621225 ใครคือคนรวย ใครคือคนจน
            คนที่ทั้งชีวิต เก็บอดออม จนพอจะมีเงินทองใช้บ้าง ตามคำสอนที่ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อาจต้องเปลี่ยนใจเติมว่า ไปตลาดฟาดให้เกลี้ยงอย่าให้เหลือ เพราะอะไร ออมไปก็เท่านั้น ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งแบ่งให้คนอื่นใช้
พวกกินบำนาญ รวยสม่ำเสมอประมาณสองหมื่นกว่านิด ๆ แทบจะไม่พอกิน ถ้าไม่อาศัยค่าเช่าอีกนิดหน่อย เดือนชนเดือนอยู่แล้ว ไม่เคยแม้แต่จะเป็นเศรษฐีต้นเดือนกะใครเขาอื่น กลับต้องโดนจ่ายภาษีที่ไม่เคยต้องจ่าย
เจ็บกระดองใจกว่านั้นตรงที่ได้ยินแต่การแจกเงินให้คนจนมากมายทุกวิถีทาง แต่คนที่พอมีบำนาญไว้พอกินพอใช้ กลับโดนรีดเอา ๆ อะไร ๆ ก็ไม่เคยได้ มีแต่โดน ๆ ภาษีอาน
            ปี 2563 ต้นปี คุณ ๆ ท่าน ๆ ที่มีดอกเบี้ยจากเงินฝากเผื่อเรียก ที่ดอกแสนจะน้อยนิด ประมาณ 0.5 % ถ้ารวมกันเกินปีละ 20,000 แค่ 20,001 บาท ดูในสมุดธนาคารด้วยนะ จะโดนภาษี 15 % ของยอดดอกเบี้ย
            นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อคอนโดหวังค่าเช่า จะโดนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 0.3 จากราคาประเมินของที่ดินกับท้องที่ เรียกว่าราคาประเมิน 1 ล้านบาท ต้องจ่าย 3,000
            ดอกธนาคารโดนหักไป ยังพอมีจ่าย เพราะหักจากบัญชีไปแล้ว ส่วนเดือนชนเดือน อย่าลืมกระเบียดกระเสียนตนเอง หามาจ่ายภาษีจากค่าเช่าด้วยล่ะ
            นึกถึงหนังเก่าวัยเด็กเรื่องโรบินฮูด ปล้นคนรวยเอาไปแจกคนจน ใครคือคนรวย ใครคือคนจน คนที่ฝากเผื่อเรียก คนที่มีค่าเช่า น่าจะเป็นคนรวยนะ ส่วนที่ได้รับแจก คนที่ใช้บัตรทองรักษาโรคคงเป็นคนจน เบื้องหลังคนจนกลุ่มนี้บางคน อาจมั่งมีกว่าคนรวยที่โดนรีดภาษีก็ได้เน้อ
            ปีใหม่แล้ว เปลี่ยนรูปแบบการออม คนที่พอมีเงินมากหน่อยขายบ้านเก่า โยกสมบัติทั้งหมดไปซื้อบ้านหลังใหม่หลังเดียว อย่าให้เกิน 50 ล้าน จะไม่โดนภาษีใด ๆ ถ้ายังมีไม่มาก ไม่อยากโดนภาษี หาซื้อโอ่งซื้อตุ่มแล้วซื้อทองมาฝังใต้ดิน อย่าเอาธนบัตรนะเดี๋ยวโดนปลวกแทะ หมดตัวได้
            ไม่รู้ว่า มีใครอยากเป็นคนรวยกันอีกไหม

source :- https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=drpk&month=25-12-2019&group=3&gblog=59

[full-post]



ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้เผยแพร่รายงานแจ้งข่าว แจ้งเตือนสาธารณภัย ประจําวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 08.00 น.

โดยหนึ่งในของข้อมูลระบุถึง สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำน้อยว่า ประเทศไทยได้สิ้นสุดฤดูฝนและเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2562 และไม่มีฝนตกต่อเนื่องเป็น ระยะเวลานาน ทําให้น้ำในอ่างมีปริมาณน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30% ของความจุอ่าง จํานวน 9 แห่ง ในพื้นที่ 4 จังหวัด อาจเกิดภาวะน้ำน้อยหรือขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งได้มีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือกรณี

ภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ เขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนลําพระเพลิง จ.นครราชสีมา เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์

ภาคกลาง ได้แก่ เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี และ เขื่อนคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา  

ส่วนสถานการณ์ภัยแล้ง จํานวน 13 จังหวัด ภาคเหนือ จ.เชียงราย 14 อําเภอ  จ.น่าน  1 อําเภอ จ.เพชรบูรณ์ 6 อําเภอ จ.อุทัยธานี 8 อําเภอ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครพนม 1 อําเภอ  จ.มหาสารคาม 5 อําเภอ จ.บึงกาฬ 4 อําเภอ จ.หนองคาย 8 อําเภอ จ.บุรีรัมย์ 6 อําเภอ จ.กาฬสินธุ์ 1 อําเภอ  จ.นครราชสีมา 5 อําเภอ  และ ภาคกลาง จ.กาญจนบุรี 6 อําเภอ และ จ.ฉะเชิงเทรา 2 อําเภอ

ที่มา ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
http://122.155.1.141/in.ndwc-10.283/

[full-post]



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด ปีใหม่ 2563 คนกรุงฯใช้จ่าย 29,800 ล้านบาท หดตัว 3.2% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เน้นประหยัดระวังการใช้จ่าย โดยจากการสำรวจพบว่า ปีใหม่ 2563 คนกรุงเทพฯ กว่า 58.2% เลือกทำกิจกรรมอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 59%

เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2562 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด ยอดการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 อยู่ที่ราว 29,800 ล้านบาท หดตัว 3.2% จากปีก่อน เนื่องจากประชาชนประหยัดและระวังการใช้จ่ายมากขึ้น กอปรกับได้มีการใช้จ่ายล่วงหน้าจากมาตรการกระตุ้นของทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากในช่วงที่เหลือของเทศกาลฯ ภาครัฐและเอกชนมีมาตรการหรือกลยุทธ์สร้างความคึกคักเพิ่มเติม อาจทำให้ยอดการใช้จ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่กลับมาทรงตัวเทียบกับปีก่อนได้ โดยจากการสำรวจพบว่า ปีใหม่ 2563 คนกรุงเทพฯ กว่า 58.2% เลือกทำกิจกรรมอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 59%

ปีนี้การซื้อของขวัญของฝาก เป็นกิจกรรมที่คนกรุงเทพฯ มีการปรับลดลง ทั้งในส่วนของการซื้อให้ตนเอง ซื้อให้ครอบครัว ซื้อให้ลูกค้าองค์กร และซื้อเพื่อจับสลาก ซึ่งนอกจากเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแล้ว ยังเป็นผลจากนโยบายการงดให้งดรับของขวัญช่วงปลายปีที่ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสินค้าประเภทกระเช้าของขวัญจะได้รับผลกระทบมากสุด ขณะเดียวกัน ก็มีบางกิจกรรมที่คนกรุงเทพฯ ทำเพิ่มขึ้นอย่างขัดเจน โดยเฉพาะการให้เงินกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะที่อยู่ในต่างจังหวัด เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ซึ่งเม็ดเงินส่วนนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนน่าจะได้กระจายลงสู่ธุรกิจต่าง ๆ ในต่างจังหวัดในระดับหนึ่ง

สำหรับกลยุทธ์ที่ได้รับความสนใจและจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสูงสุดยังคงเป็นการการลดแลกแจกแถม โดยแม้ว่าผู้บริโภคจะยังซื้อของผ่านร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านเป็นหลัก แต่ช่องทางออนไลน์ ทั้ง E-marketplace และ Social Commerce ก็ได้รับการตอบรับและมีบทบาทมากขึ้น โดยสินค้าที่คนนิยมซื้อผ่านสองช่องทางนี้คือ เสื้อผ้า รองเท้า อาหารเสริม สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ไอที ซึ่งการเลือกช่องทางจัดจำหน่ายที่เหมาะกับประเภทสินค้าจะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/FB-NY2020-24-1219.aspx

[full-post]


เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความทวิตความเห็นกรณี นักข่าวสายทหารชื่อดังรายหนึ่ง เผยแพร่บทความอ้างว่าเป็นนายทหาร มีเป็นบทความโจมตีเหตุการณ์นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไปร่วมงานปีใหม่เผ่าม้ง โดยนำเสนอในมุมมองเหยียดหยามกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง

นายวิโรจน์ ระบุว่า


จากบทความของ “เสืออากาศ 24/7” ที่เพจของคุณวาสนา คิดได้ไงว่า ถ้าม้งอยากมีสัญชาติไทย ต้องเปลี่ยนประเพณีวัฒนธรรมของตนเสียก่อน แล้วคนไทยเชื้อสายจีน ที่ยังไหว้เจ้าอยู่ล่ะ? ถ้าอ่านในช่วงท้าย ที่ผู้เขียนอ้างว่าเป็นมุมมองของฝ่ายทหาร นั้นเป็นการดูถูกชาวม้งอย่างชัดเจน

การเข้าใจในคุณค่าของความหลากหลายของแต่ละคน และยอมรับว่า “คนชาติเดียวกัน” ก็มีความคิด ความชอบ ความเชื่อ ที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องที่ปกติ ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกนี้ล่ะ คือ ความปึกแผ่น และความงดงามของชาติ

การพยายามทำให้ประชาชนตัวเล็กตัวน้อยบนผืนแผ่นดินนี้ รู้สึกว่าเขาเป็น “คนไทย” เหมือนกับคนอื่นๆพยายามแก้ปัญหา เพื่อให้พวกเขาในฐานะที่เป็นคนไทยเหมือนกัน มีสิทธิขั้นพื้นฐานเท่าเทียมกับคนอื่นๆ มันคือการทำให้ชาติเป็นปึกแผ่น ดันมีคนมากล่าวหาว่าเป็นการชังชาติ บางทีก็ท้อนะ

อยากให้เปิดเผยว่า “เสืออากาศ 24/7” นั้นคือใครครับ ผมยังเชื่อว่า “น่าจะเป็นการแอบอ้างทหาร” และคนๆ นี้ ไม่น่าจะเป็นทหาร เพราะโดยวิสัยแล้ว คนที่เป็นทหาร จะมีความกล้าหาญตรงไปตรงมา กล้าทำกล้ารับ จะไม่ประพฤติตนหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ครับ

[full-post]


Posted: 01 Nov 2019 10:23 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 12:23


ม.มหิดล ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 522 ของโลก จาก 1,000 มหาวิทยาลัยทั่วโลก อันดับที่ 81 ของเอเชีย และอันดับ 1 ในประเทศไทย จากการประกาศของ U.S. News ประจำปี 2562

2 พ.ย. 2562 มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศมีการขยายหลักสูตรการศึกษาออกไปหลากหลายสาขาวิชาเพื่อให้ครอบคลุมต่อความต้องการของประเทศ โดยเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่ให้ความสำคัญต่อการผลิตผลงานวิจัยเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งในแต่ละปี มหาวิทยาลัยมหิดลมีผลงานวิชาการเป็นจำนวนมาก ที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยมหิดลยังคงได้รับการจัดอันดับจากหลายสถาบัน เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะรักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่าเว็บไซต์ www.usnews.com ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด 1,000 มหาวิทยาลัยจากทั่วโลก ประจำปี 2562 "Best Global Universities Rankings 2019" โดยมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการจัดอันดับที่ 522 ของโลก และอันดับที่ 1 ของประเทศไทย (อันดับที่ 71 ในสาขาวิชาจุลชีววิทยา (Microbiology) อันดับที่ 78 ในสาขาวิทยาภูมิคุ้มกัน (Immunology) อันดับที่ 162 ในสาขาเภสัชวิทยาและพิษวิทยา (Pharmacology and Toxicology) อันดับที่ 208 ในสาขาวิชาการแพทย์ (Clinical Medicine) อันดับที่ 289 ในสาขาชีวโมเลกุลและพันธุศาสตร์ อันดับที่ 292ในสาขาชีววิทยาและชีวเคมี (Biology and Biochemistry) และอันดับที่ 411 ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ (Social Sciences and Public Health)

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลยังเป็นอันดับ 1 ใน 9 ตัวชี้วัด(จากทั้งหมด 11 ตัวชี้วัด) ได้แก่ 1.จำนวนบทความทางวิชาการทั้งหมดที่ได้รับตีพิมพ์ในฐานข้อมูลวารสารชั้นนำระดับนานาชาติ ได้แก่ InCites, ISI และ Web of Science) 2.การวัดสัดส่วนการถูกอ้างอิงต่อจำนวนบทความทางวิชาการที่ได้รับตีพิมพ์ 3.จำนวนการถูกอ้างอิงทั้งหมดจากบทความทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์ 4.จำนวนบทความทางวิชาการที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 10 ของบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงที่สุด 5.สัดส่วนร้อยละของบทความทางวิชาการที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 10 ของบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงที่สุดต่อจำนวนบทความทั้งหมด 6.จำนวนบทความทางวิชาการที่มี co-author กับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ 7.สัดส่วนร้อยละของจำนวนบทความทางวิชาการที่มี co-author กับสถาบันการศึกษาต่างประเทศต่อจำนวนบทความทั้งหมด 8.จำนวนบทความทางวิชาการที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 1 ของบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงที่สุดในสาขาวิชานั้นๆ และ 9.สัดส่วนร้อยละของจำนวนบทความทางวิชาการที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 1 ของบทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงที่สุดในสาขาวิชาต่อจำนวนบทความทั้งหมดในสาขาวิชานั้นๆ

"ผลจากการจัดอันดับสะท้อนในเห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพของการเรียนการสอนและการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถทางวิชาการให้กับนักศึกษา เพื่อสร้างบัณฑิตไทยที่มีคุณภาพและพร้อมสู่การทำงานในระดับนานาชาติได้ และที่สำคัญ คือการสร้างบัณฑิตให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง" ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะรักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว[full-post]


Posted: 01 Nov 2019 10:39 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 12:39


อาร์เจนตินาอาจจะกลายเป็นแหล่งที่ทิ้งขยะพลาสติกรายใหญ่แหล่งใหม่ หลังจากที่ทางการจีนมีมาตรการจำกัดรับซื้อขยะพลาสติกจากกลุ่มประเทศตะวันตก โดยที่เรื่องสร้างความเป็นห่วงในหมู่นักกิจกรรมทางสังคมและนักสิ่งแวดล้อมว่าอาร์เจนตินาอาจจะนำขยะพลาสติกคุณภาพต่ำหรือปนเปื้อนเข้ามาโดยที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ แต่จะนำมาเผาหรือกำจัดในเชิงที่ก่อมลภาวะ

สื่อเดอะการ์เดียนรายงานว่านักกิจกรรมทางสังคมและนักสิ่งแวดล้อมแสดงความกังวลหลังจากที่ประธานาธิบดี เมาริซิโอ มาครี ของอาร์เจนตินา ออกข้อกำหนดเปลี่ยนแปลงนิยามของวัสดุบางชนิดที่ใช้สำหรับรีไซเคิลว่าเป็น "สินค้า" แทนที่จะเป็น "ขยะ" เรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าอาร์เจนตินาอาจจะกลายเป็นสถานที่แห่งใหม่ที่รับขยะพลาสติกหลายพันล้านกิโลกรัมจากประเทศโลกที่หนึ่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางการจีนที่เคยเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดสั่งยกเลิกการนำเข้าพลาสติกแล้ว

ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงนิยามขยะให้กลายเป็น "สินค้า" อาจจะส่งผลให้มีการดำเนินการที่หละหลวมจนเกิดความผิดพลาดทำให้มีการปนเปื้อนในขยะพลาสติกที่มีการจัดการได้ยากและมักจะถูกนำไปทิ้งหรือไม่ก็เผา

จิม พัคเก็ตต์ ผู้อำนวยการบริหารจากองค์กรบาเซลแอกชันเน็ตเวิร์ก องค์กรที่ต่อต้านการส่งออกขยะไปยังประเทศกำลังพัฒนากล่าวว่าอาร์เจนตินากำลังจะกลายเป็นประเทศที่ต้องแบกรับขยะจากทั่วทุกมุมโลกและรัฐบาลอาร์เจนตินาก็พยายามหากำไรจากเรื่องนี้

ในปัจจุบันมีประเทศ 186 ประเทศที่ลงนามใน อนุสัญญาบาเซล (Basel Convention) ว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนและการกำจัดของเสียอันตราย แต่สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น

ภายใต้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมของอนุสัญญามีข้อเสนอที่มาจากนอร์เวย์ระบุว่าประเทศโลกที่หนึ่งจะไม่สามารถส่งออกขยะพลาสติกคุณภาพต่ำให้กับประเทศกำลังพัฒนาได้โดยปราศจากคำยินยอมอย่างชัดเจนและถ้าหากมีการแลกเปลี่ยนขยะกันก็ควรจะมีการดำเนินการอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมของอนุสัญญายังระบุวางเป้าหมายให้แม้แต่ประเทศที่ไม่ได้ลงนามอย่างสหรัฐฯ หยุดส่งออกขยะพลาสติกไปยังประเทศที่ยากจนกว่า

อย่างไรก็ตาม พัคเก็ตต์บอกว่าเมื่อไม่นานนี้มีการเจรจาหารือแล้วทั้งอาร์เจนตินาและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่ยอมรับการควบคุมการส่งออกน้ำเข้าขยะของนอร์เวย์ที่มุ่งควบคุมการเคลื่อนย้ายขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้

เรื่องเหล่านี้ทำให้นักสิ่งแวดล้อมเป็นห่วงว่าอาร์เจนตินากำลังจะมาแทนที่จีนในฐานะประเทศที่รับขยะพลาสติกจากสหรัฐฯ อังกฤษ และประเทศอื่นๆ ในยุโรป หลังจากที่จีนมีมาตรการจำกัดการรับขยะพลาสติกเมื่อเกือบสองปีที่แล้วโดยจะรับแต่ขยะพลาสติกที่รีไซเคิลได้ง่ายที่สุดเท่านั้น โดยที่ก่อนหน้านี้เดอะการ์เดียนก็เคยรายงานว่ามีการย้ายแหล่งส่งออกขยะเหล่านี้ไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เช่น ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม พอประเทศเหล่านี้เริ่มห้ามการนำเข้าก็มีการส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาแห่งอื่นเช่น กัมพูชา, ลาว, กานา, เอธิโอเปีย, เคนยา และเซเนกัล ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรับขยะพลาสติจากสหรัฐฯ เลย

โฆษกของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) กล่าวว่าสหรัฐฯ สนับสนุนอนุสัญญาบาเซลแต่ต่อต้านบททบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมีการตั้งเกณฑ์เกี่ยวกับพลาสติกที่ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ทางโฆษกของ EPA มองว่าการจำกัดเคลื่อนย้ายขยะพลาสติกเพื่อการรีไซเคิลจะเป็นการ "ลดมูลค่า" และทำให้พลาสติกผลิตใหม่ได้รับการให้ความสำคัญมากกว่า ซึ่งจะกลายเป็นการเพิ่มปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องทิ้ง EPA บอกอีกว่าพวกเขาทราบเรื่องการเปลี่ยนนิยามพลาสติกของอาร์เจนตินาแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะประเมินผลกระทบในเรื่องนี้

เซซิเลีย อัลเลน นักรณรงค์จากสหพันธ์เพื่อทางเลือกกำจัดขยะแบบอื่นนอกจากการเผา (Global Alliance for Incinerator Alternatives หรือ GAIA) ซึ่งเป็นองค์กรในบัวโนสไอเรส กล่าวว่าขยะพลาสติกที่อาร์เจนตินารับมาจากต่างประเทศมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ได้รับการรีไซเคิล แต่อาจจะถูกนำไปทำการเผาขยะซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลมลภาวะ กลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อสุขภาพ

ทั้งนี้ยังมีการต่อต้านจากการตัดสินใจของรัฐบาลอาร์เจนตินาจากกลุ่มสมาพันธ์ผู้เก็บคัดแยกขยะชาวอาร์เจนตินา ทางสมาพันธ์กลัวว่าการออกมาตรการเปลี่ยนนิยามของรัฐบาลจะทำให้เกิดการลดมูลค่าพลาสติกภายในประเทศและเน้นการรับพลาสติกจากต่างประเทศ ซึ่งแคโรไลนา ปาลาซิโอ ตัวแทนสมาพันธ์ฯ บอกว่าขยะพลาสติกในประเทศของพวกเขาก็มีมากพออยู่แล้ว และรัฐบาลควรจะเอาเวลามาพัฒนาสภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนทำงานคัดแยกขยะ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามูลค่าความต้องการของพลาสติกรีไซเคิลจากการที่มันแพงมากกว่าพลาสติกผลิตใหม่ ที่ผลิตจากก๊าซอีเธนที่ได้มาจากการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซจากใต้ดิน

เรียบเรียงจาก
Argentina could become 'sacrificial country' for plastic waste, say activists, The Guardian, 01-11-2019
https://www.theguardian.com/environment/2019/nov/01/argentina-plastic-waste-dumping-ground-imports


[full-post]


Posted: 01 Nov 2019 10:51 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 12:51


2 พ.ย. 2562 คณะกรรมการคัดค้านเขื่อน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ได้ออกแถลงการณ์ 'ปิดตำนาน เขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง' โดยระบุว่าเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้ง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ ได้เห็นพ้องต้องกันในการพัฒนา และผลักดันการจัดการน้ำในรูปแบบ “สะเอียบโมเดล” โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง

อีกทั้งแผนยุทธศาสตร์เรื่องน้ำในส่วนของลุ่มน้ำยม ได้วางแผนในการบริหารจัดการน้ำโดยมีโครงการอ่างเก็บน้ำ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง แก้มลิง และโครงการทางระบายน้ำ ยม-น่าน รวมทั้งบางระกำโมเดลที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนฯ เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องคืนความสุขให้กับพวกเราชาวบ้านที่เดือดร้อนและหวาดผวากับโครงการเขื่อนที่จะมาทำลายป่าสักทองกว่า 30,000 ไร่ และทำร้ายวิถีชีวิตชุมชน ตำบลสะเอียบ ทั้ง 4 หมู่บ้าน กว่า 1,000 ครัวเรือน

คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนฯ จึงขอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการเขื่อนยมบน-เขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) โดยเด็ดขาด และให้มีมติ ครม. รองรับ อีกทั้งการดำเนินโครงการพัฒนาใดๆ ในลุ่มน้ำยมจะต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการการพัฒนาบนทิศทางความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงในชีวิตของประชาชน รวมทั้ง ให้รัฐบาลยึดการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยมด้วย “สะเอียบโมเดล” (การจัดการน้ำชุมชนขนาดเล็ก กระจายทั่วทั้งลุ่มน้ำยม)

คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนฯ ขอให้รัฐบาล และนักการเมืองที่หวังผลประโยชน์ทั้งหลาย ยุติการรื้อฟื้น การผลักดัน โครงการเขื่อนดังกล่าว เพื่อเป็นการปิดตำนานเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง อย่างถาวร เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีแผนงานในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอย่างเป็นระบบแล้วตามยุทธศาสตร์เรื่องทรัพยากรน้ำที่รัฐบาลได้วางไว้แล้ว[full-post]


Posted: 02 Nov 2019 12:17 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 14:17

สมาคมโรฮิงญาแห่งประเทศไทยออกจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องพม่า สมาชิกอาเซียนประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพของชาวโรฮิงญาทั้งที่จะเดินทางกลับรัฐยะไข่และที่จะอยู่นอกประเทศต่อ ขอให้ประกันสิทธิพลเมืองเสมือนชาวพม่าและให้มีกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ในขณะที่ร่างแถลงการณ์อาเซียนซัมมิทครั้งที่ 35 ไม่กล่าวถึงเรื่องชาวโรฮิงญา แหล่งข่าวระบุ ผู้แทนพม่ากดดันอย่างหนักไม่ให้บรรจุเข้าไป

2 พ.ย. 2562 สมาคมโรฮิงญาแห่งประเทศไทย มีจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (อาเซียนซัมมิท) ครั้งที่ 35 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 พ.ย. 2562 ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี โดยมีข้อเรียกร้องถึงทั้งรัฐบาลพม่า และรัฐบาลชาติสมาชิกอาเซียน ในเรื่องการประกันความปลอดภัยชาวโรฮิงญาที่สมัครใจจะกลับไปยังรัฐยะไข่ ประกันเรื่องการพิสูจน์สัญชาติและสิทธิพลเมือง ไปจนถึงอนุญาตให้ชาวโรฮิงญาอาศัยในประเทศชาติสมาชิกต่อหากไม่สมัครใจกลับพม่า มีใจความดังนี้


จดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาในการประชุมครั้งที่ 35

เนื่องในการประชุมสุดยอดผู้นำชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 2 – 4 พฤศจิกายน 2562 ที่ประเทศไทย วาระการประชุมในครั้งนี้ ผู้นำของชาติสมาชิกและประเทศคู่เจรจาที่เข้าร่วมการประชุมที่มีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าอาเซียนเป็นกลุ่มประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางซึ่งอุทิศตนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ เรา ในฐานะสมาชิกของสมาคมชาวโรฮิงญาในประเทศไทยที่เป็นตัวแทนของพี่น้องชาย หญิงและเด็กชาวโรฮิงญาที่ถูกบังคับให้หลบหนีการสู้รบและความรุนแรงในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา รวมทั้งชาวโรฮิงญาที่อยู่ในกระบวนการการส่งกลับและย้ายถิ่นฐาน เรามีความกังวลและขอความช่วยเหลือจากผู้นำอาเซียนต่อไปนี้

เราขอเรียกร้องถึงรัฐบาลเมียนมาในฐานะสมาชิกอาเซียน
ให้กำหนดกระบวนการพิสูจน์และให้สัญชาติแก่ชาวโรฮิงญาพลัดถิ่นจากบ้านเกิด ทั้งคนที่หลบหนี และที่ยังคงอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและเป็นที่ยอมรับจากประชาคมนานาชาติ
ให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ผู้อพยพลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่สมัครใจในการเดินทางกลับบ้านเกิดในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา การเดินทางกลับจะต้องเป็นไปอย่างสมัครใจ ไม่มีการบังคับให้ผู้ลี้ภัยต้องกลับบ้านเกิดของตนด้วยความหวาดกลัวและการปราศจากหลักประกันถึงความปลอดภัยในอนาคต
ให้หลักประกันแก่ชาวโรฮิงญาในการเข้าถึงสิทธิ การทำงาน ทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงตำรวจและทหาร เช่นเดียวกับพลเมืองของเมียนมา

เราขอเรียกร้องถึงรัฐบาลชาติสมาชิกอาเซียน
ให้ดำเนินการพิสูจน์สถานะและออกเอกสารประจำตัวแก่ผู้อพยพชาวโรฮิงญาในการอยู่อาศัยและทำงานในแต่ละประเทศอย่างถูกกฎหมายในระหว่างการพิสูจน์สถานะของรัฐบาลเมียนมา
ให้พิจารณา อนุญาตให้ชาวโรฮิงญาสามารถอยู่อาศัยในประเทศชาติสมาชิกได้ต่อหากไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับประเทศเมียนมา

ประเด็นชาวโรฮิงญาในเวทีอาเซียนนั้นประหนึ่งถูกทำให้เหมือนลืมเลือนไปจากหน้ากระดาษ ปลายเดือน ต.ค. สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นได้เผยแพร่ข่าวว่าไม่มีการพูดถึงประเด็นชาวโรฮิงญาเลยในร่างแถลงการณ์ของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 ที่จะมีตัวแทนประเทศสหรับอเมริกา รัสเซีย จีนและญี่ปุ่นเข้าร่วม โดยแหล่งข่าวระบุว่า ผู้แทนพม่าได้แสดงจุดยืนคัดค้านการบรรจุเรื่องชาวโรฮิงญาไว้ในแถลงการณ์ นอกจากนั้นพม่ายังมีท่าทีไม่พอใจกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อผู้นำทหารพม่าที่มีส่วนกับการจู่โจมชาวโรฮิงญาอีกด้วย

ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2560 ชาวโรฮิงญามากกว่า 740,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่รัฐยะไข่ตอนเหนือไปยังบังกลาเทศ หลังกองทัพพม่าใช้กำลังเข้าโจมตี เพื่อตอบโต้การลอบจู่โจมของกลุ่ม ARSA ปฏิบัติการของกองทัพพม่า ต่อมาได้รับการวิจารณ์และประณามจากนานาประเทศรวมทั้งองค์การสหประชาชาติในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการ หนักที่สุดคือรายงานของสหประชาชาติที่ระบุว่าการกระทำของกองทัพพม่าเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ปัจจุบัน ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศและรัฐบาลบังกลาเทศต่างสร้างแรงกดดันให้กันและกัน หลังจากความพยายามส่งผู้ลี้ภัยกลับพม่าประสบความล้มเหลวเป็นครั้งที่สองเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากยังมีปัญหาเรื่องการหาผู้ลี้ภัยที่สมัครใจเดินทางกลับและ คำถามเรื่องความปลอดภัยในรัฐยะไข่


บังกลาเทศ-UN ฉะพม่าล้มเหลวเตรียมความพร้อมนำผู้ลี้ภัยโรฮิงญากลับประเทศ

ในขณะที่ชาวโรฮิงญาที่อยู่ในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองคอกซ์ บาซาร์เป็นเวลา 2 ปี ก็ค่อยๆ สร้างแรงกดดันให้ประชาชนในพื้นที่ด้วย ในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลบังกลาเทศมีแผนจะย้ายผู้ลี้ภัยหลักพันคนไปยังเกาะบาซาน ชาร์ ในอ่าวเบงกอล แต่ผู้ลี้ภัย องค์กรสิทธิต่างๆ รวมถึงสหประชาชาติเองมีข้อสงสัยในเรื่องความเหมาะสมและความปลอดภัยในเกาะที่อยู่บนเส้นทางมรสุม ทำให้มีโอกาสน้ำท่วมบ่อย และต้องใช้เวลาเดินทางจากฝั่งราว 2-4 ชั่วโมง ทั้งนี้ เลขานุการกระทรวงการจัดการภัยพิบัติของบังกลาเทศออกมาชี้แจงว่าได้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างและแนวกันพายุไว้แล้ว และทางบังกลาเทศได้มีการหารือในประเด็นการเคลื่อนย้ายผู้ลี้ภัยไปยังเกาะดังกล่าวมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว

ที่มาข่าวเพิ่มเติม

East Asia Summit draft statement skips over Rohingya crisis, Bangkok Post via Kyodo News, Oct. 27, 2019

Bangladesh to Start Relocating Some Rohingya to Island Soon, VOA News, Oct. 22, 2019

Bangladesh to move Rohingya to flood-prone island next month, The Star Online, Oct. 20, 2019

[full-post]


Posted: 02 Nov 2019 01:59 AM PDT(อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 15:59

2 พ.ย. 2562 ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งข่าวว่าจากกรณี จ.ส.อ.ทรงวุฒิ บุญรัตน์ นายสิบฝ่ายสรรพาวุธแผนกสรรพาวุธ มณฑลทหารบกที่ 42 ได้ปรากฏภาพผ่านสื่อออนไลน์ เกี่ยวข้องกรณีพ่อค้าหัวปลาถูกยิงเสียชีวิตคารถกระบะ บนถนนในพื้นที่ ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2562 ดังที่ปรากฎเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมานั้น

ล่าสุดเมื่อ 2 พ.ย. 2562 พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ภายหลังทราบเหตุ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยต้นสังกัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส เเละพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และภายหลังได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเพื่อดำเนินการทางวินัยทหารตามลักษณะฐานความผิด ยืนยันว่าทางกองทัพยินดีให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยจะไม่มีการปกป้องอย่างเด็ดขาด

โดยเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2562 เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร มณฑลทหารบกที่ 42 ได้ควบคุมตัวกำลังพลดังกล่าวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีนายทหารสารวัตรสืบสวนสอบสวน มณฑลทหารบกที่ 42 ร่วมรับฟังการสอบสวนด้วยโดยในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่มีเหตุอันจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ปัจจุบันได้ส่งตัวฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดสงขลาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายสำหรับการดำเนินการทางวินัย มณทลทหารบกที่ 42 ในฐานะหน่วยต้นสังกัดได้มีคำสั่งพักราชการตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมาและหากคดีถึงที่สุดและมีความผิดตามข้อกล่าวหาก็จะรายงานปลดออกจากราชการต่อไป

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 4 ได้มีนโยบายกวดขันวินัยกำลังพลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความรักความสามัคคีภายในกรมกองและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน และหากมีการตรวจพบการกระทำความผิดก็จะมีมาตรการลงโทษทั้งทางวินัยและอาญาทหารขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น จึงขอให้สังคมได้มีความมั่นใจว่ากองทัพจะไม่ปกป้องผู้กระทำความผิดในทุกๆ กรณี และหากพบเห็นเจ้าหน้าที่ทหารกระทำความผิดหรือสร้างความเดือดร้อน ขอให้แจ้งหน่วยต้นสังกัดทราบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน และพิจารณาลงทัณฑ์ตามความเหมาะสมต่อไป

[full-post]


Posted: 02 Nov 2019 04:20 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 18:20

'ปิยบุตร' โพสต์ภาพคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ พบผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนมุมมองด้านกฏหมาย ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค

2 พ.ย. 2562 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ภาพ กรณีได้พบกับเดวิด สติลเวลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา (David R. Stilwell, Assistant Secretary of State for East Asian and Pacific affairs) พร้อมด้วย อุปทูตไมค์ ฮีธ สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และคณะ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2562 เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านกฏหมาย ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยสมาชิก กมธ. ที่เข้าร่วมหารือได้แก่ นายสิระ เจนจาคะ นางสาวพรรณิการ์ วานิช นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ และนายรังสิมันต์ โรม

นายปิยบุตร ระบุว่าได้เล่าถึงการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ภายใต้กลไกรัฐสภาว่า มีการทำงานหลักๆ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมจากประชาชน 2. การสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อพูดคุยถกเถียงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายในสังคม 3. การเดินทางไปศึกษางานในพื้นที่ อาทิ สามจังหวัดชายแดนใต้ สถานการณ์ผู้ลี้ภัย การค้ามนุษย์ การซ้อมทรมาน โดยหวังว่า การทำงานของ กมธ. จะถือเป็นจุดเริ่มต้นให้สิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมในประเทศไทยได้มีพี้นที่มากขึ้นทั้งในสภาฯ และในพี้นที่สาธารณะ หลังจากมีสถานการณ์เหล่านี้ถดถอยลงไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชนสากลผ่านการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร พิจารณาให้การออกกฎหมายต่างๆ เป็นไปตามหลักปฏิบัติและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

“นอกจากนี้ผมได้แลกเปลี่ยนถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น การใช้กฏหมายเพื่อให้หยุดพูดหรือกลั่นแกล้งไม่ให้มีส่วนร่วม (SLAPP: Strategic Lawsuit Against Public Participation) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนใต้ สุดท้ายผมให้ความเห็นว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ในภูมิภาคที่มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เป็นที่น่าเสียดายว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาความเป็นประชาธิปไตยของเราถดถอยลงไปมาก แต่ขณะนี้เรามีสภาผู้แทนราษฎรกลับมาทำหน้าที่แล้ว ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับสู่ประชาธิปไตย และเราพร้อมจะร่วมมือกับทุกฝ่ายเพี่อเดินหน้าให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่งให้ได้” นายปิยบุตร ระบุ

นอกจากนี้ ในทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของ กิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ลงภาพการพบหารือ พร้อมระบุข้อความว่า “ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สติลเวลล์ ยินดีที่ได้มีโอกาสพบปะกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ #ไทย เพื่อทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน” อีกด้วย



ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีเสวนาและรับฟังปัญหาจากเครือข่ายภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ ที่โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง ที่มาภาพ: เฟสบุ๊ค Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

Posted: 02 Nov 2019 05:47 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sat, 2019-11-02 19:47


'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีรับฟังปัญหาจากประชาชนภาคใต้ที่ จ.พัทลุง ยกการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ประชาชนร่วมคิด ชี้เพราะอำนาจไม่ได้อยูที่ประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้งบประมาณมาไม่ถึง แต่รัฐบาลกลับนำไปอุ้มกลุ่มทุน

2 พ.ย. 2562 Thai PBS รายงานว่าที่โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีเสวนาและรับฟังปัญหาจากเครือข่ายภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ เวทีเสวนา “แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ต้องแก้รัฐธรรมนูญ?”

โดยนายธนาธร ถามผู้เข้าร่วมงานว่า สมมุติว่าที่นี่เป็นสภา แล้วเราต้องตัดสินใจว่ามีงบประมาณก้อนหนึ่งประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท จะเอาไปทำอะไรโดยมี 4 ตัวเลือก ซึ่งทุกคนในห้องร่วมต่างกันยกมือให้กับตัวเลือกที่ 1 และ 2 โดยไม่มีใครเลือกตั้งเลือกที่ 3 และ 4 เลยแม้แต่คนเดียว 1.เพิ่มเบี้ยเลี้ยงดูบุตรจากคนละ 600 บาทต่อเดือนสำหรับคนจนเป็น 700 บาทต่อเดือนแบบถ้วนหน้า ใช้งบ 1.7 หมื่นล้านบาท 2.นำไปพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก 10,000 โรงทั่วประเทศ โรงละ 2 ล้านบาท ใช้งบ 2 หมื่นล้านบาท 3.นำไปอุดหนุนค่าสัมปทานให้กับบริษัทโทรคมนาคมที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ 2 หมื่นล้านบาท และ 4.นำไปซื้อเรือดำน้ำ 3 หมื่นล้านบาท

นายธนาธร ยังกล่าวด้วยว่าหากนี่เป็นสภาจริงๆ เราคงจะได้นำงบประมาณไปพัฒนาสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในความเป็นจริงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านมา ได้มีการใช้ ม. 44 ไปลดค่าสัมปทานให้กับทุนคมนาคมไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และซื้อเรือดำน้ำไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ความจนหรือรวยในประเทศนี้ไม่ใช่เรื่องของบุญทำกรรมแต่ง เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยังยากจนเป็นเพราะพวกเขาไม่มีอำนาจ สิ่งที่เรามานั่งพูดกันวันนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ก็คือเรื่องของอำนาจ

“คนที่มีอำนาจในปัจจุบันก็คือกลุ่มคนเดียวกันกับที่รัฐประหารปี 2557 มาจากระบบราชการ กลุ่มทุน ปืนและรถถัง ไม่มีประชาชนเป็นที่มาของอำนาจ พวกเขาจึงออกแบบงบประมาณออกมาแบบนี้ ไปอุ้มกลุ่มทุน ไปหล่อเลี้ยงระบบราชการที่ใหญ่เทอะทะ” นายธนาธร กล่าว

หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า ถ้าเราอยากเห็นสังคมไทยเดินไปข้างหน้า โดยที่ดอกผลของการพัฒนาได้รับการแจกจ่ายอย่างถ้วนหน้า ถ้าเราอยากเห็นสังคมไทยอยู่ในโลกาภิวัฒน์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถ้าเราอยากเห็นงบประมาณถูกนำไปใช้เพื่อประชาชน ถ้าเราอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ เราต้องแก้รัฐธรรมนูญ

โดยชี้ว่านี่คือโจทย์ใหญ่ว่าตกลงอำนาจในประเทศนี้เป็นของใคร อำนาจในการจัดสรรงบประมาณ 3.2 ล้านล้าน ใครควรจะได้เป็นคนจัดสรร นี่คือเวลาที่เราต้องคิดอย่างทะเยอทะยานเพื่อคนรุ่นต่อไป เพื่อให้ปัญหานี้จบในคนรุ่นเรา ว่าอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรในประเทศนี้ ควรอยู่ที่ประชาชน และเพื่อจะแก้ปัญหานี้ เราต้องทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย, ยุติระบบราชการรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง,การลดบทบาทของกองทัพ มีการแต่การทำ 3 อย่างนี้เท่านั้น ประเทศไทยถึงจะเดินไปข้างหน้าได้ และจะทำอย่างนี้ได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก้าวแรกก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในไต้หวัน ส่วนใหญ่ว่าจ้างแรงงานไทย ที่มาภาพ: Radio Taiwan International

Posted: 02 Nov 2019 10:17 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Sun, 2019-11-03 00:17


ไต้หวันเปิดนำเข้าครบ 30 ปี แรงงานต่างชาติชุดแรกที่เดินทางมาทำงานในไต้หวันเป็นคนงานไทย ปัจจุบันแรงงานต่างชาติกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในสังคมไต้หวันไปแล้ว นักวิชาการเรียกร้องรัฐบาลเปลี่ยนแนวความคิดจากสกัดกั้น อนุญาตให้ย้ายถิ่นเพื่อดึงดูดให้แรงงานต่างชาติทำงานในไต้หวันได้อย่างถาวรต่อไป

Radio Taiwan International รายงานเมื่อปลายเดือน ต.ค. 2562 ว่าไต้หวันเปิดให้นำเข้าแรงงานต่างชาติอย่างถูกกฎหมายเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2532 แรงงานต่างชาติชุดแรกที่เดินทางมาทำงานในไต้หวันเป็นคนงานไทย ทำงานในไซต์งานก่อสร้างทางด่วนสาย 3 ระยะเวลาผ่านไป 30 ปี ยอดจำนวนแรงงานต่างชาติกว่า 710,000 คน กระจายทำงานในภาคส่วนต่างๆ ของไต้หวัน อาทิ ภาคการผลิต ก่อสร้าง ประมง และภาคสวัสดิการสังคม กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ของสังคมไต้หวันไปแล้ว นักวิชาการด้านแรงงานกล่าวเรียกร้องรัฐบาลทบทวนนโยบายของเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จากการนำเข้าเพื่อทดแทนภาวะขาดแคลนแรงงานและพยายามสกัดกั้นไม่ให้แรงงานต่างชาติย้ายถิ่น มาเป็นแรงงานต่างชาติช่วยสร้างโอกาสทำงานให้กับแรงงานท้องถิ่น และภายใต้สถานการณ์ที่อัตราการเกิดตกต่ำ ภาวะขาดแคลนแรงงานไม่สามารถจะแก้ไขได้ รัฐบาลควรจะมองการณ์ไกล พิจารณาให้มีการย้ายถิ่น เพื่อดึงดูดให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะฝีมืออยู่ทำงานในไต้หวันตลอดไป แน่นอน นี่ไม่ใช่เป็นประเด็นของกระทรวงแรงงานแต่เพียงกระทรวงเดียว แต่เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องนำมาขบคิด

นอกจากอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2535 อนุญาตให้องค์กรหรือครอบครัวที่มีผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้ นำเข้าผู้อนุบาลต่างชาติได้ รวมถึงผู้ช่วยงานบ้าน และลูกเรือประมงต่างชาติ ส่วนทางด้านภาคการผลิตก็ขยายประเภทอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงานและสามารถยื่นขอนำเข้าแรงงานต่างชาติได้จากเดิม 6 ประเภท 15 ตำแหน่งงานมาเป็น 68 ประเภทอุตสาหกรรม

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2535 คณะกรรมการการแรงงานในสมัยนั้น ประกาศเกณฑ์การจัดเก็บค่าบริการจัดหางานและค่าบริการดูแลของบริษัทจัดหางานที่เป็นผู้จัดส่งและดูแลแรงงานต่างชาติ ประกาศนี้ เป็นที่มาของการอนุญาตให้บริษัทจัดหางานเรียกเก็บค่าบริการดูแลจากแรงงานต่างชาติได้ จากนั้นมีการปรับประเภทกิจการที่อนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างชาติได้ โดยเพิ่มกิจการชำแหละเนื้อสัตว์และภาคการเกษตร จนกระทั่งยอดจำนวนแรงงานต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 แรงงานต่างชาติในไต้หวันมีจำนวน 711,001 คน ทำงานในภาคการผลิต 452,412 คน ภาคสวัสดิการสังคม 258,589 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้อนุบาลในองค์กร 15,200 คน ผู้อนุบาลในครัวเรือน 241,562 คน และผู้ช่วยงานบ้าน 1,826 คน

ด้านประเทศผู้ส่งออกจากที่อนุญาตให้ส่งออกแรงงานมาทำงานที่ไต้หวันได้ 6 ประเทศ แต่ปัจจุบันส่งออกจริง 4 ประเทศ ได้แก่ไทย อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ ส่วนมองโกเลียและมาเลเซียไม่มีการส่งออกแรงงานมายังไต้หวันเลย และในจำนวน 4 ประเทศที่ส่งออกแรงงานมายังไต้หวัน อินโดนีเซียส่งออกมากที่สุด 271,583 คน ซึ่งส่วนใหญทำงานในตำแหน่งผู้อนุบาลในครัวเรือน เวียดนามอยู่อันดับ 2 มีจำนวน 223,433 คน ตามด้วยฟิลิปปินส์ 155,560 คน ส่วนแรงงานไทยจากแรกเริ่มครองแชมป์มีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด จนถึงปี 2549 ถูกอินโดนีเซียเบียดตกลงมา จนปัจจุบันเหลือจำนวนเพียง 60,423 คน

ศจ.เฉิงจือเยว จากสถาบันวิจัยแรงงาน มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิ้งจื้อ (NCU) กล่าวว่า นโยบายด้านแรงงานควรมองการณ์ไกลไปถึง 10-20 ปีข้างหน้าว่า ความพึ่งพิงแรงงานต่างชาติของไต้หวันเป็นเช่นไร ปัจจุบัน ไต้หวันไม่เพียงแต่ประสบปัญหาอัตราการเกิดที่ตกต่ำและภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรงเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เช่นญี่ปุ่นเป็นต้น ให้เงื่อนไขที่ดีกว่าเพื่อดึงดูดแรงงานต่างชาติไปทำงาน ไต้หวันนอกจากได้เปรียบในเรื่องความเคารพด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว ยังควรพิจารณาในแง่มุมให้สิทธิ์แก่แรงงานต่างชาติที่มีทักษะสามารถย้ายถิ่นเพื่อดึงดูดให้อยู่ทำงานในไต้หวันตลอดไป และแน่นอน คงไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงแรงงานเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น

ด้าน รศ. ซินปิ่งหลงจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันชี้ว่า ในอดีต ไต้หวันจะใช้นโยบายสกัดกั้น เกรงว่าการนำเข้าแรงงานต่างชาติในจำนวนที่มากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสทำงานของแรงงานท้องถิ่น โดยเฉพาะแรงงานสูงอายุอาจตกงาน แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะกิจการที่เป็นงานหนัก มีความเสี่ยงสูงและอันตราย ไม่สามารถหาแรงงานท้องถิ่นเข้าทำงานได้ ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โครงสร้างแรงงานเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก นโยบายด้านแรงงานก็ควรเปลี่ยนตามไปด้วย ไม่ควรมองจากจำนวนแรงงานต่างชาติ แต่ควรจะพิจารณาจากมุมมองการนำเข้าแรงงานต่างชาติ จะช่วยสร้างโอกาสการทำงานให้แก่แรงงานท้องถิ่นมากน้อยเท่าไหร่ อย่างไร?


Spaceth.co

สุริยุปราคานั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์มาอยู่คั่นกลางระหว่างดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ซึ่งนอกจากมันจะเกิดขึ้นได้บนโลกแล้วนั้น บนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีดวงจันทร์บริวารก็มีเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

สำหรับดาวพฤหัส ที่มีดวงจันทร์บริวารมากถึง 79 ดวงนั้น และยังโคจรทำมุมกับระนาบเพียงแค่ 0.3 องศาเท่านั้น (โลกทำมุม 1.6 องศา) ทำให้ปรากฏการณ์สุริยุปราคานั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งบนดาวพฤหัส

ดวงจันทร์ไอโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในดวงจันทร์กาลิเลียน นั้นโคจรค่อนข้างใกล้กับดาวพฤหัส โดยมันมีขนาดที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับดวงจันทร์ของโลก ที่ขนาดประมาณ 3,600 กิโลเมตร

ภาพนี้ถูกถ่ายขึ้นระหว่างที่ยานจูโนของนาซากำลังเฉียดเข้าใกล้กับดาวพฤหัส ที่ระยะห่างเพียง 7,862 กิโลเมตรจากระดับชั้นผิวเมฆ ซึ่งยานจูโนมีวงโคจรที่มีความรีค่อนข้างสูง ทำให้ยานสามารถเข้าไปใกล้กับดาวพฤหัสได้เพื่อเก็บข้อมูล และไม่โดนทำลายไปโดยสนามแม่เหล็กของดาวไปก่อน

อ่านเรื่องราวของกล้อง JunoCam ที่เป็นเบื้องหลังการถ่ายภาพ ๆ นี้ขึ้นได้ที่ https://spaceth.co/juno-cam/

Image data: NASA/JPL-Caltech/SwRI/MSSS
Image processing by Kevin M. Gill, © CC BY 3.0


Atukkit Sawangsuk

ความไม่ฉลาดของประยุทธ์ คือไปพูดถึงทักษิณ เอาตัวเองไปวัดรอยเท้าแม้ว ตอนโดนด่าเรื่องน้ำท่วม ของมันเทียบกันได้ที่ไหน ทักษิณเป็นใคร ประยุทธ์เป็นตัวอะไร

ทักษิณเก่งเรื่องบริหารจัดการ การตัดสินใจ เคยเป็นตำรวจ รู้จุดแข็งจุดอ่อนระบบราชการ แล้วออกมาทำธุรกิจ เป็น CEO เป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม คิดไวทำไว
ทักษิณไม่ใช่คนที่ทั้งชีวิตอยู่ในค่ายทหาร ทำตามคำสั่ง จนไต่เต้ามาออกคำสั่ง โลกกับกะลามันกว้างแคบต่างกันแล้วทักษิณก็ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง จากการออกนโยบายเอาชนะใจประชาชน ไม่ใช่ใช้ปืนใช้รถถังบังคับคน
ฉะนั้น ไม่ว่าน้ำท่วมอีสาน สึนามิภาคใต้ ทักษิณก็จะไม่ไปชื่นมื่นกับหัวคะแนนภาคเหนือ ไม่เหมือนประยุทธ์ไปโอ๋ไอ้เทือก คนปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้งปูทางรัฐประหาร
คำถามคือ ประยุทธ์คิดอะไรอยู่วะ ถึงเอาตัวเองไปเทียบทักษิณ
บังเอิญเหลือเกิน ทำไงก็หนีไม่พ้น นี่ก็เพิ่งบินไปประชุม UN มีวาระสำคัญ เป็นหน้าเป็นตา คือการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นแบบอย่าง ทำสำเร็จมา 17 ปี
ชาวบ้านได้ฟัง หัวร่อกลิ้ง พร้อมขากถุยทั่วหน้า ผลงานทักกี้นี่หว่า ประยุทธ์จะไปพูดยังไง จะมีมารยาทชมรัฐบาลก่อนๆ บ้างไหม หรือตีขลุม ทั้งๆ ที่ 5 ปี คสช.จะล้มบัตรทองอยู่รอมร่อ ดีว่าพลังต้านเข้มแข็ง
เออนะ ไม่ยักไปคุยเรื่องนโยบายแจกเงินเที่ยวหัวละพัน ประสบความสำเร็จ จนเว็บล่ม
ทำไมประยุทธ์ต้องเทียบตัวเองกับทักษิณ ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะมีแรงกดดัน คือคนเริ่มพูดถึงทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ ที่พูดไม่ใช่อยากได้แม้วกลับ เพราะใครก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะรัฐบาลมันห่วยไง เศรษฐกิจก็แย่ ดูไปก็ไม่มีฝีมือ
คือ 5 ปีคนเบื่อ คสช.ย่ำแย่ มีเลือกตั้งหวังว่าจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง อ้าว ก็ยังมี 250 ส.ว.ตั้งเองมาโหวตให้เป็นนายกฯ บางคนก็เอาวะยังมีพรรคร่วมรัฐบาล เผื่อนักการเมืองจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมั่ง แต่ 2-3 เดือนผ่านไป ไม่เห็นอะไรเป็นมรรคเป็นผล ตู่ก็ยังกร่างเหมือนเดิม ทำอะไรไม่เคยผิด ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้หมด
อย่าเพิ่งแก้รัฐธรรมนูญ แก้ปากท้องดีกว่า ไม่ควรพูดเรื่องถวายสัตย์ แก้น้ำท่วมก่อน ถุย เป็นไงล่ะ มีแต่คนด่า
คนเกือบทั้งประเทศน่ะรู้ ว่าทักษิณกลับมาไม่ได้หรอก แต่ที่เริ่มหวนไปเปรียบเทียบ เพราะ 13 ปีผ่านไป หลังรัฐประหารยาว 5 ปี กลับมามีเลือกตั้งอีกครั้ง ทุกอย่างก็ยังย่ำแย่ มันก็ทำให้คนคิด เปรียบเทียบ นี่ถ้าทักษิณเป็นนายกฯ เศรษฐกิจคงไปโลด หรืออย่างน้อยก็มีวิธีแก้ดีกว่านี้ ทักษิณก็มีปัญหานะ แต่ถ้าวันนั้นไม่เกิดรัฐประหาร ประเทศคงไม่ตกต่ำดำดิ่งขนาดนี้




#พบเบาะแส! #ดวงจันทร์นอกระบบสุริยะ

ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ตรวจพบ #ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ แล้วกว่า 4,000 ดวง ความท้าทายต่อไป คือการเก็บข้อมูลให้ละเอียดมากพอจนสามารถยืนยันได้ว่าดาวเคราะห์นอกระบบเหล่านั้นมีดวงจันทร์บริวารอยู่หรือไม่


เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาพบร่องรอยการมีอยู่ของดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ WASP 49-b ซึ่งเป็นดาวเคราะห์แก๊ส ห่างจากโลกเพียง 550 ปีแสง ดวงจันทร์ดวงนี้ ถูกจัดให้อยู่ในประเภทซูเปอร์เอิร์ธร้อน (Hot super-Earth) เนื่องจากพื้นผิวส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยลาวา และมีการปะทุของภูเขาไฟอย่างต่อเนื่องคล้ายดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี

การตรวจจับดวงจันทร์นอกระบบสุริยะโดยตรงทำได้ยากมาก เนื่องจากดวงจันทร์มีขนาดเล็ก นักดาราศาสตร์จึงพยายามแสวงหาวิธีอื่นเพื่อค้นหา เมื่อทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาค้นพบว่าแก๊สโซเดียมและโพแทสเซียมสามารถใช้ระบุลักษณะทางธรณีวิทยาของดวงจันทร์ที่มีการปะทุของภูเขาไฟอยู่เสมอ หรือใช้ระบุว่าดาวเคราะห์ดวงใดมีวงแหวนได้

นักดาราศาสตร์จึงใช้วิธีข้างต้นศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ WASP 49-b และพบว่าดาวดวงนี้มีแก๊สโซเดียมมากผิดปกติ แก๊สดังกล่าวอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะเป็นแก๊สที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวดาวเคราะห์เอง พวกเขาจึงสร้างแบบจำลองการสูญเสียแก๊สโซเดียมและโพแทสเซียมจากดาวพฤหัสบดีกับดวงจันทร์ไอโอ รวมถึงดาวเคราะห์แก๊สนอกระบบสุริยะดวงอื่นอีกมากมาย เพื่อนำมาทำนายการมีอยู่ของดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ WASP 49-b

เมื่อนำข้อมูลจากแบบจำลองดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่เก็บได้จากดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ WASP 49-b แล้ว พวกเขาพบว่าข้อมูลทั้งสองมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน จึงเป็นไปได้ว่าดาวเคราะห์ WASP 49-b มีดวงจันทร์บริวารที่คล้าย #ดวงจันทร์ไอโอ โคจรอยู่ แต่ปริมาณแก๊สโซเดียมที่พบมากผิดปกตินี้ อาจเป็นผลจากวงแหวนดาวเคราะห์เมื่อได้รับพลังงานที่มากพอจะเกิดการแตกตัวเป็นไอออนออกมาได้เช่นกัน

แม้ผลการศึกษายังไม่อาจฟันธงได้ว่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดังกล่าวมีดวงจันทร์บริวารอยู่หรือไม่ แต่การเก็บข้อมูลให้มากขึ้นในอนาคต เพื่อนำมาปรับปรุงแบบจำลอง จะสามารถยืนยันการมีอยู่ของดวงจันทร์ดังกล่าวได้อย่างแน่นอน การศึกษานี้ถูกเผยแพร่ใน arXiv เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา และจะเผยแพร่ในวารสาร The Astrophysical Journal ต่อไป

เรียบเรียง : ฟ้าประกาย เจียรคุปต์
เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.

อ้างอิง :
https://www.livescience.com/volcanic-exomoon-orbiting-giant…

เรียกได้ว่าโลกของเราทุกวันนี้เจอเหตุการณ์แปลกๆอย่างมากมายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเรื่องโรคร้าย หรืออากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างน่าเหลือเชื่อหรือจะเป็นภัยพิบัติต่างๆ จนทำให้คิดว่าโลกเราหรือมนูษย์นั้นจะสุญพันธ์คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆอย่างแน่นอน หลายต่อหลายคนคาดการณ์ว่าโลกใกล้แตก ถึงคราวมนุษย์ต้องสูยพันธ์ โลกใกล้กลับไปสู่ยุคเริ่มต้น ซึ่งก็คือยุคน้ำแข็ง, มีข่าวคนกินคน ,เชื้อไวรัสระบาด ผู้คนล้มตาย .. เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ได้ในอนาคต ก็เหมือน 10 เหตุการณ์ที่อาจทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้ ส่วนเหตุการณ์ใดจะเป็นไปได้มากสุดก็ลองไปอ่านกันดูเลย
1. โรคระบาด
ในโลกของเรามีโรคน่ากลัวเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์ โรควัวบ้า หรือล่าสุดอย่างอีโบล่า ซึ่งไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคตอาจจะมีโรคใหม่ที่ร้ายแรงถึงชีวิตและติดต่อได้ง่ายผ่านทางอากาศ หรือถ้าเอาแบบมโนไปไกล คนติดอาจกลายเป็นซอมบี้ ที่คอยไปแพร่เชื้อคนอื่นต่อๆ ไปก็เป็นได้
2. สงคราม
สงครามโลกครั้งถัดไปอาจจะไม่ใช่แค่สงครามนิวเคลียร์ มันอาจรุนแรงกว่านั้นกลายเป็นสงครามเคมี สงครามเชื้อโรค ที่ลุกลามกินขอบเขตพื้นที่ประเทศที่ 3 และลุกลามไปจนทั่วโลก แค่คิดก็สยองแล้ว
3. น้ำท่วมโลก
น้ำท่วมโลกนี้อาจจะเกิดได้หลายสาเหตุ แต่ที่พอมีความเป็นไปได้ก็คือเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกเกิดละลายเนื่องจากสภาวะโลกร้อน และอาจจะเกิดสึนามิจากแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากๆ สาเหตุเหล่านี้อาจจะทำให้หลายๆ ประเทศ จมอยู่ใต้บาดาลก็เป็นได้
4. ภูเขาไฟยักษ์ระเบิด
ภูเขาไฟยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดคือที่อุทยาน Yellowstone ซึ่งตามสถิติว่ากันว่ามันจะระเบิดในทุกๆ 600,000 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างช่วงที่มันมีโอกาสจะปะทุอีกรอบ ซึ่งถ้าหากมันปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ อเมริกาจะต้องเผชิญกับแม็กม่า โลกเราจะต้องอยู่ภายใต้ฝุ่นควัน และบรรยากาศหนาวเหน็บ
5. อุกาบาตพุ่งชนโลก
ที่ผ่านมามีข่าวลือเกี่ยวกับอุกาบาตจะพุ่งชนโลกมากมาย โดยที่โด่งดังที่สุดก็คือดาวนิบิรุ หรือ Planet X ดวงดาวลึกลับนอกกาแล็คซี่ขนาดใหญ่ที่อาจโคจรมาชนโลกเรา แต่นั่นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่ตำนาน แล้วถ้าหากมีอุกกาบาตอื่นนอกเหนือจากนี้อีกล่ะ อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ
6. เปลวสุริยะ
เปลวสุริยะเกิดจากการปะทุของดวงอาทิตย์ทุกๆ 11 ปี ซึ่งปกติมันก็แค่มีผลเกี่ยวกับคลื่นรบกวนธรรมดา แต่ถ้ามีรอบการปะทุของดวงอาทิตย์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว อาจระเบิดความร้อนออกมาจนทำลายโลกเราให้พินาศจนหมด เหมือนอย่างในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็เป็นได้
7. สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว
เป็นเรื่องฮือฮากันอยู่พักนึงสำหรับข่าวที่ว่าสนามแม่เหล็กโลกเราจะกลับขั้ว ซึ่งปกติแล้วสนามแม่เหล็กโลกนานน๊านทีจะเกิดสลับขั้วขึ้น ซึ่งครั้งสุดท้ายก็คือเมื่อ 780,000 ปีก่อน แต่หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเมื่อไหร่เตรียมตัวหายนะกันได้เลย เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือ แผ่นดินไหว น้ำท่วม อุกาบาตจะถูกดึงดูดมายังโลก โลกจะร้อนขึ้น
8. ซุปเปอร์โนวา
คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่เผาผลาญเชื้อเพลิงจนหมดแล้วเกิดระเบิด ทำให้เกิดอนุภาคพลังงานสูงพร้อมทั้งรังสีแกมมาและรังสีเอกซ์มหาศาลกระจายออกไป ถ้ามีซุปเปอร์โนวาอยู่ในระยะ 26 ล้านปีแสงจากโลก จะส่งผลกระทบต่อโอโซนของโลกจะหายไปครึ่งนึง หายนะจะบังเกิดหลังจากนี้ แต่โชคดีที่แถวโลกเรายังไม่มีซุปเปอร์โนวาที่ใกล้ขนาดนั้น เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้ยาก
9. การทดลองของมนุษย์
มนุษย์เราทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่เราก็ไม่รู้ได้ว่าจะมีวันใดวันนึงที่เทคโนโลยีนั้น หันกลับมาทำร้ายพวกเราเองได้หรือเปล่า อย่างในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็จะเห็น Super Computer ที่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง รวมไปถึงอาจจะเป็นหุ่นยนต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหนังเรื่องคนเหล็กก็เป็นได้
10. มนุษย์ต่างดาวบุกโลก
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นอกจากโลกเราแล้วจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีก เรื่องนี้ไม่สามารถมีใครรู้ได้ แต่ถ้าวันดีคืนดี เราอาจจะเจอสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมที่สูงกว่าเรา อาจจะอยากได้ดวงดาวของเราด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเวลานั้นมาถึง เราคงจะได้รู้คำตอบว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า
ขอบคุณข้อมูลจาก หมี เพชรมายา

อ.วรเจตน์ เหตุผลศาลรธน. ไม่รับคำร้องกรณีถวายสัตย์ไม่ครบ

ด้วยความข้องใจว่า การกระทำของรัฐบาล (Act of Government) คืออะไร เลยโทรไปถาม อ.วรเจตน์ ซึ่งเคยพูดคำนี้ตอนคดีปราสาทพระวิหาร
อ.วรเจตน์ก็เลยอธิบายยาวเหยียดพร้อมแสดงความเห็นต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสรุปได้ว่า ถ้า อ.เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็จะไม่รับวินิจฉัย แต่ไม่เห็นด้วยที่ศาลระบุว่าการเข้าเฝ้าถวายสัตย์เป็น"การกระทำของรัฐบาล"
อ้าว ทำไมไม่รับวินิจฉัย เพราะมาตรา 47 พรบ.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญบััญญัติว่า การใช้สิทธิยื่นคำร้องมี 2 องค์ประกอบคือ
1.ต้องเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ
และ 2.ต้องมิใช่เป็นกรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ซึ่งมี 6 ข้อ ข้อแรกคือ การกระทำของรัฐบาล
อ.วรเจตน์เห็นว่า ข้อ 1.ก็พอแล้ว ที่จะไม่รับ คือการที่ประยุทธ์กล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ ไม่ได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพใครในทางกฎหมาย
คือการที่ นศ.ราม บอกว่าเสียสิทธิ ถ้าสมมติรัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ส่งผลต่อการออกนโยบายต่างๆ ฯลฯ มันไกลตัวเกินไป คล้ายๆ กับที่ยะใสอ้างว่ามีความผูกพันกับปราสาทพระวิหารแล้วไปยื่นศาลปกครองระงับแถลงการณ์ร่วม
การกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นเสมอไป ที่จะต้องมีผลละเมิดสิทธิ
ฉะนั้น คำร้องนี้ตกตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องบอกว่าเป็นการกระทำทางรัฐบาล ซึ่ง 1.ไม่จำเป็น 2. อ.วรเจตน์ไม่เห็นด้วย
เพราะถ้าบอกว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี เป็นการกระทำทางการเมือง (political Issue) และอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Government) แล้วการถวายสัตย์ของผู้พิพากษาก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 191 การปฏิญาณตนของ ส.ส. ส.ว. (ต่อในหลวงซึ่งทรงเสด็จไปเปิดประชุมรัฐสภา) ตามมาตรา 115 จะอธิบายอย่างไร
อ.วรเจตน์เห็นว่า ทั้ง 3 กรณี 3 อำนาจ เป็น "แบบพิธีทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ" เป็นขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติจะใช้อำนาจไม่ได้
การกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ เป็นการกระทำที่ไม่สมบูรณ์ ประชาชนเห็นประจักษ์ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดไว้ ว่าจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร จึงกลายเป็นข้อถกเถียงกัน
เพราะถ้าถึงขั้นบอกว่าสิ่งที่รัฐบาลทำโมฆะทั้งหมด ก็เกินไป จะวุ่นวาย แต่ถ้ารัฐบาลทำได้แล้วไม่เป็นไรเลย ก็จะเกิดคำถามว่า ถ้าอย่างนี้ ต่อไปรัฐบาลถวายสัตย์ไม่ครบ ส.ส. ส.ว. ศาล กล่าวถวายสัตย์ไม่ต้องเป๊ะ ขาดหรือเพิ่มก็ได้ใช่หรือไม่ แล้วจะอธิบายอย่างไร
ถามว่าถ้าร้องขัดสิทธิเสรีภาพไม่ได้ งั้นจะส่งศาลรัฐธรรมนูญทางไหน อ.วรเจตน์เห็นว่า ยากเหมือนกัน เพราะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ สมมติเช่น สภามีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการถวายสัตย์ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กร ส่งศาลวินิจฉัย แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก
ฉะนั้น ย้อนกลับไป อ.วรเจตน์จึงเห็นว่าศาลไม่รับเพราะไม่ได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้ร้อง ก็จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องยกเหตุผลอื่น
ส่วนที่ว่าการกระทำของรัฐบาลคืออะไร มีเกร็ดนิดหน่อย คำนี้นักกฎหมายส่วนใหญ่ใช้ว่า "การกระทำทางรัฐบาล" มีแต่บวรศักดิ์ชอบใช้คำว่า "การกระทำของรัฐบาล" แต่บวรศักดิ์เป็นคนร่างกฎหมาย 😍
การกระทำทางรัฐบาล คือการกระทำทางนโยบายซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ทางกฎหมาย เช่น การกระทำทางรัฐธรรมนูญระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา ยกตัวอย่างการยุบสภา ไม่ใช่เรื่องถูกผิดทางกฎหมายเป็นเรื่องความเหมาะสมทางการเมือง การกระทำระหว่างประเทศ เช่นเจรจาสนธิสัญญา ตรวจสอบทางกฎหมายไม่ได้เว้นแต่กฎหมายเขียนไว้ เช่นการทำสัญญาผูกพันที่ต้องขอความเห็นชอบรัฐสภา
กรณีแถลงการณ์ร่วมพระวิหาร นั่นแหละการกระทำทางรัฐบาล ที่สัมภาษณ์กันเมื่อ 11 ปีก่อน อ.วรเจตน์ก็เห็นว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจรับไว้
เมื่อเห็นว่าการถวายสัตย์ไม่ใช่การกระทำทางรัฐบาลแล้วฝ่ายค้านยังอภิปรายได้ไหม
อ.วรเจตน์เห็นว่าได้สิ เพราะศาลตรวจสอบทางกฎหมาย สภาตรวจสอบทางการเมือง คนละระบบกัน ที่บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร คือทางกฎหมาย ไม่ใช่ทางการเมือง แม้สภาเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีอำนาจห้ามองค์กรทางการเมืองตรวจสอบโดยเกณฑ์ทางการเมือง
ยกตัวอย่างรัฐบาลออก พรก.ชะลอการบังคับใช้ พรบ.ครอบครัว ที่สภาส่งศาลตีความ ถ้าศาลเห็นว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะส่งกลับมาที่สภา ซึ่งสภาก็มีอำนาจตีตก ถ้าเสียงข้างมากโหวตไม่รับ เพราะสภาใช้อำนาจทางการเมืองพิจารณาความเหมาะสมทางการเมือง มีสิทธิจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องออก พรก.แม้ศาลเห็นว่าจำเป็นเร่งด่วน
นอกจากนั้น บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เมื่อเห็นประจักษ์ว่ารัฐบาลถวายสัตย์ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ ส.ส.ก็มีสิทธิที่จะถามเหตุผลว่าทำไมไม่ครบ
บอกก่อนนะ นี่ไม่ได้ถอดเทปคำต่อคำ ผมฟังแล้วสรุปเอง ฉะนั้นถ้ามีหมายศาลไม่เกี่ยวกับ อ.วรเจตน์ 😵
ป.ล.เดี๋ยวคงสัมภาษณ์ อ.วรเจตน์โดยละเอียดอีกที แต่นี่บริ๊ฟสั้นๆ






Atukkit Sawangsuk

ถ้าไม่ยอมรับเรื่องทักษิณ ก็ไม่ต้องแก้มันหรอกครับ รัฐธรรมนูญ

เพราะรัฐธรรมนูญ 50 60 มันร่างมาเพื่อกำจัดทักษิณ อย่างที่เรียกกันว่า เผาบ้านไล่หนู ทำลายประชาธิปไตยเพื่อไล่แม้ว ทำลายนิติรัฐ หลักความยุติธรรม เพื่อเอาผิดคนตระกูลเดียว

อันที่จริง ถึงวันนี้ ทักษิณอาจชินชาไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแล้วกับคดีความ ถ้าทำใจเสียว่ายังไงก็ไม่ได้กลับบ้าน อยู่ดูไบสบายๆ บินไปไหนก็ได้ทั่วโลก

แถมสถานการณ์ต่อไป ทักษิณก็ไม่ได้เป็นเป้า ธนาธรสิ เป็นเป้ามากกว่า

แต่ประเด็นสำคัญคือ ความไม่เป็นประชาธิปไตย ความไม่ยุติธรรม ที่ใช้ทำลายทักษิณ มันไม่ใช่เรื่องของทักษิณคนเดียว

ความไม่เป็นประชาธิปไตย แบบกลัวทักษิณชนะ จนเขียนรัฐธรรมนูญมาให้เป็นรัฐบาลผสม รัฐบาลอ่อนแอ ให้ตู่ตั้ง 250 ส.ว.โหวตตัวเอง ให้มีกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คุมประเทศไปอีก 20 ปี ฯลฯ

นี่มันเรื่องที่เกลียดกลัวทักษิณ จนทำกับประเทศ ทำกับประชาชน แล้วจะไม่ให้รื้อฟื้นเรื่องทักษิณได้อย่างไร

ความไม่ยุติธรรมที่ทำกับทักษิณ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่ทำกับมวลชนเสื้อแดง ผู้รักประชาธิปไตย ใครรักประชาธิปไตยเป็นพวกทักษิณ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ตั้งแต่ปี 50,53,57 มาจนถึงคนอยากเลือกตั้้ง

คดีความทั้งหมดที่เอาผิดประชาชนอย่างไม่ยุติธรรม มันต้องรื้อฟื้นกันใหม่ "ลบล้างผลพวงรัฐประหารตุลาการภิวัตน์" ทั้งทักษิณทั้งประชาชน แยกจากกันไม่ได้

ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ต้องตระหนักว่า การมุ่งเอาผิดทักษิณ มุ่งสกัดกั้นทักษิณ ทำให้เกิดการสถาปนา "รัฐตุลาการเป็นใหญ่" เป็นคู่แฝดมหาภัย กับรัฐทหาร ใช้อำนาจชี้ขาดการเมือง ชี้ถูกชี้ผิดบิดเบือนความยุติธรรม อยู่เหนือประชาธิปไตย แล้วยังเป็นเทวดาที่วิพากษ์วิจารณ์ไมได้ แตะต้องไม่ได้

ก็ถูกละ ที่ว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญเอาเรื่องทักษิณมาเกี่ยว จะโดนต้าน แต่ถ้าไม่พูดเรื่องทักษิณ ไม่ลบล้างผลพวง แล้วจะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม ก็กลายเป็น่ลูบหน้าปะจมูก เป็นเครื่องมือกลบเกลื่อน ก้าวข้ามอดีต ก้าวข้ามความไม่ยุติธรรม ความเลวร้ายของรัฐประหารตุลาการภิัวัตน์ แล้วบอกว่ามาเริ่มต้นกันใหม่ มองไปข้างหน้าดีกว่า บลาๆๆ สุดท้ายก็เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมอยู่ดี










908Y-


สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page
·

#ทำไม เราถึงเรียงวันในสัปดาห์เป็นวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ ?


> ชื่อวันในสัปดาห์ถูกเรียงตั้งแต่ยุคสุเมเรียน ด้วยการนับชั่วโมงบนลำดับของดาวเคราะห์ ตามระบบโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วให้ชื่อดาวเคราะห์ประจำชั่วโมงที่ 1 ของแต่ละวันเป็นชื่อของวันนั้นๆ

การเรียงวันในสัปดาห์มีที่มาอย่างไร?

มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่า มนุษย์ใช้ระบบ 1 สัปดาห์มี 7 วัน มาตั้งแต่สมัยสุเมเรียนและบาบิโลน หรือเมื่อประมาณ 2,350 ปีก่อนคริสตศักราช

ในอดีต มนุษย์เชื่อว่า “โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล” ตามระบบของ ทอเลมี ดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของโลกมีทั้งหมด 7 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักรราศี ดาวเคราะห์ถูกเรียงโดยใช้อัตราการโคจรรอบโลกเป็นตัววัด เรียงได้เป็น ดาวเสาร์ (มีคาบการโคจรประมาณ 30 ปี) อยู่ไกลที่สุด ต่อมาเป็นดาวพฤหัสบดี (มีคาบการโคจรประมาณ 12 ปี) ดาวอังคาร (มีคาบการโคจรประมาณ 1.5 ปี) ดวงอาทิตย์ (มีคาบการโคจรประมาณ 1 ปี) ดาวศุกร์ (มีคาบการโคจรประมาณ 243 วัน) ดาวพุธ (มีคาบการโคจรประมาณ 88 วัน) และดวงจันทร์ (มีคาบการโคจรประมาณ 27.5 วัน) อยู่ใกล้โลกมากที่สุด

1 วัน ถูกนิยามว่าเป็น ระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งหนึ่งไปจนดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แบ่งออกเป็น 24 ส่วน (24 ชั่วโมง) คือ กลางวัน 12 ส่วน และกลางคืน 12 ส่วน

แล้วมีวิธีการเรียงชื่อวันอย่างไร?

[ดูภาพตารางในคอมเมนท์ประกอบ]

1. เรียงดาวบริวารทั้ง 7 ดวง จากดวงที่มีคาบการโคจรมากที่สุดมาน้อยที่สุด

2. นับ 1 - 24 ไปตามดาวเคราะห์ที่เรียงไว้ คือ เริ่มนับ 1 ดาวเสาร์ 2 ดาวพฤหัสบดี 3 ดาวอังคาร ไปเรื่อย ๆ เมื่อนับถึง 7 ดวงจันทร์ให้วนกลับมานับ 8 ดาวเสาร์ใหม่ ต่อไปเรื่อย ๆ

3. เมื่อนับครบ 24 แล้วให้กลับมาเริ่มนับ 1 ใหม่ (นับ 1 ใหม่ = เริ่มวันใหม่) นับวนไปเรื่อยๆจนกว่าจะนับ 1 ที่ดาวเสาร์อีกครั้ง

4. เรียงชื่อวันในสัปดาห์ใหม่อีกครั้งตามลำดับเลข 1 จะเรียงได้เป็น วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์

แล้วทำไมการเรียงลำดับวันจึงเริ่มต้นสัปดาห์ที่วันอาทิตย์?

ตามวิธีการเรียงชื่อของวันควรจะเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยวันเสาร์ แต่ปัจจุบัน กลับเริ่มที่วันอาทิตย์ เนื่องจากดวงอาทิตย์เป็นดาวดวงสำคัญที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุด ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์และมีการประกอบพิธีกรรมตามศาสนาโบราณด้วย แต่หลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ และบางส่วนของเอเชียถือว่าวันจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์ ตามข้อตกลงวันและเวลานานาชาติมาตรฐานสากล (ISO 8601: 1988) ที่กำหนดให้วันจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์และวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์

เรียบเรียง : พัชริดา ยั่งยืนเจริญสุข - เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.

อ้างอิง : หนังสือดาราศาสตร์พื้นบ้านไทย โดย วรพล ไม้สน
https://www.seiyaku.com/customs/days-months-seasons.html…





Atukkit Sawangsuk

ตู่ถวายสัตย์ไม่ครบ คนไทย 60 กว่าล้านเห็นกันเต็มสองตาได้ยินเต็มสองหู ว่าไม่ครบจริงๆ ยังรอดได้ แล้วจะเอาอะไรกับธรรมนัส

อันนี้เขียนไว้ก่อนแล้วละ แต่ก็เห็นท่าทาง แถเหมือนกันมาตั้งแต่ต้น
ซิดนีย์มอร์นิงเฮอรัลด์ เอาข้อมูลมาจากคำพิพากษา ยืนยันว่าธรรมนัสติดคุกในฐานะตัวการ ไม่ใช่กันไว้เป็นพยาน ยืนยันว่าติดคุก 4 ปี ไม่ใช่ 8 เดือน
ยังมาท้าชก หาว่าอีแอบ หาว่าคนไทยเขียนส่งให้ (เสรีพิศุทธิ์ก็พิลึก มาอวดว่าเป็นผลงานซะอีก)
เรื่องแค่นี้เป็น fact ที่พิสูจน์กันได้ง่ายๆ มงคลกิตต์ยังคิดออก ให้กระทรวงต่างประเทศขอคำพิพากษาจากออสเตรเลีย ขออย่างเป็นทางการ เอามาแปลไทย เผยแพร่ให้รู้ทั่วกัน
กลับยังเถียงอยู่ได้ ทั้งที่ตัวเองไม่มีเอกสารหลักฐานอะไรเลย วิษณุก็ยกคำพระ บริสุทธิ์หรือไม่ ต้องรู้ด้วยตัวเอง บุคคลอื่นหารู้แทนไม่
อะไรของแม่-วะ รัฐบาลสิ มีหน้าที่พิสูจน์ ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบ ในการแต่งตั้งธรรมนัส เมื่อสังคมกังขา รัฐบาลก็ต้องขอคำพิพากษามายืนยัน
นี่คือทำท่าจะปัดให้เป็นเรื่องการเมือง แล้วก็ทำเฉย โยนให้ฝ่ายค้านไปหาหลักฐานมา
หรืออ้างว่าเรื่องอยู่ในระหว่างกระบวนการยุติธรรม (คือไปฟ้อง ปอท.ว่าซิดนีย์มอร์นิงเฮอรัลด์ผิด พรบ.คอมพ์)
แล้วเดี๋ยวธนกร เอ๋ ปารีณา ฯลฯ ก็คงจะช่วยกันแถ สื่อฝรั่งโกหก สื่อฝรั่งร้บจ้าง แผนทำลายล้างทางการเมือง (โดยสื่อไทยก็จะช่วยกันแก้ต่างข้างถูเป็นขบวน)
มันก็มาอีหรอบเดียวกัน กับถวายสัตย์ฯไม่ครบ รัฐธรรมนูญเขียนโต้งๆ ออกโทรทัศน์ให้เห็นให้ฟังทั้งประเทศ
ไม่ต้องศาลไหนตัดสินหรอก คนทั้งประเทศตัดสินได้ว่าไม่ครบ แล้วก็งง ไม่เข้าใจ ทำไมไม่ครบ กลับไม่ตอบ ไม่ชี้แจง ไม่แสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน
ซึ่งนี่มันเป็นคนละเรื่องกับการยื่นศาล การยื่นศาลคือถามในทางกฎหมายว่า ไม่ครบแล้วจะมีผลอย่างไร ถือว่าสมบูรณ์หรือไม่ ปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่
แต่ปากกาไม่ได้อยู่ที่ประชาชน เมื่อศาลบอกไม่มีอำนาจ ไม่มีใครมีอำนาจ คำถามทางกฎหมายก็จะลอยอยู่อย่างนั้น
แต่คำถามของประชาชนไม่เกี่ยวกัน คำถามของประชาชนคือ บอกหน่อยสิ มาตรา 161 มีแค่ 3 บรรทัด ทุกรัฐบาลเขาอ่านครบ นี่ทำไมอ่านไม่ครบ ง่ายๆแค่นี้เองที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนผ่านสภา
ถ้าจะไม่ตอบ ถ้าจะล้มอภิปราย ก็คือการบอกว่า รัฐบาลนี้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
ฉะนั้นทำอะไรผิด ไม่เหมาะไม่ควร ขัดธรรมาภิบาล จริยธรรม ก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน อย่างธรรมนัส ชี้แจงแล้วฟังไม่ขึ้น ก็ไม่ต้องลาออก
มีคนเทียบณรงค์ วงศ์วรรณ แค่ถูกกล่าวหายังเป็นนายกฯไม่ได้
ปัดโธ่ นั่นมันยุคไหนแล้ว ยุคนี้ไม่ใช่ปี 35 รัฐประหารยังสืบทอดอำนาจได้อย่างหนาๆ

แฟ้มภาพโดนัลด์ ทรัมป์ในวันสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเมื่อ 21 มกราคม 2560 (ที่มา: Facebook/the white house)

Posted: 12 Aug 2019 07:42 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Mon, 2019-08-12 21:42


หนึ่งในประเด็นใหญ่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯ คือกรณีการกราดยิงต่อเนื่อง ที่หลังจากนั้นประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และนักการเมืองรีพับลิกันก็ออกมากล่าวโทษเกม แต่ก็มีการวิจารณ์ตอบโต้ว่าแทนที่นักการเมืองอนุรักษ์นิยมจะโทษเกม พวกเขาควรให้ความสนใจอาชญากรรมจากความเกลียดชังเชื้อชาติสีผิวมากกว่า นอกจากนี้เรื่องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนกลับมาเป็นข้อถกเถียงอีกครั้ง และจากผลโพลเมื่อไม่นานนี้ระบุว่าชาวอเมริกันต้องการกฎหมายควบคุมอาวุธปืน และกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนดำเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ควบคุมอาวุธปืน


12 ส.ค. 2562 หลังจากเหตุการณ์คนก่อเหตุกราดยิงในหลายที่ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นติดต่อกันในช่วงไม่นานนี้ ทั้งใน เดย์ตัน โอไฮโอ และในเอลปาโซ ของเท็กซัส ก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมความรุนแรงจากอาวุธปืนอีกครั้ง สถานีวิทยุสาธารณะแห่งชาติสหรัฐฯ NPR ระบุว่าหนึ่งในเรื่องที่กลายมาเป็นข้ออภิปรายทางการเมืองคือเรื่องกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

โดยในช่วงสัปดาห์ที่แล้วมีกลุ่มประชาชนผู้ไม่พอใจเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอจากพรรครีพับลิกันทำอะไรสักอย่างกับกรณีอาวุธปืนหลังเกิดเหตุกราดยิงในเดย์ตัน หลังจากนั้นแม้แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้พูดโทษวิดีโอเกมที่มีความรุนแรงเริ่มพูดถึงการพิจารณากฎหมายจำกัดการถือครองอาวุธปืนโดยอาศัยการตรวจสอบพื้นเพของบุคคล

ทั้งนี้จากผลโพลหลายสำนักก็เผยว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐฯ จากผลโพลของมหาวิทยาลัยควินนิเปียกระบุว่าผู้ทำแบบสอบถามร้อยละ 61 เห็นด้วยกับการที่สหรัฐฯ จะมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากขึ้น มีร้้อยละ 34 ที่คัดค้านในเรื่องนี้และที่เหลือระบุว่าไม่ทราบ ข้อมูลที่หน้าสนใจอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับโพลนี้คือเรื่องที่มีผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตร้อยละ 91 ระบุว่าเห็นด้วย ส่วนพรรครีพับลิกันมีเพียงร้อยละ 32 เท่านั้นที่เห็นด้วย

นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติสีผิวและเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยที่กลุ่มที่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืนมากที่สุดคือกลุ่มคนดำ มีกลุ่มตัวอย่างคนดำถึงร้อยละ 85 เห็นด้วยในเรื่องนี้เมื่อเทียบกับคนขาวและฮิสแปนิคที่เห็นด้วยร้อยละ 59 นอกจากนี้ผู้หญิงที่ทำแบบสอบถามยังเห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืนเช้มงวดมากขึ้นร้อยละ 68 เทียบกับชายมีผู้เห็นด้วยร้อยละ 53

มีผลโพลอีกแห่งหนึ่งคือแมสิสต์โพลออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่ามีร้อยละ 51 ที่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดขึ้น ขณะที่ร้อยละ 36 ระบุว่าควรจะปล่อยกฎหมายให้คงเดิม อย่างไรก็ตามสำหรับคำถามที่ว่าระหว่างการควบคุมความรุนแรงจากอาวุธปืนให้มากขึ้นกับการคุ้มครองสิทธิในการพกพาอาวุธปืนพวกเขาเห็นด้วยกับอย่างใดมากกว่ากัน ร้อยละ 58 ระบุว่าพวกเขาเห็นด้วยกับการควบคุมความรุนแรง ส่วนร้อยละ 37 ระบุว่าควรจะคุ้มครองสิทธิด้านอาวุธปืนมากกว่า

อย่างไรก็ตามท่าทีของวุฒิสภาสหรัฐฯ นำโดย ส.ว.เสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกันก็แสดงออกว่าจะสนับสนุนผลักดันให้เกิดกฎหมาย "ธงแดง" ที่อนุญาตให้ตำรวจหรือสมาชิกครอบครัวขอหมายศาลเมื่อยึดอาวุธปืนชั่วคราวจากบุคคลที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อพวกเขาหรือบุคคลอื่นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความผิดที่พวกเขาก่อ

ทั้งนี้ ส.ว. รีพับลิกัน มิตช์ แมคคอนเนล ยังเคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อวิทยุในสหรัฐฯ ว่าเขารับทราบเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพื้นเพของผู้ที่จะพกพาอาวุธปืน เรื่องนี้สะท้อนจากผลโพลของแมริสต์โพลเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาระบุว่าร้อยละ 89 สนับสนุนให้มีการตรวจสอบพื้นเพของผู้คนที่จะซื้ออาวุธปืน ซึ่งในเรื่องนี้แม้กระทั่งผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันก็เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 84 เรื่องนี้ยังสะท้อนในผลโพลของควินนิเปียกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่กลุ่มตัวอย่างผู้ทำแบบสอบถามจากทุกฝ่ายทางการเมืองรวมถึงผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคใดล้วนแต่เห็นด้วยกับการตรวจสอบพื้นเพ

อย่างไรก็ตามถึงแม้การเคลื่อนไหวเรียกร้องควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐฯ จะดำเนินมาตลอดแต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มีการขัดขวางจากกลุ่มสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (NRA) ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้เรื่องสิทธิในการถือครองอาวุธปืนในสหรัฐฯ โดยมีการบริจาคให้นักการเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส. และ ส.ว. จากพรรครีพับลิกัน

มีสื่อเปิดโปงในเรื่องนี้โดยอาศัยข้อมูลจาก OpenSecrets.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขององค์กรวิจัยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ชื่อ Center for Responsive Politics จากข้อมูลดังกล่าวระบุว่าผู้ที่รับบริจาคจาก NRA มากที่สุดคือ เท็ด ครูซ ส.ว. รีพับลิกันจากรัฐเท็กซัส ซึ่งรับเงินจาก NRA ราว 300,000 ดอลลาร์ในปี 2561 ถึงแม้ว่าครูซจะออกมาประณามการก่อเหตุล่าสุดก็ตาม นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองรีพับลิกันรายอื่นๆ ที่รับเงินบริจาคจาก NRA ตั้งแต่ 30,000-200,000 ดอลลาร์ในปีเดียวกัน
ฝ่ายซ้ายจวกทรัมป์โทษแต่เกม แต่ไม่สนใจอาชญากรรมจากความเกลียดชัง

นอกจากประเด็นเรื่องการควบคุมอาวุธปืนแล้ว หลายครั้งเมื่อมีการก่อเหตุกราดยิงในสหรัฐฯ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็มักจะกล่าวโทษว่าสื่อวิดีโอเกมที่มีความรุนแรงเป็นต้นเหตุ และในครั้งนี้เองประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เคยพูดในแบบเดียวกันรวมถึงนักการเมืองรายอื่นๆ ของรีพับลิกันเช่น เควิน แมคคาธี ด้วย

เรื่องนี้ทำให้มีการโต้ตอบจากนักการเมืองฝ่ายซ้ายอย่างอเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ ผู้แทนเดโมแครทที่ระบุในทวิตเตอร์โต้ตอบการโทษเกมของแมคคาธีว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่วิดีโอเกม แต่เป็นแนวคิดแบบคนขาวเป็นใหญ่ (white supremacy) ต่างหาก โอแคซิโอ-คอร์เทซ วิจารณ์อีกว่าในเรื่องนี้พรรครีพับลิกันรู้อยู่แก่ใจ เพราะแม้แต่ประธานาธิบดีเองก็เคยกล่าวต่อฝูงชนขับไล่สมาชิกสภาที่ไม่ใช่คนขาวมาก่อน

มีหลักฐานส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าแรงจูงใจของกรณีการกราดยิงที่เอลปาโซนั้นมาจากเรื่องความเกลียดชังทางเชื้อชาติสีผิว โดยที่ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุในเอลปาโซเพิ่งให้การรับสารภาพว่าเขามีแรงจูงใจมุ่งสังหาร "ชาวเม็กซิกัน" ผู้ต้องสงสัยบอกว่าเขาได้วางแผนการก่อเหตุและขับรถเป็นระยะเวลายาวนาน 10 ชั่วโมงจากเมืองอัลเลนในเท็กซัสมาถึงเมืองเอลปาโซที่มีพรมแดนติดกับเม็กซิโก จากนั้นจึงก่อเหตุด้วยการเปิดฉากยิงใส่ผู้คนที่ห้างค้าปลีกวอลล์มาร์ทจนมีผู้เสียชีวิต 22 รายมีอายุตั้งแต่ 15-90 ปี ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเมืองอเมริกัน มีอยู่ 8 รายที่เป็นคนเม็กซิกัน และมีรายหนึ่งเป็นชาวเยอรมัน

เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่าช่วงก่อนก่อเหตุในเอลปาโซผู้ก่อเหตุได้โพสต์ข้อความยาว 2,300 ตัวอักษรบนเว็บบอร์ด 8chan ในช่วงก่อนเกิดเหตุเพียง 19 นาที เนื้อหาข้อความยืดยาวของเขาระบุว่า "ชาวฮิสแปนิกรุกรานรัฐเท็กซัส"

โอแคซิโอ-คอร์เทซ เคยวิจารณ์ไว้ว่าเรื่องเหล่านี้มาจากการปลุกปั่นของผู้นำที่เหยียดเชื้อชาติสีผิว โดยที่ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็เคยเรียกผู้อพยพว่าเป็น "ผู้รุกราน" ผ่านทางโฆษณาของเขาในเฟสบุก

จากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสาขาหนึ่งของห้างค้าปลีกวอลล์มาร์ท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดหาอาวุธปืนรายใหญ่ในสหรัฐฯ แทนที่ทางบรรษัทจะพิจารณาเรื่องการควบคุมการค้าอาวุธปืนของตัวเอง พวกเขาก็กลับสั่งให้ลูกจ้างของตัวเองยกเลิกการวางโชว์วิดีโอเกมที่ "มีเนื้อหารุนแรงหรือพฤติกรรมก้าวร้าว" แทน นอกจากนี้ยังสั่งยกเลิกการจัดแสดงตัวอย่างของเกมเครื่องคอนโซลที่นำเสนอเนื้อหารุนแรงจากร้านค้าของพวกเขา 4,750 สาขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดถึงว่าจะยกเลิกการขายปืนหรือกระสุนปืนแต่อย่างใด โดยพวกเขายังขายสินค้าเหล่านี้ในห้างของพวกเขาครึ่งหนึ่งจากทุกสาขา

เรื่องนี้ทำให้คนทำงานวอลล์มาร์ทพากันประณามการตัดสินใจของคนใหญ่คนโตในองค์กรที่เน้นโทษวิดีโอเกมแทนที่จะทำให้อาวุธปืนเข้าถึงได้ยากขึ้น โดยที่คนงานร่วมกับองค์กรยูไนเต็ดฟอร์เรสเปกต์ออกแถลงการณ์วิจารณ์ว่าการตัดสินใจของซีอีโอ ดัก มักมิลลัน "ไร้ความรับผิดชอบและเหลาะแหละ"

กลุ่มคนงานแถลงว่านโยบายใหม่นี้ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยในที่ทำงานเลย และสิ่งที่เป็นอันตรายจริงๆ ไม่ใช่วิดีโอเกมแต่คือ "การที่ปืนตกอยู่ในมือของคนที่มีแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่" พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์อีกว่าการที่ซีอีโอของวอลล์มาร์ทยอมสมรู้ร่วมคิดกับการเหยียดเชื่อชาติสีผิวและการกลัวคนนอกของทรัมป์ทำให้คนงานอย่างพวกเขาต้องเสี่ยงอันตราย

หลังจากเกิดเหตุการกราดยิงหลายครั้งในสหรัฐฯ ช่วงที่ผ่านมา ทรัมป์เริ่มออกมาเรียกร้องให้มีการ "ประณามการเหยียดเชื้อชาติ, การดันทุรังไม่ยอมรับความต่าง และแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่" ซึ่งเรื่องนี้นักการเมืองสายห้าวหน้าเรียกร้องมานานแล้ว และตัวทรัมป์เองก็ไม่ได้พูดถึงการใช้โวหารและนโยบายที่เหยียดเชื้อชาติสีผิวของตัวเอง

เรียบเรียงจาก

'I'm The Shooter,' El Paso Suspect Allegedly Told Police, NPR, 09-08-2019

US president Donald Trump blames videogames for fueling violent culture, PC Gamer, 05-08-2019

Ocasio-Cortez Tells Off Kevin McCarthy: Blame White Supremacy, Not Video Games, Huffington Post, 05-08-2019

Americans Largely Support Gun Restrictions To 'Do Something' About Gun Violence, NPR, 10-12-2019

These lawmakers receive the most campaign money from gun-rights backers like the NRA, Market Watch, 10-12-2019

Gun Rights: Top Recipients, OpenSecrets.org

Workers and Shooting Survivors Slam Walmart Plan to Stop Gun Violence by...Wait for It...Displaying Video Games Less Prominently, Common Dreams, 09-08-2019

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Red_flag_law



Posted: 12 Aug 2019 08:26 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Mon, 2019-08-12 22:26


ช่วยกันหาคำตอบที่ พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่ามีพรรคการเมืองตั้งใหม่พยายามให้ความรู้โดยใช้โฆษณาชวนเชื่อและข่าวปลอมกับวัยรุ่นไทยนั้นคือพรรคใด ผ่านข่าวปลอมหรือข่าวเงิบในรอบปีที่ผ่านมา

12 ส.ค.2562 หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุผ่านสำนักข่าวต่างประเทศว่ามีพรรคการเมืองตั้งใหม่ที่พยายามให้ความรู้โดยใช้โฆษณาชวนเชื่อและข่าวปลอมกับวัยรุ่นไทยนั้น

ในโอกาสนี้ประชาไทจะรวบรวมแท็ค 'เงิบ' และ 'ความเงิบ' ที่ประชาไทรวบรวมไว้ประมาณ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่ามี "มีพรรคการเมืองตั้งใหม่" ขึ้นมาว่ามีการใช้การโฆษณาชวนเชื่อและข่าวปลอมอย่างไรบ้าง


1. #เนชั่นโป๊ะแตก ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ หลังมีคนแฉ 'กนก' เปิดคลิปตัดต่อเสียงเหมือน 'ทักษิณ-ธนาธร'

ข่าวเมื่อ มี.ค.ที่ผ่านมาภายหลังจากมีผู้อัดวิดีโอคลิปวิเคราะห์คลิปเสียงที่รายการข่าวข้น คนเนชั่น นำโดย กนก รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งได้นำคลิปเสียงของคล้ายทักษิณ ชินวัตร กับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สนทนากันมาเปิดในรายการ แต่กลับมาผู้วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากถึงการตัดต่อวิดีโอคลิปดังล่าว ส่งผลให้ #เนชั่นโป๊ะแตก ติดอันดับ 1 เทรนด์ในทวิตเตอร์ อย่างไรก็ตาม ผู้อัดวิดีโอวิเคราะห์เสียงดังกล่าว ได้นำคลิปขณะที่ ทักษิณ บรรยายที่ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย เมื่อปี 46 มาเปรียบเทียบ พบว่าตรงกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคลิปเสียงที่ รายการข่าวข้น คนเนชั่น นำมาเผยแพร่นั้นเป็นการตัดต่อขึ้นมา
2. คาถาแยกเงาพันร่าง : พบผู้ฟังเวทีปราศรัย 'พลังประชารัฐ' แยกร่างหลายคนจนแน่นขนัด

ข่าวช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'พรรคพลังประชารัฐ' https://www.facebook.com/PPRPThailand/posts/565895497250457 ที่มียอดผู้กดถูกใจ 8 หมื่นคน ขณะนั้น โพสต์ภาพแกนนำพรรคปราศรัยที่ศาลากลางหลังเก่า ทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี โดยภาพดังกล่าวมีจุดน่าสังเกตคือ กลุ่มผู้มาร่วมฟังการปราศรัยมีใบหน้า การแต่กาย และการแสดงท่าทางที่เหมือนกันด้วย

อย่างไรก็ตามมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นใต้โพสต์ดังกล่าวเชิงต่อว่าและเสียดสีว่าเป็นการตัดต่อ

ก่อนที่ต่อมาไม่นาน จะไม่สามารถเข้าถึงโพสต์ดังกล่าวได้แล้ว พร้อมปรากฎข้อความแจ้งจากเฟสบุ๊คด้วยว่า "ขออภัย เนื้อหานี้ไม่พร้อมใช้งานในขณะนี้ ลิงก์ที่คุณได้ติดตามอาจหมดอายุไปแล้ว หรือเพจนี้อาจจะมองเห็นได้เฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้รวมถึงคุณด้วย"

รายงาน : รวมปรากฏการณ์ ‘เงิบ’ ระแวงสักนิด ก่อนคิดจะแชร์
'อภิรัชต์' ให้สัมภาษณ์สื่อนอก ยืนยันกองทัพในยุคตน 'ไม่มีรัฐประหาร-ไม่ล้ำเส้นการเมือง'
'อนาคตใหม่' โต้หลัง 'อภิรัชต์' ระบุ 'พรรคตั้งใหม่' ใช้ 'ข่าวปลอม' หลอกเยาวชน
3. 'เหรียญทอง' แจ้งมีคนถูกจับคดีหมิ่นฯกษัตริย์ที่สุวรรณภูมิ ก่อนลบโพสต์ บอก 'เป็นข่าวลวง'

เมื่อ 22 พ.ย. ปีที่แล้ว พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กว่า ตนขอยกเลิกการตรวจสอบข่าวการจับกุมและควบคุมตัวผู้หลบหนีหมายจับคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเช้าวันนี้ 22 พ.ย.61 เมื่อเวลา 9.26 น. เพราะเป็นข่าวลวง ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง โดยที่ก่อนหน้านั้น พล.ต.เหรียญทอง โพสต์ข้อความแจ้งว่า การจับกุมและควบคุมตัวผู้หลบหนีหมายจับคดีหมิ่นฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนที่ข้อความดังกล่าวจะถูกลบออกไป


4. 'ธนาธร' จ่อดำเนินการทางกฎหมาย หลังเพจ 'เดรัจฉานนิวส์' ทำข่าวปลอมปมวัดตีระฆัง

ช่วง ต.ค.ปีที่แล้ว กรณีข่าวระหว่างคอนโดมิเนียมกับวัดไทรที่มีการเรียกร้องให้หยุดตีระฆัง ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้วัดไทรตีระฆังต่อ ไปจนถึงไล่ตามหาผู้อาศัยที่คอนโดมิเนียมดังกล่าวว่าใครเป็นผู้ร้องเรียนนั้น

ผลกระทบไม่เพียงการตามล่าหาตัวผู้ร้องเรียนการตีระฆังเท่านั้น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกเฟสบุ๊กแฟนเพจ 'เดรัจฉานนิวส์' (https://www.facebook.com/เดรัจฉานนิวส์-159204968131869/) นำภาพตัวเขา พร้อมใส่ข้อความโพสต์ในเพจเพื่อให้คนเข้าใจผิดว่า ธนาธร มีความเห็นในลักษณะคัดค้านการตีระฆัง

ต่อมาเฟสบุ๊ก 'Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' โพสต์ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า "เป็นข่าวปลอม ที่จงใจให้เกิดความเสียหายกับผมและพรรคอนาคตใหม่ ฝากบอกทุกๆ คนด้วยครับ ทางเรากำลังเตรียมดำเนินการทางกฎหมายต่อไป"

จนต่อมาเพจ 'เดรัจฉานนิวส์' ได้ลบโพสต์ที่มีปัญหากับธนาธรออก

เพจใหม่ว่า 'ถูกแฮก' โฆษกกองทัพฯ ว่า 'เพจปลอม' ปมเพจชื่อหน่วยทหารโพสต์ชวนเลือกประยุทธ์


โพสต์ชวนเลือก 'ประยุทธ์' ของหน่วยทหารปลิวทันที หลังโทรถาม
5. เงิบ! 'Gossipสาสุข' จับเท็จ 'ประยุทธ์' หลังพูดปัญหา 'บัตรทอง' ในรายการศาสตร์พระราชาฯ

จากกรณี ก.ย.61 พล.อ.ประยุทธ์ ตอนหนึ่งในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ถึงปัญหาของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ยังคงมีความไม่สมบูรณ์ ในการขอรับบริการด้านสุขภาพ หลายประการ ได้แก่ (1) รักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ (2) ไม่คุ้มครองการรักษาที่เกินความจำเป็นพื้นฐาน (3) ไม่คุ้มครองการรักษาที่มีงบประมาณจัดสรรโดยเฉพาะ และ (4) ไม่คุ้มครองกรณีโรคเรื้อรัง และโรคที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน เกินกว่า 180 วัน นั้น

แต่ต่อมา 'Gossipสาสุข' ได้นำข้อมูลมาแย้ง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “มั่ว” ทั้งหมด พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง ชี้เป็นการแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพของรัฐบาลชุดนี้ได้ชัดเจน

นอกจากนี้ก่อนเลือกตั้งเฟสบุ๊คแฟนเพจที่ใช้ชื่อว่า 'กองการสื่อสาร หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา' ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ มิ.ย.2558 มียอดคนกดถูกใจประมาณ 1,000 คน โพสต์ภาพพร้อมข้อความนอกจากประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลแล้ว เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ยังโพสต์เชิญชวนให้ไปเลือก พล.อ.ประยุทธ์ โดยภาพดังกล่าวปรากฏตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อไป ยังเบอร์ 02-1936085 ซึ่งปรากฎในเว็บไซต์ของ แผนกสารสนเทศ กองการสื่อสาร หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาฯ และปลายสายดังกล่าวให้เบอร์โทรผู้ดูแลเว็บและเฟสบุ๊กแฟนเพจมา จึ่งได้โทรสอบถาม หลังจากนั้นโพสต์ประชาสัมพันธ์ดังกล่าวก็ถูกลบไป จนต่อมาเพจนี้ ซึ่งมี URL ว่า https://www.facebook.com/signalafdc ก็หายไปด้วยนั้น

ต่อมากับปรากฏเฟสบุ๊คแฟนเพจ ชื่อ 'กองการสื่อสารหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา' แทน โดยมี URL คือ https://www.facebook.com/afdccommd ณ เวลา 18.34 น. มีผู้กดถูกใจ 5 คน พร้อมทั้งโพสต์ภาพและข้อความอ้างว่า "ขณะนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดี ได้ทำการ Hack Facebook ของกองการสื่อสาร หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือยุยงปลุกปั่น และสร้างความเข้าใจผิดให้กับหน่วยงาน ทางหน่วยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พบว่า ผู้ดูแลเพจ/เว็บไซต์ ไม่ได้มีการโพสต์ข้อความตามที่ปรากฏ คาดว่าเป็นการถูก Hack Facebook ซึ่งผู้ดูแลได้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่านและเพิ่มมาตรการการเข้าถึงข้อมูล และได้ทำการเปิดเพจใหม่

"เนื่องจากในห้วงสัปดาห์นี้มีผู้ไม่หวังดี มีความพยายามที่จะดิสเครดิตซึ่งกันและกัน โดยการปล่อยข่าวปลอมต่างๆ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสาร" เพจ 'กองการสื่อสารหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา' โพสต์เตือน

[full-post]



Posted: 12 Aug 2019 09:04 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)
Submitted on Mon, 2019-08-12 23:04


ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ ม.รังสิต ประเมินผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัวทางนโยบายเศรษฐกิจของจีนรับมือสงครามการค้าส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย พร้อมเสนอให้มียุทธศาสตร์ทางการค้าเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว

12 ส.ค.2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฎิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แจ้งว่า วันนี้ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ เปิดเผยว่า ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัว (U-turn) ของนโยบายเศรษฐกิจของจีนจะส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญทั้งบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยและตลาดการเงินทั่วโลก การอ่อนตัวของเงินหยวนสะท้อนการชะลอตัวของการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงของจีนในระดับหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นการบริหารจัดการให้เงินหยวนอ่อนค่าลง และ ธนาคารกลางของจีนได้ทะยอยปรับลดค่าเงินหยวนลงมาตามลำดับอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเงินทุนไหลออกจากประเทศจีนหรือการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการกลับตัว (U-turn) ทางนโยบายเศรษฐกิจจีนเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสงครามทางการค้าจีนสหรัฐฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2549-2556 ธนาคารกลางของจีนได้ปรับค่าเงินหยวนแข็งค่ามาโดยตลอด การปรับค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงถึง 3 ครั้ง ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยล่าสุดมีการปรับค่า midpoint reference มาอยู่ที่ 7.0211 หยวนต่อดอลลาร์ การเจตนาให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการค้าสามารถมองได้ว่า จีนกำลังบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) เพื่อตอบโต้การขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

เงินหยวนอ่อนค่าลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเอเชียที่มีระดับการเปิดประเทศสูงและพึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางลบเพิ่มเติมต่อภาคส่งออก ภาคการท่องเที่ยวและภาคการลงทุนโดยเฉพาะการไหลออกมาลงทุนของกลุ่มทุนข้ามชาติจีนจะลดลง การลงทุนของกลุ่มทุนจีนในอีอีซีอาจไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ จีนมีความจำเป็นในการรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ต่ำกว่าเป้าหมายมากเกินไป การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การเติบโตของสหรัฐอเมริกามีผลต่อเศรษฐกิจโลกประมาณ 17-20% ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะมีสาเหตุจากผลกระทบจากสงครามการค้าและมีต้นตอมาจากประเทศสหรัฐฯและจีน

ข้อจำกัดของการดำเนินนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศของจีนมีข้อจำกัดจากปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในระบบสถาบันการเงิน พร้อมกับ การขยายการลงทุนในโครงการต่างๆจำนวนมากของรัฐวิสาหกิจในช่วงที่ผ่านมาและมีการลงทุนส่วนเกินอยู่จำนวนมาก การกดให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเพื่อสนับสนุนการส่งออก คือ ทางออกของจีน แต่จะสร้างปัญหาให้กับหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้า และ กระตุ้นให้หลายประเทศแข่งขันกันลดค่าเงิน สิ่งนี้จะกดดันให้การขยายตัวของการค้าโลกลดลงอีก เงินหยวนอ่อนค่าจะทำให้เงินทุนจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายไปถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ ภาวะดังกล่าวจะกดดันให้สหรัฐฯปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เงินหยวนและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเป็นผลทั้งปฏิกิริยาของตลาดการเงินโลกและเป้าหมายทางนโยบายการเงิน ภาวะดังกล่าวจะทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของโลกไม่มีเสถียรภาพ กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของบางประเทศได้ เศรษฐกิจของหลายประเทศจะมีความเปราะบางและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในที่สุด เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยและปัญหาเศรษฐกิจอาจบานปลายเนื่องจากหลายประเทศไม่ได้มีพื้นที่นโยบายเพียงพอที่จะรับมือโดยเฉพาะประเทศที่มีฐานะทางการคลังอ่อนแอและมีหนี้สาธารณะในระดับสูง

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยต้องชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตส่วนเกิน ทบทวนการลงทุนและการใช้จ่ายเกินตัวของภาครัฐโดยเฉพาะการจัดซื้อที่ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน การลงทุนหรือผลิตเกินความต้องการภายในประเทศและอุปสงค์ของตลาดโลกจะสร้างปัญหาฟองสบู่ในอนาคตจากการลงทุน ต้องปรับการลงทุนหรือการผลิตอย่างเหมาะสมเพื่อปรับสมดุลให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน การขาดความสมดุลจะนำมาสู่ความยุ่งยากทางเศรษฐกิจและความซับซ้อนต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต การส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยบรรเทาผลกระทบของปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ระดับหนึ่ง การกระตุ้นการบริโภค การเพิ่มและการกระจายรายได้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในช่วงนี้

ผศ.ดร.อนุสรณ์ เสนอให้ไทยมียุทธศาสตร์การค้าเพิ่มเติมที่จะสามารถรับมือความท้าทายสงครามการค้า และสงครามค่าเงินเริ่มต้นด้วย ยุทธศาสตร์การค้าที่ต้องผลิตสินค้าให้ตรงกับอุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมส่งออกใหม่ ยุทธศาสตร์การผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานและผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการทางออนไลน์ด้วย Platform ของตัวเอง และ การสร้าง Brand ในระดับประเทศที่ SME สามารถใช้ประโยชน์ได้ ยุทธศาสตร์การปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐให้เอื้อต่อการประกอบธุรกรรมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้ง ปรับจำนวนพิกัดอัตราภาษีศุลกากรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการค้า

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงทุนจากกลุ่มทุนจีนมายังอาเซียนและไทยเพื่อเลี่ยงผลกระทบสงครามการค้าจีนสหรัฐฯเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งกำเนิดสินค้าและกติกาด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เข้มงวดน้อยกว่าจำเป็นที่ประเทศผู้รับการลงทุนอย่างไทยต้องคัดเลือกโครงการด้วยความละเอียดรอบคอบและละเอียดอ่อนเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาการกีดกันทางการค้าต่อประเทศไทยในอนาคต

[full-post]
ขับเคลื่อนโดย Blogger.