้องคนละ 2 คดี) และช่วงบ่ายในวันเดียวกันผู้ถูกคดีทั้งหมด ได้เดินทางไปยังศาลจังหวัดชัยภูมิ เพื่อยื่นหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 1,900,000 บาท ที่ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานกองทุนยุติธรรมจังหวัดชัยภูมิ ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 14 ราย ในระหว่างการพิจารณาคดี

นิตยา กล่าวเพิ่มอีกว่า เมื่อถึงกำหนดศาลจังหวัดชัยภูมินัดพร้อม คือ 23 ส.ค.2560 ศาลได้พิจารณาและมีคำสั่งว่า เนื่องจากจำเลยเป็นชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติ และในวันที่ 24 ส.ค.2560 จะมีการประชุมร่วมกันของคณะทำงานซึ่งเป็นตัวแทนของหน่วยงานรัฐกับตัวแทนของชาวบ้าน เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนนัดพร้อมออกไปในวันที่ 22 ก.ย.2560 เมื่อถึงกำหนดนัดพร้อม ศาลให้มีการไกล่เกลี่ยเพื่อให้จำเลยกับโจทก์ร่วมกันลงตรวจสอบพื้นที่เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและหาแนวทางแก้ไขปัญหากับทางอุทยานแห่งชาติไทรทอง

“ศาลนัดพร้อมทั้งโจทก์และจำเลยอีกครั้งในวันที่ 6 พ.ย.นี้ และจะมีการนัดสืบพยานคดีดังกล่าว ” นิตยา กล่าวเพิ่มเติม

กระบวนการติดตามและแนวทางแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า


ด้านนายไฟโรจน์ วงงาน แกนนำชุมชนบ้านหินรู ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เพิ่มเติมว่า หลังจาก มีนโยบายทวงคืนผืนป่า แต่การดำเนินการกลับเข้ามาแย่งยึดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชนคนยากจน สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนทั่วภูมิภาค รวมทั้งในพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง กว่า 6 หมู่บ้าน ใน ต.วังตะเฆ่ และ ต.ห้วยแย้ ได้รับผลกระทบหนักขึ้น เช่น ห้ามมิให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ และถูกบังคับให้เซ็นยินยอมออกจากพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านก็ต้องยอมเซ็นไปก่อน เนื่องจากกลัว เพราะเจ้าหน้าที่มากันเยอะและประกบตัวต่อตัว จึงได้รวมกลุ่มกันเดินทางเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งพิจารณาแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอเพื่อให้ผู้มีอำนาจพิจารณา ดังนี้

1.ให้ยกเลิกแผนการทวงคืนผืนป่าในพื้นที่พิพาทอุทยานแห่งชาติไทรทอง 2.ให้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างชาวบ้านผู้เดือดร้อน กับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองทำประโยชน์ที่ดิน โดยมีสัดส่วนของราษฎรที่เดือดร้อนในจำนวนที่เท่ากัน และ 3.ในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา ให้ยุติการดำเนินการใด ๆ ที่ส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนต่อราษฎรในพื้นที่ และผ่อนผันให้สามารถทำประโยชน์ตามปกติสุข

ไพโรจน์ เพิ่มเติมอีกว่า จากที่เคยยื่นหนังสือไปหลายหน่วยงาน และร่วมประชุมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง อาทิ เมื่อวันที่ 31มีนาคม 2559 ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ มอบหมายให้นายนิพนธ์ สาธิสมิตพงษ์ (รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ) เป็นประธานในที่ประชุม และที่ประชุมมีมติให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรม เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถือครองทำประโยชน์ที่ดิน และในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา ให้ชาวบ้านเข้าใช้ประโยชน์ได้ตามปกติสุข

ต่อมาวันที่ 17 พ.ค.2559 รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ประธานที่ประชุม) พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดชัยภูมิ (กกล.รส.จว.ชย.),รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ, นายอำเภอหนองบัวระเหว, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดชัยภูมิ และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรทอง เข้าร่วมประชุมที่ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกับชาวบ้านผู้เดือดร้อน



“หลังจากได้มีการตั้งคณะกรรมการทำงานแก้ไขปัญหาร่วมกัน และมีการลงตรวจสอบพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับตัวแทนชาวบ้านมาหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งถือว่าเป็นความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ส่งผลให้ชาวบ้านถูกคุกคาม และถูกดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนมองว่าหากกระบวนการแก้ไขปัญหายังคงล่าช้าไปมากกว่านี้จะมีชาวบ้านถูกฟ้องดำเนินคดีตามมาอีกหลายราย” ไพโรจน์ กล่าว

ที่ดินของชาวบ้านนั้นคือชีวิต เป็นมรดกที่บรรพบุรุษตกทอดมาให้เพื่อดำรงชีพหารายได้มาเลี้ยงปากท้องของคนทั้งครอบครัว แต่ผลพวงจากนโยบายทวงคืนผืนป่า และจากความล่าช้าในการร่วมกันไขปัญหาปัญหา ส่งผลกระทบให้ชาวบ้านต้องเผชิญอุปสรรคและการถูกข่มขู่ คุกคาม ในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อถูกดำเนินคดี กลับยิ่งซ้ำเติมคนจนต้องผจญความทุกข์ยากหนักขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นความปกติสุขของชีวิตจากหายไป สุขภาพจิตที่สูญเสียและรายจ่ายในระหว่างการเดินทาง ค่าน้ำมันไปโรงพักหรือไปศาล รวมทั้งเสียเวลาทำมาหากิน ดังนั้นรัฐควรมีหน้าที่ในการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ท้ายที่สุดแล้วหวังอย่างยิ่งว่ากระบวนการยุติธรรมอาจจะพิจารณาว่าชาวบ้านเข้ามาอยู่โดยไม่มีเจตนาบุกรุก อาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับการดำเนินคดี เพราะปมคดีในพื้นที่พิพาทนั้น ชาวบ้านมีการตั้งถิ่นฐานมานานก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองเมื่อปี 2535


Posted: 28 Oct 2017 02:17 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ทางสายรองของกรมทางหลวงชนบท ยังประสบอุทกภัยครอบคลุม 17 จังหวัด มีภาวะน้ำท่วมสูง ข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ก.ค. -27 ต.ค. 2560 ถนนของ ทช. ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด ได้รับผลกระทบ 341 สายทาง, เข้าสู่ภาวะปกติ 288 สายทาง คงเหลือที่ได้รับผลกระทบ 53 สายทาง

28 ต.ค. 2560 กรมทางหลวงชนบท โดยสำนักบำรุงทาง รายงานสถานการณ์ถนนในการกำกับดูแลของ ทช.ปัจจุบันพบว่า ปัจจุบัน ประสบอุทกภัย 17 จังหวัด โดยมีสายทางได้รับผลกระทบ 53 สายทางรวม 65 แห่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย แต่เส้นทางผ่านได้ 37 สายทาง (48 แห่ง), ผ่านไม่ได้ 16 สายทาง (17 แห่ง) จำนวนดังกล่าวมีภาวะน้ำท่วมสูง 16 สายทาง (17 แห่ง) ได้แก่ ทางหลวงชนบทสาย นว.3041 แยกทางหลวงหมายเลข 117-บ้านหัวถนน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์,ทางหลวงชนบทสาย นว.3102 แยกทางหลวงหมายเลข 117-บ้านเนิน เก้าเลี้ยว,ชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

ทางหลวงชนบทสาย นว.016 สะพานนิมมานรดี อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์,ทางหลวงชนบทสาย นว.3099 แยกทางหลวงหมายเลข 333-บ้านยางขาว พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์,ทางหลวงชนบทสาย อน.5002 เทศบาลเมืองอุทัยธานี-บ้านหาดทนง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี,ทางหลวงชนบทสาย สพ.2004 แยกทางหลวงหมายเลข 33-บ้านสุด อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี,ทางหลวงชนบทสาย 3001 แยกทางหลวงหมายเลข 347 -บ้านโคก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา,ทางหลวงชนบทสาย 4016 แยกทางหลวงหมายเลข 3263 -บ้านป้อม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

-ทางหลวงชนบทสาย 4038 แยกทางหลวงหมายเลข 3412 -บ้านสวนถั่ว อำเภอบางบาล,เสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา,ทางหลวงชนบทสาย 5034 แยก ทช.อย.3006 -บ้านทองดอน อำเภอลาดบัวหลวง,เสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา,ทางหลวงชนบทสาย มค.3062 แยกทางหลวงหมายเลข 208-บ้านหนองผือ โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม,ทางหลวงชนบทสาย ขก.2063 แยกทางหลวงชนบทสาย 12-บ้านท่าเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น,ทางหลวงชนบทสาย ขก.2079 แยกทางหลวง – บ้านหนองแสง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น

ทางหลวงชนบทสาย ขก.1004 แยกทางหลวงหมายเลข 2-บ้านโนนดงมัน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น,ทางหลวงชนบทสาย ขก.1027 แยกทางหลวงหมายเลข 2-บ้านโคกท่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น,ทางหลวงชนบทสาย นภ.6011 บ้านโนนสัง-บ้านโนนยาว อำเภอโนนสัง จ.หนองบัวลำภู

ขณะที่ข้อมูลสะสมตั้งแต่ วันที่ 1 ก.ค. – 27 ต.ค. 2560 ถนนของ ทช. ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด ได้รับผลกระทบ 341 สายทาง,เข้าสู่ภาวะปกติ 288 สายทาง คงเหลือที่ได้รับผลกระทบ 53 สายทาง

ทั้งนี้ ได้ดำเนินการติดตั้งป้ายเตือนประชาชนในการสัญจรด้วยความระมัดระวังแล้ว และดำเนินการซ่อมแซมเบื้องต้นเพื่อให้ใช้เส้นทางสัญจรไปมาได้ชั่วคราว ได้แก่ หมวดบำรุงทางหลวงชนบทแม่สะเรียง ได้นำเครื่องจักรพร้อมเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการเปิดทางหลวงชนบทสาย มส.4003 แยกทางหลวงหมายเลข 1194-บ้านหม้อเหล้า ช่วง กม.ที่ 8+200 จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้

ชลประทานเตือนอย่าเชื่อข่าวลือน้ำท่วมลุ่มน้ำท่าจีน

นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงข่าวลือใน Social Media ว่า มีการออกหนังสือแจ้งเตือนจากภาครัฐให้ประชาชนในลุ่มน้ำท่าจีนเก็บข้าวของหนีน้ำท่วมเนื่องจากมีการแบ่งน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา มาทางฝั่งตะวันตก เพื่อออกทะเลทางฝั่งตกและมีการส่งต่อข้อความว่า หน่วยงานรัฐเตือนระวังระดับน้ำ และให้ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงเพราะน้ำจะท่วม

รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยทางจังหวัดมีการออกหนังสือแจ้งเตือนจริง แต่เป็นการแจ้งเตือนตามปกติเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำ และคลองอาจสูงใกล้เคียงความจุของลำน้ำ อาจมีผลกระทบเฉพาะชุมชนที่ลุ่มต่ำ หรือที่รุกล้ำในเขตลำน้ำเท่านั้น

โดยขณะนี้กรมชลประทานและกองทัพเรือได้ใช้เครื่องผลักดันน้ำและเรื่อผลักดันน้ำตลอดลำน้ำท่าจีนจนถึงปากอ่าวที่สมุทรสาครเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนแล้ว

ปภ.รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 17 จังหวัด

นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์อุทกภัย น้ำไหลหลาก และน้ำเอ่อล้นตลิ่ง จากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่น และการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 10-28 ตุลาคม 2560 ทำให้เกิดน้ำไหลหลากและน้ำเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ 23 จังหวัด รวม 78 อำเภอ 473 ตำบล 2,785 หมู่บ้าน 42 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 125,372 ครัวเรือน 325,212 คน ผู้เสียชีวิต 10 ราย ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ใน 17 จังหวัด รวม 60 อำเภอ 403 ตำบล 2,409 หมู่บ้าน 112,827 ครัวเรือน 296,318 คน อพยพ 20 ครัวเรือน

นายชยพล กล่าวว่า แยกเป็น ลุ่มน้ำยม 1 จังหวัด ได้แก่ จ.สุโขทัย น้ำท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอคีรีมาศ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสำโรง และอำเภอกงไกรลาศ รวม 5 ตำบล 11 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 92 ครัวเรือน 221 คน ผู้เสียชีวิต 1 ราย ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน 1 จังหวัด ได้แก่ จ.พิจิตร น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสามง่าม อำเภอโพธิ์ประทับช้าง อำเภอบึงนาราง อำเภอโพทะเล อำเภอเมืองพิจิตร อำเภอตะพานหิน อำเภอวังทรายพูน และอำเภอบางมูลนาก รวม 38 ตำบล 241 หมู่บ้าน 3 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 11,168 ครัวเรือน 27,920 คน ผู้เสียชีวิต 2 ราย

นายชยพล กล่าวอีกว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 7 จังหวัด ได้แก่ จ.นครสวรรค์ น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครสวรรค์ อำเภอพยุหะคีรี อำเภอโกรกพระ อำเภอชุมแสง และอำเภอท่าตะโก รวม 48 ตำบล 474 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 19,787 ครัวเรือน 41,122 คน จ.อุทัยธานี น้ำท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองอุทัยธานี และอำเภอทัพทัน รวม 7 ตำบล 35 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,788 ครัวเรือน 2,923 คน จ.สิงห์บุรี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภออินทร์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภอพรหมบุรี และอำเภอท่าช้าง รวม 19 ตำบล 84 หมู่บ้าน 6 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 6,295 ครัวเรือน 16,367 คน ผู้เสียชีวิต 1 ราย จ.ลพบุรี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่อำเภอบ้านหมี่ รวม 9 ตำบล 60 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 7,643 ครัวเรือน 22,231 คน ผู้เสียชีวิต 1 ราย จ.อ่างทอง น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอป่าโมก อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอไชโย รวม 30 ตำบล 92 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,595 ครัวเรือน 6,747 คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 6,017 ไร่ จ.พระนครศรีอยุธยา น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางบาล อำเภอเสนา อำเภอบางปะอิน อำเภอผักไห่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางไทร และอำเภอบางปะหัน รวม 99 ตำบล 589 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 37,463 ครัวเรือน 97,403 คน จ.ปทุมธานี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองปทุมธานี และอำเภอสามโคก รวม 21 ตำบล 67 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,352 ครัวเรือน 11,315 คน

นายชยพล กล่าวว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำท่าจีน 1 จังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอมโนรมย์ อำเภอสรรพยา อำเภอเมืองชัยนาท อำเภอวัดสิงห์ และอำเภอหันคา รวม 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน 4 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,151 ครัวเรือน 10,377 คน ลุ่มน้ำท่าจีน 1 จังหวัด ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางปลาม้า อำเภอสองพี่น้อง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี และอำเภอเดิมบางนางบวช รวม 37 ตำบล ประชาชนได้รับผลกระทบ 12,523 ครัวเรือน 43,035 คน

นายชยพล กล่าวอีกว่า ลุ่มน้ำชี 5 จังหวัด ได้แก่ หนองบัวลำภู ผลกระทบจากน้ำเขื่อนอุบลรัตน์หนุนและไหลเข้าท่วมพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอโนนสัง และอำเภอเมืองหนองบัวลำภู รวม 23 ตำบล 162 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,164 ครัวเรือน 10,826 ครัวเรือน จ.ขอนแก่น น้ำท่วมพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุบลรัตน์ อำเภอน้ำพอง และอำเภอเมืองขอนแก่น รวม 20 ตำบล 157 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,610 ครัวเรือน 5,687 คน จ.มหาสารคาม น้ำท่วมพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอกันทรวิชัย และอำเภอเมืองมหาสารคาม รวม 19 ตำบล 122 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 516 ครัวเรือน 1,341 คน อพยพ 20 ครัวเรือน จ.กาฬสินธุ์ น้ำท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอฆ้องชัย และอำเภอกมลาไสย รวม 6 ตำบล 24 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 15 ครัวเรือน 39 คน จ.ร้อยเอ็ด น้ำท่วมพื้นที่อำเภอจังหาร รวม 3 ตำบล 7 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 159 ครัวเรือน 548 คน ลุ่มน้ำมูล 1 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี น้ำท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี และอำเภอวารินชำราบ รวม 18 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 64 ครัวเรือน 906 คน

นายชยพล กล่าวด้วยว่า ปภ.ได้ประสานจังหวัด หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง โดยแจกจ่ายถุงยังชีพตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจังหวัดจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแผนเผชิญเหตุ รวมถึงให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตระดมทรัพยากรและเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย ทั้งเต็นท์ที่พัก รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้าส่องสว่าง รถบรรทุก รถสุขาเคลื่อนที่ เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ สนับสนุนการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติม เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังสู่ลำน้ำสายหลัก ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป


ที่มาข่าวเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2] [3]

Posted: 28 Oct 2017 02:53 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

องค์กรแรงงานสากล IUF จัดกิจกรรม ‘สัปดาห์เรียกร้องสิทธิคนทำงานแม่บ้านในโรงแรมทั่วโลก’ เรียกร้อง เช่น สิทธิที่จะมีงานที่มั่นคง-การจ้างงานแบบเต็มเวลา และเรียกร้องให้คนทำงานสามารถทำงานเป็นคู่ได้เพื่อแบ่งภาระงานที่หนักและลดความเสี่ยงในการถูกคุมคามทางเพศในการทำงาน


28 ต.ค. 2560 เว็บไซต์ effat.org รายงานเมื่อกลางเดือน ต.ค. 2560 ที่ผ่านมาว่าสมาคมสหภาพแรงงานอาหาร เกษตรกรรม โรงแรม ภัตตาคาร การบริการอาหาร ยาสูบและแรงงานพันธมิตรระหว่างประเทศ (International Union of Food, Agricultural, Hotel, Restaurant, Catering, Tobacco and Allied Workers' Associations หรือ IUF) ได้จัดกิจกรรม ‘สัปดาห์เรียกร้องสิทธิคนทำงานแม่บ้านในโรงแรมทั่วโลก’ ระว่างวันที่ 9-15 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีคนทำงานแม่บ้านในโรงแรมและสหภาพแรงงานจากทั่วโลกมาร่วมจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เพื่อยกระดับการรับรู้ปัญหาของคนทำงานแม่บ้านในโรงแรมและนำไปสู่สภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น

ในการรณรงค์ครั้งนี้ได้มีขอเรียกร้องให้นายจ้างต้องมีความผิดชอบในการรับประกันว่า คนทำงานต้องมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสมใน ซึ่งมีการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ อาทิเช่น การเรียกร้องเสรีภาพในการก่อตั้งหรือเข้าร่วมสหภาพแรงงานและการรวมตัวเพื่อต่อรองกับนายจ้าง, สิทธิที่จะมีงานที่มั่นคงและการจ้างงานแบบเต็มเวลา, สิทธิที่จะได้เงินค่าจ้างอย่างเพียงพอในการดำรงชีวิตและได้ค่าจ้างที่สมเหตุสมผลกับงานที่ทำ, สิทธิที่สามารถก่อตั้งคณะกรรมการความความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน, เรียกร้องให้มีกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศรับรองให้งานแม่บ้านโรงแรมเป็นลักษณะงานที่เป็นงานใช้ความสามารถ รวมทั้งมีมาตรการปกป้องคนทำงานเหมาช่วง (outsource) ให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับพนักงานประจำ

นอกจากนี้ยังภาระงานต้องเหมาะสมกับเงื่อนไขทางสุขภาพของคนทำงานและป้องกันคนทำงานจากอันตรายต่าง ๆ , ภาระงานต้องปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานต้องสัมพันธ์กับขนาดของห้องหรืออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง, มีสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมในการทำงาน และมีมาตรการป้องกันที่เพียงพอในการปกป้องคนทำงาน, ให้การศึกษาและการฝึกฝนแก่คนทำงานอย่างเพียงพอนอกจากนี้ยังเรียกร้องให้คนทำงานสามารถทำงานเป็นคู่ได้เพื่อแบ่งภาระงานที่หนักและลดความเสี่ยงในการถูกคุมคามทางเพศในการทำงาน รวมทั้งมีพาหนะรับส่งคำทำงานที่ปลอดภัยสำหรับคนทำงานที่ต้องปฏิบัติงานในช่วงนอกเวลางานหรือทำงานในกะดึก หากสถานที่ทำงานนั้นไม่มีขนส่งสาธารณะเข้าถึง


นอกจากนี้ในสัปดาห์แห่งการรณรงค์ที่ผ่านมา IUF ได้ชวนทุกคนเข้ารวมกันรณรงค์โดยการแชร์ภาพกิจกรรมรณรงค์หรือความคิดเห็นอื่นๆ ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค “Make my workplace safe” พร้อมด้วยติดแฮซแท๊ก #Fairhousekeeping และ #makemyworkplacesafe อีกด้วย

Posted: 28 Oct 2017 04:46 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

เกิดอะไรขึ้นระหว่างถูกตำรวจทหารจับตัวไปเที่ยว คุยกับชายผู้ประกาศตัวว่าจะใส่เสื้อแดงในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 จนเป็นเหตุให้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวน 11 นายบุกเข้าจับที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 24 ตุลาคม 2560 พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าจะไปเที่ยวหรือจะเข้าค่ายทหาร

สดๆ ร้อนๆ หลังได้รับการปล่อยตัวเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ประชาไทได้พูดคุยกับเอกชัย หงส์กังวาน ถึงเหตุการณ์การถูกบุกเข้าควบคุมตัวนอกกฎหมายเป็นเวลา 5 วัน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงเวลาถูกควบคุมตัว


เหตุเกิดขึ้นอย่างไร

ประมาณ 08.00 น. มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมากดออดเรียกที่หน้าบ้าน ก็เลยเดินลงไปเปิดบานเลื่อนและเปิดประตูเหล็ก พอเปิดออก เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ 3 คนก็รุมกันลากตัวออกมานอกบ้านเลย ชั้นดิ้น ขึนตัวก็เลยล้ม มันก็ด่าว่าแกล้งล้มเอง ชั้นก็เลยด่าแม่มัน เถียงกันอยู่พักนึงก็มีหัวหน้าชุดนั่งรถเข้ามาแล้วจึงได้เจรจากัน

เจรจากันแบบไหน
ทหารถามว่าจะไปเที่ยวที่กาญจน์มั้ย ถ้าไม่ไปจะส่งค่ายทหาร ก็เลยเลือกที่จะไปกาญจน์ แต่ก็ถามเขาว่า จะให้ไปคนเดียวรึไง เขาบอกว่า จะพาแม่ไปก็ได้ ผมว่า ไม่เอา พาเพื่อนไปได้รึเปล่า เขาบอกว่า ได้ ก็เลยโทรหาทนายอานนท์ หาคุณประวิตร (่ข่าวสดอิงลิช) หานักข่าวประชาไท ก็เลยกระจายข่าวได้ ไม่งั้นคงโดนอุ้มหายอย่างไร้ร่องรอย

เดินทางยังไง

ออกจากกรุงเทพฯ ไปรีสอร์ตที่ จ.กาญจนบุรี เป็นรีสอร์ตของตำรวจ มีเจ้าหน้าที่คุมอยู่ 5 คน เป็นตำรวจ 4 ทหาร 1 ตอนที่ไปถึง เขาให้เงินมา 5,000 บาท บอกว่า เอาไว้เที่ยว ก็เลยได้เที่ยว วันแรกไปน้ำตกไทรโยคน้อย วันที่ 2 ไปหมู่บ้านปิล็อก ไปได้แค่วันละที่สองที่ เพราะมันไกล แล้ววันที่ 26 เขาบอกว่าจะพาไป น้ำพุร้อน ตลาดชายแดน แล้วก็สะพานมอญ แต่วันนั้นผมใส่เสื้อแดง เขาเลยโมโหใหญ่ บอกให้ผมเปลี่ยน

ถูกคุมตัวแล้ว ทำไมถึงยังจะใส่เสื้อแดงอีก ไม่กลัวเหรอ

ผมประกาศไปแล้วแล้ววันที่ 26 ผมจะใส่เสื้อแดง ผมก็ต้องใส่เสื้อแดง ไม่งั้นมันเสียสัจจะ สรุปก็คือวันนั้นเขาเลยไม่ยอมพาผมไปไหนเลย ให้อยู่แต่ในบ้าน ไปเที่ยวแค่ข้าง ๆ ตรงโป่งช้างแค่นั้น

วันที่ 27 เขาบอกว่าจะพาไปสะพานมอญ แต่ขับรถไปได้ครึ่งทาง หัวหน้าเขาโทรมาบอกให้พาผมเข้ามาในอำเภอเมือง ขับไปจะถึงอยู่แล้วก็เลยต้องตีรถกลับ วันนั้นก็เลยไม่ได้ไปไหนอีก แต่ตอนเย็นก็ไปแวะสะพานข้ามแม่น้ำแควหน่อยนึง

ได้ไปเที่ยวสนุกไหม?

ก็หยั่งงั้น ก็มันถูกบังคับให้ไป เป็นคุณๆ จะสนุกไหม มีคนที่ไม่ได้รู้จักเดินตาม 5 คน ทหารเอาเงินให้มา 5,000 บาท แต่เวลาไปเที่ยวพวกที่ติดตามห้าคน พวกมันก็ให้จ่ายค่าอาหารให้มันด้วย แล้วก็พยายามแต่จะพาเข้าร้านอาหารราคาแพงๆ เท่านั้น จะไปเหลืออะไร

ที่พักเป็นยังไง
ที่แรกเป็นรีสอร์ตชื่อหลับดี อยู่ในเขตชุมชน ก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ที่ๆ สอง เขาเอาผมไปพักที่รีสอร์ตชื่อบ้านไร่นายดาบ เป็นรีสอร์ตอยู่กลางป่าเลย "ถ้าเขาฆ่าชั้นแล้วเอาฝังไว้ก็คงจะไม่มีใครหาเจอ"

ระหว่างการควบคุมตัว ถูกคุกคามถูกขู่ไหม
ไม่มีอะไร มีนอกเครื่องแบบที่คอยเดินคุมกวนตีนนิดหน่อย แต่ก็ด่ากลับไป

ส่งตัวกลับยังไง

วันนี้ถูกพากลับมาจากกาญจนบุรีมาถึงกรุงเทพฯ ตอน 11.00 น. เขาก็พาไปคุยกับตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ร้านรถเสบียง แถวสามเสน เขาพาผมไปที่ห้องด้านในสุด เขาเรียกตำรวจคนนั้นกันว่า ผู้บัญชาการ แต่ไม่รู้ยศอะไร ชื่ออะไร ไม่ได้ถามเขา

คุยอะไรกันบ้าง
เขาพูดจาไม่ค่อยดี ขู่โน่นนี่นั่นตลอด ขู่ว่า ระวังนะ ถ้าคุณยังจะเคลื่อนไหวอยู่ ผมน่ะจงรักภักดีนะ คุณยังไม่สำนึกอีกเหรอ ผมก็เถียงซิ สำนึกของคุณคืออะไร ทำไมต้องมากะเกณฑ์ว่าทุกคนต้องคิดเหมือนคุณหมด ผมก็มีสำนึกของผมเหมือนกัน เขาโมโหใหญ่ ปรี๊ดขึ้นเลย พูดว่า มึงอย่าเผลอละกัน มึงอย่าให้พลาดนะมึง ระวังนะ อย่าพลาดนะ จะรวมคดีทั้งหมด เอาให้ติดคุกยาวเลย ผมก็คิดว่า โอ๊ย ถ้ามึงจะเอาให้เป็นคดีจริง ๆ มึงยัดกูมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่จะมายัดทีหลังหรอก

เขาพยายามบอกว่า อย่าพลาดละกัน ถ้าพลาดเขาจะเอาที่ผมโพสต์ก่อนหน้านี้มาฟ้องคดี 116 ผมบอกว่า จะฟ้อง 116 ได้ยังไง ก็คุณไปโพสต์ว่า วันที่ 26 จะใส่เสื้อแดงไปเคลื่อนไหวอะไร อย่างนี้เข้าข่ายปลุกปั่น ผมถามว่า ปลุกปั่นยังไง ผมไม่ได้เชิญแขกเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่า สถานที่ไหน เวลาไหน แล้วจะไปปลุกปั่นได้ยังไง ผมก็เถียงเขาเลย

คุยกันเสร็จเขาเอาเอกสารมาให้ผมเซ็น 4-5 แผ่น ว่าผมไปอย่างเต็มใจ แล้วเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผมอย่างดี ผมก็เถียงเขา ตำรวจน่ะโอเค ไม่มีปัญหา แต่ไอ้ทหาร 3 คนแรกที่เข้ามาลากผมออกมาจากบ้านเนี่ยจนเป็นแผล ผมก็เปิดแผลให้เขาดู มีรอยแผลเต็มไปหมดเลย ผมไม่ยอมรับ เขาก็บอกว่า เอาน่า หยวน ๆ ไปเถอะ ก็ได้เที่ยวแล้วไม่ใช่เหรอ ผมบอกว่า ได้เที่ยวก็ส่วนได้เที่ยวซิ ไม่ได้เต็มใจเที่ยวซะหน่อย ยังไงผมก็จะเอาปากกาเติมลงไปว่า ผมยกเว้นทหาร 3 คนที่ใช้ความรุนแรงกับผม เขาก็ไม่ยอม เขาไม่พอใจ บอกว่า มึงนี่หัวหมอนักนะ งั้นก็ไม่ต้องเซ็น ผมบอกว่า ไม่เซ็นก็ไม่เซ็น ตำรวจพูดว่า ไม่เซ็นก็ไม่ได้กลับ ไม่กลับก็ไม่กลับ อยู่ก็ได้

สรุปว่ายังไง
สุดท้ายเขาก็ยอมให้ผมแก้ ไม่งั้นผมก็ไม่ยอมเซ็น ผมเขียนเติมลงไปว่า "ยกเว้นทหาร 3 คน ที่ควบคุมตัวผมด้วยความรุนแรง" (ตำรวจไม่ให้สำเนาเอกสารที่เซ็นมาด้วย) นอกจากใบที่เซ็นว่า ผมเต็มใจไปและได้รับการปฏิบัติอย่างดีแล้ว ก็เป็นรูปถ่ายของผมตอนที่ไปเที่ยว ซึ่งเขาถ่ายผมไว้ตลอดว่า ไปเที่ยวที่ไหน

ผมถูกยึดโทรศัพท์ตั้งแต่โทรแจ้งข่าวทนายอานนท์ตอนทหารไปที่บ้าน เพิ่งจะได้คืนตอนเขามาส่งที่บ้าน แล้วเขาก็ปิดเครื่องตลอด ถอดแบตออกด้วย เพราะวันที่ไม่เดินเลย พอผมเปิดเครื่องมา เครื่องโชว์วันที่ 24 อยู่ แสดงว่าเขาถอดแบตโทรศัพท์ออกเลย

การรายงานข่าวเรื่องการถูกจับกุมตัวทำให้ผมปลอดภัย พออานนท์โพสต์ว่า ทหาร 11 คน มาถึงบ้าน ให้ผมเลือก ตำรวจโทรมาหาผมเลย บอกให้ช่วยโทรบอกอานนท์หน่อยได้มั้ยว่าผมเลือกที่จะไปกาญจน์ ถ้าไม่มีคนรายงานข่าว เรื่องเงียบ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาผมไปปู้ยี่ปู้ยำที่ไหนไม่รู้ ตำรวจบอกเองเลยว่า พอเป็นข่าวก็เลยไม่กล้าทำอะไรเลย

เมื่อก่อนนี้จะมีการอุ้มเข้าค่าย หรือจับตัวแจ้งข้อหาดำเนินคดี เดี๋ยวนี้ทหารเปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบนี้ คิดว่ามันดัีขึ้นไหม ชอบไหม
ไม่ได้ชอบ มันเป็นการบีบบังคับเรา ละเมิดสิทธิ์เรา จำกัดเสรีภาพเราเหมือนเดิม และอาจเป็นการทำให้ภาพพจน์ของทหารดีขึ้นเท่านั้น

Posted: 28 Oct 2017 09:15 AM PDT   (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ภรณ์ทิพย์ มั่นคง


ข้าพเจ้าจำแทบไม่ได้ว่าข้าพเจ้าไปเจอ “น้าซี” จันทนา วรากรสกุลกิจ นักโทษคดีอาวุธสงคราม ได้อย่างไรและ โดยการแนะนำของใครกันแน่ในหมู่นักโทษการเมืองด้วยกัน

แต่ข้าพเจ้าจำสายตาและท่าทีหวาดระแวง แคลงใจในตัวข้าพเจ้าของร่างผอมเกร็ง จนเห็นกระดูกปูดโปนผ่านผิวหนังสีขาวเหลืองที่ซีดเซียว ดวงตาเล็ก คล้ำลึก และผมที่ขาวจนเกือบหมดหัวของน้าซีได้ดี

“เธอเป็นใคร , ติดเข้ามาได้ยังไง , ต้องการอะไรจากพวกเรา ++++” คำถามเหล่านี้ถูกยิงเข้าหาข้าพเจ้าที่ดวงตาเปียกชุ่มน้ำตาเพราะความขี้แงของข้าพเจ้าขณะอยู่ในคุกนั่น ข้าพเจ้าไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายตัวเองกับใครๆ มาจนถึงตอนนี้

ความไว้วางใจเป็นสิ่งที่ได้มายากเย็นในหมู่นักโทษการเมือง โดยเฉพาะ กับน้าซี แกแทบจะไม่ไว้ใจใครเลย มีเพียงเพื่อนบางคนที่แกรู้จักที่มาที่ไปเท่านั้นที่แกจะให้ความไว้ใจ แต่ก็เพียงระดับหนึ่ง

“พอเราไว้ใจคนมากๆ พวกเขาก็จะหักหลังเรา ทำลายความไว้ใจของเรา”


น้าซีบอกข้าพเจ้าหลังจากที่ลดระดับความหวาดระแวงในตัวข้าพเจ้าลงแล้ว แกคงเห็นแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่มีพิษภัยอะไรกับใคร วันๆก็หมกมุ่นอยู่กับการเยี่ยมญาติและถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปพบแทบทุกวัน แกคงเห็นแล้วว่าข้าพเจ้าไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้เลย สิ่งที่แกทำคือ ทุกๆครั้งที่มีการประกาศเรียกชื่อข้าพเจ้า แกจะออกมายืนอยู่ตรงหน้าหน่วยงานของแก ซึ่งเป็นทางข้าพเจ้าจะเดินผ่าน ให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าของแก แม้ว่าจะต้องโดนด่า หรือโดนทำโทษ เพราะเขาไม่อนุญาตให้นักโทษยืน หรือเดินโดยพลการ แต่ที่น้าซีทำไปก็เพราะว่า อยากให้ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้ายังมีแกอยู่ บางครั้งข้าพเจ้าก็หันไปมอง บางครั้งข้าพเจ้าก็หลงลืมกำลังใจนั่น

“ถ้ามีอะไร วิ่งมาหาเจ้ ไม่ต้องร้องไห้ อย่าไปร้องไห้ให้พวกมันเห็น พวกมันไม่มีค่าพอจะเห็นน้ำตาของเธอ”

แกจะย้ำทุกๆครั้งที่เห็นความทุกข์ยากผ่านสีหน้าและดองตาเปียกๆของข้าพเจ้า

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป น้าซีถูกขังอยู่ในคุกนั่นมาก่อนแล้ว …. และญาติก็มาบ้างไม่มาบ้าง เงินขาดพร่องบัญชีอยู่เนืองๆ จนวันหนึ่งแกเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า เพื่อจะฝากให้ข้าพเจ้า ตีไก่ต้มน้ำปลาให้แกสักตัว

“เจ้อยากกินไก่มากเลย เธอตีไก่มาให้เจ้ได้ไหม เจ้ไม่เอาฟรีๆ เดี๊ยวเจ้ไปรับจ้างถูพื้นมาทยอยจ่ายให้เธอ”


เรารับปากก่อนจะตีไก่ต้มน้ำปลาซึ่งเป็นอาหารโอชะและหรูหราในคุกนั่นมาให้แก ก็ราคามัน 200 กว่าบาทนี่นะ นักโทษปกติจะมีเงินที่ไหนไปซื้อกิน แถมยังต้องสั่งจากการเยี่ยมญาติเท่านั้นอีกด้วย

น้าซีเดินถือไก่ไปขอยืมฝาปลาทูน่ากระป๋องจากพวกแกงค์ เพื่อตัดแบ่งไก่เป็นส่วนๆ ก่อนจะแบ่งมาให้ข้าพเจ้าส่วนหนึ่ง ให้ตัวเองส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งตัว แกหิ้วไปให้นักโทษชาวพม่าหลายสิบชีวิตที่โดนกวาดจับมาได้แบ่งกันกิน

ข้าพเจ้าบอกแกว่าต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตีไก่ให้กินอาทิตย์ละครั้ง แกดีใจมากแต่ก็แอบหนักใจว่าจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายให้ข้าพเจ้าเพราะว่าญาติไม่มา ข้าพเจ้าเลยบอกแกไปว่าข้าพเจ้าไม่คิดเงินหรอก แต่แกก็ไม่ยอม จนข้าพเจ้าต้องเสนอเงื่อนไขให้แลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

น้าซีไม่เคยอยู่นิ่ง แกจะรับจ้างทำโน่นทำนี่ด้วยความกระตือรือร้น พอได้กำไรมาบ้างก็เอามาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆคนอื่นๆ ทุกๆครั้งที่มีนักโทษการเมืองเข้ามาใหม่แกจะตามหา แล้วให้การช่วยเหลือ หางานให้รับจ้าง แบ่งปันอาหารที่แอบซ่อนออกมาจากกองเลี้ยงบ้าง เลือกหยิบของบริจาคมาให้ก่อนบ้าง

เดิมทีน้าซีนอนอยู่ห้อง 1/4 ส่วนข้าพเจ้าอยู่ 1/6 ห้องของพวกเราไม่มีกำแพงกั้น มีก็แต่ลูกกรงกั้นเท่านั้น เราจึงมองเห็นกันและกันได้ … น้าซีมีปัญหากับระบบและกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในคุก ทั้งในห้องนอน หรือในหน่วยงาน แม้แต่ในโรงอาหาร แกก็จะต่อต้านความไม่เป็นธรรม และคอยปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ จนหลายๆครั้งก็ถูกเป่าหูจากคนที่ร้ายกาจ หวังใช้แกเป็นเครื่องมือเพื่อการต่อรอง แม้ว่าข้าพเจ้าและหลายๆคนจะเตือนก็เปล่าประโยชน์ จนสุดท้ายแกก็เข้าใจได้เอง และตอบโต้คนเหล่านั้นอย่างสาสม

แต่พอถึงเวลาที่แกได้รับความอัดอั้นตันใจจากความคาดหวัง จากอดีต จากสิ่งที่ต้องเผชิญ และร้ายที่สุดคือจากการถูกทอดทิ้ง


“เจ้ไม่เคยคิดว่าเจ้จะมาติดคุก สิ่งที่เจ้หวังไว้คือ ตาย เจ้สู้ตาย เจ้ไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นภาระของใครเพราะการติดคุกบ้าๆนี่”


แกก็จะมานั่งระบายให้ข้าพเจ้าฟัง บางครั้งข้าพเจ้ารับฟัง แต่บางครั้งประสาทหูของข้าพเจ้าก็ดับไป ข้าพเจ้าไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้ความเจ็บปวดใดๆของนักรบคนใดอีกต่อไป หลายครั้งที่ข้าพเจ้า ตวาด เดินหนี และ ไม่ยอมคุยกับน้าซี จนแกน้อยใจ หลายครั้งที่ใบหน้าเศร้าหมองกับน้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากตาของน้าซีเพราะความเอาแต่ใจและร้ายกาจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าหวังเพียงว่าวันหนึ่งแกจะเข้าใจความอ่อนแอของข้าพเจ้า


น้าซีมักจะเอ่ยถึงสิ่งที่แกได้ทำลงไป ภาพที่แกเดินคล้องแขนกับพี่น้องเสื้อแดงของแกเพื่อประจันหน้ากับทหาร ไปจนถึงคลิปวีดีโอที่นักข่าวคนหนึ่งที่ต่อมากลายเป็นคนที่แกเรียกว่า “เพื่อน” ได้ถ่ายไว้ แกอยากเก็บภาพนั้นไว้ แกอยากเก็บคลิปวีดีโอนั้นไว้ให้ลูกหลานได้ดู มันคือความภูมิใจมากมายในชีวิตของแก

ข้าพเจ้ายิ้มและรับปากว่าจะพยายามหาและเก็บไว้ให้

หลังจากที่ข้าพเจ้าฟังคำตัดสินแล้ว น้าซีก็ขอย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับข้าพเจ้า โดยให้เหตุผลว่า กลัวข้าพเจ้าจะโดนรังแก เพราะจะมีขาใหญ่ย้ายมาเข้าห้องข้าพเจ้า และเจ้าหน้าที่ก็อนุญาติ หลังจากถามความยินยอมจากข้าพเจ้าแล้ว

แน่นอนที่สุดว่า....คนในห้องไม่ค่อยชอบแกนัก ด้วยท่าทีที่โผงผางและตรงไปตรงมาคงขัดตาหลายต่อหลายคน พื้นที่หลังห้องจึงเป็นพื้นที่ของน้าซี แกถูกเขี่ยให้ไปนอนหลังห้อง ติดห้องน้ำ ด้วยเหตุผลว่าแกขายาวจะได้พอเหยียดขาได้ แต่ใครๆก็รู้ว่าพื้นที่หลังห้องเป็นพื้นที่ที่ถูกกันไว้ให้พวกที่ปัญหาเยอะ ไม่มีญาติ ไม่มีเงิน ผิดกับข้าพเจ้าที่ถูกอุ้มชูให้อยู่หน้าห้อง ใกล้หูใกล้ตาผู้ช่วยงานและเจ้าหน้าที่ มีทั้งญาติ มีทั้งเงิน ในสายตาของพวกเขา

แม้จะโดนเอาเปรียบบ้างแต่น้าซีไม่เคยปล่อยให้อะไรผ่านไปอย่างง่ายดาย แกเรียกสิทธิ์คืนให้กับนักโทษหลังห้องทุกๆคน ข้าพเจ้าจะเดินมานั่งเล่นที่หลังห้องในบางวัน เพราะหมอนวดมือดีอยู่ที่นั่น พลางได้เงี่ยหูฟังน้าซีคุยกับเพื่อนนักโทษหลังห้องอย่างออกรส

ศาลชั้นต้นตัดสินน้าซี สิบแปดปีกว่า ….แกยิ้ม และขอสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ แม้รู้ว่าจะไม่มีทางชนะ


“วันนี้เจ้ถามผู้พิพากษา เจ้บอกเขาว่า ถ้าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเจ้เป็นภัยต่อความมั่นคงขนาดนั้น ก็ให้ประหารเจ้ซะ เจ้ได้บอกลูก ว่าทำไมเจ้ถึงเป็นเสื้อแดง สะใจวะ”


แต่หลังจากรอยยิ้มนั้นจางหาย คำถามที่ประเดประดังเข้ามาคือ


“ทำไมต้องเป็นเจ้ !!! มีคนมากมายหายไปจากคดี พวกนั้นหายไปไหน ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเจ้ได้เลย”

ข้าพเจ้าเองก็ตอบอะไรไม่ได้ … พูดอะไรไม่ออก ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่ประจำเรือนนอนและผู้ช่วยงานที่คอยเป็นห่วง เรียกข้าพเจ้าและเพื่อนนักโทษการเมืองไปพูดคุยให้คอยช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมที่อาจจะนำไปสู่การฆ่าตัวตายของน้าซี ใช่....น้าซีคิดแน่ๆ ว่าจะฆ่าตัวตาย สายตาที่แปลกไป ทำให้พวกเรากลัว

หลายคนในห้องที่เคยไม่ดีกับน้าซีก็เริ่มเห็นใจและคุยกันด้วยความเป็นมิตรมากขึ้น หลังจากฟังคำตัดสินราวหนึ่งอาทิตย์...แกก็เริ่มชวนคนอื่นๆ คุย ผู้คนที่อยู่รอบข้าง ล้วนได้รับข้อมูลทางการเมือง สถานการณ์ต่างๆ ภายนอกถูกบอกเล่าให้เพื่อนผู้ต้องขังฟังอย่างออกรส แม้จะดึกดื่นแค่ไหนน้าซีก็ยังคงนั่งคุยให้ความรู้และให้ข้อมูลมากมายกับคนรอบๆข้าง จากแรกๆมีคนนั่งฟังแกแค่ 2 คน เพิ่มเป็น 4 เป็น 6 แต่ก็เพิ่มมากไปกว่านั้นไม่ได้เพราะที่ไม่พอ

ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าแกไปเอาข่าวสารจากข้างนอกมาจากไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เยี่ยมญาติเลย แต่ก่อนจะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง แกก็จะมาเช็คความถูกต้องกับข้าพเจ้าเสมอ พอข้าพเจ้าถามว่ารู้เรื่องนี้มาจากไหน ก็ได้คำตอบเพียงว่า


“เจ้มีสาย”

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปเข้าห้องน้ำตอนตี 2 ในสภาพงัวเงีย แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นน้าซีนั่งอยู่ริมขอบทางเข้าห้องน้ำอันคับแคบ พร้อมด้วยสมาชิกอีก 6-7 คน ที่นั่งฟังข้อมูลมากมายจากแก …


“มา มา มา ภรณ์ทิพย์ กำลังสนุกเลย เจ้กำลังปราศรัยเรื่องบ่อน้ำมันในประเทศไทยให้พวกเขาฟัง”

ข้าพเจ้ายิ้ม....ด้วยดวงตาปรือก่อนจะปฏิเสธการร่วมวง “หนูปวดฉี่ ขอฉี่หน่อย” น้าซีขยับให้ทางข้าพเจ้า พอฉี่เสร็จข้าพเจ้าก็เดินเปะปะ ออกไปจากที่ตรงนั้นก่อนจะโดนแกเรียกให้ร่วมวงเป็นครั้งที่สอง

ยามเมื่ออากาศเย็นเยือกผ่านลูกกรงและพื้นกระเบื้อง น้าซีก็ยังคงนั่งปราศรัยข้อมูลต่างๆให้คนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปมาในคุกนั่นได้รับฟัง


“ถ้าพวกเขาเรียนรู้ ถ้าพวกเขามีข้อมูล เจ้เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ติดคุก แต่นี่สังคมมันบีบให้คนต้องเป็นคนเลว เธอดูเด็กๆพวกนี้สิ ถ้าพวกเขาโตมาในครอบครัวที่ดี พวกเขาจะไม่มาทำเรื่องผิดกฎหมายหรอก เราต้องให้ความรู้เขา ให้ข้อมูลเขา หาช่องทางทำมาหากินที่ถูกกฎหมายให้เขา”

น้าซีบอกกับข้าพเจ้าราวกับว่าตัวเองเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม

ในยามที่ผู้คนเริ่มป่วยไข้เพราะอากาศและสภาพคุกที่ไม่เอื้อให้สุขภาพของใครดีขึ้นแม้นิดเดียว ข้าพเจ้ากลายเป็นหนูลองยาของแกในที่สุด เมื่อข้าพเจ้าเจ็บคอจนไม่มีเสียง น้าซีปรุงยาบางอย่างจากสิ่งที่หาได้ในคุก คือ เกลือ ยาเขียว มะนาว บดรวมกันใส่กระปุกพิมเสนใบเล็ก แล้วบังคับให้ข้าพเจ้าอ้าปากเพื่อกวาดคอ แม้มันจะทรมานในขั้นตอนการกวาด แต่ไม่น่าเชื่อว่าข้าพเจ้าจะหายขาดได้ในสามวัน หลังจากนั้นสูตรยานี้ได้แพร่กระจายไป จนข้าพเจ้าต้องเป็นผู้สนับสนุนยาเขียวและส่วนผสมอื่นมาให้น้าซีเพื่อจะได้ปรุงยาช่วยคนอื่นต่อไป

คนมากมายต่อแถวให้น้าซีกวาดคอที่หน้าล๊อคเกอร์ในทุกๆเช้าและเย็น พอขึ้นห้องนอนแกก็รับจ้างถูพื้น เอาค่าแรงเป็นยาเพื่อเอาไปรักษาคนอื่นต่อ พอดึกก็วนเวียนปราศรัยแทบทุกคืน

น้าซีทำตัวเป็นผีที่ไม่เคยหลับจนตัวเองเริ่มไม่สบาย มีอาการถ่ายเป็นเลือด อ่อนเพลีย และ ตัวร้อน ถึงได้หยุดการปราศรัยในยามค่ำคืนของแกลง

แกให้ข้าพเจ้าพยายามติดต่อกับน้องสาว และ ลูกชาย เพื่อแจ้งข่าวให้เขามาเยี่ยมเยียนเวลาที่ไม่สบาย แต่การติดต่อสื่อสารจากในคุกถึงคนข้างนอกนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ

แกรอคอยเสมอ รอคอยน้องสาว รอคอยลูกชายคนเดียว รอคอยจดหมายจากคนรัก และรอคอยทนาย

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าระหว่างรอนั้นแกมีความหวังหรือเปล่า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแกหยุดพูด หยุดคุยกับเยาวชนที่ติดอยู่ในคุกนี้สักวันเดียว แม้ว่าจะย้ายมาอยู่แดนนอกหลังจากที่ฟังคำตัดสิน ยืนตามศาลชั้นต้นจากศาลอุทธรณ์แล้ว น้าซีก็เขียนคำร้อง ขอย้ายออกมาอยู่แดนนอก เพื่อจะได้ทำงานและได้รับเงินปันผลน้อยนิด และน้าซีก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าห้องนอนจะไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่พูดคุยได้อีกต่อไป แต่แกมีลานต้นโพธิ์ที่กว้างขวางกว่าริมรั้วในแดนแรกรับและห้องนอนเป็นไหนๆ

ทุกๆวันจะมีเด็กวัยรุ่นที่ติดคดีเล็กๆน้อยๆมานั่งคุยกับแก หลายต่อหลายคน ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าพวกเขามาเพราะอยากรู้เรื่องที่น้าซีจะเล่า หรือ แค่อยากได้ขนมที่น้าซีจะแจก จากเงินปันผลเดือนละ 17 บาทของแก สมทบด้วยค่าจ้างถูห้องอีกเล็กน้อยก็ตาม

แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับอิสรภาพข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ติดต่อน้าซีทางจดหมายและโปสการ์ดเป็นประจำ มีเพื่อนบางคนอาสาไปเยี่ยมแก และเด็กๆหลายต่อหลายคนที่เคยนั่งฟังน้าซี ได้เดินออกมาจากหลังกำแพงสูงนั่นแล้วติดต่อมาหาข้าพเจ้า เพื่อจะฝากบอกไปถึงน้าซีว่า


“พวกเขาเป็นคนดีแล้วนะ พวกเขาทำงานสุจริตแล้วนะ พวกเขาจะไม่เล่นยาอีกแล้วนะ”

ข่าวแบบนี้ทำให้น้าซีมีกำลังใจเสมอ


จนข้าพเจ้ามารู้ข่าวการถูกย้ายเรือนจำของแก จึงได้รุดไปเยี่ยม สรุปความว่า น้าซีเขียนคำร้องขอเช็คหมายอายัดตัวจากเจ้าหน้าที่ จึงรู้ว่าตัวเองมีหมายอายัดตัว ที่จังหวัดตราด และ ลพบุรี ด้วยความที่อยากให้ทุกๆ อย่างจบลงโดยเร็วที่สุด ไม่อยากให้หมดโทษคดีแรกแล้วจะต้องมาโดนอายุดตัวต่อในคดีที่ 2 จึงได้เขียนคำร้องผ่านเรือนจำไปที่กระทรวงยุติธรรมและศาล เพื่อขอให้ดำเนินคดีโดยเร็ว โดยอ้างอิงถึงหลักสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนควรจะได้รับ ในกระบวนการยุติธรรม จึงมีคำสั่งย้ายน้าซี ด่วน เพื่อไปดำเนินการในชั้นศาลที่จังหวัดตราด

และ คงเป็นความชื่นใจอย่างหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า หลังจากได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่น้าซีเขียนมาบอกว่าเสียใจที่เคยไม่ไว้ใจข้าพเจ้า เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนที่แกพึ่งพาได้มากที่สุด

ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่มีความมั่นคงใดจะให้แกพึ่งพา แต่อย่างน้อยๆข้าพเจ้าก็เชื่อว่าเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้ คนบ้าบิ่น คนกล้าหาญ คนที่จะปกป้องคนอื่นเสมอ และข้าพเจ้าปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อน้าซี แต่เพื่อตัวข้าพเจ้าเองจะยังมั่นใจในตัวเองอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ขับเคลื่อนโดย Blogger.