Posted: 26 Feb 2018 11:22 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

10 ปีของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มรดกสำคัญของรัฐประหารปี 2549 กอ.รมน. แปลงสภาพเป็นหน่วยงานถาวรที่คอยสร้างความชอบธรรมให้กองทัพด้วยสารพัดวิธี เริ่มเข้าไปพัวพันกับกระบวนการยุติธรรม ควบคุมพลเรือน และมองประชาธิปไตยคือภัยความมั่นคง

ในยุคสงครามเย็น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ครั้นพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลาย สงครามเย็นยุติไปพร้อมกับการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน กอ.รมน. ก็ควรยุติบทบาทและยุบไปตามกาลเวลา ทว่า มันไม่เป็นเช่นนั้น

กอ.รมน. ยังคงอยู่และอยู่อย่างถาวรในฐานะหน่วยงานหนึ่งของรัฐนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ที่พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ถูกประกาศใช้ 10 ปีผ่านมา กอ.รมน. เป็นมือไม้ของกองทัพสยายปีก แทรกซึม จัดตั้ง และสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพ

“พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน พ.ศ.2551 ถูกผลักดันในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ดิฉันถือว่าเป็นมรดกที่สำคัญของรัฐบาลสุรยุทธ์” กล่าวโดยพวงทอง ภวัครพันธุ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำการศึกษาประเด็นนี้

ผนวกกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 51/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ออกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 อ่านในรายละเอียดจะพบว่ามีความพยายามเข้าไปพัวพันกับกระบวนการยุติธรรมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ถามว่าเหตุใดกองทัพจึงต้องสถาปนา กอ.รมน. ให้เป็นหน่วยงานถาวร ต้องใช้ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมาย ทั้งที่อรเดิมอย่างคอมมิวนิสต์ไม่หลงเหลือ คำตอบของพวงทวงก็คือ กอ.รมน. ซึ่งนัยหนึ่งคือกองทัพบกมองว่าประชาธิปไตย รัฐสภา และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นปัญหาความมั่นคงของไทย สามสิ่งนี้คือภัยต่อความมั่งคงของประเทศได้อย่างไร บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะให้คำตอบ

เหนืออื่นใด หากการปฏิรูปกองทัพคือโจทย์สำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทย การยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มรดกจากยุคสงครามเย็น

เมื่อรัฐไทยในยุคสงครามเย็นเผชิญภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์และตระหนักว่าการสู้รบด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียวมิใช่เส้นทางสู่ชัยชนะ ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีในการต่อสู้จึงได้รับการปรับเปลี่ยน จากมุมมองที่ว่าคอมมิวนิสต์คือภัยจากภายนอกที่ต้องการผลักให้ประเทศไทยเป็นโดมิโนตัวต่อไป สู่มุมมองว่าการก่อตัวของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ รากเหง้าก็มาจากปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ความอยุติธรรมในสังคม ซึ่งผลักให้ผู้คนต้องจับอาวุธขึ้นสู้รบ หากต้องการขจัดภัยคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซาก ต้องขุดรากถอนโคนปัญหาเหล่านี้ เชิงอรรถไว้ตรงนี้ว่าการที่รัฐไทยเปลี่ยนมุมมอง ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ หรือซีไอเอด้วย


“กอ.รมน. คือการทำให้พลเรือนอยู่ใต้ทหาร และยิ่งตอนนี้เรามีรัฐบาลทหาร ทั้งระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.จังหวัดก็เป็นทหาร ทุกศาลากลางจังหวัด จะมีออฟฟิศและเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. นั่งอยู่เพื่อทำงานประสานกับมหาดไทย จะเห็นได้ว่าเขากุมทุกหน่วยงานทุกระดับ”


กอ.รมน. ถือกำเนิดขึ้นจากเหตุนี้ ดำเนินการควบคู่ไปกับการทหารที่ไม่ได้ลดความสำคัญลง เพียงแต่เพิ่มภารกิจเอาชนะใจประชาชนด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจและการเมืองเข้าไปด้วย แปรเปลี่ยนเป็นโครงการพัฒนาทั้งหลาย ทั้งนี้ ในยุคสงครามเย็น โครงการในพระราชดำริก็มีเป้าหมายเอาชนะภัยคอมมิวนิสต์ด้วยเช่นกัน

“ทั้งสองส่วนเป็นแนวความคิดเดียวกัน เพียงแต่เวลาพูดถึงมักพูดแยกกันเสมอ หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการพระราชดำริคือทหาร เพราะมีกำลังคนของตนในพื้นที่ทั่วประเทศ

“กอ.รมน. เป็นส่วนที่วางยุทธศาสตร์และแผนโดยใช้การเมืองและเศรษฐกิจในการต่อสู้ ข้อสำคัญคือโครงการพัฒนาเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นในพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลสูง หรือพื้นที่ที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ยึดพื้นที่ได้ ดังนั้น พื้นที่เหล่านี้ต้องใช้กลไกกองทัพควบคู่กับการพัฒนา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อกองทัพยึดพื้นที่จากคอมมิวนิสต์ได้ก็ตั้งหมู่บ้าน เอาประชาชนไปใส่ไว้ที่นั่น ซึ่งก็เป็นประชาชนจัดตั้งของ กอ.รมน. กลุ่มต่างๆ ให้ที่ดินกับประชาชนที่เข้าไปอยู่ ให้การอบรมศึกษาเกี่ยวกับความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันประชาชนเหล่านี้ก็ช่วยเป็นหูเป็นตาว่า คอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวอย่างไร ใครเป็นสายให้คอมมิวนิสต์”


นโยบาย 66/2523 และ 65/2525 เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่กองทัพใช้ประนีประนอมทางการเมืองเพื่อจัดการความขัดแย้ง แปรเหล่าสหายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย พวงทองอธิบายว่า นโยบาย 66/2523 ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการเมืองนำการทหาร เพราะจริงๆ ทหารไม่เคยละทิ้งแนวทางสงครามหรือการปราบปรามต่อประชาชนเลย แต่นโยบายทั้งสองเป็นผลจากการที่กองทัพคิดว่า การจะสามารถเอาชนะสงครามประชาชนได้อย่างยั่งยืน ต้องใช้แนวทางการเมืองควบคู่ไปด้วย เป็นจุดหมายของความสำเร็จและเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) พ่ายแพ้แล้ว แต่ยุทธศาสตร์นี้ยังคงถูกใช้ต่อมา ทั้งที่ กอ.รมน. ควรหมดบทบาท

กองทัพไม่เคยชื่นชมประชาธิปไตยแบบรัฐสภา


พวงทองอธิบายต่อว่า ช่วงปลายยุคประชาธิปไตยครึ่งใบของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดกระแสเรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องการวุฒิสภาที่เลือกโดยนายกฯ ทั้งหมดและมีอำนาจเท่ากับสภาผู้แทนราษฎร ห้วงยามนั้นชนชั้นนำเริ่มมองเห็นแล้วว่ากระแสความต้องการของชนชั้นกลางในเมืองที่อยากได้ประชาธิปไตยเต็มใบแบบรัฐสภามีมากขึ้น


“หลังสงครามเย็นปัญหาที่ทำให้สังคมไทยไม่มั่นคงในทัศนะของทหารคือ นักการเมือง มีแต่นักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ซื้อเสียง ชาวบ้านขายสิทธิ โง่ จน เจ็บ มันลามไปถึงชาวบ้านด้วยในตอนหลัง กองทัพมองนักการเมืองเป็นสาเหตุของความไม่มั่นคง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แบบที่ประชาชนมีสิทธิเลือก อยากได้ใครก็ได้ เป็นสิ่งที่กองทัพไม่ชอบ เพราะเขาไม่เชื่อการตัดสินใจของประชาชน”

พวงทองตั้งคำถามว่า แต่กองทัพจะยอมลงจากอำนาจและหมดบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิงหรือ?

“เมื่อมองกลับไปจะเห็นว่าเขาพยายามรักษาอำนาจของทหารไว้ในกลไกทางการเมืองผ่าน กอ.รมน. เช่น การจัดตั้งมวลชนที่ยังดำเนินต่อไปในหลายส่วน รวมถึงการขยายบทบาทของทหารในมิติอื่นที่ไม่ใช่มิติการสู้รบ ถ้าดูยุทธศาสตร์ของกองทัพบกและของ กอ.รมน. จะเห็นว่าภารกิจและการนิยามปัญหาความมั่นคงของไทยขยายออกไปสู่ปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อม การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย เรื่องการพัฒนาก็ยังอยู่ บทบาทไม่ได้ลดลงเลย โดยบอกว่าตัวเองสนับสนุนโครงการพระราชดำริ ซึ่งการพูดแบบนี้ไม่มีใครเถียงหรือคัดค้านได้”

ภายหลังพลเอกเปรมลงจากอำนาจ กองทัพยังมโนต่อไปว่าตนเองเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงความมั่นคงของชาติ โดยภัยที่เป็นภัยความมั่นคงของชาติในทัศนะกองทัพส่วนใหญ่เป็นภัยจากภายใน

“กองทัพมีความคิดต่อระบอบประชาธิปไตยในแบบของเขา เขาไม่เคยชื่นชมประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่วางอยู่บนหลักการเสียงส่วนใหญ่ ไม่ไว้ใจนักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่สงครามเย็น พลเอกเปรมชัดเจนว่าไม่เคยไว้วางใจพรรคการเมืองเลย ตำแหน่งสำคัญในสมัยพลเอกเปรม ไม่ใช่ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นคนที่เขาเลือกมาเอง ซึ่งเป็นเทคโนแครตเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้น ความไม่ไว้วางใจนี้ก็นำมาสู่การวางโครงสร้างให้กองทัพเข้าไปมีบทบาทในเรื่องต่างๆ ได้ บทบาทเหล่านี้อาจไม่มีผลทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่มีผลในการสร้างความชอบธรรม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพในสายตาประชาชนที่ชี้ให้เห็นว่าทหารไทยทำอะไรหลายอย่างมาก น้ำท่วมก็มาช่วย น้ำแล้งก็ขนน้ำมาช่วย สร้างถนน ขุดคลอง

“แม้ในช่วงความนิยมของกองทัพตกต่ำที่สุดในช่วงหลังพฤษภาคม 2535 ทหารหันไปทำงานพัฒนากันมาก ด้านหนึ่งเพื่อบอกว่ากองทัพไม่ยุ่งกับการเมืองแล้ว แต่กองทัพก็ยังมีประโยชน์กับสังคมไทย มันอาจดูไม่เป็นการเมือง แต่สำหรับดิฉันมันเป็นการเมืองมาก”

มันทำให้กองทัพช่างดูไม่มีพิษมีภัย แต่เมื่อใดที่กองทัพเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองโดยตรง กลไกที่มีอยู่จะถูกระดมมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กองทัพหรือทำลายความชอบธรรมคนอื่น เช่น ช่วงประชามติที่มีการระดมมวลชนมาเพื่อสนับสนุนรัฐธรรมนูญ กรณีการประท้วงโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพาที่ชาวบ้านประท้วงวันนี้ รุ่งขึ้นมีมวลชนที่มีสายสัมพันธ์กับ กอ.รมน.ออกมาต่อต้านชาวบ้านที่ไม่เอาถ่านหิน อ้างว่ามีถึง 67 กลุ่ม มีมวลชน 50,000 คนสนับสนุน สามารถเข้าไปยื่นจดหมายในค่ายทหารได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งสะท้อนว่าต้องมีการจัดตั้งที่ดีมาก ถ้าไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำอยู่แล้ว ไม่มีทางทำได้เร็วเพียงนี้

ยุคสงครามเย็น คอมมิวนิสต์คือศัตรูหลัก หลังยุคสงครามเย็น ใครหรืออะไรคือศัตรูที่ กอ.รมน. ต้องสู้รบปรมมือด้วย พวงทองตอบว่า

“หลังสงครามเย็นปัญหาที่ทำให้สังคมไทยไม่มั่นคงในทัศนะของทหารคือ นักการเมือง มีแต่นักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ซื้อเสียง ชาวบ้านขายสิทธิ โง่ จน เจ็บ มันลามไปถึงชาวบ้านด้วยในตอนหลัง กองทัพมองนักการเมืองเป็นสาเหตุของความไม่มั่นคง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แบบที่ประชาชนมีสิทธิเลือก อยากได้ใครก็ได้ เป็นสิ่งที่กองทัพไม่ชอบ เพราะเขาไม่เชื่อการตัดสินใจของประชาชน กองทัพยังท่องอยู่นั่นแหละว่าประชาชนเลือกเพราะซื้อสิทธิขายเสียง หรือเลือกเพียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์เล็กน้อยของตัวเอง แต่ประเทศชาติโดยรวมฉิบหาย ทั้งที่มีงานวิจัยออกมามากมายที่ยืนยันว่าชาวบ้านเลือกเพราะนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองที่สามารถตอบสนองความต้องการ ทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น แต่สังคมไทยทำให้หลายอย่างบิดเบี้ยวกลับหัวกลับหางไปหมด”

พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

“พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน พ.ศ.2551 ถูกผลักดันในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ดิฉันถือว่าเป็นมรดกที่สำคัญของรัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐประหาร 2549 มีการสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้งภายใน 1 ปี ตอนนั้นกองทัพอาจยังมองไม่เห็นพลังคนเสื้อแดงเพราะยังไม่มีกลุ่มเสื้อแดง ขณะเดียวกันการจะมีการเลือกตั้งภายใน 1 ปีก็ต้องมีการจัดระเบียบระบบที่จะทำให้อำนาจของกองทัพดำรงอยู่ในทางการเมือง ฉะนั้น พ.ร.บ.ความมั่นคง 2551 ซึ่งอันที่จริงแล้วสามารถเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ร.บ.กอ.รมน. ก็ได้เพราะมีเนื้อหาว่าด้วย กอ.รมน. อย่างเดียว เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ กอ.รมน. อยู่เหนือหน่วยงานพลเรือนทั้งหมด โดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉินของประเทศ”

เดิมทีไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับ กอ.รมน. เป็นการเฉพาะมาก่อน กอ.รมน. เกิดขึ้นโดย พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ซึ่งได้มีการยกเลิกไปในปี 2543 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย แต่ กอ.รมน. มิได้ยุติบทบาท กลับยังคงอยู่โดยอำนาจ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 157/2542 ที่ออกสมัยรัฐบาลชวน ต่อมาก็คือคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 158/2545 ที่ออกสมัยรัฐบาลทักษิณ


“กองทัพมีความคิดต่อระบอบประชาธิปไตยในแบบของเขา เขาไม่เคยชื่นชมประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่วางอยู่บนหลักการเสียงส่วนใหญ่ ไม่ไว้ใจนักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร... ความไม่ไว้วางใจนี้ก็นำมาสู่การวางโครงสร้างให้กองทัพเข้าไปมีบทบาทในเรื่องต่างๆ ได้ บทบาทเหล่านี้อาจไม่มีผลทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่มีผลในการสร้างความชอบธรรม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพในสายตาประชาชน”


แต่ในยุคพลเอกสุรยุทธ์ได้ทำให้ กอ.รมน. กลายเป็นหน่วยงานถาวรและมีอำนาจมากยิ่งขึ้น แม้ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงกลาโหม แต่ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีโครงสร้างเป็นทหารเกือบทั้งหมด หมายความว่าผู้ที่เสนอประเด็น กำหนดยุทธศาสตร์ย่อมต้องเป็นทหารและถูกครอบงำด้วยทหาร

“ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กอ.รมน. ถูกเรียกใช้เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเอกสุรยุทธ์และพลเอกประยุทธ์จะใช้เยอะมาก ช่วงพลเอกประยุทธ์ทั้งคณะกรรมการปฏิรูป คณะกรรมการสมานฉันท์ ก็จะมอบหมายไปให้ กอ.รมน. เป็นผู้ดูแล ประสานงาน จัดทำร่าง”

จุดสำคัญหนึ่งของ พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ศ.2551 คือการแก้ประเด็นที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเคยแก้ไขไว้ พวงทองกล่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วง 2 ปีหลังพยายามปฏิรูปกองทัพและ กอ.รมน. แต่ก็ทำได้อย่างจำกัด ส่วนหนึ่งเพราะสูญเสียความชอบธรรมจากการแต่งตั้งญาติตนเองเป็นผู้บัญชาการทหารบก ทำให้ถูกมองว่าการปฏิรูปกองทัพเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ โดยทักษิณพยายามทำคือการจัดโครงสร้างใหม่ให้ กอ.รมน.จังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการ มาขึ้นตรงกับผู้อำนวยการ กอ.รมน.ส่วนกลาง ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่อยู่ภายใต้ กอ.รมน.ภาค ที่มีแม่ทัพภาคเป็นผู้ดูแล

“กอ.รมน. คือการทำให้พลเรือนอยู่ใต้ทหาร และยิ่งตอนนี้เรามีรัฐบาลทหาร ทั้งระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.จังหวัดก็เป็นทหาร ทุกศาลากลางจังหวัด จะมีออฟฟิศและเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. นั่งอยู่เพื่อทำงานประสานกับมหาดไทย จะเห็นได้ว่าเขากุมทุกหน่วยงานทุกระดับ พอมี พ.ร.บ.ความมั่นคง 2551 ก็กลับเอาทุกอย่างที่ทักษิณเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิม เอาผู้อำนวยการ กอ.รมน.ไปอยู่ใต้แม่ทัพภาคเหมือนเดิม”

และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 2549 คือทหารหวนกลับมาทุ่มเทกับการจัดตั้งมวลชนมากยิ่งขึ้น พวงทองอ้างอิงเอกสารของกองทัพที่ทำการศึกษา ซึ่งระบุว่า ตั้งแต่ปี 2549 มีคำสั่งให้ตรวจสอบจำนวนมวลชนกลุ่มต่างๆ ว่ามีเท่าไร ให้เรียกระดมขึ้นมาใหม่ และจัดกิจกรรมจำนวนมาก ซึ่งในอดีตกลุ่มองค์กรที่ กอ.รมน. จัดตั้งเหล่านี้อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทยและอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีคอมมิวนิสต์แทรกซึม แต่ในช่วง 10 ปีหลัง องค์กรที่ กอ.รมน. จัดตั้งมีในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้เห็นได้ว่าการพยายามรักษาอำนาจของกองทัพโดยกฎหมายความมั่นคงภายในเริ่มมาตั้งแต่ 2549 และรัฐประหาร 2557 ก็ใช้กลไกนี้ต่อมาอย่างแข็งขันมากยิ่งขึ้น

กองทัพขยายอำนาจเข้าสู่กลไกตุลาการ?

สำหรับพวงทอง จุดที่น่าจับตามองในคำสั่งที่ 51/2560 คือการจัดตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายในระดับภาคที่ระบุชัดเจนนว่า ผู้อำนวยการ กอ.รมน.ภาค ซึ่งก็คือแม่ทัพภาค ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ และมีอธิบดีอัยการภาคที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีอาวุโสสูงสุดเข้ามาเป็นกรรมการของคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคด้วย หน่วยงานอื่นนอกจากนั้นล้วนเป็นกลไกที่ทำงานให้ กอ.รมน. มานานแล้ว


“ต้องจับตาดูว่าการร่วมมือระหว่างกองทัพกับอัยการภาคจะออกมารูปแบบไหน นี่น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญเพราะอัยการเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ฟ้องคดี ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากองทัพฟ้องประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารเยอะมาก อาจเกิดความกังวลว่า วันหนึ่งถ้าหมดอำนาจ พวกเขาอาจจะเดือดร้อน อาจถูกฟ้อง การเอาหน่วยงานอัยการเข้ามาร่วมมือด้วยอาจเป็นการป้องกันตัวเอง นี่มองแบบดีที่สุด เบาที่สุดแล้ว ถ้าแบบร้ายที่สุด ก็อาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการในการดำเนินงานของอัยการ”

“กลไกใหม่คืออธิบดีอัยการภาค หมายความว่ากองทัพกำลังขยายอำนาจตัวเองเข้าไปสู่กลไกตุลาการหรือไม่”


พวงทองขยายความว่า พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ กอ.รมน. อย่างมากในการเรียกใช้งานหน่วยงานอื่นๆ ตามยุทธศาสตร์ที่ กอ.รมน. วางไว้ รวมถึงหน่วยงานยุติธรรม แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีระบุไว้ชัดเจน คำสั่งนี้ย่อมทำให้ กอ.รมน. เกิดความสะดวกมากขึ้นที่จะเรียกใช้หน่วยงานรัฐให้ทำงานประสานกับตนเอง เพราะก่อนนี้ยังมีความเกรงใจกันอยู่ระหว่างกองทัพกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม

“ต้องจับตาดูว่าการร่วมมือระหว่างกองทัพกับอัยการภาคจะออกมารูปแบบไหน นี่น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญเพราะอัยการเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ฟ้องคดี ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากองทัพฟ้องประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารเยอะมาก อาจเกิดความกังวลว่า วันหนึ่งถ้าหมดอำนาจ พวกเขาอาจจะเดือดร้อน อาจถูกฟ้อง การเอาหน่วยงานอัยการเข้ามาร่วมมือด้วยอาจเป็นการป้องกันตัวเอง นี่มองแบบดีที่สุด เบาที่สุดแล้ว ถ้าแบบร้ายที่สุด ก็อาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการในการดำเนินงานของอัยการ

“ที่ผ่านมา มีการพูดว่าศาลไทยมีปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน ถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซง แต่ดิฉันคิดว่าของแบบนี้ไม่เคยสั่งกันได้ตรงๆ มันเป็นไปตามกระแสทางการเมือง จะมีกรณีไหนสั่งได้ตรงๆ ไหม ไม่เคยมีหลักฐาน เราไม่รู้ แต่เมื่อถูกดึงให้มาทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น อิทธิพลของกองทัพก็จะชัดเจนขึ้น”


กอ.รมน.ทำงานการเมืองให้กองทัพ


กอ.รมน.มีบทบาทสำคัญในการทำงานทางการเมืองให้กองทัพ รวมถึงการทำให้ผลทางการเมืองออกมาในแบบที่ คสช. ต้องการ เช่น การจัดตั้งกลุ่มมวลชนในท้องถิ่น การสกัดกั้นมวลชนฝ่ายตรงข้าม การประเมินความนิยมของ คสช. ในระดับท้องถิ่น เป็นต้น ขณะเดียวกัน กอ.รมน. ก็ทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ทั้งระดับผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ จังหวัด ซึ่ง กอ.รมน. มีอำนาจสั่งการ ซึ่งนับจากอดีต หน่วยงานที่ขยันขันแข็งที่สุดคือกระทรวงมหาดไทย

แต่ในช่วง 3 ปีมานี้ กอ.รมน. เข้าไปใช้กระทรวงศึกษาธิการมากขึ้น กอ.รมน. เข้าไปฝึกอบรมครูตามโรงเรียน จัดรณรงค์ หรือกรณีของนักพูด เบสต์-อรพิมพ์ รักษาผล ที่ทำให้คนอีสานไม่พอใจ ซึ่งเป็นการพูดกับนักเรียน 3,000 กว่าคน ก็เป็นการเกณฑ์มาจาก 5 จังหวัดโดย กอ.รมน. นี่คือกลไกของกระทรวงศึกษาธิการที่ กอ.รมน. เข้าไปใช้อย่างสะดวก ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งต่อไป กลไกเหล่านี้ก็จะถูกใช้อีกเช่นเดียวกับตอนทำประชามติ

“แต่การเลือกตั้งกับการทำประชามติต่างกัน ผลอาจไม่ออกมาสวยงามแบบประชามติ ตอนประชามติคนเข้าใจผิดเยอะว่ามีรัฐธรรมนูญแล้วจะมีการเลือกตั้งโดยเร็ว คนอาจไม่เข้าใจเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่กับการเลือกตั้งคนชัดเจนว่าแต่ละพรรคเป็นอย่างไร คุณไม่ต้องไปบอกให้เขาเลือก เขาก็มีตัวเลือกอยู่แล้ว เลือกตั้งจึงคุมยากกว่าประชามติ”

ยุบ กอ.รมน. คือความจำเป็นหากต้องการปฏิรูปกองทัพ

จากบทสนทนาทั้งหมด เราตั้งคำถามกับพวงทองว่า หากต้องการปฏิรูปกองทัพ ต้องการทำให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และยุบ กอ.รมน. คือความจำเป็น?


“เราจะปฏิรูปกองทัพไม่ได้ ถ้ากองทัพไม่สูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง ถ้าคนไทยกลุ่มหลักๆ โดยเฉพาะสื่อมวลชนกระแสหลักและชนชั้นกลางมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดจากกองทัพ และมีฉันทามติว่าถึงเวลาที่จะต้องเอาทหารออกจากการเมือง คุณก็แตะต้องอะไรกองทัพไม่ได้ และถ้ามีโอกาสปฏิรูปกองทัพเมื่อใด ก็ต้องดำเนินการกับ กอ.รมน.”

“ใช่ ต้องเอากิจการที่ไม่ใช่การรบ การปกป้องดินแดนออกจากมือกองทัพ รวมถึงประเด็นเรื่องความมั่นคงภายในก็ไม่ควรอยู่ในมือทหาร เพราะทหารมองว่าประชาชนเป็นปัญหาความมั่นคง และนี่เป็นสิ่งที่หลายประเทศทำ อินโดนีเซียทำหลังยุคซูฮาร์โต ต้องมีการบัญญัติกฎหมายว่าทหารจะต้องไม่เข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง รัฐประหารเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องเอากิจการพลเรือนที่อยู่ในมือกองทัพทั้งหมดออกไป

“จะยกเลิกกฎหมายได้ ต้องไปด้วยกันกับเจตจำนงที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องประกาศว่าถึงเวลาที่จะปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพอยู่ภายใต้อำนาจของพลเรือน ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าถ้าเกิดน้ำท่วม ภัยพิบัติขึ้นมาจะใช้กองทัพทำงานเหล่านี้ไม่ได้ ใช้ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของพลเรือนที่มาจากประชาชน ทหารออกมาเองไม่ได้ แต่ตอนนี้กองทัพมีอำนาจของตัวเอง ทำได้เองและยังสั่งพลเรือนทำด้วย มันกลับกัน”


พวงทองสรุปว่า ตราบเท่าที่กองทัพยังมีอำนาจหรือต่อให้ คสช. ไม่อยู่แล้ว แต่หากไม่มีความพยายามปฏิรูปกองทัพ ปีกอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านการเมืองแบบรัฐสภาที่ขึ้นมามีอำนาจก็จะยังใช้ กอ.รมน. เป็นมือไม้ในการต่อต้านการเมืองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

“กรณีที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านเทพาจะเกิดบ่อยขึ้น ทำให้ประชาชนเคลื่อนไหวลำบาก ตอนนี้เวลาประชาชนถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ ภาพข่าวออกมา เจ้าหน้าที่เสียหาย แต่ถ้าคุณไปเดินแล้วมีประชาชนกลุ่มหนึ่งทำร้ายอีกกลุ่มหนึ่ง เจ้าหน้าที่จะบอกว่าก็ประชาชนทำกันเอง จะให้ทำอย่างไร เขาก็ไม่พอใจในสิ่งที่คุณทำ จะเห็นได้ว่า การมีมวลชนเป็นของตัวเองมันสำคัญ ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งพิงพรรคประชาธิปัตย์ หรือ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) แบบเดิมในทุกงาน

“แน่นอนว่าหากเขาต้องการมวลชนจำนวนเป็นแสนเป็นล้านเขาต้องพึ่ง แต่เหตุการณ์จำนวนมากไม่ต้องการมวลชนขนาดนั้น แค่ 500 คน 1,000 คนออกมาต่อต้านกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล แค่นี้ก็พอแล้ว ล่ารายชื่อ 50,000 คนเตรียมไว้ก็พอแล้ว จริงๆ แล้วกองทัพไม่ชอบ Social Movement เพราะเขามองว่านี่คือพวกที่ชอบสร้างอำนาจต่อรองกับภาครัฐ แต่ตัวเขาเองต่างหากที่ต้องการสร้างมวลชนตลอดมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็น”


บทสนทนาสุดท้าย พวงทองย้ำความสำคัญของการปฏิรูปกองทัพและการยุติบทบาทของ กอ.รมน. ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ต้องดำเนินไปควบคู่กันว่า

“เราจะปฏิรูปกองทัพไม่ได้ ถ้ากองทัพไม่สูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง ถ้าคนไทยกลุ่มหลักๆ โดยเฉพาะสื่อมวลชนกระแสหลักและชนชั้นกลางมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดจากกองทัพ และมีฉันทามติว่าถึงเวลาที่จะต้องเอาทหารออกจากการเมือง คุณก็แตะต้องอะไรกองทัพไม่ได้ และถ้ามีโอกาสปฏิรูปกองทัพเมื่อใด ก็ต้องดำเนินการกับ กอ.รมน.”

ภาพจากเฟสบุ๊ค วิญญัติ ชาติมนตรี

Posted: 26 Feb 2018 11:50 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ศาลทหารเลื่อนนัดพิจารณาคดี 112 'หฤษฎ์-ณัฏฐิกา' 2 อดีต แอดมินเพจ 'เรารัก พล.อ.ประยุทธ์' ออกไปอีกครั้ง เป็น วันที่ 1 มิ.ย. นี้ หลัง ณัฏฐิกา ไม่มาศาล

27 ก.พ. 2561 ความคืบหน้าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มี หฤษฎ์ มหาทน และ ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ จำเลยที่ 1 และ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.00 ที่่ผ่านมา วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์ข้อความรายงานผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า วันนี้ (27 ก.พ.61) เมื่อเวลา 8:30 น. ที่ ศาลทหารกรุงเทพ หฤษฎ์ จำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าว พร้อมด้วย ธำรงค์ หลักแดน และตน ทนายความจาก สกสส. นัดสืบพยานโจทก์ปาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันนี้
ศาลทหารได้เลื่อนนัดพิจารณาคดีออกไปอีกครั้ง โดย วิญญัติ ระบุว่า เนื่องจาก ณัฏฐิกา ซึ่งวันนี้ไม่ได้เดินทางมาศาล ทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินการได้ จึงให้โอกาสแก่นายประกันและทนายจำเลยที่ 2 เพื่อให้ติดตามตัวจำเลยมาศาล ทั่งนี้ศาลได้ออกหมายเรียกจำเลยที่ 2 ให้มาศาลอีกครั้งในนัดสืบพยานครั้งต่อไปคือ วันที่ 1 มิ.ย. 2561 เวลา 8.30 น.

สำหรับ หฤษฎ์, ณัฏริกา และเพื่อนร่วม 8 คน ถูกตั้งข้อหาเป็นแอดมินและจัดการเนื้อหาในเพจเฟซบุ๊กล้อเลียนหัวหน้า คสช. 'เรารัก พล.อ.ประยุทธ์' ถูกนำมาแถลงข่าวที่กองบังคับการปราบปราม ในวันที่ 28 เม.ย.59 และแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 116 ปลุกระดมปลุกปั่นให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1),(2),(3) และถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลทหาร ศาลอนุมัติและส่งเข้าเรือนจำ



และต่อมา 29 เม.ย.59 มีรายงานข่าวว่าศาลทหารได้อนุมัติหมายจับเพิ่มเติม คือ หฤษฎ์ และณัฏฐิกา ในข้อหามาตรา 112 โดยอ้างเหตุกรณีการพูดคุยส่วนตัวกันในแชตของเฟสบุ๊ค โดยที่ศาลไม่อนุมัติประกันตัว จนกระทั่งได้รับการประกันตัวในวันที่ 8 ก.ค.59

'ณัฏฐิกา' แอดมินเพจล้อประยุทธ์-คดี 112 เปิดใจลี้ภัยไปอเมริกาเพื่อแม่และหวัง
ญาติผู้ถูกทหารคุมตัว-ทนายยื่นคำร้องขอปล่อยตัว ตามม. 90 ศาลนัดฟังคำสั่งพรุ่งนี้
เพจเรารักพล.อ.ประยุทธ์ทำพิษ เจอข้อหา 116-พ.ร.บ.คอม 8 คน-2 คนพ่วงคดี 112

ขณะที่เมื่อ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ณัฏฐิกา ให้สัมภาษณ์ จอม เพชรประดับ ผ่านรายการ Thai Voice ทางยูทูบ เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง บอกเล่าสาเหตุที่ตัดสินใจลี้ภัยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว (อ่านรายละเอียด)
[right-side]


Posted: 27 Feb 2018 12:27 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

การบินไทย แถลงผลการดำเนินงานในปี 60 มีอัตราการขาดทุนสุทธิรวมทั้งสิ้น 2,072 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวสูงขึ้นและสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง


27 ก.พ.2561 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วานนี้ (26 ก.พ.61) ร.อ.กนก ทองเผือก รองกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ สายบริหารงาน กฎหมายและบริหารทั่วไป ปฏิบัติงาน ในหน้าที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย เปิดเผยว่า การบินไทยและบริษัทย่อยมีผลการ ดำเนินงานในปี 2560 มีอัตราการขาดทุนสุทธิรวมทั้งสิ้น 2,072 ล้านบาท ขณะ ที่มีกำไรจากดำเนินงานธุรกิจการบิน (Operating Profit) 2,856 ล้านบาท ลดลง 29.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่สูงกว่าปีก่อน 24.2% ประกอบกับรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าปีก่อน 7.7% จากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงและการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมัน (Fuel Surcharge) ถึง แม้ว่าจะมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารสูงกว่าปีก่อนก็ตาม

สำหรับปีที่ผ่านมาการบินไทยมี รายได้รวมจำนวน 191,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,389 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.3% โดยเพิ่มขึ้นทั้งจากรายได้ค่า โดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน รายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ และรายได้จากการบริการอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายรวม 189,090 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,604 ล้านบาท หรือ 7.1% เป็นผลจากค่า น้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 4,879 ล้านบาท คิดเป็น 10.8%

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมน้ำมันสูงขึ้น 8,313 ล้านบาท คิดเป็น 6.6% สาเหตุหลักเกิดจากปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยานเพิ่มขึ้น

การบินไทย ไตรมาส 2 ขาดทุนกว่า 5 พันล้าน เหตุแข่งขันรุนแรง
คลังกู้ 3 งวด 5 พันล้าน อุ้ม 'บินไทย' ปรับโครงสร้างหนี้
ไตรมาส 3 บินไทยขาดทุน 836 ล้าน แอร์เอเชียฟันกำไร 396.6 ล้าน บางกอกแอร์เวย์สกำไรโต 20%

ร.อ.กนก กล่าวว่า สำหรับความ คืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการขององค์กรนั้น ปีที่ผ่านมาได้เข้าสู่ระยะที่ 3 ของแผน ฟื้นฟู ซึ่งมุ่งเน้นใน 6 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาเครือข่ายการบินที่แข่งขันได้ ทำกำไร และลดความซับซ้อนของฝูงบิน 2.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและ เสริมสร้างรายได้ 3.สร้างความเป็นเลิศ ในการให้บริการ 4.มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ 5.สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความยั่งยืนและพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพดเยี่ยม 6.บริหารบริษัทในเครือและกลุ่มธุรกิจ


ที่มา : ข่าวสดออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์ โพสต์ทูเดย์


Posted: 27 Feb 2018 01:25 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

งานวิจัยในเดนมาร์กพบว่าค่าแรงของผู้หญิงจะลดลงเมื่อเทียบกับผู้ชายในลักษณะงานแบบเดียวกัน คิดเป็น 20% ของค่าแรงเมื่อผู้หญิงมีลูกคนแรก ในทางกลับกันค่าแรงของผู้ชายไม่ลดลงเลยเมื่อมีลูกคนแรก ซึ่งเป็นลักษณะของ ‘ช่องว่างค่าแรงหลังการมีลูก’


เรื่องช่องระหว่างค่าแรงของชายและหญิงที่ไม่เท่ากัน (Gender wage gap) เป็นที่พบได้ทั่วทุกมุมในโลก แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม อย่างญี่ปุ่นพบว่าร้อยละ 73 ผู้หญิงได้รับค่าแรงต่ำกว่าผู้ชายในตำแหน่งและลักษณะงานเดียวกัน [1]แม้แต่ในยุโรปจากการสำรวจในปี 2558 ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 28 ประเทศ พบว่าผู้หญิงได้ค่าแรงต่อชั่วโมง ต่ำกว่าชายร้อยละ 16.3 [2]

มีข้อถกเถียงมากมายว่าทำใมช่องว่างค่าจ้างระหว่าชายและหญิงถึงยังดำรงอยู่ในสังคม บางคนเชื่อว่าเป็นการเลือกปฎิบัติแก่ผู้หญิง ในทางเศรษฐกิจบางคนอาจมองว่าผู้หญิงไม่มีทางมีประสิทธิภาพการทำงานได้เทียบเท่าผู้ชาย หรืออาจมองว่าการที่ผู้หญิงได้รับเลือกเข้าทำงานก็เพราะว่าค่าแรงที่ต่ำของพวกเธอนั้นเอง แต่มีศึกษาน่าสนใจที่ได้นำเสนออีกสมมติฐานว่าช่องว่างที่เกิดนั้นกรณีหนึ่งเกิดจากการที่ ‘ผู้หญิงต้องมีลูก’

การมีลูกเกี่ยวอะไรกับช่องว่างค่าแรงระหว่างเพศ

งานศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์ของเฮนริค เคลเวน จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้อธิบายมุมมองเกี่ยวกับช่องว่างค่าแรงระหว่างเพศ ว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการมีลูกของผู้หญิง โดยการศึกษาใช้ข้อมูลของเดนมาร์กหนึ่งในประเทศที่มีเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (social safety nets) สูงที่สุดในโลกที่หนึ่ง เป็นประเทศที่จ่ายเงินระหว่างวันหยุดให้ (Paid leave) ให้แก่พ่อแม่มือใหม่ขณะที่ลาพักเพื่อไปเลี้ยงลูก ในช่วงระหว่างปีแรกหลังจากที่มีบุตร และยังมีระบบศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่เป็นของรัฐบาลในค่าบริการที่ถูกเท่ากันทั้งประเทศ อยู่ที่ราว 737 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 23,000 บาท) [3]

แต่ในสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีระบบการจ่ายเงินการันตีจากรัฐบาลในช่วงหลังคลอดลูก และสถานเลี้ยงดูเด็กเอกชนก็มีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากันในแต่ละเขตรัฐ ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับเดนมาร์ก แต่ช่องว่างของค่าแรงระหว่างเพศของทั้ง 2 ประเทศนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน [4]

งานวิจัยชิ้นดังกล่าวพบว่าค่าแรงของผู้หญิงจะลดลงเมื่อเทียบกับผู้ชายในลักษณะงานแบบเดียวกัน คิดเป็นร้อยละ 20 ของค่าแรงเมื่อผู้หญิงมีลูกคนแรก ซึ่งในทางกลับกันค่าแรงของผู้ชายกลับไม่ลดลงเมื่อมีลูกคนแรก เป็นการบอกว่าแท้ที่จริงแล้วช่องว่าดังกล่าวเป็น ‘ช่องว่างค่าแรงหลังการมีลูก’ ระหว่างหญิงและชาย

ในช่วงที่ผู้หญิงไม่มีลูกนั้นพวกเธอได้รับค่าแรงค่อนข้างใกล้เคียงกับของผู้ชาย ในขณะที่การเป็นแม่นั้นส่งผลต่อค่าแรงอย่างมีนัยยะ ซึ่งคล้ายคลึงกับงานศึกษาอื่นๆในสหรัฐที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของค่าแรงของทั้ง 2 เพศ นั้นเริ่มจะเห็นได้ชัดเมื่อมีลูก อย่างงานวิจัยของคลอเดีย โกดิน จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด พบช่องว่างค่าแรงระหว่างเพศจะเห็นได้ชัดในช่วงอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยเจริญพันธ์คนส่วนมากมักจะมีลูกช่วงอายุเท่านี้ [5] เช่นเดียวกับงานศึกษาของมารีแอนน์ เบอร์ทรานด์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่เผยว่าชายและหญิงที่เข้าทำงานพร้อมกัน จะเริ่มได้รับค่าแรงที่ต่างกันในช่วงปีที่ 9 หลังสำเร็จการศึกษา [6]

เมื่อผู้หญิงต้องเลี้ยงดูลูกเพียงลำพังทำลายโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

ปัจจุบันปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดช่องว่างของค่าแรงดังกล่าวได้ลดลงไปบ้าง เช่นเรื่องของการศึกษา ทัศนคติระหว่างเพศ แต่สิ่งที่ดำรงอยู่คือเรื่องผลกระทบของการมีบุตร เคลเวนกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Vox นอกจากนั้นในงานศึกษาของเขายังได้เข้าไปค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงหลังการมีลูก พบว่าหลังจากมีลูกผู้หญิงหลายคนจะออกไปหางานใหม่ ที่ชั่วโมงทำงานน้อยลงซึ่งมักได้ค่าแรงที่ต่ำกว่า ยังพบอีกว่า 10 ปีหลังจากมีลูก ผู้หญิงจะเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐมากกว่าผู้ชายร้อยละ 10 ซึ่งเป็นงานที่มีชั่วโมงทำงานที่แน่นอน มีวันลาที่มากและเหมาะกับการทำหน้าที่แม่ ซึ่งจะส่งผลให้กับความก้าวหน้าในอาชีพ

เปรียบเทียบกับในส่วนของผู้ชาย ที่ส่วนใหญ่จะไม่มีการเปลี่ยนอาชีพและยังคงได้รับค่าแรงที่เท่ากันระหว่างคนที่มีลูกและไม่มีลูก

ถึงจะแม้โยบายที่ให้พ่อแม่พักงานในช่วงที่ลูกเกิดได้นั้น จะสามารถที่จะทำการยกเลิกแล้วกลับไปทำงานก่อนเวลากำหนดได้ แต่จากในทางปฏิบัติจริงแล้วผู้หญิงต้องใช้เวลาพักงานหลังให้กำเนิดลูกนานกว่าผู้ชาย การสำรวจพบว่าผู้หญิงในเดนมาร์กใช้เวลาพักงานยาวนานเฉลี่ย 297 วัน มากกว่าชายที่เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 30 วัน น้อยที่สุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย [7] ตรงนี้ทำให้ยิ่งเหมือนดึงผู้หญิงให้ออกจากการทำงานนานขึ้นนานกว่า นำไปสู่ช่องว่างค่าแรง

เคลเวนมองว่าแน่นอนการมีสิทธิ์พักงานของเดนมาร์กเป็นเรื่องที่ดี แต่สิทธิพักงานนี้ที่ไม่ได้แยกระหว่างพ่อและแม่นี้ทำให้เกิดการที่ผู้ชายไม่ใช้สิทธิ (ให้ผู้หญิงใช้แทน) ต่างจากหลายประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่แบ่งสิทธิลาพักส่วนหนึ่งให้เพื่อสำหรับผู้ชายเท่านั้น เช่นในประเทศไอซ์แลนด์ที่สำรองสิทธินี้แก่ผู้ชายเท่านั้น จำนวน 13 สัปดาห์ทำให้มีพ่อลูกอ่อนใช้สิทธินี้จำนวนมากถึงร้อยละ 90

เคลเวนเองมองว่าไม่ได้มีทางแก้ปัญหาที่แน่นอนในตอนนี้ แต่สามารถอธิบายได้ว่าปัจจุบันกลายเป็นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมที่มองว่าหน้าที่การเลี้ยงดูลูกต้องเป็นเรื่องของผู้หญิงเป็นหลัก และมองการทำงานระหว่างลูกยังเล็กเป็นเรื่องยาก ทำให้ผู้หญิงต้องพลาดโอกาสในอาชีพมากมาย เช่นไม่ได้รับคัดเลือกเข้ารับตำแหน่งที่เรียกร้องการเดินทางหรือระยะเวลาทำงานที่ติดต่อกันนานๆ



ที่มาเรียบเรียงจาก
A stunning chart shows the true cause of the gender wage gap (vox.com, 19/2/2018)

อ้างอิง
[1] Japan's gender wage gap persists despite progress Women earn 73% what men do (nikkei.com, 23/2/2017)
[2] Gender pay gap in unadjusted form (Eurostat, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 26/2/2018)
[3] CHILDREN AND GENDER INEQUALITY: EVIDENCE FROM DENMARK (Henrik Kleven และคณะ, NATIONAL BUREAU OF ECONOMIC RESEARCH, January 2018)
[4] The cost of child care in Colorado (epi.org, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 26/2/2018)
[5] A Grand Gender Convergence: Its Last Chapter (Claudia Goldin, American Economic Review 2014, 104(4): 1091–1119)
[6] Dynamics of the Gender Gap for Young Professionals in the Financial and Corporate Sectors (Marianne Bertrand และคณะ American Economic Journal: Applied Economics 2 (July 2010): 228–255)
[7] Danish fathers take far less paternity leave than Nordic brethren (cphpost.dk, 3/11/2017)
[full-post]


Posted: 27 Feb 2018 05:50 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

อิศราเผยอัยการสูงสุดวางแนวปฏิบัติการทำความเห็น-คำสั่งคดี ม.112 ใหม่ ให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพียงผู้เดียว ระดับล่างไม่อาจทำความเห็นได้ ระบุชัดเพื่อความรอบคอบรัดกุม หลังรับเรื่องส่งสำนวนสอบสวนให้ทันที

27 ก.พ.2561 สำนักข่าวอิศรา รายงานวาาทาง สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ พรศักดิ์ ศรีณรงค์ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือถึงผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานอัยการสูงสุดทุกระดับชั้นให้รับทราบแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การให้ข้อหาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะถูกพิจารณาโดยอัยการสูงสุดเท่านั้น พนักงานอัยการระดับทั่วไปไม่อาจทำความเห็นได้ ขณะที่ระบบการจัดทำความเห็นในลำดับชั้นของอัยการภายในองค์กรอัยการก็ไม่มีสำหรับข้อหา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
สำนักข่าวอิศรา ระบุรายละเอียดของหนังสือดังกล่าวว่า ด้วยการดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นคดีสำคัญที่ต้องป้องกันและปราบปรามเป็นพิเศษ เพื่อให้การดำเนินคดีประเภทดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการเป็นไปด้วยความรอบคอบรัดกุม สำนักงานอัยการสูงสุดจึงวางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการทำความเห็นและคำสั่งในคดีประเภทดังกล่าว และให้ถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน ดังนี้

1. สำนักงานอัยการที่ได้รับสำนวนคดี ส.1 และส.2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำการรายงานคดีสำคัญตามแบบที่กำหนด พร้อมส่งสำเนารายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน, สำเนาความเห็นคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของตำรวจ (ถ้ามี), สำเนาคำให้การผู้ต้องหา และสำเนาประวัติอาชญากร และตำหนิรูปพรรณผู้กระทำผิดให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาทันที โดยยังไม่ต้องทำความเห็นใน อ.ก.4 หรือ อ.ก.2

2. สำนวนคดีที่พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่พนักงานอัยการประจำศาลชั้นต้นได้รับสำนวนไว้เห็นว่าควรจะดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ด้วย เพิ่มเติมจากความเห็นของพนักงานสอบสวน ให้พนักงานอัยการประจำศาลชั้นต้นส่งสำนวนสอบสวนพร้อมบันทึกความเเห็นแยกต่างหากให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาทันที โดยยังไม่ต้องทำความเห็นใน อ.ก.4 หรือ อ.ก.2

3. กรณีตามข้อ1. และ ข้อ2. หากมีการดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในศาลชั้นต้น การดำเนินคดีของพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบในชั้นศาลสูงให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน คือ ไม่ต้องมีความเห็นและคำสั่งใน อ.ก.14 แต่ให้ส่งสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ และกรณีที่ยังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษา ให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบในชั้นศาลสูงส่งย่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตามแบบ อ.ก.14 แล้วแต่กรณีไปให้สำนักงานอัยการสูงสูดพิจารณาทันที

ภาพจากเฟสบุ๊คแฟนเพจ สกน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนื

Posted: 27 Feb 2018 06:16 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ทหาร-ตร.พยายามเชิญชาวบ้านดอยเทวดาไปค่ายทหาร หลังจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่ศูนย์ราชการฯ เพื่อขอให้ยุติการแจ้งความดำเนินคดีฝืนคำสั่ง หัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 จากการจัดกิจกรรมให้กำลังใจเดินมิตรภาพ

27 ก.พ.2561 จากกรณีกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา และนักศึกษา รวม 14 คน จัดกิจรรมเดินมิตรภาพเพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจกลุ่ม People Go Network เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนช่วงดึกของวันเดียวกัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อชาวบ้านและนักศึกษา รวมทั้งหมด 14 ราย ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่องการชุมนุมทางการเมือง ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาจำนวน 11 ราย นั้น

วันนี้ (27 ก.พ.61) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์ราชการจังหวัดพะเยา กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา อ.ภูซาง จ.พะเยา พร้อมกับนักศึกษา ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ขอให้ยุติการแจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา

แต่ก่อนหน้าที่จะได้ทำการยื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้ามาเจรจาต่อรองไม่ให้ยื่นหนังสือดังกล่าว ทั้งยังมีการพยายามเชิญให้กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาไปพูดคุยที่มณฑลทหารบกที่ 34 ค่ายขุนเจืองธรรมิกราช โดยระบุว่าเป็นการไปพูดคุยหาทางออก แต่กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาปฏิเสธไม่ขอร่วมพูดคุยภายในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ทหารจึงทำการเจรจากับชาวบ้านที่โรงอาหารด้านหน้าศูนย์ราชการจังหวัดพะเยา ใช้เวลาพูดคุยกันเกือบ 3 ชั่วโมง ก่อนที่กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาจะแยกย้ายกันกลับ โดยยังไม่ได้ยื่นหนังสือใดๆ

ทหาร-ตำรวจเรียกสอบกลางดึก หลังชาวบ้านภูซางหนุนเดินมิตรภาพ
ศาลให้ประกันเกษตรกรดอยเทวดา-น.ศ.หนุนเดินมิตรภาพ หลักทรัพย์คนละ 5 พันบาท
ประณามการจับกุม-ดำเนินคดี 'เกษตรกรดอยเทวดา-น.ศ.' หนุนเดินมิตรภาพ

ทั้งนี้ หนังสือร้องเรียนของชาวบ้านและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ระบุส่วนหนึ่งว่าปัญหาของบ้านดอยเทวดาได้อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหามาเป็นระยะเวลามากกว่า 5 ปี ทั้งปัญหาที่ดิน ปัญหาสาธารณูปโภค ทั้งน้ำประปา ไฟฟ้า ถนน แต่ก็ยังไม่รับการแก้ไข กิจกรรมการเดินรณรงค์เมื่อวันที่ 5 ก.พ.61 เป็นการสนับสนุนเรื่องการปฏิรูปที่ดินและการให้กำลังใจการเดินมิตรภาพ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้มีเจตนาสร้างความวุ่นวายหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงแต่อย่างใด การที่เจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านจะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อน อีกทั้งจะสร้างความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับผู้นำ ชาวบ้านกับหน่วยงานรัฐ


ภาพซ้าย : กลุ่มชาวบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา ทำกิจกรรมหนุน "We walk เดินมิตรภาพ" เมื่อช่วงกลางวัน วันที่ 5 ก.พ. ก่อนถูกเรียกสอบช่วงค่ำที่ สภ.ภูซาง ภาพขวา : เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเรียกกลุ่มชาวบ้านดอยเทวดา สอบกลางดึก (ที่มา: เพจสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ)

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารได้นัดประชุมพูดคุยกับตัวแทนชาวบ้านผู้ต้องหาในคดี We Walk บ้านดอยเทวดา โดยมีการยื่นข้อเสนอจะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพียง 4 คน จากทั้งหมด 14 คนที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ ด้านผู้ต้องหาบ้านดอยเทวดาระบุยังไม่ให้คำตอบ ขอปรึกษาหารือกับชาวบ้านทั้งหมดก่อน

[full-post]


Posted: 27 Feb 2018 08:04 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องจากผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ฯลฯ ที่ขอให้วินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 60 หรือไม่ โดยศาลระบุต้องใช้สิทธิทางศาลและผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน


เพจ iLaw รายงานว่าเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีที่ภาคประชาชนสามกลุ่มได้ใช้สิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ยื่นคำร้องสามฉบับขอให้วินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ขัดต่อเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ

โดยทั้ง 3 คำร้องที่ถูกยก ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่าคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 มีสถานะใช้บังคับตามกฎหมาย คำร้องดังกล่าวจึงเป็นการขอให้ศาลตรวจสอบว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ชอบตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญได้ระบุสิทธิในการตรวจสอบความชอบตามรัฐธรรมนูญไว้เป็นการเฉพาะแล้วโดยการใช้สิทธิทางศาลตามมาตรา 212 และช่องทางผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 231(1) ผู้ร้องจึงไม่สามารถยื่นคำร้องผ่านช่องทางศาลรัฐธรรมนูญได้

ในส่วนของคำสั่งที่ 10/2561 เรื่อง กรณีอานนท์และพวกรวมสี่คน ขอให้พิจารณาว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 26,28 และ 44 หรือไม่ ศาลระบุว่า ช่วงที่ผู้ร้องถูกควบคุมตัวไว้ในสถานที่อื่นใดที่ไม่ใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2558 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ผู้ร้องจึงไม่สามารถยื่นคำร้องผ่านช่องทางมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญได้

ทั้งนี้กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา

โดยคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 6 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเรียกตัวบุคคลมาสอบปากคำและควบคุมตัวไว้ได้นานสุดถึง 7 วันโดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ส่วนข้อ 12 ได้กำหนดห้ามการชุมนุมทางการเมืองเป็นจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือน ปรับสูงสุด 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 26 มกราคม 2561 ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องของนิมิตร์ เทียนอุดม และพวกรวมสามคนที่ขอให้พิจารณาว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 26 และ 44 หรือไม่ ซึ่งให้เหตุผลเหมือนกันกับคำร้องสามคำร้องนี้

iLaw ระบุว่า จากการสอบถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 พบว่านับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 จนถึงวันดังกล่าว มีการยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยช่องทางตามมาตรา 213 อย่างน้อย 73 เรื่อง แบ่งเป็นในปี 2560 จำนวน 67 เรื่อง และในปี 2561 อีกจำนวนหกเรื่อง โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญพบว่าที่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมาแล้วทั้งหมด 55 ฉบับ ซึ่งทุกฉบับศาลไม่รับพิจารณาคำร้อง โดยอาศัยเหตุผลสามประการ คือ

หนึ่ง ในรัฐธรรมนูญกำหนดกระบวนการในการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว

สอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดวิธีการยื่นคำร้องไว้เฉพาะแล้วให้ไปยื่นตามวิธีการดังกล่าว

สาม เป็นเรื่องที่ไม่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้อง

[full-post]

อนุสรณ์ ธรรมใจ (กลาง) ที่มาแฟ้มภาพเพจ banrasdr photo 

Posted: 27 Feb 2018 08:19 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ระบุส่งผลดีต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอดูความชัดเจนในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย แต่หากเลื่อนการเลือกตั้งอีก คาดผลลบต่อภาคการลงทุนจะรุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ แนะ คสช.พิจารณายกเลิกคำสั่ง ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและพรรคการเมือง

27 ก.พ.2561 รายงานข่าวแจ้วว่า วันนี้ เมื่อเวลา 16.30 น. อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า การยืนยันจัดให้มีการเลือกตั้งไม่เกิน ก.พ. 2562 ของนายกรัฐมนตรีส่งผลบวกต่อภาคการลงทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้น น่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีก นอกจากนี้ยังจะส่งผลดีต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอดูความชัดเจนในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ความน่าสนใจของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเพิ่มขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าเลือกตั้งไม่เกินกุมภา 62 จะเอาอะไรกันอีก

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวต่อว่า หาก คสช รักษาสัญญาที่ประกาศเอาไว้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี พ.ศ. 2561 อาจจะปรับตัวสูงกว่าที่ตนคาดไว้เดิมซึ่งจะอยู่ที่ 4.1-4.7% อัตราการเติบโตของการลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม หากหัวหน้า คสช ไม่สามารถทำได้ตามที่ประกาศเอาไว้หรือมีการเลื่อนการเลือกตั้งอีก คาดว่าผลกระทบทางลบต่อภาคการลงทุนจะรุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ การให้สัญญาในวันนี้ก็จะเป็นเพียงเทคนิคในการลดแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศและแรงกดดันจากประชาคมโลก นอกจากนี้ ตนหวังว่าหลังเลือกตั้งจะไม่มีการสืบทอดอำนาจด้วยวิธีที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตยหรือขัดกับเจตนารมณ์ของ ประชาชน หากมาตามครรลองของประชาธิปไตยและเสนอตัวต่อประชาชนผ่านการเสนอชื่อของพรรคการเมือง การเข้ามีบทบาทในการบริหารประเทศต่อด้วยวิธีการที่ถูกต้องจะช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมาอีก ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองจะลดลง เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลงทุนก็จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะปรกติอันเป็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้ ขอให้ ผู้มีอำนาจ ตัดสินใจหรือดำเนินการใดๆโดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ

อนุสรณ์ กล่าวว่า คสช ควรพิจารณายกเลิกคำสั่ง คสช ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและพรรคการเมือง รวมทั้ง หยุดการดำเนินคดีกับนักกิจกรรมทั้งหลายที่ได้ดำเนินการตามสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ การกลับคืนสู่นิติรัฐและการเปิดกว้างให้เกิดการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด การเปิดให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วยสติปัญญาอย่างมีความรับผิดชอบ จะนำสังคมไทยไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์และสันติธรรมเพิ่มขึ้น

[full-post]


Posted: 27 Feb 2018 09:12 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ชาวแอฟริกันที่อาศัยอยู่ในจีนแสดงความเห็นต่อชุดการแสดงหนึ่งในช่อง CCTV ว่าล้อเลียนและสะท้อนภาพเหมารวมคนดำหรือไม่ ทั้งนี้แม้ชุดการแสดงดังกล่าวมุ่งเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จีน-แอฟริกา แต่การใช้นักแสดงจีนแต่งหน้าดำแทนการใช้นักแสดงชาวแอฟริกันนั้นสื่อให้เห็นการขาดความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมหรือไม่ รวมทั้งตั้งคำถามต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยจีนว่ามุ่งตอบสนองความทะเยอทะยานของจีน

ชุดการแสดง "ความหรรษาเดียวกัน ความสุขเดียวกัน" ออกอากาศในรายการฉลองตรุษจีนทาง CCTV โดยช่วงนี้เป็นช่วงที่ถูกวิจารณ์เนื่องจากตัวละครหญิงที่แต่งหน้าให้เหมือนชาวแอฟริกัน และการแสดงชุดนี้มีลักษณะการแสดงในเชิงล้อเลียนเหมารวมชาวแอฟริกัน


ชุดการแสดง "ความหรรษาเดียวกัน ความสุขเดียวกัน" ออกอากาศในรายการฉลองตรุษจีนทาง CCTV

ก่อนหน้านี้ในรายการโทรทัศน์เพื่อฉลองตรุษจีนทางช่อง CCTV ของจีน มีการแสดงชุดหนึ่งชื่อ "ความหรรษาเดียวกัน ความสุขเดียวกัน" ความยาว 13 นาที ที่ต้องการฉลองการสร้างทางรถไฟสายมอมบาซา-ไนโรบี ในประเทศเคนยา ที่สร้างโดยจีน และฉลองความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในทวีปแอฟริกา (ชมคลิป) มีนักแสดงหญิงชาวจีนแต่งหน้าและต่งกายเพื่อแสดงเป็นชาวแอฟริกัน นอกจากนี้ยังมีการแสดงในเชิงล้อเลียนภาพเหมารวมคนดำด้วย จนทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นและมีการอภิปรายเรื่องนี้กันทั่วโลกในเรื่องที่กล่าวหาว่ารายการนี้มีเหยียดและมีอคติทางเชื้อชาติสีผิว

อย่างไรก็ตามก่อนทางรายการดังกล่าวเคยมีการคัดตัวนักแสดงโดยที่มีชาวไนจีเรียที่อาศัยอยู่ในจีนมานาน 9 ปี อย่างกลอเรีย บราวน์ เข้าร่วมคัดตัวด้วย แต่เธอกลับไม่ได้รับบทดังกล่าวถึงแม้ว่าเธอจะเป็นชาวแอฟริกันก็ตาม โดยที่บราวน์พูดถึงข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นว่าเพื่อนของเธอส่วนมากราวร้อยละ 90 ที่โพสต์วิจารณ์รายการนี้ ทั้งชาวแอฟริกัน ชาวอเมริกันและชาวจีน ต่างก็วิจารณ์รายการเหยียดเชื้อชาติของรายการนี้ มีคนจีนอยู่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้นโต้ตอบในทำนองว่า "ถ้าชาวแอฟริกันไม่พอใจก็กลับประเทศของพวกคุณไป ไม่ต้องอยู่ที่นี่"

ช่วงในรายการที่กลายเป็นข้อถกเถียงดังกล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการฉลองตรุษจีนที่มีความยาวรวม 4 ชั่วโมง สิ่งที่ทำให้ถูกวิจารณ์เรื่องเหยียดเชื้อชาติคือการให้นักแสดงชาวจีนทาหน้าสีดำ หรือที่ค่านิยมตะวันตกมองว่าเป็นการเย้ยหยันทางวัฒนธรรมที่เรียกว่า "แบล็กเฟซ" รวมถึงแต่งกายแบบล้อเลียนภาพเหมารวมคนผิวดำอื่นๆ

การล้อเลียนเช่นนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกลับในระดับที่กระทรวงการต่างประเทศของจีนรู้สึกว่าต้องพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเจิ้งชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงเมื่อ 22 ก.พ. ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าชุดการแสดงดังกล่าวเหยียดเชื้อชาติ และกล่าวว่า "ประเทศจีนต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบเสมอมา"

"ความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะใช้สิ่งนี้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการตื่นตระหนกและตอกลิ่มระหว่างจีนและประเทศในแอฟริกา นับเป็นเรื่องไร้ประโยชน์"

เขากล่าวด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและประเทศในแอฟริกานั้นแข็งแกร่ง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้รับผลโยชน์

กรณีของบราวน์ เป็นแค่หนึ่งในชาวแอฟริกันหลายๆ คนที่เข้าคัดตัวนักแสดง เธอใช้ชีวิตอยู่ในจีนมานาน 9 ปี แล้วและมีงานหลักๆ คือการขายเฟอร์นิเจอร์ทำจากจีนให้กับลูกค้าชาวแอฟริกัน เธอบอกว่าพอเห็นกระแสโต้ตอบกลับเช่นนี้แล้วเธอไม่เสียดายเลยที่ไม่ได้รับบทในการแสดง ถึงเธอจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกถูกล่วงเกินในด้านสีผิวมากนักเพราะเข้าใจว่ามันเป็นรายการตลก แต่เธอก็บอกว่าถ้าเป็นเธอเองก็คงไม่อยากเล่นบทที่ทำให้คนอื่นรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า รู้สึกเสียดาย หรือรู้สึกว่ากำลังโดนดูถูก

ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกาบราวน์มองว่าทั้งสองฝ่ายไม่ควรจะให้ใครมีอำนาจมากกว่ากันหรือครอบงำอีกฝ่ายหนึ่ง จากความคิดเห็นของชาวแอฟริกันในจีนแล้วถ้าหากบราวน์ได้รับบทของชาวแอฟริกันเองแทนที่จะให้คนจีนแสดงแทนคงจะไม่เกิดข้อโต้แย้งตามมาแบบนี้

มูฮัมหมัด ฮัมหมิด ชาวเซียร์ราลีโอนผู้อาศัยอยู่ในจีนตั้งแต่ปี 2558 กล่าวว่าเขารู้สึกตกตะลึงเมื่อเจอ "แบล็กเฟซ" ในรายการจีน และบอกว่าถึงแม้การแสดงจะดี มีธีมเกี่ยวกับมิตรไมตรี แต่คนดำน่าจะได้รับบทนี้มากกว่าการให้คนจีนแสดงแทนทำให้รู้สึกถูกกีดกันทางโอกาส

เรื่องนี้ชวนให้ตั้งคำถามว่าขณะที่จีนพยายามเข้าหาภูมิภาคแอฟริกันมากขึ้นสังคมจีนที่เป็นประเทศปิดมานานมีความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมอื่นๆ และมีความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เพื่อนของบราวน์ชื่อ เอมิเลย บายวอเตอร์ บอกว่าตัวเธอเองไม่รู้สึกถูกล่วงเกินจากการแสดงนี้แต่ก็พูดถึงสังคมจีนโดยทั่วไป เธอเล่าว่าจากที่เคยอยู่ในสหรัฐฯ มาก่อนตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว ทัศนคติเรื่องการเหยียดเชื้อชาติสีผิวกำลังเปลี่ยนแปลงในตะวันตก แต่ในจีนเธอกลับเจออคติทางเชื้อชาติสีผิวในชีวิตประจำวันแทบทุกวัน

บายวอเตอร์เปิดเผยว่าขณะที่ตะวันตกเริ่มคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่เปิดรับอัตลักษณ์หลากหลาย ในสังคมจีนยังมีอคติและความลำเอียงในแง่มุมอื่นๆ ทั้งเรื่องเพศที่ลำเอียงเข้าข้างชายมากกว่าหญิง หรือเรื่องเชื้อชาติอย่างในโรงเรียนนานาชาติที่จะอยากให้มีคนขาวอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารในโรงเรียนมากกว่าคนดำ

แต่ในแง่ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจนั้นบายวอเตอร์ก็มองว่าจีนให้ความช่วยเหลือแอฟริกันจริงในแง่ทุนการศึกษาเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่พวกเธอไม่เคยได้รับทุนการศึกษาต่อเลย โดยกรณีทุนการศึกษาจากจีนที่เธอกล่าวถึงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" ที่จีนพยายามสร้างความร่วมมือกับแอฟริกันโดยการให้ทุนรัฐบาลแก่นักศึกษาแอฟริกัน 30,000 ราย เพื่อพยายามเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเหล่านั้นตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเอง รายการตลกที่เป็นข้อถกเถียงเรื่องแบล็กเฟซก็ถึงขั้นมีการพูดถึงทางรถไฟ มอมบาซา-ไนโรบี ในเคนยาด้วย

อย่างไรก็ตาม แดเนียล อะเนียกัน นักศึกษาชาวไนจีเรียที่กำลังศึกษาด้านการแพทย์ในจีนก็มองว่าจีนไม่ได้เป็นพ่อพระ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกาเป็นไปแบบสองทาง จีนคงต้องการอะไรสักอย่างจากแอฟริกาจึงเข้ามาลงทุน แต่ในด้านสังคมเอง อะเนียกันก็บอกว่ายังคงมีการเหยียดสีผิวอยู่ เช่น ผู้หญิงเห็นเขาบนถนนก็วิ่งหนีด้วยความกลัว พนักงานธนาคารแค่เห็นเขาเข้าไปก็คิดว่าเขาจะมาปล้น ในกรณีของแบล็กเฟซในทีวีอะเนียกันบอกว่าก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าทำไมคนถึงโกรธแม้แต่เพื่อนชาวจีนของเขาบางคนก็ไม่ชอบมัน

อะเนียกันบอกว่าถ้าหากจีนต้องการจะตกลงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับแอฟริกันก็ควรจะทำให้ผู้คนเข้าใจกันมากขึ้นด้วย ควรจะงดการนำเสนอภาพเย้ยหยันทางเชื้อชาติแบบในกรณีรายการของ CCTV ซึ่งแทนที่จะทำให้เกิดความสมัครสมานกลับทำให้เกิดการกีดกัน

เรียบเรียงจาก...

African woman who auditioned for ‘racist’ Chinese TV gala show speaks out on blackface row, South China Morning Post, 26-02-2018

China ‘opposes’ racism but dismisses criticism of CCTV blackface skit, South China Morning Post, 22-02-2018

[full-post]


Posted: 26 Feb 2018 12:03 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

'8 We Walk เดินมิตรภาพ' ร้องขอความเป็นธรรม ให้สอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก คดีฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ด้านอัยการนัดรายงานตัวอีกครั้ง 2 มี.ค.นี้

26 ก.พ.2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี 8 ผู้ต้องหา จากเครือข่าย People Go Network ที่ร่วมกันจัดกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” และถูกกล่าวหาในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เรื่องการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ได้เดินทางเข้าพบพนักงานอัยการตามนัดหมาย โดยมีเครือข่ายประชาชนประมาณ 100 คน ร่วมให้กำลังใจที่ด้านหน้าสำนักงานอัยการ

ศาลปกครองสูงสุดยังคุ้มครองกิจกรรมเดินมิตรภาพต่อ
'8 เดินมิตรภาพ' เข้ารับทราบพร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา หลังถูกฟ้องฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.
8 ตัวแทน 'เดินมิตรภาพ' ขอเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาขัดคำสั่ง คสช. เป็น 31 ม.ค. 2561

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้ว่ามี พ.ท.ภูษิต คล้ายหิรัญ ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี และมีการแจ้งข้อกล่าวหาไปเมื่อวันที่ 31 ม.ค.61 โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาก่อนจะได้ทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานสอบสวน และวันนี้พนักงานสอบสวนได้นัดหมายมาส่งตัวผู้ต้องหาให้อัยการ

ร.ต.อ.อภิวัฒน์ คำโมง พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี ระบุว่าพนักงานสอบสวนสภ.คลองหลวงได้ส่งสำนวนมาที่อัยการ โดยมีความเห็นให้สั่งฟ้องคดี ส่วนทางอัยการหลังจากรับสำนวน จะได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาสำนวน ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และจะมีความเห็นทางคดีต่อไป โดยทางผู้ต้องหายังได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมเข้ามา ขอให้มีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม ซึ่งทางอัยการจะได้พิจารณามีคำสั่งให้ทางพนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ต่อไป

ทางอัยการยังได้นัดให้ทั้ง 8 ผู้ต้องหา มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 2 มี.ค.61 เวลา 10.30 น. ซึ่งครบกำหนดผัดฟ้องครั้งสุดท้าย โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความศาลแขวง กำหนดให้อัยการผัดฟ้องได้ไม่เกิน 30 วัน หลังพ้นจากนั้น หากอัยการจะสั่งฟ้องคดี ต้องมีการส่งเรื่องให้ทางอัยการภาคพิจารณาอนุญาตการสั่งฟ้องต่อไป

สำหรับพยานบุคคลจำนวน 6 ปากที่ทางฝ่ายผู้ต้องหาขอความเป็นธรรมให้อัยการมีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนประเด็นข้อต่อสู้คดีต่างๆ ได้แก่ ปริญญา เทวนฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, จันทจิรา เอี่ยมมยุรา อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คมสันติ์ จันทร์อ่อน ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค, ยุพดี สิริสินสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ทั้งนี้ผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้ง 8 ราย ได้แก่ 1.เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา 2.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3.นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ 4.สมชาย กระจ่างแสง มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ 5.แสงศิริ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ 6.นุชนารถ แท่นทอง เครือข่ายสลัม 4 ภาค 7.อุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรทางเลือก และ 8.จำนงค์ หนูพันธ์ เครือข่ายสลัม 4 ภาค


Posted: 26 Feb 2018 12:05 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยของ AREA วิเคราะห์กรณี 'ป้าทุบรถ' ยกข้อบัญญัติ กทม. ฟัน พื้นที่บริเวณสวนหลวง ร.9 สร้างตลาดไม่ได้เนื่องจากไม่เข้าชนิดประเภทสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่ได้รับอนุญาตในพื้นที่

26 ก.พ. 2561 บริษัทจำกัด (บจก.) เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ออกแถลงการณ์กรณีที่รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี และราณี แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี ใช้ขวานและเสียมทุบทำลายรถยนต์กระบะที่จอดขวางประตูเข้าออกหน้าบ้านหมู่บ้านเสรีวิลลา เขตประเวศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. จนเป็นที่กล่าวถึงอย่างแพร่หลายในหน้าข่าวและโซเชียลมีเดีย

วัฒนา เมืองสุข ปฏิเสธตลาดสวนหลวงไม่ใช่ของเมีย

โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยของ AREA ชี้ให้เห็นว่ากรณีป้าใช้ขวานทุบรถจนเป็นข่าวเกรียวกราวว่า ในบริเวณดังกล่าว ไม่สามารถก่อสร้างตลาดได้

ตามบทบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง "กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทบริเวณโดยรอบสวนหลวง ร. 9 ในท้องที่แขวงหนองบอน แขวงประเวศ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559" (http://bit.ly/2CDJmh7) ระบุว่า ตลาดใกล้ๆ บ้าน "ป้า" นั้น อยู่ในพื้นที่บริเวณที่ 1 หมายความว่า "พื้นที่ในบริเวณระหว่างทิศเหนือจดแนวขนาน ซึ่งมีระยะห่างจากแนวเขตสวนหลวง ร. 9 ด้านทิศเหนือ ออกไป 300 เมตร ทิศตะวันออกจดแนวขนาน ซึ่งมีระยะห่างจากถนนเฉลิมพระเกียรติ ร. 9 ออกไป 300 เมตร เส้นขนานด้านทิศตะวันออกนี้บรรจบกับแนวขนานซึ่งมีระยะห่างจากแนวเขตสวนหลวง ร. 9 ด้านทิศเหนือ 300 เมตร และบรรจบกับแนวคลองหนองบอน ด้านทิศใต้ ทิศใต้และทิศตะวันตกจดคลองหนองบอน ยกเว้นบริเวณบึงรับน้ำหนองบอน

สำหรับข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท บริเวณโดยรอบสวนหลวง ร.9 ในท้องที่แขวงหนองบอน แขวงประเวศ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2532" (http://bit.ly/2FpOSHd) ระบุว่า ข้อ 4 ภายในบริเวณที่ 1 ห้ามมิให้บุคคลใดก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารอื่นใด นอกจากอาคารดังต่อไปนี้

(1) อาคารทีพักอาศัยประเภทบ้านเดียว บ้านแฝด บ้านแถว และอาคารอยู่อาศัยรวม
(2) อาคารหรือสถานที่ทําการของทางราชการ
(3) อาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช้ประเภทอาคารห้องแถว ตึกแถว หรือประเภทอาคารขนาดใหญ่
(4) สถานกีฬา ซึงจุคนดูได้ไม่เกิน 750 คน และไม่ใช่ประเภทอาคารขนาดใหญ่
(5) ถนน เขื่อน สะพาน อุโมงค์ ทางหรือท่อระบายนํ้า ท่านํ้า รั้ว กําแพง ประตู เสาไฟฟ้า ท่อประปา ป้ายทางราชการ ป้ายเพื่อการเลือกตั้ง และป้ายชือสถานประกอบกิจการที่มีพื้นที่รวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร

ทั้งนี้อาคารตามวรรคหนึ่ง ต้องมีความสูงไม่เกิน 15 เมตร โดยวัดจากระดับถนนหรือขอบทางเท้าที่ใกล้ที่สุดถึงส่วนที่สูงที่สุดของอาคาร

ดังนั้นการนำที่ดินไปสร้างตลาดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย


กรณีป้าทุบรถ สะเทือนถึงตลาดไม่มีใบอนุญาต


เมื่อ 18 ก.พ. รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี และราณี แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี ใช้ขวานและเสียมทุบทำลายรถยนต์กระบะที่จอดขวางประตูเข้าออกหน้าบ้านหมู่บ้านเสรีวิลลา เขตประเวศ โดยตำรวจออกหมายเรียกรวม 3 ข้อหา คือ ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเหตุอันควร

ต่อมาผู้ก่อเหตุดังกล่าวตั้งโต๊ะชี้แจงหน้าบ้านเมื่อวันที่ 20 ก.พ. สาเหตุการทุบรถที่จอดขวางประตูบ้านว่าต้องทนเดือดร้อนมากว่า 10 ปี เพราะซื้อที่ดินจัดสรรเพื่อเป็นบ้านอยู่อาศัย แต่สำนักงานเขตกลับปล่อยให้มีตลาดตั้งรอบบ้าน มีการจอดรถกีดขวางหน้าบ้านทุกวัน ต้องรอเขาซื้อของเสร็จถึงจะได้ออกจากบ้าน นอกจากนี้ยังเปิดเสียงดังรบกวนผู้อาศัยตลอดเวลา ตลาดก่อมลภาวะพิษ ทั้งควันรถ ควันอาหารทุกอย่าง มีการขนถ่ายสินค้าทั้งกลางวันและกลางคืน เสียงรบกวนชาวบ้านทั้งกลางวันกลางคืนยามวิกาล ไม่สบายก็ออกจากบ้านไม่ได้ นอกจากนี้เหตุผู้มีอิทธิพลคุกคามผู้อาศัย มีการลอบวางเพลิง ใส่ร้ายว่าเป็นบ้านค้าประเวณี ส่งหญิงข้ามชาติ ค้าสิ่งเสพติด รวมทั้งมีผู้ใช้บ้านเลขที่ไปจดทะเบียนเพื่อจ้างแรงงานข้ามชาติด้วย

ที่ผ่านมาเจ้าของบ้านได้ฟ้องศาลแล้วจนศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง แต่ที่ผ่านเจ้าหน้าที่ กทม. ยังไม่ดำเนินการแก้ไข ยังปล่อยให้มีตลาดรอบบ้านพัก

ทั้งนี้ตลาดที่ตั้งล้อมบ้านพักดังกล่าวมีจำนวน 5 ตลาด ได้แก่ ตลาดสวนหลวง ซึ่งมีการขออนุญาตก่อสร้างอาคารจากสำนักการโยธา กทม. แต่ไม่มีการขออนุญาตสร้างตลาด ตลาดเปิ้ลมาร์เก็ตและตลาดยิ่งนรา มีใบขออนุญาตใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่ห้ามขายของสด ส่วนตลาดรุ่งวานิชย์และตลาดร่มเหลืองไม่มีใบอนุญาตสร้างตลาด

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กทม. ได้สั่งตรวจสอบตลาดทั้งหมด และยังสั่งการให้สำนักงานเขตประเวศ ออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการตลาด 3 แห่ง ประกอบด้วย ตลาดรุ่งวาณิชย์ ตลาดร่มเหลือง และตลาดสวนหลวง (1) มีผลวันที่ 27 ก.พ. นี้

ทั้งนี้ การขอเปิดตลาดในพื้นที่ ต้องขออนุญาตฝ่ายสิ่งแวดล้อม สำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
ผู้ทำบัญชียันบริษัทยิ่งนรา ไม่ได้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับตลาดยิ่งนรา

โดยหลังกรณี "ป้าทุบรถ" มีข่าวว่าตลาดยิ่งนรา หนึ่งในตลาดที่ตั้งล้อมบ้านป้าทุบรถ มีเจ้าของคือ "พัชรี เจียรวนนท์" โดยไทยพีบีเอสพบข้อมูลจดทะเบียนบริษัทเมื่อปี 2553 ชื่อ "บริษัทยิ่งนราจำกัด" แจ้งประกอบธุรกิจซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่ เพื่อเป็นที่พักอาศัย เมื่อตรวจสอบย้อนหลังรายได้ ผลประกอบการ กำไร-ขาดทุนในแต่ละปี พบว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีรายได้ 58 บาท ปี 2557 รายได้ 38 บาท ปี 2558 รายได้ 17 บาท และ 2559 มีรายได้ 18 บาท ปี 2560 ยังไม่มีข้อมูลแสดงผลประกอบการ กำไรขาดทุน

ทั้งนี้ไทยพีบีเอสตรวจสอบกับผู้ทำบัญชี จี้แจงว่าบริษัทยิ่งนรา เป็นนิติบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดสดยิ่งนรา แม้ว่าเจ้าของตลาดคือพัชรี จะเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัท


คลิป ณัฐวุฒิ ปราศรัย 23 ม.ค.53 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนการประกาศวันชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้า



Posted: 26 Feb 2018 08:56 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ณัฐวุฒิ มอบทนายแจ้ง ปอท. เอาผิดคนตัดต่อคลิป ‘สั่งเผาปี 53’ หลัง ถวิล เปลี่ยนศรี และดีเอสไอ เอาไปให้การในศาล ว่าพูดที่แยกราชประสงค์ ช่วง เม.ย.-พ.ค.53 ทั้งที่พูด ม.ค.53 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนการประกาศวันชุมนุมใหญ่

26 ก.พ.2561 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า จากกรณีที่มีบุคคลบางกลุ่มตัดต่อและเผยแพร่คลิปวิดีโอกล่าวหาว่าตนเป็นคนสั่งการให้มีผู้ก่อเหตุวางเพลิงในเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช.ปี 53 และยังคงกระทำต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ทั้งที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ม.ค.53 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนการประกาศวันชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้า และถ้ารับฟังเนื้อหาทั้งหมด 24 นาทีอย่างคนมีสติและเคารพความจริง ก็จะชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ การตัดต่อคลิปดังกล่าวเริ่มจาก ศอฉ.นำมาใช้แถลงข่าวหลังยุติการชุมนุม ทำให้ตนซึ่งถูกจองจำอยู่เป็นเวลา 9 เดือนไม่มีโอกาสชี้แจง หลังจากออกมาก็เห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมาก และมั่นใจในความบริสุทธิ์ จึงคิดจะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม แต่ปรากฏว่าในชั้นศาล ถวิล เปลี่ยนศรี ในฐานะเลขาธิการ ศอฉ.ให้การเป็นพยานโจทก์คดีก่อการร้ายว่าตนพูดเมื่อวันที่ 8 เม.ย.53 ที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ล่าสุดวันที่ 14 ก.พ.พนักงานสอบสวนดีเอสไอให้การว่าตนพูดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งเป็นความเท็จทั้งคู่ ถ้าไม่ใช่การโกหกจนเชื่อกันเอง ก็เป็นการใส่ร้ายเพื่อหวังผลในคดีก่อการร้าย และสร้างความชอบธรรมให้การปราบปรามประชาชนที่ตนกำลังทวงถามความยุติธรรมอยู่ขณะนี้




คลิป ณัฐวุฒิ อธิบายถึงการฟ้องดังกล่าว

“ผมได้มอบหมายทนายความรวบรวมหลักฐาน เพื่อแจ้งความต่อ ปอท.ในวันที่ 28 ก.พ. เวลา 10.00 น. ให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กับผู้เผยแพร่คลิปตัดต่อดังกล่าว ตลอดจนคนวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเสียหาย เบื้องต้นจะมีการแจ้งความผู้เผยแพร่หลายราย และจะเรียกร้องค่าเสียหายในขั้นตอนต่อไป และถ้ามีการตรวจสอบพบอีกก็จะดำเนินคดีเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม แม้มั่นใจว่าในที่สุดความจริงจะปรากฏ แต่เมื่อมีความพยายามอย่างเป็นกระบวนการที่จะนำความเท็จนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ผมจึงต้องทำหน้าที่เพื่อไม่ให้เพื่อนมิตรอีกจำนวนมากต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้” ณัฐวุฒิ กล่าว


พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม (ที่มาภาพ เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'โฆษกกระทรวงกลาโหม' )

Posted: 26 Feb 2018 09:27 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยปัจจุบัน ได้จัดตั้ง “ศูนย์ไซเบอร์กระทรวงกลาโหม” และ “หน่วยไซเบอร์ระดับปฏิบัติการของแต่ละเหล่าทัพ” กำหนดให้ไซเบอร์ เป็นมิติหนึ่งของสงคราม ที่ต้องจัดเตรียมกำลังและใช้กำลัง

26 ก.พ.2561 เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'โฆษกกระทรวงกลาโหม' รายงานว่า พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม (โฆษก กห.) เปิดเผยหลัง การประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 2/2561 วันนี้ เวลา 10.00 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ว่า กระทรวงกลาโหม ได้ขับเคลื่อนปฏิรูปกองทัพ ด้านไซเบอร์ต่อเนื่อง ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ (ด้านความมั่นคง ) และยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหม โดยได้จัดทำแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหม ( ปี 60-64) และกำหนดให้ไซเบอร์ เป็นมิติหนึ่งของสงคราม ที่ต้องจัดเตรียมกำลังและใช้กำลัง เช่นเดียวกับมิติของการสงครามอื่นๆ

โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ปัจจุบัน ได้จัดตั้ง “ศูนย์ไซเบอร์ กห.” และ “หน่วยไซเบอร์ระดับปฏิบัติการของแต่ละเหล่าทัพ” โดยอยู่ระหว่างการเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถการปฏิบัติ ทั้งด้านนโยบายและแผน ด้านกำลังพล ด้านการปฏิบัติการ ด้านเทคโนโลยีและการวิจัย พัฒนา รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ให้พร้อมในการปฏิบัติ ขณะเดียวกัน ก็ได้ให้ความสำคัญกับการผนึกกำลังด้านไซเบอร์

โดยระยะแรกนี้ ได้เน้น ขีดความสามารถเชิงรับ เช่น ด้านการป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการเฝ้าระวัง ซึ่งแต่ละเหล่าทัพได้จัดตั้ง โรงเรียนและเปิดสอนผู้ปฏิบัติงานไซเบอร์ระดับต่างๆ ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติการ สำหรับการผนึกกำลังด้านไซเบอร์ ได้กำหนดเป้าหมายให้มีกำลังพลสำรองไซเบอร์ พร้อมทั้งขยายความร่วมมือและผนึกกำลังกับหน่วยงาน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น การฝึกไซเบอร์ในการฝึกร่วม ผสมทางทหาร ภายใต้รหัสคอบร้าโกลด์ ที่ผ่านมา

โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุด้วยว่า การปฏิรูปกองทัพ ด้านไซเบอร์ จะเป็นส่วนสำคัญ ให้กองทัพมีความพร้อมและมีขีดความสามารถในการรับมือกับ การโจมตีและการคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่การทำสงครามไซเบอร์ได้ในอนาคต ซึ่งหากขาดการผนึกกำลังด้านไซเบอร์ร่วมกัน โดยกองทัพไม่เตรียมความพร้อม และภาคประชาชนไม่ตระหนักรู้และตื่นตัวในทิศทางเดียวกันสงครามไซเบอร์จะกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ชาติอย่างใหญ่หลวง

ผบ.ทบ.เปิด 'ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก' เน้นสร้างความเข้าใจ ส่วน ม.112 ว่าตามกฎหมาย
ปมเพจดังแฉรังปลุกล่าแม่มดอยู่ใน ทบ. ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก อัดเป็นการให้ร้ายทหาร
เปิดตารางอบรมไซเบอร์กองทัพบก ติวเข้มตั้งแต่ติดตั้งระบบถึงเทคนิคการโฆษณา

ขณะที่กองทัพบก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.59 ได้มีพิธีเปิดแพรคลุมป้ายศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก (ศซบ.ทบ.) โดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในพิธี

[full-post]


Posted: 26 Feb 2018 10:32 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

'กกต.สมชัย' ยื่นสมัครเลขาฯกกต. ระบุดีกว่าออกจากเรือโดยไม่มีเยื่อใยแล้วเกิดปัญหาบ้านเมือง พร้อมแจงจดทะเบียนตั้งพรรคเปิด 2 มี.ค.นี้ ด้านวิษณุ ชี้ไม่กระทบงานจัดเลือกตั้ง เล็งใช้ ม.44 ต่ออายุ กกต.ที่จะเกษียณ

26 ก.พ.2561 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วันนี้ สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ยื่นใบสมัครพร้อมหลักฐาน ในการสมัครเป็นเลขาธิการ กกต. ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมากมาติดตามทำข่าว เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวว่า สมชัย จะลาออกจากตำแหน่ง กกต. โดย สมชัย ให้เหตุผลการลงสมัครเลขา กกต.ในครั้งนี้ว่า เนื่องจากเห็นว่าเหลือเวลาอีกเพียง 3 วัน แต่คนยังสมัครน้อย อย่างไรก็ตามสาเหตุหลัก เพราะเห็นว่าคสช.มีเจตนาที่จะให้กกต.ชุดใหม่ที่มีคุณสมบัติสูงมีเอกภาพเป็นปลาน้ำเดียวทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งในทุกระดับ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ประชุมสนช. ไม่รับรอง 7 กกต. ทำให้ต้องการสรรหาใหม่ และคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ราวเดือนส.ค.จึงจะได้ กกต.ชุดใหม่ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวหากมีการเลือกตั้งท้องถิ่นตามความต้องการของคสช. และยังต้องเจอปัญหา บุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปี ในวันที่ 7 ส.ค. นี้ ความฉุกละหุกในการได้ กกต.ชุดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผลทำให้การจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นเกิดความไม่ราบรื่น หรือถ้าหากในเดือน ส.ค. การสรรหากกต.ยังได้ไม่ครบ ต้องมีการสรรหาเพิ่มซึ่งก็ใช้เวลาเพิ่มเติมไปอีก 6 เดือน

โดยจะไปครบในเดือน ก.พ. 62 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวอาจจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ขณะเดียวกัน ศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปี ในวันที่ 8 ก.พ.62 ปรากฏการณ์ในทำนองนี้เป็นอะไรที่อึกอัดพอสมควรต่อทุกฝ่ายในบ้านเมือง เพราะ กกต.ชุดใหม่ที่มาก็ต้องทำงานทันที ไม่มีเวลาเรียนรู้งาน ขณะที่ กกต.เก่าซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องพ้นไปเมื่อไหร่ แม้จะทำงานเต็มที่ แต่กลไกลการปฏิบัติจะไม่เอื้อให้เกิดประโยชน์ เพราะฝ่ายปฏิบัติจะมองว่าเราไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้น ที่ตัดสินใจยื่นสมัคร จึงเป็นการหาทางออกให้กับตัวเองและบ้านเมือง เพราะถ้าไมได้รับเลือกให้เลขาฯ ก็ยังทำหน้าที่ กกต. ช่วยในเรื่องของการเตรียมการเลือกตั้ง หรือถ้าได้รับเลือกเป็นเลขาฯ ก็จะได้ทำหน้าที่ให้การส่งมอบงานให้กับ กกต.ชุดใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น

“ดังนั้นสิ่งที่ผมตัดสินใจในวันนี้ ผมคงต้องใช้คำว่า ไม่ได้สละเรือใหญ่โดดหนี กกต. 5 คน หากเห็นว่าผมเหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ อาจให้ผมโดดไปอยู่เรือเล็ก เพื่อที่จะทำหน้าที่สนับสนุนเรือใหญ่ ซึ่งก็แล้วแต่ กกต. ผมจะไม่ล็อบบี้ใดๆ จะแข่งขันภายใต้ความเท่าเทียมกันของผู้สมัครทุกคน และให้กำลังใจกับผู้สมัครทุกคน ที่ผมลงไม่ได้แปลว่าผมจอง หรือ กกต.จะเลือกผม เพราะกาเลือกต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือต้อง แสดงวิสัยทัศน์ ตรวจสอบคุณสมบัติ ยืนยันไม่ใช้สิทธิ์ความเป็น กกต.เอาเปรียบผู้สมัครคนอื่น และการสมัครก็ไม่ใช่เพราะอยากออกจากการเป็น กกต. แต่เห็นว่าแนวทางดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดวิกฤติ เนื่องจากว่าหาก กกต.4 คนเลือกผม ตามปฏิทินของกรรมการสรรหา 1 มิ.ย.จะต้องมีเลขาฯคนใหม่ โดยจะมีการเสนอให้ที่ประชุม กกต. พิจารณาในวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งผมจะลาพักร้อนไม่ร่วมประชุม เพื่อให้ กกต.ตัดสินใจอย่างเสรี ไม่ต้องเกรงใจ หากได้รับเลือกผมก็จะต้องลาออกในวันที่ 31 พ.ค.มีผลให้ กกต.เหลือ 4 คน ซึ่งก็ยังทำงานและลงมติเรื่องสำคัญได้ จนกระทั่งถึงวันที่ 7 ส.ค.ที่ บุญส่ง ต้องพ้นไป ถ้าวันนั้นยังไม่ไม่มีคำสั่งจาก คสช.ให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ก็จะทำให้เหลือ กกต.3 คน ในเวลาสั้นๆ เพราะปลายสิงหาก็จะได้ กกต.ใหม่เข้ามาทำงานแล้ว” สมชัย กล่าว

สมชัย ยังกล่าวว่า ถ้าหากตนไปเป็นเลขาฯ การพูดจาก็จะสงบเสงี่ยมมากขึ้น แถลงเฉพาะที่เป็นมติที่ กกต.มอบหมาย และ กกต.ไม่ต้องกังวลกับการทำงานของตน หากไม่พอใจผลการทำงานในแต่ละปีที่จะต้องมีการประเมิน ก็สามารถเลือกจ้างโดยจะไม่มีเสียงโวยวายจากตนเลย แต่ถ้าหากที่ประชุม กกต.เห็นว่าตนสมควรที่จะอยู่ในเรือใหญ่ ก็ลงมติเลือกคนอื่นเป็นเลขาฯ ซึ่งการตัดสินใจของ กกต.ถือว่าเป็นเกียรติแก่ตนมาก ซึ่งก็จะทำหน้าที่ กกต.ต่อไปจนกว่า กกต.ใหม่จะมารับตำแหน่ง แต่ถ้าหากให้ลงเรือเล็กก็ดีใจน้อยลงมาหน่อย แต่ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการส่งมอบ ขอเป็นเรือเล็กที่ประคองเรือลำใหญ่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างถือว่าลงตัวที่สุดในเชิงทางออก กกต.ใหม่จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะจะมีคนรู้เรื่องคอยดูแล และ กกต.ชุดหน้าก็จะมาเป็นปลาน้ำเดียวกัน ตนก็จะถอยไปเป็นอีกสปีชีส์หนึ่งที่ต่ำกว่า คือ แมงกะพรุนที่อยู่ในทะเลเดียวกันได้

ต่อคำถามที่ว่าเป็นการเหยียบเรือสองแคมหรือไม่ นั้น สมชัย กล่าวว่า แล้วแต่จะคิด แต่ดีกว่าออกจากเรือโดยไม่มีเยื่อใยแล้วเกิดปัญหาบ้านเมือง เพราะตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.ที่มีกระแสข่าวว่าจะลาออก ก็ได้มีคนส่งข้อความมาสนับสนุนให้ลาออก โดยเฉพาะภรรยาที่เกือบจะเป็นคำสั่ง ว่าไม่ประสงค์ให้อยู่ในตำแหน่ง กกต.เลยอีกต่อไป ให้ไปทำงานอื่นที่อีกว่า สบายใจกว่า แต่ผมก็เห็นว่าไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาบ้านเมือง ตนสมัครวันนี้ยังมีเวลาอีก 2 เดือนเต็มที่จะไปใคร่ครวญ
แจงจดทะเบียนตั้งพรรคเปิด 2 มี.ค.
สำหรับการดำเนินการจดทะเบียนพรรคการเมือง สมชัย กล่าวว่า สำนักงาน กกต.จะเริ่มเปิดให้พรรคการเมืองมายื่นจดแจ้งตั้งพรรคได้ในวันที่ 2 มี.ค. 2561 ตั้งแต่เวลา 7.30 น. โดยใช้วิธีเรียงลำดับการสมัครตามเวลาที่มาถึงฝ่ายธุรการ ทั้งนี้การตั้งพรรคพรรคการเมืองจะต้องเตรียมเอกสารมา 7 รายการ ประกอบด้วย ภาพสีเครื่องหมายพรรค 4×4 นิ้ว 2 ภาพ,บัญชีรายช่อผู้แจ้งจดพรรคการเมือง, หนังสือแสดงเจตจำนงการตั้งพรรคการเมือง , สำเนาต่างๆที่ทาง กกต.ชี้แจง, และ แผ่น CD รายชื่อผู้จดแจ้งพรรคการเมือง หากเอกสารไม่ครบ หรือ มีชื่อพรรคซ้ำ คนที่เอกสารครบจะได้สิทธิ์ชื่อนั้นๆก่อน
วิษณุ ชี้ไม่กระทบงานจัดเลือกตั้ง เล็งใช้ม.44 ต่ออายุ กกต.ที่จะเกษียณ

ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทหาร กล่าวถึงกรณีสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ลงสมัครเลขาธิการกกต. จะมีผลต่อการจัดการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า สมัครแล้วยังไม่ต้องออกจากกกต.ได้ แต่ให้ลาออกหลังจากได้ตำแหน่งแล้วภายใน 15 วัน ส่วนที่ สมชัยยังไม่ลาออกก่อนนั้น คิดว่า สมชัย อาจยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะได้ตำแหน่งเมื่อไร สมมติว่าสมัครแล้วมีปัญหาภายหลังก็อาจถอนตัวก็ได้ ส่วนที่ให้เหตุผลว่าเพื่อให้การส่งต่องานเลือกตั้งให้กกต.ใหม่ราบรื่นนั้น คิดไม่ผิด แต่ถ้าอยู่ต่อไปแล้วเห็นว่าจะไม่ราบรื่น ก็คิดใหม่อีกครั้งได้ เรื่องนี้ไม่น่ากังวล เพราะ สมชัย ยังไม่ได้ไปเป็นเลขาฯกกต. ถ้าเลือกแล้วอาจต้องคิด และยังไม่มีแน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะได้กกต.ใหม่หรือยัง
เมื่อถามว่าหาก สมชัย ได้เป็นเลขาฯกกต. จะต้องตั้งกกต.มาแทนหรือกกต.ที่เหลือทำงานต่อไปได้ วิษณุ กล่าวว่า บางเรื่องทำงานได้แต่อาจกระทบความเชื่อมั่นบ้าง ส่วนจะแก้ปัญหาอย่างไร ถึงเวลาค่อยไปดู แต่การจะตั้งคนใหม่นั้น ต้องคัดเลือกโดยสภา ส่วนวิธีการยังไม่ขอตอบ ยืนยันว่ามีวิธีแก้ปัญหาและจะไม่กระทบกับโรดแม็ป ต่างคนต่างเดิน ถ้ายังไม่มีการจัดการเลือกตั้ง ต่อให้กกต.ลาออกทั้งหมดหรือเสียชีวิตไปก็ไม่กระทบ แต่จะกระทบเมื่อจะจัดเลือกตั้งใหญ่ ส่วนเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ห่วงเพราะกฎหมายเขียนไว้ให้จัดการเลือกตั้งคล่องตัวกว่าระดับชาติ เช่น กกต.อาจมอบให้ผู้อื่นจัดการเลือกตั้งได้

วิษณุ กล่าวว่า ส่วนที่กังวลว่าหาก สมชัย ได้เป็นเลขาฯกกต.แล้ว บุญส่ง น้อยโสภณ จะเกษียณอายุในเดือนก.ค. ทำให้กกต.เหลือเพียง 3 คนจะจัดเลือกตั้งใหญ่ได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าทำได้ สมชัยจะไปก็ได้ ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งไว้ แต่ บุญส่ง มีวิธีเหนี่ยวรั้งให้ทำหน้าที่ต่อไป โดยออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้ แต่จะวิธีนี้ไปตั้งบุคคลมาแทนไม่ได้

เมื่อถามว่าเคยมีข่าวว่า สมชัย จะขอลาออกเพราะเหนื่อยกับการทำหน้าที่กกต. แต่กลับมาสมัครเป็นเลขาฯ วิษณุ กล่าวว่า ไม่แปลก และที่ผ่านมา สมชัย ไม่ได้มีปัญหางัดข้อกับใคร ยังรักใคร่กันดีกับตนและรัฐมนตรีหลายคน ขณะที่การแสดงความเห็นต่างๆ ก่อนหน้านั้น เพราะ สมชัยเป็นคนอย่างนั้นก็รู้กันอยู่ แต่ตำแหน่งเลขาฯกกต.ไม่ได้มีหน้าที่ไปแสดงฝีปากกับใคร เพราะวัดกันที่ฝีมือทำงาน

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ ข่าวสดออนไลน์ และโลกวันนี้


เมื่อวันที่ 26 ก.พ.เวลา 13.00 น.ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่งกพ.) กลุ่มนิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นำโดยนายวิทวัส บรรเลง นายกสโมสรนิสิตคณะวนศาสตร์ ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. เพื่อขอให้เร่งดำเนินคดีกับกลุ่มของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและ กรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวก ในกรณีบุกรุกและล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก รวมถึงยังมีการตรวจสอบพบว่ามีอาวุธ เครื่องกระสุนอีกหลายรายการ

ขณะเดียวกัน หากพบว่ามีคนหรือกลุ่มบุคคลที่มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ครั้งนี้อีก ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด แต่จนถึงขณะนี้เราพบว่ายังไม่เห็นการดำเนินการอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เช่น ยังไม่มีการเรียกนายเปรมชัย และพวกไปสอบสวน แต่กลับสอบสวนฝ่ายเจ้าหน้าที่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเรียกร้องให้ดำเนินคดีดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ดีต่อสังคม และเพื่อให้นิสิตคณะวนศาสตร์ที่เมื่อจบการศึกษาแล้วจะออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่อนุรักษ์ป่ารู้สึกหมดกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่"ส่วนตัวไม่กลัว แม้จะเป็นเพียงนักศึกษาก็ไม่ได้กลัวอำนาจใดๆ เพราะการปกป้องผืนป่าและธรรมชาติเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น" นายวิทวัส กล่าว



ส่วนพื้นที่อื่นๆยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ. พรุ่งนี้เสนอบอร์ดตั้งอนุกรรมการไต่สวนความผิด บึงกาฬ-หนองคาย ระหว่างนี้พม.ตรวจสอบคู่ขนานได้โรงแรมเบสเวสเทิร์น . -

26 ก.พ.61 . พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ( ป.ป.ท. ) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งว่าจากการเร่งตรวจสอบในพื้นที่เป้าหมาย 37 ศูนย์ฯ ขณะนี้ป.ป.ท.ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วกว่า 20 จังหวัดทั่วประเทศ พบการกระทำส่อทุจริตใน 12 จังหวัด โดยคณะกรรมการป.ป.ท.มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว 2 จังหวัด คือ ขอนแก่นและเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (27 ก.พ.) จะเสนอให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนอีก 2 จังหวัด คือบึงกาฬและหนองคาย ส่วนจังหวัดอื่นๆ อีก 8 จังหวัดจะทยอยเสนอบอร์ด ป.ป.ท.ให้มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวน ได้แก่ สระบุรี อุดรธานี สุราษฏ์ธานี อยุธยา น่าน กระบี่ ตราด และตรัง 

ส่วนจังหวัดที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีจังหวัดใดตรวจสอบไม่พบการกระทำความผิดเลย"ในจุดที่ตรวจสอบพบพฤติการณ์กระทำผิดนั้น. จะเห็นได้ว่าในแต่ละจังหวัดคล้ายกัน มีการสวมสิทธิ์เพื่อนำชื่อเพื่อไปเบิกเงิน และไม่นำมาจ่ายหรือจ่ายให้ประชาชนไม่ครบ ทั้งนี้ ระหว่างนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง หรือทำเป็นขบวนการหรือไม่ หากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องที่มีตำแหน่งสูงกว่าระดับ 8 คณะกรรมการป.ป.ท.จะมีมติส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อไป ในส่วนจองเส้นทางการเงินได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจแล้ว แต่รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนสอบสวนของอนุกรรมการไต่สวน 

"พ.ท.กรทิพย์กล่าวผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจสอบไปยังโครงการเงินช่วยเหลืออื่นๆของกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นควของมนุษย์ (พม.). พ.ท.กรทิพย์ กล่าวว่า. ตนได้กำหนดกรอบเวลา 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดภายในวันที่ 30 พ.ค.นี้ เพื่อตรวจสอบโครงการของศูนย์ช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง ในปีงบประมาณ 60 ระหว่างนี้ ป.ป.ท.จะยังไม่ขอตรวจสอบโครงการอื่นๆ ร่วมถึงการตรวจสอบย้อนหลังการจ่ายเงินของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ไปในปี 2552 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงการ . โดยจะขอตรวจสอบเฉพาะปีงบประมาณ 60 ในเสร็จสิ้นก่อน ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร พ.ม. ให้ข้อมูลตอบกลับมาตลอด 

ส่วนที่ระบุว่ามีผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวข้องนั้นเป็นการทราบข้อมูลจากสื่อเท่านั้นเมื่อถามว่า จังหวัดที่ตรวจสอบพบความผิด จะเสนอให้ย้ายผอ.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือไม่ พ.ท.กรทิพย์ กล่าวว่า ป.ป.ท.มีหน้าที่ตรวจสอบ 2 ด้าน ว่า มีพฤติการณ์กระทำความผิดหรือไม่ และเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเกี่ยวข้องบ้าง โดยชั้นสุดท้ายหากพบความผิดจะส่งเรื่องให้หน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย อย่างไรก็ตาม พม.ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดสามารถดำเนินการตรวจสอบคู่ขนานไปกับการตรวจสอบของป.ป.ท.ได้ ไม่ต้องรอให้ป.ป.ท.สรุปผลสอบออกมาก่อน รวมถึงสามารถโยกย้ายข้าราชการที่ถูกกล่าวหาให้พ้นจากหน้าที่เป็นการชั่วคราวด้วย แต่หากพบความผิดทางอาญาป.ป.ท.ก็จะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้อง


 



เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 26.ก.พ.61 ผู้จัดการบริษัทกรุงเทพประกันภัย เจ้าหน้าที่วิศวกรสำนักงานโยธาธิการ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ศูนย์เยียวยา จ.นราธิวาส ตัวแทนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้ร่วมเดินทางตรวจสอบและประเมินความเสียหาย ที่ห้างซุปเปอร์ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 24/2 ถนนจำรูญนรา เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ที่ถูกเพลิงไหม้จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดกระเป๋า เหตุเกิดในช่วงดึกของวันที่ 24 ก.พ.61 ที่ผ่านมา 

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจสอบประเมินความเสียหายของโครงสร้างตัวอาคาร โดยแยกออกมาเป็น 2 ส่วน คือ 1.ในส่วนความเสียหายของโครงสร้างเหล็กของตัวอาคาร 2.ความเสียหายของเสาปูน พื้นปูนและฝาผนังปูน ที่ถูกเพลิงไหม้มาแล้ว 2 ครั้ง ว่าสามารถใช้งานได้อีกหรือไม่โดยในส่วนของโครงสร้างเหล็กของตัวอาคาร เบื้องต้นตรวจสอบแล้ว พบว่าโครงสร้างเหล็กที่บริเวณด้านหน้าของตัวอาคารที่ถูกต่อเติมเป็นหลังคาเหล็กถูกไฟไหม้ไปด้วยนั้น โครงเหล็กหลังคาเกิดการบิดงอจากเปลวไฟทั้งหมด จนต้องทำการทุบทิ้ง ซึ่งไม่สามารถนำมาซ่อมแซมใช้งานได้อีก เนื่องจากสภาพโดยทั่วไปขาดความแข็งแรง จึงต้องทำการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนโครงเหล็กและหลังคาชุดเก่าทั้งหมด

และในวันที่ 27 ก.พ.61 เจ้าหน้าที่จะเริ่มเข้าทำการตรวจสอบและประเมินความเสียหายของตัวอาคาร 2 ชั้น ที่ถูกไฟไหม้จนได้รับความเสียหายทั้งอาคาร จากการมองและประเมินด้วยสายตาในเบื้องต้น คาดว่าเสาปูน พื้นปูนและฝาผนังปูนของตัวอาคารน่าจะมีปัญหา เนื่องจากตัวอาคารเคยถูกคนร้ายลอบก่อเหตุจนเกิดเพลิงไหม้มาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่จึงต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่า โครงสร้างในส่วนจุดนี้ จะสามารถใช้งานได้ หรือว่าต้องทำการทุบทิ้งเช่นกัน



Posted: 24 Feb 2018 09:41 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

สัพพัญญู วงศ์ชัย

ในห้วงเวลาตั้งแต่ปฏิทินได้เปลี่ยนเข้าสู่ปี 2561 สังคมไทยได้เกิดกระแสของการวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงต่อกระแสข่าวที่โด่งดังอย่างมาก ได้แก่ กรณีของน้องเมย นักเรียนนายร้อยที่เสียชีวิตอย่างปริศนา, กรณีของนาฬิกาสุดหรูของผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช., กรณีการเข้าป่าล่าสัตว์สุดฉาวโฉ่ว ของผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทก่อสร้างชั้นนำของประเทศ และกรณีล่าสุดได้แก่กรณีของคุณป้าขวานพิฆาต ที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ กระแสข่าวทั้งหมดได้ชักนำให้ผู้เสพสื่อทั้งหลาย มุ่งประเด็นสำคัญหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐ, กระบวนการยุติธรรม, การปฏิบัติหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง, การบังคับใช้กฎหมายที่ ‘ขัดตา ขัดใจ’ สังคมที่รายล้อมผู้กระทำผิดเหล่านั้นอย่างลอยหน้าลอยตา หรือแม้กระทั่งประเด็นเรื่องข้อเรียกร้องทางกฎหมายที่ถูกเพิกเฉยมาหลายปี ประเด็นทั้งหมดที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ล้วนลากเป้าสายตาของเราเข้าไปจ้องมอง หรือกระทั่งเพ่งมองไปสู่ การทำงานภายในภาคราชการ อันเป็นที่พึ่ง และความหวังของสังคมมาอย่างยาวนาน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระแสสังคมได้ทุ่มโถมไปสู่การโจมตีการทำงานของข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้เขียนได้กล่าวในข้างต้น ได้แสดงออกมาในทิศทางของความ ‘ผิดหวัง’ ต่อระบบราชการ (bureaucratic system) ซึ่งเป็นหน่วย หรือองค์กรที่มีอำนาจมหาศาลในสังคมไทยมาโดยตลอด ระบบราชการได้เติบโตด้วยน้ำหล่อเลี้ยงที่ไหลออกจากกระเป๋าเงินของประชาชนในประเทศจำนวนมหาศาลมาอย่างยาวนาน และยังคงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกัน ความหวังที่มีต่อข้าราชการ/ระบบราชการไทยนั้น กลับลดน้อยถอยลงทุกที ช่างสวนทางกับสิ่งที่เสียไปเหลือเกิน กล่าวง่าย ๆ คือ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’

วิกฤติการณ์ดังกล่าวไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาที่มีคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทั้ง การเล่นพรรคเล่นพวก, การทุจริตงบประมาณ หรือแม้กระทั่งการกระทำอันผิดต่อกฎหมายที่ถูกทำให้หายเงียบไป ได้ถูกกลบให้ดูเป็นประเด็นที่ถูกบดบังด้วยเงาของ ‘การกล่าวโทษนักการเมือง’ นักการเมืองตกเป็นจำเลยของวาทกรรม ‘นักการเมืองเลว เป็นพวกที่เข้ามาเพื่อทุจริต’ วาทกรรมดังกล่าวมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังประโยคที่มักจะถูกหยิบยกมา ได้แก่ “ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียงสองปี ถนนประเทศไทยจะปูด้วยทองคำก็ยังได้” วาทกรรมดังกล่าวได้ถูกผลิตซ้ำ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับยุคสมัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำของอุดมการณ์แบบต่อต้านการเมือง

ในปัจจุบัน สายตาที่ถูกบังจากเงาของ ‘นักการเมืองเลว’ นั้นไม่มีอีกต่อไป ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนั้น ภาพฉายของระบบราชการจึงเป็นภาพขนาดใหญ่มหึมาที่เข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้ง การเมือง, เศรษฐกิจ และสังคม ชัดเจนมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกระแทกจากสังคมโดยตรงได้ เกราะกำบังจากวาทกรรมกล่าวโทษนักการเมืองไม่อาจใช้มาอธิบายปรากฎการณ์ของการ ทุจริต และความไม่เป็นธรรมในสังคมได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงโต้กลับของระบบราชการที่เป็นเสมือนยักษ์ใหญ่แห่งรัฐ (The giant of state) ในขณะนี้ได้ตอบกลับสังคมด้วย ‘ความไม่รับผิดชอบ’ ความไม่รับผิดชอบนี้หมายรวมถึง ความไม่รับผิดชอบต่อกิจที่ตนได้กระทำผิดไป และความรับผิดชอบที่ตนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งในด้านจริยธรรม ศีลธรรม และกฎหมาย ยักษ์ใหญ่ตัวนี้กลายเป็นหน่วยที่แทบจะอยู่เหนือกฎหมายและความยุติธรรม ความผิดหวังต่อระบบราชการนั้นยังสามารถหมายรวบไปถึง ความผิดหวังที่มีต่อ รัฐบาล ที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากร่างอวตารที่มาจาก หรือแทบจะเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบบราชการแทบเสียทั้งหมด

รัฐไทยจึงกลายเป็นรัฐราชการ (bureaucratic polity) อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เกษียร เตชะพีระ ได้อธิบายระบบราชการผ่านการประมวลผลงานของ Benedict Anderson ในงานเสวนา หัวข้อ เบน แอนเดอร์สัน กับชุมชนจินตกรรม และอื่น ๆ และ อื่น ๆ’ ได้อย่างชัดเจน สรุปใจความได้ว่า รัฐราชการไทยนั้นไร้ประสิทธิภาพ ทุจริต เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน และกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบราชการ อันเกิดจากสภาวะเปลี่ยนผ่านที่ค้างเนิ่นนานจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่ดับสูญสนิท (non-finished transition) ชนชั้นปกครองไม่อาจเอาความชอบธรรมแบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับมาใช้ได้อีกแล้ว ชนชั้นนำเหล่านี้จึงต้องมีการหาหุ้นส่วนภายในระบบราชการ โดยต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ราชเสนาอมาตยาสมาสัย’ กล่าวคือ ระบบราชการเป็นฐานในการสร้างความชอบธรรมให้แก่ชนชั้นนำ ในการใช้อำนาจผ่านระบบราชการนั่นเอง (ดูเพิ่มเติม : https://www.youtube.com/watch?v=q1E-0o0eD_M)

สุดท้ายนี้ผู้เขียนต้องขอออกตัวว่า ไม่ได้มีความต้องการที่จะลดความเชื่อมั่น (Discredit) ต่อข้าราชการไทย เนื่องจากข้าราชการทั้งชั้นผู้น้อยและลำดับชั้นที่สูงขึ้นไปนั้น ต่างก็เป็น ‘ประชาชน’ เฉกเช่นเดียวกับเรา ๆ ทั้งหลาย ผู้เขียนมีความเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านมีความแคลงใจว่าเหตุใด ระบบราชการที่มีการหมุนเวียนบุคลากรอยู่แทบทุกปี คนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีอายุเพียง ยี่สิบปีต้น ๆ เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีการศึกษาดี ส่วนใหญ่มาจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีคุณภาพภายในประเทศ แต่กลับต้องถูกระบบที่มีขนาดมหึมาครอบงำความทะเยอทะยาน ความกระตือรือร้น และความต้องการกระทำตามอุดมการณ์ของตน พวกเขาเหล่านั้น (ข้าราชการ) กลับกลายเป็นกลุ่มที่รับแรงกดดันมากกว่าคนนอกระบบราชการอย่างเรา ๆ ทั้งหลาย ทั้งความคาดหวังจากภาคสังคม และแรงกดทับที่มาจากสายบังคับบัญชาของผู้มีอำนาจในระบบราชการ จึงมีหลายครั้งที่คนหนุ่มที่มีคุณภาพ มีแรงผลักดันในการทำงาน เกิดอาการ ‘หมดไฟ’ และตัดสินใจออกจากราชการอย่างน่าเศร้า



เกี่ยวกับผู้เขียน: สัพพัญญู วงศ์ชัย เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการเมือง การปกครอง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


Posted: 24 Feb 2018 11:21 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

ในโลกยุคหลังจากนี้มีการประเมินว่าถ้าหากธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าบูมขึ้นก็อาจจะส่งผลให้มีความต้องการแร่โคบอลต์เป็นจำนวนมากจนเกิดการขาดแคลนได้ ด้วยความกลัวตรงนี้ทำให้บรรษัทแอปเปิลเริ่มเจรจาซื้อโคบอลต์จากคนทำเหมืองแร่โดยตรงเป็นครั้งแรกเพราะเป็นวัตถุดิบหลักของแบตเตอร์รีโทรศัพท์มือถือ แต่นั่นจะกลายเป็นการผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะยกเลิกซื้อแร่จากแอฟริกาจนกว่าจะมีการแก้ปัญหาแรงงานเด็กและสภาพการจ้างงานอันตรายหรือไม่

25 ก.พ. 2561 สื่อบลูมเบิร์กรายงานว่าบรรษัทแอปเปิลเคยเข้าพบปะหารือโดยมีแผนการซื้อวัตถุดิบจากผู้ทำเหมืองแร่โดยตรงในระยะยาว เนื่องจากกังวลว่าการบูมของอุตสาหกรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแร่โคบอลต์ เพราะแร่ชนิดนี้มีความสำคัญต่อการผลิตแบตเตอร์รี่เครื่องใช้ไอทีของแอปเปิล

ในช่วงที่ผ่านมาราคาของโคบอลต์สูงขึ้นมากเนื่องจากมีการคาดการณ์ความต้องการใช้โคบอลต์ในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ยานยนต์ชนิดนี้ต้องอาศัยพลังงานจากแบตเตอร์รีจำพวกลิเทียม-ไอออนที่มีโคบอลต์เป็นส่วนประกอบ

แหล่งข่าวไม่ประสงค์เปิดเผยนามให้ข้อมูลกับสื่อต่างประเทศว่า แอปเปิลทำการติดต่อหารือกับผู้ทำเหมืองแร่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเบื้องต้นมีข้อเสนอต้องการซื้อโคบอลต์หลายพันเมทริกตันเป็นเวลา 5 ปีหรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ตามการเจรจายังไม่เป็นที่สิ้นสุดและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในอนาคตได้

บลูมเบิร์กนำเสนอในแง่มุมที่ว่าความพยายามเข้าถึงโคบอลต์จะทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้แข่งขันกับอุตสาหกรรมยานยนต์หลายแห่งที่หันมาจับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เช่น บีเอ็มดับเบิลยูเอจี, โฟล์กสวาเกนเอจี และ ซัมซุงเอสดีไอ รวมถึงบรรษัทน้ำมันของเกาหลีใต้อย่างเอสเคอินโนเวชันก็เคยทำสัญญากับบริษัทเหมืองแร่ออสเตรเลียเพื่อซื้อนิกเกิลและโคบอลต์เพื่อเตรียมใช้ในการผลิตแบตเตอร์รีให้รถพลังงานไฟฟ้าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านี้ก็ทำให้ราคาโคบอลต์สูงขึ้นสามเท่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันแหล่งเหมืองแร่ของโคบอลต์ที่สำคัญคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก็มีปัญหาเรื่องการใช้แรงงานเด็กในเหมืองและปัญหาไม่เคยเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้อย่างสันติ ทางแอปเปิลเองก็เคยให้คำมั่นว่าจะหาเแหล่งแร่โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนมากกว่านี้

ดังนั้นถ้าหากข้อตกลงดังกล่าวของแอปเปิลกลายเป็นความจริง นั่นจะทำให้แอปเปิลผิดสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เคยประกาศว่าจะหยุดซื้อแร่จากเหมืองโคบอลต์ในคองโกจนกว่าจะมีการยกเลิกการใช้แรงงานเด็กและแก้ปัญหาสภาพการจ้างงานที่อันตราย


เรียบเรียงจาก

Apple in Talks to Buy Cobalt Directly From Miners, Bloomberg, 21-02-2018
https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-02-21/apple-is-said-to-negotiate-buying-cobalt-direct-from-miners

Here's Why Apple Wants to Buy Cobalt Directly From Miners, Fortune, 21-02-2018
http://fortune.com/2018/02/21/apple-buy-cobalt-miners/

Apple in talks to buy cobalt directly from miners: Bloomberg, CNBC, 21-02-2018
https://www.cnbc.com/2018/02/21/apple-in-talks-to-buy-cobalt-directly-from-miners.html


Posted: 25 Feb 2018 12:26 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

'พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค' ตกตึกชั้น 7 ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พบกระดาษเขียนด้วยลายมือมีข้อความลาตาย

25 ก.พ. 2561 มติชนออนไลน์รายงานว่าเวลาประมาณ 11.30 น. เกิดเหตุ ชายพลัดตกจากที่สูง ภายในห้างดังแห่งหนึ่ง ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่ร้านคริสปี้ครีม (ชั้น 1) จากนั้นเจ้าหน้าที่ห้างสรรพสินค้าได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลชลประทาน โดยได้ตรวจสอบเอกสารของชายคนดังกล่าว ไม่พบเอกสารยืนยันตัวบุคคล และพบกระดาษเขียนด้วยลายมือ ปรากฏข้อความลาตายลงชื่อ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐาน จากนั้นพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปยัง รพ.ชลประทาน และได้ตรวจสอบรูปพรรณศพ พบว่าผู้เสียชีวิตคือ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงได้แจ้งแพทย์นิติวิทยาศาสตร์ มาร่วมชันสูตรศพต่อไป

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และสอบปากคำพยาน พยานที่เห็นเหตุการณ์ พบว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตเดินอยู่บนชั้น 7 ตามปกติ จากนั้นได้เดินไปที่กระจกทางกั้น จากนั้นได้ปีนข้ามและพลัดตกลงไป

อนึ่งข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ระบุว่า พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค (5 มีนาคม พ.ศ. 2480 – 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561) เกิดที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นบุตรของหลวงพินิตพาหนะเวทย์ (พิง) มารดาชื่อ ทองอยู่ (สกุลเดิม ลิมปิทีป) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รับราชการในกรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน) ตำแหน่งที่สำคัญได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธร 12 ผู้บัญชาการศึกษา ผู้ช่วยอธิบดีตำรวจ และรองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ตามลำดับ ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฏ และเหรียญจักรพรรดิมาลา พล.ต.อ.สล้าง มีบุตรกับภรรยาชื่อ สุพรรณวดี (สกุลเดิม ชุมดวง) 3 คน ได้แก่ วันจักร พลจักร และเหมจักร นับเป็นลำดับชั้นที่ 7 พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เสียชีวิต ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ

บทบาทที่สำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลา


ขณะนั้น พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เป็นรองผู้กำกับการ 2 รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.สุวิทย์ โสตถิทัต ผู้บังคับการกองปราบปราม ของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ให้นำกำลังตำรวจปราบจลาจล 200 นายไปรักษาความสงบที่บริเวณท้องสนามหลวง และหน้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ใน ครั้งนั้นมีการเรียกกำลังของตำรวจตระเวนชายแดนประมาณ 50-60 นาย ซึ่งมีอาวุธปืนขนาดใหญ่ ปืนครก อาวุธปืนที่ติดกล้องเล็ง และตำรวจแผนกอาวุธพิเศษ หรือหน่วย "สวาท" ทั้งแผนกอีก 45 นาย ในเช้าวันนั้นเฉพาะกำลังส่วนที่ติดอาวุธหนัก และร้ายแรงที่สุดของกรมตำรวจ 3 หน่วยนี้ที่ถูกใช้ในการโจมตีมีถึง 300 คน นอกจากนี้ยังมีตำรวจจาก สน.และหน่วยงานอื่นๆ อีกประมาณ 50 ถึง 100 หน่วยงานเข้าร่วมด้วย

ต่อมาเวลาประมาณ 8.00 น. ของวันเดียวกัน ก็ได้รับคำสั่งจากอธิบดีกรมตำรวจ ให้เข้าไปทำการตรวจค้นจับกุม และให้ใช้อาวุธปืนได้ตามสมควร แต่อย่างไรก็ตามที่ได้รับคำสั่งให้ใช้อาวุธได้ จากอธิบดีตำรวจนั้น ได้รับคำสั่งโดยมีนายตำรวจ มาบอกด้วยวาจา และมีการมาบอกกันหลายคน จนเกิดการใช้อาวุธหนักโจมตีเข้าไปใน ม.ธรรมศาสตร์ จึงมีนักศึกษา ประชาชน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก

บทบาท พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีมากมาย แน่นอนว่าบทบาทของเขาในวันนั้นยังไม่หมดเท่านี้ ก่อนจะหมดวัน "ได้รับคำสั่ง" ให้ไปปฏิบัติการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง และทำให้มีชื่อเสียงที่ไม่อาจลบล้างได้จนทุกวันนี้

ในบ่ายวันดียวกัน หลังจากที่กลุ่มฝ่ายขวาเสร็จสิ้น "การฆ่าฟันนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์" สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ได้สั่งการต่อให้กลุ่มลูกเสือชาวบ้านเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อทำร้าย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ แต่เจ้าหน้าที่สนามบินไม่ให้เข้าไป อย่างไรก็ตามพล.ต.อ.สล้าง ได้เดินทางไปที่ดอนเมืองตามคำสั่งของสถานีวิทยุยานเกราะ โดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจ และ พล.ต.อ.สล้าง ได้เข้าไปด่าว่า ดร.ป๋วย ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ และตบหู จนโทรศัพท์ออกจากมือของ ดร. ป๋วย หลายปีภายหลัง พล.ต.อ.สล้าง ได้พยายามแก้ตัวว่า ได้รับวิทยุสั่งการโดยตรงจาก พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ ผู้บังคับการกองปราบฯ ให้รีบเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อป้องกันช่วยเหลือ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ให้รอดพ้นจากการทำร้ายจากกลุ่มประชาชน พวกนวพล และกระทิงแดงให้ได้ จึงได้รีบเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง

แต่ในขณะที่ พล.ต.อ.สล้าง ดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมตำรวจ หนึ่งในคดีวิสามัญฆาตกรรมที่อื้อฉาว สะเทือนขวัญ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น...

คดีวิสามัญฆาตกรรม "โจ ด่านช้าง" และพวกอีก 5 คน


26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง คือ นายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง หัวหน้าแก๊ง นายสุบิน เรือนใจมั่น น้องชายของโจ ด่านช้าง นายประสิทธิ์ โพธิ์หอม นายยิ้ว ปริวัตรสกุลแก้ว นายหยัด และนายปราโมทย์ (ไม่ทราบนามสกุล) นำอาวุธสงครามครบมือ หวังฆ่านายอุบล หรือ เล็ก บุญช่วย อายุ 31 ปี หลังถูกหักหลังในธุรกิจค้ายาบ้าที่ทำร่วมกัน แต่ตำรวจ สภ.อ.สองพี่น้องสามารถสกัดทัน คนร้ายหลบที่ใต้ถุนสูงและมีน้ำท่วมรอบบ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า และมีตัวประกันอยู่ในบ้านถึง 3 คน คือ นายประสงค์ ครุฑใจกล้า อายุ 45 ปี เจ้าของบ้าน ที่ป่วยเป็นอัมพาต นางบรรยงค์ ข้อทน อายุ 40 ปี ภรรยา และ ด.ญ.ประสาน ครุฑใจกล้า อายุ 11 ขวบ ลูกสาว จึงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องกับคนร้าย

พล.ต.อ.สล้าง นั่งเฮลิคอปเตอร์เดินทางไปสั่งการด้วยตัวเอง และเรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางคลี่คลาย มีคำคำสั่งให้ใช้การเจรจาเกลี้ยกล่อม และให้ตำรวจแฝงกายล้อมตัวบ้านในระยะใกล้ที่สุด เพื่อรอจังหวะลงมือ พร้อมส่ง พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม ถอดเครื่องแบบเดินถือโทรโข่งลุยน้ำเข้าไปเจรจา คนร้ายทั้ง 6 คน ยอมปล่อยตัวประกันและขอมอบตัว ต่อมาคนร้ายทั้ง 6 ถูกใส่กุญแจมือ และถูกตำรวจพาเดินลุยน้ำมาจนถึงฝั่ง เหตุการณ์ที่ดูทีท่าว่าจะคลี่คลายไปด้วยดีกลับตาลปัตรไปอย่างไม่น่าเชื่อ คำให้การของฝ่ายตำรวจบอกว่า คนร้ายได้ขอให้ตำรวจนำตัวกลับเข้าในบ้านอีกรอบ เพื่อค้นหาอาวุธของกลาง ตำรวจจึงพากลับไปตามที่ร้องขอ หลังเข้าไปในบ้านประมาณ 20 นาที เกิดมีเสียงปืนรัวขึ้น สิ้นเสียงปืนคนร้ายทั้ง 6 คนถูกวิสามัญฆาตกรรม จนเป็นตำนาน "อื้อฉาว" ไปทั่วโลกของ ...ตำรวจมือปราบวิสามัญ...!!!

หลังเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.สล้าง ได้ตั้ง "มูลนิธิ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค" ในปี 2541 มอบหมายให้เภสัชกรและนายแพทย์ในมูลนิธิฯ ผลิตยา วี1 (V1 Immunitor) อ้างว่าเป็นยาต้านโรคเอดส์ได้ โดยเฉพาะในปี 2544 เขาแจกยา วี1 ฟรีออกไปอย่างกว้างขวาง มีผู้ป่วยไปรอรับยาตัวนี้วันละนับหมื่นคนท่ามกลางข้อกังขาของวงการแพทย์และสังคมว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง กระทั่งต้องสั่งให้หยุดโฆษณา และแก้เกี้ยวว่าเป็นเพียงยาบำรุงกำลัง อย่างไรก็ตามช่วงหลังเขาพยายามเสนอผลงานและแสดงความคิดเห็นสาธารณะ แต่สังคมไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนัก และได้ออกมาแสดงบทบาททางการเมืองอยู่เป็นระยะ แต่ยังไม่ชัดเจน

'สล้าง บุนนาค'ขออาสา ยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจาก พธม.

ในช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551 ที่มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.สล้าง เคยระบุไว้ว่า

"มีตำรวจมาพูดกับผมว่าตอนนี้ตำรวจไม่กล้าทำงานเพราะ ผู้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจ ผมจึงคิดกับเพื่อนตำรวจนอกราชการที่อดีตเคยเป็นครู ตชด. ปจ. คอมมานโด กองปราบปราบ ตั้งกองกำลังกู้ทำเนียบรัฐบาล โดยจะเสนอรัฐบาลว่าจะเข้าไปยึดทำเนียบคืนเอง เบื้องต้นรวบรวมตำรวจนอกราชการได้กว่า 1,000 นาย ซึ่งถ้าหากตำรวจในราชการอยากร่วมด้วยก็ขอให้ไปลาราชการมาร่วมกันทำงาน ส่วนชาวบ้านทั่วไปก็มาร่วมได้แต่ให้มาทำงานในส่วนอื่นเพราะไม่ได้รับการฝึกมา ซึ่งกองกำลังสามารถรวบรวมได้ภาย ใน 3 วัน"


ฉายา

ระหว่างที่รับราชการอยู่นั้น พล.ต.อ.สล้าง ได้รับฉายาว่า "เสือใต้" จากผู้ใต้บังคับบัญชา จากการเป็นนายตำรวจมือปราบ คู่กับ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ซึ่งได้รับฉายาว่า "สิงห์เหนือ"

ขับเคลื่อนโดย Blogger.