Sunthorn Utaithum

ชาวเวเนซุเอลากำลังจะอดตาย หลังเกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงซึ่งคาดว่าจะแตะระดับหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปี ขณะที่ในตอนนี้ ต้องใช้เงินเดือนเกือบทั้งเดือนเพื่อที่จะซื้อเนื้อไก่ใกล้เสียเพียงแค่กิโลเดียวแล้ว เวเนซุเอลาซึ่งเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการมีปริมาณน้ำมันสำรองมหาศาล กำลังประสบกับวิกฤตทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนทำให้เกิดการลี้ภัยของประชาชนออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนักไปทั่วประเทศ จำนวนอาชญากรรมและความยากจนพุ่งสูงขึ้น จนทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั้งประเทศ

ในคลิปเราจะเห็นชาวเวเนซุเอลาหลายแสนคนกำลังข้ามสะพาน เพื่อจะหนีความอดอยากออกนอกประเทศไปยังโคลัมเบีย ประชาคมโลกได้เรียกประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ชายแดนร่วมกับประเทศบราซิล เอกวาดอร์ เปรู และโคลัมเบียแล้ว

Venezuelans are starving to death after hyperinflation is expected to reach one million percent by year's end. It would cost you almost all of your monthly income if you were to buy a kilo of rotten meat in the country now. Venezuela, once a rich oil reserve country, is now battering an unprecedented economic crisis from hyperinflation that causes mass migration, food shortage, increasing number of crimes and grinding poverty into which pushing the nation a deep turmoil.

In the clip, you will see hundreds of thousands of Venezuelans are crossing a bridge trying to flee the country looking for food to Columbia. The global community convenes an emergency meeting about the humanitarian crisis at the borders with Brazil, Ecuador, Peru, and Columbia.



ภาพจากวิดีโอล่าสุดของกลุ่มนักศึกษา (ที่มา: CLB)

Posted: 28 Aug 2018 01:12 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 15:12



นักศึกษาจีนหายตัวไป 50 คน หลังจากที่ตำรวจทางการจีนบุกกวาดจับพวกเขาที่หอพักใกล้เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น นักกิจกรรมแรงงานเปิดเผยว่านักศึกษากลุ่มนี้รวมตัวช่วยเหลือคนงานอุตสาหกรรมจัดตั้งสหภาพแรงงานก่อนที่จะถูกจับไม่ทราบชะตากรรมดังกล่าว

27 ส.ค. 2561 เดอะการ์เดียนของอังกฤษ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากนักกิจกรรมด้านแรงงานที่รู้จักกับนักศึกษาจีนกลุ่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์บุกกวาดจับเกิดขึ้นในช่วงตี 5 ของวันศุกร์ที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมาในเมืองหุ้ยโจว มณฑลกวางตุ้ง ใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น นักกิจกรรมแรงงานบอกว่าเขาไม่สามารถติดต่อกับนักศึกษาที่ถูกจับกุมได้

มีวิดีโอที่เผยแพร่การบุกกวาดจับนักศึกษา 50 คน และคนงาน 5 คน ในที่พัก (รับชมวิดีโอ) วิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นตำรวจในชุดปราบจลาจลบุกอพาร์ตเมนต์โดยมีการต่อสู้ผลักกันกับกลุ่มผู้อาศัยในที่พัก นักศึกษาและกลุ่มคนงานที่ถูกจับในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสิทธิแรงงานที่กำลังเติบโตขึ้นในพื้นที่การผลิตของจีน ขณะเดียวกันทางการจีนก็ปิดกั้นพวกเขาไม่ให้มีการรวมกลุ่มเป็นสหภาพได้อย่างอิสระและกิจกรรมแรงงานของพวกเขาก็ถูกมองว่า "เป็นภัย"

เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาคนงานและกลุ่มคนที่สนับสนุนคนงานทำการประท้วงที่โรงงานจาซิค ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเครื่องมืองานเชื่อมอุตสาหกรรมในเมืองเซินเจิ้น ทางโรงงานโต้ตอบด้วยการไล่พนักงานออก โดยพนักงานที่ถูกไล่ออกเป็นกลุ่มที่พยายามจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อเป็นตัวแทนคนงานโดยดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายของจีน

การจัดตั้งสหภาพในจีนต้องมีการจดทะเบียนกับ 'สหพันธ์แรงงานจีน' (ACFTU) ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนและเป็นกลุ่มที่มักจะเข้าข้างฝ่ายบริหารของโรงงาน

การประท้วงในเดือน ก.ค. ได้รับการสนับสนุนจากนักศึกษามหาวิทยาลัยจีน พวกเขาโพสต์จดหมายเปิดผนึกแสดงการสนับสนุนและบางส่วนก็เดินทางไปที่เซินเจิ้น มีการสนับสนุนแผ่ขยายรวมไปถึงกลุ่มสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เกษียณอายุแล้ว และกลุ่มแนวทางเหมาอิสต์ องค์กรแอมเนสตีอินเตอร์เนชันแนลระบุว่าจนถึงช่วงปลายเดือน ก.ค. มีผู้ถูกจับกุมทั้งหมดรวม 30 คน

กลุ่มองค์กรสิทธิแรงงานในฮ่องกง 'ไชนาเลเบอร์บุลเลทติน' ระบุว่าในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมามีการประท้วงโดยนักศึกษา 50 คนนอกสถานีตำรวจที่เซินเจิ้นซึ่งเป็นแหล่งคุมขังแรงงานที่เคลื่อนไหวและผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของแรงงาน องค์กรแรงงานเปิดเผยอีกว่าตัวแทนคนงาน 2 คนและนักศึกษา 1 คน ที่สนับสนุนการประท้วงโรงงานจาซิคก็หายตัวไปด้วย

ในวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมากลุ่มในหุ้ยโจวโพสต์วิดีโอแสดงการสนับสนุนกลุ่มคนงานเช่นกัน ในกลุ่มผู้ประท้วงมีลายเสื้อยืดที่ระบุว่า "สาเหตุที่กรณีจาซิคใหญ่โตไปเรื่อยๆ เพราะ (รัฐบาล) ไม่ยอมแก้ไขปัญหาเอง และกลับยืนยันจะจัดการกับคนที่พูดถึงปัญหาเหล่านี้"

เรียบเรียงจาก
50 student activists missing in China after police raid, The Guardian, 24-08-2018[full-post]

ภาพซ้าย : ภาพจำลองระดับน้ำที่เกิดจากพายุซัดชายฝั่ง, ภาพขวา : วนารัตน์ กรอิสรานุกูล

Posted: 28 Aug 2018 01:23 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 15:23



สกว. เปิดงานวิจัย 'ผังเมือง' แนวทางการจัดการปัญหาน้ำท่วม ทางเลือก ทางรอด “เมืองริมน้ำ” : กรณีศึกษาเทศบาลนครสมุทรปราการ เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคต

28 ส.ค.2561 การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และสื่อสารสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รายงานว่า จากสภาพอากาศที่แปรปรวนนับวันจะยิ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมากขึ้น ทำให้ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต และเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝน สิ่งที่มักตามมาของเมืองใหญ่ คือ ปัญหาน้ำท่วมขังที่รอการระบาย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและติดริมแม่น้ำ อย่างเทศบาลนครสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมเป็นประจำ หากมีฝนตกในพื้นที่ก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้น และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นอีกเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เป็นที่มาของการจัดทำการศึกษาวิจัยในโครงการแนวทางการวางผังเมืองเพื่อรับมือต่อความเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมในอนาคตจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ : กรณีศึกษาเทศบาลนครสมุทรปราการ เพื่อหาแนวทางการรับมือต่อความเสี่ยงจากภาวะน้ำท่วมในอนาคต โดยใช้นโยบายทางผังเมืองและแนวทางการบริหารจัดการน้ำท่วมอื่นๆ โดยการสนับสนุนจาก สกว.

วนารัตน์ กรอิสรานุกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิจัยและหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า สมุทรปราการ เป็นเมืองที่มีชุมชนหนาแน่น มีการพัฒนาของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวัดที่มีการเติบโตของจีพีพีในภาคอุตสาหกรรมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ชลบุรีและระยอง แต่ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำมีความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมโดยเฉพาะจากริมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาจนถึงบริเวณถนนสุขุมวิทถือเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมมากที่สุด สาเหตุนอกจากเกิดจากปริมาณน้ำทะเลหนุนที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงถึงร้อยละ 60-70 แล้วยังพบว่ามีแผ่นดินทรุดตัวร่วมด้วย จึงทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ยังไม่รวมผลกระทบที่อาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศในด้านอื่นๆ ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นในเรื่องการปรับตัวต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดการสูญเสียจากภาวะน้ำท่วมในอีก 20-50 ปีข้างหน้าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม


พื้นที่ตั้งเขตเทศนครนครสมุทรปราการเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมสูง

จากผลการศึกษาวิจัย ชี้ให้เห็นว่า ในทางกายภาพพื้นที่ของเทศบาลนครสมุทรปราการ เป็นทั้งพื้นที่ลุ่มต่ำ ติดชายฝั่งทะเลมีระยะทางยาวถึง 47 กิโลเมตร อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา และมีแนวคลองสาขา เป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการ และเป็นเมืองที่มีชุมชนหนาแน่น ประกอบกับมีการทรุดตัวของแผ่นดินที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ความเสี่ยงรุนแรงมากถึงมากที่สุด อีกทั้งพบว่าปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่าปริมาณฝน และบริเวณที่มีความหนาแน่นของชุมชนมีแนวโน้มที่ได้รับความเสียหายจากผลกระทบของน้ำท่วมมากขึ้น ขณะที่เมืองมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสูงมีการขยายตัวทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้าและอสังหาริมทรัพย์

“ในช่วงฤดูฝนมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคิดเป็นร้อยละ 10.91 ของพื้นที่ทั้งหมด ระยะเวลาเฉลี่ยที่น้ำท่วมขังประมาณ 1 วัน โดยช่วงที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากที่สุดคือในช่วงเดือนกันยายน– พฤศจิกายน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากน้ำทะเลหนุนสูง และระดับความรุนแรงจะสูงขึ้นในช่วงน้ำหลาก โดยจะมีระดับน้ำท่วมสูงเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 5–45 ซม. และสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด คือบริเวณที่ลุ่มต่ำและมีความหนาแน่นของชุมชนสูง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นเนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ตอนกลางของเขตเทศบาลฯ และบริเวณคลองบางปิ้ง จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในระดับสูงมากที่สุด” นักวิจัยและหัวหน้าโครงการฯ กล่าว

ทั้งนี้จากการประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในเขตเทศบาลฯโดยพิจารณาจากปัจจัยทางกายภาพ เรื่องของการใช้ที่ดิน ระดับความสูงของพื้นที่ ความถี่ของน้ำท่วม ความสูงอาคาร ความหนาแน่นของประชากร ระยะทางในการเข้าถึงถนนสายหลัก และรายได้เฉลี่ยชุมชน ผลวิเคราะห์พบว่า อาคารที่อยู่อาศัยร้อยละ 36 ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และมีอาคารราชการถึงร้อยละ 60 ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมปานกลาง ขณะที่ถนนสายหลัก ได้แก่ ถนนสุขุมวิท ถนนศรีนครินนท์ และถนนสายลวดอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมต่ำถึงปานกลาง ส่วนการประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม จากการจำลองภาพฉายอนาคตในอีก 50 ปี ( พ.ศ.2607) พบว่า การขยายตัวของประชากรและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน หากเกิดภาวะน้ำท่วมจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ถึงร้อยละ 30.5 หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 97,355 ล้านบาทต่อปี โดยมีอาคารที่จะได้รับผลกระทบทั้งสิ้นจำนวน 17,418 หลัง และทุกพื้นที่ในเขตเทศบาลฯจะถูกน้ำท่วมตั้งแต่ระดับ 20-100 ซม. ขณะที่การประเมินความสามารถในการปรับตัวต่อปัญหาน้ำท่วม พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รวมถึงตัวแทนภาคส่วนยังมีข้อจำกัด

วนารัตน์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม จะเห็นชัดว่าเทศบาลนครสมุทรปราการมีความเสี่ยงมากที่สุด แต่การลงทุนเพื่อเตรียมรับมือความเสี่ยงที่ยังไม่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจเพราะต้องใช้งบประมาณมหาศาล จึงควรถูกผลักดันไปสู่นโยบายระดับประเทศ แต่เมืองจำเป็นต้องมีแนวทางในการป้องกันที่จะทำให้เมืองอยู่รอดได้จากศักยภาพที่มีและลดการสูญเสียในอนาคต งานวิจัยนี้จึงเข้ามาช่วยในการศึกษาสำรวจลงพื้นที่เก็บข้อมูลระดมความคิดเห็นร่วมกับนักผังเมือง ผู้เชี่ยวชาญ และผู้เกี่ยวข้อง และศึกษาวิเคราะห์ทางเลือกทางรอดและแนวทางการปรับตัวที่เหมาะสม ทำให้ได้ concept หรือ แนวคิด ในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนา ออกมาเป็น “การวางผังเมือง และแผนการพัฒนาเมือง” โดยมีข้อแนะนำถึงแนวทางและข้อกำหนด้านผังเมืองในการใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารในอนาคตที่ควรปรับปรุง รวมถึงการกำหนดมาตรการควบคุมอาคารเพื่อให้แผนการพัฒนาเมืองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

สำหรับแนวคิดการปรับตัวเพื่อรับมือต่อความเสี่ยงน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคต แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การรับมือภาวะน้ำท่วมระยะยาว โดยวิธีการทางผังเมืองที่เน้นการจัดการปัญหาน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนในระยะยาว อาทิ การกำหนดรูปแบบอาคาร ยกระดับความสูงของอาคารที่อยู่ติดน้ำ ปรับรูปแบบอาคารให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ การสร้างเส้นทางเดินเท้ายกระดับ (sky walk)เชื่อมระหว่างตัวอาคารกับสถานีรถไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินเท้าในสถานการณ์ปกติและเป็นเส้นทางอพยพในกรณีที่เกิดภัยพิบัติน้ำท่วม การสร้างกำแพงกันน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียวบริเวณริมแม่น้ำเพื่อใช้เป็นพื้นที่กันชนหรือ (Green Infrastructure) ออกแบบพื้นที่สาธารณะริมน้ำให้เป็นพื้นที่รับน้ำชั่วคราว เป็นต้น และ 2.การรับมือต่อภัยพิบัติน้ำท่วม อาทิ การจัดหาเส้นทางอพยพ การจัดให้มีระบบเตือนภัย แผนที่หนีภัยและสถานที่รอบงรับ รวมทั้งจัดทำแผนฟื้นฟูหลังประสบภัยน้ำท่วม


ตัวอย่างการออกแบบบ้านยกพื้นสูง

ด้านแนวทางการพัฒนาเมืองที่สำคัญ อาทิ การพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน หรือ TOD เป็นทางเลือกใหม่ในการพัฒนาเมืองที่ใช้ ‘ระบบขนส่งมวลชนเป็นศูนย์กลาง’ พร้อมไปกับการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค้าและหลากหลาย เน้นการใช้ที่ดินผสมผสาน มีระบบส่งเสริมการเดินทางที่ลดการใช้รถ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อยู่ในระยะที่สามารถเข้าถึงด้วยการเดินเท้าเพียง 5-10 นาทีจากสถานีฯ เป้าหมายเพื่อการพัฒนาพื้นที่ในเขตเทศบาลนครสมุทรปราการให้เป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจการค้าการท่องเที่ยวและที่อยู่อาศัยคุณภาพดี เน้นการพัฒนาชุมชนเมืองแบบความหนาแน่นสูง โดยบูรณาการระบบป้องกันน้ำท่วมเข้ากับแผนการใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พัฒนาพื้นที่เฉพาะที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเมือง กำหนดระยะร่นถอยและปรับรูปแบบที่อยู่อาศัยจากบ้านชั้นเดียวเป็นอาคารสูง การออกแบบอาคารจะต้องไม่ไปปิดกั้นเส้นทางไหลของน้ำ กำหนดระดับความสูงของพื้นชั้นล่างอาคารต้องไม่ต่ำกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดที่ 0.95 เมตร และส่งเสริมการออกแบบอาคารที่ใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิเคราะห์การรับมือต่อปัญหาน้ำท่วมของชุมชนและภาคส่วนในเขตเทศบาลนครฯ สะท้อนให้เห็นว่า การดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันของเทศบาลฯ ยังไม่เพียงพอต่อการจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นได้


การประชุมแลกเปลี่ยนความคิด

วนารัตน์ นักวิจัยโครงการ กล่าวว่า “ผลการวิจัยที่ได้นี้ จะเป็นข้อมูลและองค์ความรู้ที่จะนำไปใช้ในการศึกษา และกำหนดทางเลือกในการจัดการพื้นที่เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เหมาะสม และสามารถรับมือต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความตระหนักถึงความจำเป็นของการเตรียมการเพื่อรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กรณีศึกษาของพื้นที่เทศบาลนครสมุทรปราการ ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้แนวคิดด้านการวางผังเมือง และการวางแผนพัฒนาเมืองที่ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความมั่นคงทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลให้เมืองสมุทรปราการมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากปัจจุบัน แต่ยังบูรณาการกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งโครงการพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน”

“ผังเมือง คือพื้นฐานสำคัญของการบริหารจัดการน้ำชุมชนเมือง เมืองที่มีการวางผังเมืองที่ดี จะลดความเสี่ยงปัญหาเรื่องน้ำท่วม เพราะการวางผังเมืองไม่ใช่มองเฉพาะพื้นที่ในเมืองเท่านั้น แต่รวมไปถึงพื้นที่อื่นรอบๆด้วย เพราะผังเมืองจะเป็นตัวชี้นำการพัฒนาเมือง ควบคุมการใช้ที่ดิน และอาคารสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ รวมถึงระบบระบายน้ำและการถ่ายโอนน้ำ ดังนั้น ถ้าเรามองถึงการบริหารจัดการน้ำชุมชนเมืองโดยไม่พูดถึงผังเมืองจึงเป็นไปไม่ได้” นักวิจัยและหัวหน้าโครงการฯ กล่าว
ภาพการจำลองผังเมืองเทศบาลนครสมุทรปราการ :



[full-post]


Posted: 28 Aug 2018 01:57 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 15:57


ในการประกาศ และมอบรางวัลสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจำปี 2561 (ภาคเหนือ) มีรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่ได้รับรางวัลหลายชิ้นงาน หนึ่งในนั้นเป็นรายงานของ อานนท์ ตันติวิวัฒน์ ผู้สื่อข่าวประจำสำนักข่าวประชาธรรม ชิ้นงานชื่อเรื่องว่า เมือง ผู้สูงวัย ความเหงา ฆ่าตัวตาย และคนไร้บ้าน สังคมไทยเอาไงดี? และตอนที่สองชื่อว่า เมือง ผู้สูงวัย ความเหงา ฆ่าตัวตาย และคนไร้บ้าน สร้าง Social Safety Net จากบทเรียนรัฐ-เอ็นจีโอ

งานทั้งสองตอนนี้พยายามเป็นอีกหนึ่งเสียงที่แสดงสะท้อนว่า เรื่องของความเหงา ที่ถูกหยิกยกมาพูดถึงมาขึ้นในช่วงหลังๆ หาได้เป็นเรื่องส่วนปัจเจกแต่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของความผิดหวัง อกหักเพียงอย่างเดียว หากแต่มีความเกี่ยวพันธ์กับ สวัสดิการ นโยบายของรัฐ รวมทั้งหลักประกันขั้นพื้นฐานของพลเมือง ดังนั้นแล้วความเหงา โรคซึมเศร้า คนไร้บ้าน และการฆ่าตัวตาย จึงเป็นภาพสะท้อนสภาวะของสังคมได้เป็นอย่างดี

เขานำเสนอเรื่องเริ่มต้นจากการขยายตัวของจำนวนประชากรในยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนที่สุดแล้วอัตราการเกิดของประชากร เริ่มไม่สอดคล้องกับกำลังผลิตที่โตตามไม่ทัน ทำให้เกิดอัตราการงานสูงจนทำให้มีความพยายามปรับลดอัตราการเกิดขึ้นของประชากร แต่อย่างไรก็ตามการก้าวกระโดดของจำนวนประชากรในช่วง 30 ปี (2485-2514) ก็ส่งผลให้สังคมไทยในเวลานี้กำลังเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และนี่คือสภาวะที่ท้าทายภายใต้บริบทสังคมที่คำว่า “รัฐสวัสดิการ” ยังไม่ลงหลักปักฐาน


อ่านรายงานฉบับเต็มที่นี่

เมือง ผู้สูงวัย ความเหงา ฆ่าตัวตาย และคนไร้บ้าน สังคมไทยเอาไงดี?

เมือง ผู้สูงวัย ความเหงา ฆ่าตัวตาย และคนไร้บ้าน สร้าง Social Safety Net จากบทเรียนรัฐ-เอ็นจีโอ



การมอบรางวัลดังกล่าวนี้ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2561 ที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่อานนท์ ตันติวิวัฒน์ ผู้ได้รับรางวัลไม่สามารถเดินทางมาร่วมงาน และรับรางวัลด้วยตัวเองได้ เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา อานนท์ ป่วยกระทันหันด้วยอาการเส้นเลือดสมองแตก จนถึงปัจจุบันยังคงอยู่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลศรีพัฒน์ เชียงใหม่ ทั้งนี้ อานนท์ ถือเป็นกำลังหลักที่ต้องดูแลครอบครัวด้วย จึงมีการตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลและครอบครัวต๊ะ ในชื่อบัญชีนายชัยวัฒน์ ตันติวิวัฒน์ และนายทศพล ศรีนุชและ น.ส.วรวรรณ จิรธนาพิวัฒน์ บัญชีเลขที่ 251-4-95864-0 ธนาคารกรุงเทพ สาขาท่าแพ

[full-post]



Posted: 28 Aug 2018 05:49 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 19:49


รองผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก ย้ำไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพที่ดีที่สุดในโลก ด้านผู้ป่วยโรคไตเชื่อมั่นวิธีการล้างไตผ่านทางหน้าช่องท้อง โดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาททำให้มีชีวิตรอด เผยหากไม่มีบัตรทอง 30 บาทคงตายไปแล้ว

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา แพทย์หญิงซอมญ่า สะวามินาทาน (Dr.Soumya Swaminathan) รองผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลน้ำพอง และเทศบาลตำบลสะอาด อ.น้ำพอง เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนการสร้างหลักประกันสุขภาพ และการจัดการระบบสาธารณสุขให้กับประชาชนในพื้นที่ชนบท โดยมี นพ.วิชัย อัศวภาคย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลน้ำพองและคณะ พร้อมด้วย นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 7 ขอนแก่น และคณะให้การต้อนรับ

พญ.ซอมญ่า และคณะได้เดินทางไป ต.สะอาด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ เพ็ญศิลป์ พิมพิสาร อายุ 69 ปี ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการล้างไตผ่านทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (CAPD) มาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์

องค์การอนามัยโลกดูงานหลักประกันสุขภาพขอนแก่น ชมความร่วมมือสร้างสุขภาพ รัฐ ท้องถิ่น ชุมชน

เพ็ญศิลป์ กล่าวว่า เมื่อแรกทราบว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังและได้รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลน้ำพองไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่นนั้น มีความกังวลใจอย่างมาก เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินค่าฟอกไต แต่เมื่อได้ทราบว่าตนใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีสิทธิได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านทางช่องท้อง ตนก็มีความหวังในการรักษา แพทย์ พยาบาล ทั้งที่โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลน้ำพอง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะอาด อสม.ซึ่งอยู่ใกล้บ้านก็ดูแลอย่างดี ทำให้ตนอยู่มาได้จนทุกวันนี้

เพ็ญศิลป์ กล่าวว่า หากไม่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ตนคงต้องตายไปนานแล้ว เพราะไม่มีเงินจะไปฟอกเลือดที่ต้องจ่ายครั้งละประมาณ 1,500 – 2,000 บาท และต้องฟอกเลือดเดือนละหลายครั้ง แต่พอใช้สิทธิบัตรทองเพื่อล้างไตทางช่องท้องก็ไม่ต้องเสียเงินมาก เพราะได้จ่ายเพิ่มเฉพาะค่าอุปกรณ์บางอย่างที่ต้องการเพิ่มเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนน้ำยาล้างไตก็ส่งตรงมาถึงบ้าน ตั้งแต่ตนล้างไตด้วยวิธีนี้มา 6 ปี เคยติดเชื้อเพียงครั้งเดียว เพราะวันนั้นรีบไปธุระไม่ได้รอให้จบกระบวนการล้างไตตามที่เคยทำมาเป็นปกติจึงทำให้ติดเชื้อ แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาทันท่วงที หลังจากนั้นมาก็ดำเนินตามวิธีการล้างไตทางช่องท้องที่ได้รับการอบรมจากโรงพยาบาลขอนแก่นอย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีปัญหาด้านการติดเชื้ออีกเลย

เพ็ญศิลป์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการรักษาโรคด้วยด้วยการล้างไตทางช่องท้องทำให้ตนมีชีวิตมาจนทุกวันนี้ จากที่อ่อนแรง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงกว่า 2 เดือน ภายหลังได้รับรักษาด้วยการล้างไตทางช่องท้อง มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นปกติกว่า 6 ปี ร่วมกับลูกหลานและคนในชุมชน เช่น ไปวัดทำบุญ เดินออกกำลังกายรอบชุมชน

พญ.ซอมญ่า กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ศึกษาดูงานการจัดระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นว่า องค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ประชากรทั่วโลก เข้าถึงหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้าภายใน 5 ปี โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่ดีมากในการจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะมีการบริหารจัดการงบประมาณที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่ได้มีแค่การรักษาพยาบาล แต่ครอบคลุมไปถึงการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมถภาพทางการแพทย์ จนสามารถเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ได้

พญ.ซอมญ่า กล่าวว่า จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ตนได้เห็นการทำงานของหน่วยบริการสาธารณสุขหลายระดับ และยังได้เห็นถึงความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนถึงภาคประชาชน ชุมชน ที่เป็นอาสาสมัคร และผู้ดูแลสุขภาพในชุมชน (Care giver) ที่มีกระบวนการทำงานที่หลากหลายเหมาะสมกับบริบทในพื้นที่ ทำให้คนไทยได้รับบริการสาธาณสุขที่มีคุณภาพมาตรฐาน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ในเมือง หรือชนบท ซึ่งตนจะได้นำสิ่งที่ได้จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ ไปนำเสนอให้ประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพต่อไป

พญ.ซอมญ่า กล่าวว่า แม้ว่าระบบบริการสาธารณสุขจะพัฒนาไปจนทำให้โรคติดต่อที่เป็นปัญหาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เช่น การติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่ออื่นๆ ลดลง แต่ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางด้านสาธารณสุขใหม่ ๆ คือ 1.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 2.ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การเจ็บป่วยของผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การบริโภคเกลือและน้ำตาลมากเกินไป ซึ่งจะต้องแก้ไขด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือที่ดีจากปัจเจกบุคคล ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้บุคลากรทางสาธารณสุขซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ 3.การลดอุบัติเหตุทางถนน 4.การป้องกันการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งไทยมีระบบการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน แต่ยังพบว่าผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มมากขึ้นทุกปี

พญ.ซอมญ่า กล่าวต่อว่า การได้มาลงพื้นที่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงานจริงของหน่วยงานต่าง ๆ จะเป็นข้อมูลในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนในด้านนโยบายโรคไม่ติดต่อกับผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลกในการแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อต่อไป ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกพร้อมจะร่วมมือและสนับสนุนประเทศไทยเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการดำเนินงานในประเทศไทย และสามารถจัดทำรายงานการดำเนินงาน และรวบรวมองค์ความรู้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย เพื่อให้ประเทศอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้เข้ามาศึกษางานหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยด้วยตนเองจะได้ศึกษาจากเอกสารรายงานที่ทำขึ้นนี้ และนำไปการพัฒนาสุขภาพโลกต่อไป[full-post]


ที่มาภาพ: Facebook/ Komkrit Tul Uitekkeng

Posted: 28 Aug 2018 06:07 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 20:07


คมกฤช อุ่ยเต็กเค็ง อาจารย์ภาคปรัชญา ม.ศิลปากร เล่าความคืบหน้ากรณีที่เคยมีกระแสยุบภาคปรัชญา ล่าสุดหลังกรรมการมหาวิทยาลัยรับข้อเสนอแก้ไขให้สิทธิภาควิชาที่ตั้งก่อนระเบียบออกกำหนดได้ว่าจะคงสถานภาพหรือเปลี่ยนเป็นสาขาวิชา ภาคปรัชญายื่นเรื่องขอคงสภาพภาควิชาแล้ว คาดรู้ผลปลาย ก.ย. นี้

28 ส.ค. 2561 สืบเนื่องจากข่าวที่จะมีการลดขนาดภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสาขาวิชาเมื่อช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุด ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากรถึงความคืบหน้าล่าสุด โดยคมกฤชให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาทางภาควิชาปรัชญาได้ส่งหนังสือถึงอธิการบดีให้มีการแก้ไขระเบียบมหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแบ่ง การรวม การยุบเลิกและการบริหารภาควิชา พ.ศ. 2561 โดยขอให้มีการทบทวนและแก้ไขให้ภาควิชาที่จัดตั้งก่อนที่ประกาศดังกล่าวจะออกมาสามารถคงไว้ซึ่งสถานภาพของภาควิชาดังเดิม แต่ถ้าจะเปลี่ยนสถานะหน่วยงานตามที่ประกาศก็ย่อมทำได้ กล่าวคือ เปิดช่องให้ภาควิชาคงสถานภาพไว้ตามเดิมได้ หรือจะเปลี่ยนก็ได้ ซึ่งกรรมการบริหารมหาลัยก็ได้รับทบทวนมติใหม่

ต่อมาทางคณะได้ได้ให้แต่ละภาควิชาดำเนินการส่งเรื่องว่าจะยุบรวมเป็นสาขาหรือจะยังคงเป็นภาควิชาต่อแล้ว และทางภาคปรัชญาก็มีมติให้คงสถานภาพภาควิชาเอาไว้ ตอนนี้มติการคงสถานภาพภาควิชาเพิ่งเข้ากรรมการคณะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่จะถูกส่งไปให้กับกรรมการมหาวิทยาลัยที่เป็นผู้อนุมัติคำขอ คาดว่าปลายเดือน ก.ย. น่าจะทราบผล

คมกฤชกล่าวว่า ภาควิชามีความสำคัญในแง่ของการกระจายอำนาจจากมหาวิทยาลัย และเป็นการรับประกันเสรีภาพทางวิชาการ เพราะภาควิชาเป็นหน่วยงานที่เล็กที่สุดที่ถูกระบุสถานะเอาไว้ใน ระเบียบ ม. ศิลปากรเรื่องการจัดการส่วนงานภายในและการยุบเลิก พ.ศ. 2561

“ถ้าเป็นสาขาวิชาปุ๊บ อำนาจก็จะเข้าไปสู่ศูนย์กลางก็คือคณะ ลักษณะของการบริหารมหาวิทยาลัยแบบกระจายอำนาจคือลักษณะของการรับประกันเสรีภาพทางวิชาการด้วย คือผู้บริหารที่สูงกว่าไม่สามารถเข้ามาจัดการเรื่องต่างๆ ภายในภาควิชาได้”

อาจารย์ภาควิชาปรัชญา ม.ศิลปากรยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนนักศึกษาที่เลือกเข้าภาควิชาปรัชญา ม.ศิลปากรในระดับปริญญาตรีปีนี้มีจำนวนมากกว่าที่ตั้งเอาไว้


‘ยุบภาคปรัชญา’ วิชาไม่ทำเงิน สังคมไม่ตั้งคำถาม หรือปรัชญาทำตัวเหินห่าง?

กระแสยุบภาควิชาปรัชญา ม.ศิลปากรกลายเป็นที่พูดถึงในช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาเมื่อคมกฤชโพสท์เฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีที่มีระเบียบ ม. ศิลปากรเรื่องการจัดการส่วนงานภายในและการยุบเลิก พ.ศ. 2561 ที่กำหนดคุณสมบัติของภาควิชาว่าจะต้องมีคณาจารย์มากกว่า 10 คน มีหลักสูตรอย่างน้อยสองหลักสูตรในภาควิชา เป็นหลักสูตรปริญญาตรีอย่างน้อยหนึ่ง และหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรปริญญาตรีอีกหนึ่งหลักสูตร พึ่งพาตนเองได้ มีอาคาร ทรัพยากรด้านการสอนเป็นของภาควิชาเอง ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ก็จะให้ลดลงเป็นสาขาวิชา อันเป็นเกณฑ์ที่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่มาจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งคมกฤชมองว่าเป็นความพยายามที่ทำให้ภาควิชาสายมนุษยศาสตร์หรือศิลปะลดจำนวนลงให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่ให้ความสำคัญกับสายวิชาที่ทำเงินได้มากกว่า

หมายเหตุ: ประชาไทแก้ไขข้อความในส่วนการส่งเรื่องคงไว้ซึ่งสถานภาพภาควิชากับ 'กรรมการมหาวิทยาลัย' แก้ไขเป็น 'กรรมการคณะ' ก่อนที่จะถูกส่งให้กรรมการมหาวิทยาลัยตามลำดับที่เป็นผู้อนุมัติคำขอ (แก้ไขเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2561 เวลา 21.09 น.)

กิงโกะ โอกิโนะ (ที่มา: wikipedia)

Posted: 28 Aug 2018 06:46 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Tue, 2018-08-28 20:46


สื่อเจแปนไทม์เสนอเรื่องราวแพทย์หญิงผู้สู้ชีวิต ฝ่าฟันการเลือกปฏิบัติทางเพศจนได้รับใบอนุญาตคนแรกของญี่ปุ่นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ระบุ เหมาะสมจะพูดถึงตอนนี้ เหตุก่อนหน้านี้มีกรณีอื้อฉาวที่มหาวิทยาลัยแพทย์โตเกียวจงใจปรับลดคะแนนผู้สอบหญิงซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการจงใจเลือกปฏิบัติทางเพศในแบบที่ถ้าโอกิโนะเห็นคงถอดใจว่าไม่ต่างจากร้อยปีที่แล้ว

กิงโกะ โอกิโนะมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 2394-2456 ได้รับใบประกอบโรคศิลป์สำหรับแพทย์เมื่อปี 2428 เรื่องราวการต่อสู้ตะเกียกตะกายไปสู่ฝันของเธอได้รับการถ่ายทอดในธีมนิยายที่ชื่อ "ฮานะอุซุมิ" (ไกลกว่าทุ่งดอกไม้) เมื่อปี 2536 จากผลงานของนักเขียนอีกคนหนึ่งที่เป็นหมอ สื่อเจแปนไทม์ระบุว่าถ้าหากเธอมีชีวิตอยู่ปัจจุบันและได้รับรู้เรื่องอื้อฉาวมหาวิทยาลัยแพทย์โตเกียวแล้วเธอคงบอกว่า "แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย"


สหพันธ์แพทย์หญิงญี่ปุ่นวิจารณ์กรณีมหาวิทยาลัยแพทย์โตเกียวสั่งตัดคะแนนผู้สมัครสอบหญิง

พื้นเพของแพทย์หญิงคนนี้มาจากจังหวัดมุซาชิโนะ ซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดไซตามะ เกิดในครอบครัวเกษตรกรที่ร่ำรวย สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอคือการที่เธอติดโรคหนองในแท้ (gonorrhea) จากสามีเมื่ออายุ 16 ปี หลังจากนั้นเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับผู้ชายอีกและให้แม่เธอช่วยฝ่าฝืนประเพณีด้วยการให้เธอหย่าจนเป็นอิสระ

โอกิโนะเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยากเรียนรู้และชอบอ่านหนังสือมาก ครูของเธอคนแรกเป็นคนสอนศาสนาขงจื่อที่รู้จักกับคนของโรงพยาบาลการแพทย์ตะวันตกในโตเกียวซึ่งเป็นที่ๆ เขาส่งเธอไปรักษาโรคหนองใน แต่การแพทย์ในยุคนั้นปฏิบัติกับผู้หญิงไม่ดีนักในแง่ที่ไม่สนใจสภาพจิตใจของเธอ ซึ่งทำให้โอกิโนะเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่มีหมอที่เป็นผู้หญิงเลย และนั่นทำให้เธอเองตัดสินใจว่าจะเป็นหมอผู้หญิง

ทีแรกแม่ของโอกิโนะเองต่อว่าเธอว่า "การผ่าตัดแขนขา การเห็นเลือด ไม่เหมาะกับผู้หญิง" ถึงขั้นคิดว่าเพื่อนบ้านจะหัวเราะเยาะและเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเพราะมีแพทย์เป็นผู้หญิง แต่โอกิโนะกลับไม่ยอมละความมุ่งมั่นเธอพร้อมจะฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป แต่อุปสรรคสำคัญที่สุดคือสังคมวิชาการแพทย์เอง จะมีวิทยาลัยแพทย์แห่งไหนที่รับเธอ?

แต่ด้วยคำแนะนำจากอาจารย์ของเธอทำให้เธอได้เข้าไปเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เรียนกอยู่ในวิทยาลัยแพทย์ท่ามกลางผู้ชายทั้งหลายที่พูดเหยียดหยามเธอ เธอต่อสู้มาได้จนกระทั่งจบจากมหาวิทยาลัยจุนเทนโดในโตเกียว

กระนั้นอุปสรรคจากอคติทางเพศก็ยังกลายมาเป็นอุปสรรคเมื่อโอกิโนะต้องรับงานแรกในฐานะนักศึกษาฝึกงาน คนไข้คนแรกของเธอเป็นชายวัยกลางคนที่มีอาชีพเป็นพนักงานร้านค้า แต่มีรากฐานครอบครัวจากชนชั้นซามูไร เขาเป็นแผลที่แขนต้องเอาหนองออกและพันแผล แต่คนไข้ก็ไม่ยอมให้เธอที่เป็นผู้หญิงแตะตัวเขา โอกิโนะพยายามเอาใจและโน้มน้าวคนไข้จนกระทั่งชนะใจเขาได้และยอมให้เธอรักษา

สิ่งที่โอกิโนะต้องการต่อมาก็คือการได้ใบอนุญาตเปิดคลินิคนรีเวชวิทยาซึ่งไม่เคยมีผู้หญิงได้ใบอนุญาตนี้เลย เธอพยายามยื่นจดหมายขอไปยังทางการก็ไม่มีการตอบกลับ เมื่อเธอไปถามตัวต่อตัวก็โดนดูถูกและเผชิญอคติแบบเดิมๆ ที่ไล่ให้ผู้หญิงไปแต่งงาน นอกจากนี้ยังกล่าวอ้างเรื่องที่ผู้หญิงต้องลางานเวลาตั้งครรภ์และพูดว่าประจำเดือนของผู้หญิง "ไม่สะอาด" จุุดนี้เองที่เจแปนไทม์ชี้ว่าคล้ายกับกรณีที่มหาวิทยาลัยแพทย์โตเกียวกล่าวอ้างในเรื่องอื้อฉาวครั้งล่าสุด

ในด้านอาชีพการงาน หลังจากที่โอกิโนะได้รับใบอนุญาตให้เป็นแพทย์เธอก็ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลโอกิโนะที่ยูชิมะในปีเดียวกัน เธอเปิดรับคนไข้หญิงจำนวนมากโดยเฉพาะทางสูติศาสตร์และทางนรีเวชศาสตร์ รวมถึงคนไข้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นงานแบบที่เธอได้คาดหวังไว้ นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์แพทย์ให้วิทยาลัยสตรีของมหาวิทยาลัยเมย์จิกะคุอินด้วย การที่เธอได้เป็นแพทย์ถือเป็นการฝ่า ‘เพดานแก้ว’ ที่ปิดกั้นผู้หญิงจากวิชาชีพนี้ได้สำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ในญี่ปุ่นให้เข้ามาทำงานในสาขาวิชานี้

เรียบเรียงจาก

The efforts of Japan’s first female doctor are worth remembering, Japan Times, Aug. 25, 2018

Gingo Ogino: Japan’s First Female Physician, Wiki Gender[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 11:35 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-08-27 13:35


ภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านรณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัว ร้องรัฐบาล สางปัญหาความรุนแรงในครอบครัว-คู่รัก หลังพบสถิติข่าวฆ่ากันตาย ทำร้ายสาหัส พุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี เฉลี่ยเดือนละ 20 ราย ซ้ำคนไทยร้อยละ 95 เมินที่จะเข้าช่วยเหลือ


27 ส.ค.2561 วันนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พร้อมด้วย เตชาติ์ มีชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านรณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัว กว่า 30 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสังคม เรียกร้องให้มีมาตรการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทำงานเชิงรุก

เปิดสถิติความรุนแรงในครอบครัว พบคดีฆ่ากันตาย-ทำร้ายสาหัสพุ่งสูงสุด นิยมใช้ปืนก่อเหตุ
ความรุนแรงในครอบครัวและกรณีหมอนิ่ม เมื่อทุกคนกลายเป็นเหยื่อ
‘หมอนิ่ม’ อาชญากรหรือเหยื่อความรุนแรง กระบวนการยุติธรรมที่ละเลยบริบท

อังคณา กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาความรุนแรงในครอบครัว คู่รัก มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลที่มูลนิธิฯเก็บสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวจากหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ ในปี 61 พบว่าเพียง 7 เดือน ม.ค.-ก.ค.มีข่าวความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 367 ข่าว เป็นข่าวฆ่ากันตาย 242 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 65.9 รองลงมาเป็นข่าวทำร้ายร่างกาย 84 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 22.9 และข่าวฆ่าตัวตาย 41 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 11.2 ทั้งนี้หากเปรียบเทียบข่าวฆ่ากันตายย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นว่าปี 2561 สถิติสูงสุดกว่าทุกปี โดยปี2555มีร้อยละ 59.1 ปี 2557 มีร้อยละ 62.5 และปี 2559 มีร้อยละ 48.5 หากวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะพบว่ามีข่าวฆ่ากันตายเฉลี่ยเดือนละ 20 ข่าวหรือร้อยละ 78.2 ส่วนปัจจัยกระตุ้นสำคัญมาจากการดื่มสุราและยาเสพติด ซึ่งผู้ก่อเหตุ ร้อยละ 39.2 มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยา ที่น่าห่วง คือ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุมากที่สุด ได้แก่ ปืน ร้อยละ 40.5 รองลงมาเป็นมีด ของใช้ใกล้มือ เช่น ไม้ ค้อน และมูลเหตุในการกระทำ เพราะบันดาลโทสะ หึงหวง และมีเรื่องปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ร้อยละ 94.9 ของผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรง เลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าไปช่วยเหลือในปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น

อังคณา กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสังคม รวมถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ดังนี้ 1.ขอให้รัฐบาลหยิบยกปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ต้องเร่งป้องกันแก้ไข โดยบูรณาการการทำงานเชิงรุก ร่วมกับกระทรวง พม.กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้สังคมเข้าใจว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ผู้พบเห็นเหตุการณ์ต้องเข้าให้การช่วยเหลือหรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดปัญหาการสูญเสียชีวิต 2.ดำเนินการให้ระบบการเรียนการสอน สร้างความเข้าใจเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้อื่น เคารพให้เกียรติกัน ไม่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา ใส่ใจช่วยเหลือไม่มองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อเป็นทักษะชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก 3.กระทรวง พม.ซึ่งมีกลไกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำหมู่บ้าน(อพม.)ประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังปัญหาสังคมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ และมีการพัฒนาทักษะประสานการทำงานกับสหวิชาชีพในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวให้มากขึ้น และ4.ขอให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เน้นการทำงานเชิงรุกและบูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในสังคมให้มากขึ้น นอกจากการให้คำปรึกษาแนะนำและประสานส่งต่อปัญหาสังคมทั่วไป และควรมีการประชาสัมพันธ์การทำงานให้ประชาชนรับรู้ให้มากขึ้น


เตชาติ์ มีชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังกระบวนการยุติธรรม ให้ทำงานเชิงรุก แม้เราจะออกกฎหมายมาหลายฉบับ ทั้งพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว รวมไปถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แต่สถิติความรุนแรงกลับไม่ได้ลดลง เหตุเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่พร้อมเข้าช่วยเหลือ ยังมองเป็นเรื่องปัญหาครอบครัวไม่ควรเข้าไปยุ่ง เป็นเรื่องส่วนตัว เดี๋ยวก็ดีกัน หรือพยายามที่จะไกล่เกลี่ยมาโดยตลอด ทั้งที่สถานการณ์ไปไกล อีกทั้งสังคมละเลยการเข้าช่วยเหลือ พร้อมเป็นผู้ชมผู้วิจารณ์มากกว่าผู้ที่เข้าไปช่วย ทั้งที่จริงเป็นการละเมิดกฎหมายเสียด้วยซ้ำ เช่น กรณีภรรยาถูกสามีทำร้าย ทุบตี ลามโซ่นับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเข้าแจ้งความกว่า 10 ครั้ง ก็ไม่เป็นผล ตำรวจก็ไม่ทำอะไร แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไขกันทั้งระบบ

“กระทรวง พม.เองก็ต้องทบทวนการทำงานของตนเองด้วย เพราะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเรื่องนี้ มีทีมสหวิชาชีพ หน่วยงานทุกจังหวัด มีกลไกเครื่องไม้เครื่องมือครบ แต่ยังทำงานแบบตั้งรับ กลายเป็นปัญหาซุกไว้ใต้พรมจนเลยเถิด เกิดเหตุร้ายถึงขั้นบาดเจ็บเสียชีวิต ทั้งที่สามารถใช้กลไกที่มี เข้าระงับเหตุ ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาได้ กฎหมายก็ให้อำนาจไว้ แต่ยังทำงานแบบเดิมๆ ที่สำคัญรัฐเองยังสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับภารกิจเหล่านี้น้อยไป ทั้งๆที่ตัวเองรับมือไม่ไหว ทั่วโลกเขาหันมาสนับสนุนให้ประชาชนของเขาลุกขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ช่วยเหลือทำงานป้องกันแก้ไขปัญหาร่วมกับรัฐ แต่บ้านเรายังให้ความสำคัญน้อยมาก เรามีตัวอย่างการทำงานระดับชุมชนที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลทำงานอยู่หลายพื้นที่ ที่สามารถต่อยอดขยายผลได้” เตชาติ์ กล่าว[full-post]


Posted: 27 Aug 2018 02:09 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2018-08-27 16:09


ไพศาล กังวลกิจ
นายกทันตแพทยสภา

การรับรองหลักสูตรของสภาวิชาชีพเป็นการครอบงำมหาวิทยาลัยทำให้ไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและขัดรัฐธรรมนูญจริงหรือ? เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และนายกิตติชัย ไตรรัตน์ศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ซึ่งมีหลายประเด็นที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้

ในฐานะของนายกทันตแพทยสภาซึ่งเป็นสภาวิชาชีพที่ถูกพาดพิงถึงด้วย จึงขอให้ข้อเท็จจริงในประเด็นที่ให้สัมภาษณ์ดังนี้

1.การรับรองหลักสูตรของสภาวิชาชีพเป็นการขัดขวางทำให้ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการและเทคโนโลยีของโลกเป็นการครอบงำทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกมารับใช้สังคมได้จริงหรือ?

โลกเป็นพลวัตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ทางด้านวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ของทุกวิชาชีพก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตของโลกเช่นกัน การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ทุกวิชาชีพให้ความสำคัญ ไม่เช่นนั้นวิชาชีพจะล้าหลังจนทำไม่สามารถดำรงอยู่ได้

คำว่า “วิชาชีพ” นั้น หมายถึงการที่ต้องเข้าศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนก่อน จึงจะทำงานในวิชาชีพด้านนั้นๆ ได้ และต้องเป็นการประกอบวิชาชีพที่มีมาตรฐาน โดยมีองค์ความรู้เป็นพื้นฐาน ทุกวิชาชีพจึงต้องมีกฎหมายรองรับและมีสภาวิชาชีพเป็นผู้ควบคุมดูแล ดังนั้นทุกสภาวิชาชีพที่จัดตั้งขึ้นจะมีกฎหมายรองรับโดยกฎหมายของทุกสภาวิชาชีพมีลักษณะคล้ายกัน คือสภาวิชาชีพประกอบด้วยคณะกรรมการหรือผู้บริหารและสมาชิกของสภาวิชาชีพ

คณะกรรมการบริหารของทันตแพทยสภา ครึ่งหนึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิโดยเป็นคณบดีจากคณะทันตแพทยศาสตร์ทุกแห่งในประเทศและจากหน่วยราชการอื่น ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย กลาโหมและภาคเอกชน อีกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิก

สมาชิกของทันตแพทยสภา เป็นทันตแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ทั่วประเทศ ถ้าจะว่าไปแล้วทันตแพทยสภามีสมาชิกเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอยู่เป็นจำนวนมาก มากกว่าอาจารย์ทันตแพทย์ในมหาวิทยาลัยเสียอีก ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย เป็นผู้ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงสาธารณสุข ในภาคเอกชน หลายท่านเป็นนักการศึกษา เป็นอดีตผู้บริหารการศึกษาที่เกษียณอายุราชการแล้ว และได้มาช่วยกำกับดูแลในด้านการศึกษาให้กับทันตแพทยสภาเพื่อให้วิชาชีพมีพัฒนาการ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้วยเหตุนี้คำกล่าวที่ว่าสภาวิชาชีพเข้ามาครอบงำการศึกษาทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีมาตรฐานให้กับสังคมได้จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง ซึ่งหากสภาวิชาชีพมีพฤติกรรมเช่นนั้นจริง คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ทุกแห่งและผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งเป็นคณะกรรมการอยู่ด้วยจำนวนครึ่งหนึ่งนั้นคงไม่ยอมแน่

หากจะบอกว่าทันตแพทยสภาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการจัดการเรียนการสอนการบริหารการศึกษาก็คงไม่ใช่เพราะผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์มาแล้วทั้งสิ้น บางท่านเป็นอดีตรองอธิการบดี อดีตคณบดี เป็นคณบดี รองคณบดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทันตแพทย์ที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขและในภาคเอกชนร่วมเป็นกรรมการให้ความเห็นเพื่อกำกับให้การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ทันตแพทยสภายังมีราชวิทยาลัย มีสมาชิกเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ของวิชาชีพ มีผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการศึกษาฝึกอบรมจากต่างประเทศเพื่อนำความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีทันสมัยมาถ่ายทอดต่อ มีการศึกษาฝึกอบรมวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง มีผู้ติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้คำกล่าวที่ว่า วิชาชีพเป็นตัวการที่ดึงให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพและไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยี จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

ในทางตรงกันข้ามสภาวิชาชีพ เป็นองค์กรที่คอยกำกับให้มหาวิทยาลัยผลิตบุคลากรให้ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอดเป็นองค์กรที่คอยคุ้มครอง ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ

ยกตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในทันตแพทยสภา

มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งเปิดรับนักศึกษาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากทันตแพทยสภา จึงมีนักศึกษาสมัครเข้าเรียนจำนวนที่ต่ำมาก มหาวิทยาลัยดำเนินการอยู่หลายปีกว่าทันตแพทยสภาจะให้การรับรอง เมื่อทันตแพทยสภารับรองและให้รับนักศึกษาตามจำนวนที่กำหนด ในปีถัดมามหาวิทยาลัยแห่งนี้รับนักศึกษาเพิ่มเป็นจำนวน 2 เท่าทำให้ทันตแพทยสภาต้องถอนการรับรองและให้หยุดรับนักศึกษา เนื่องจากสัดส่วนของนักศึกษาและอาจารย์ไม่ได้ตามเกณฑ์

นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าถ้าไม่มีองค์กรดูแลกำกับเช่นนี้ จะสามารถทำให้มหาวิทยาลัยปฎิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ได้อย่างไร เสรีภาพทางวิชาการต้องมีความรับผิดชอบเป็นตัวกำกับ อิสระภาพทางด้านการจัดการศึกษา ต้องมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นตัวกำกับ หากไม่มีการกำกับที่ดีพอ มหาวิทยาลัยนั่นเองจะเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับสังคมและประชาชน ถ้าไม่ให้สภาวิชาชีพเข้ามารับรองหลักสูตร ทำได้เพียงเฉพาะสอบประเมินครั้งสุดท้ายเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น ในอนาคตจะมีนักศึกษาทันตแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพจำนวนมาก และจะไม่สามารถสอบผ่านได้รับใบอนุญาตจากทันตแพทยสภา ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานเป็นทันตแพทย์ได้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อนักศึกษาและผู้ปกครองที่เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถสอบได้รับใบอนุญาตให้ปฏิบัติงานได้ และเชื่อว่าส่วนหนึ่งของนักศึกษาเหล่านี้อาจจะไปเป็นหมอเถื่อน ซึ่งจะเป็นหมอเถื่อนที่สร้างโดยมหาวิทยาลัย จะสร้างปัญหาให้กับวิชาชีพและสังคม เป็นการทำลายมาตรฐานและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อวิชาชีพ

2.การรับรองหลักสูตรของสภาวิชาชีพขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศจริงหรือ

การรับรองหลักสูตรของสภาวิชาชีพ มิได้ทำเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพ และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือเข้าไปก้าวก่ายการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด มหาวิทยาลัยยังคงจัดการเรียนการสอนได้ต่อไป จึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 วรรค 2 แต่การรับรองหลักสูตรของสภาวิชาชีพ เป็นการส่งเสริมสนับสนุนและกำกับให้มีการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามกฏหมายของแต่ละสภาวิชาชีพ และเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรา 54 วรรค 3 ที่บัญญัติไว้ว่า

“รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับโดยรัฐมีหน้าที่ดำเนินการ กำกับ ส่งเสริมและสนับสนุนให้จัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล”

ทุกสภาวิชาชีพมีกฎหมายที่ให้อำนาจดำเนินการในการรับรองหลักสูตรได้อยู่แล้ว การรับรองหลักสูตรนั้นกระทำไปเพื่อกำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยจัดการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

สภาวิชาชีพแต่ละสภาเป็นองค์กรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องมาตรฐานการศึกษาและการประกอบวิชาชีพ มีความรู้ในมาตรฐานสากลและข้อจำกัดต่างๆ ของการประกอบวิชาชีพในประเทศเป็นอย่างดี

ดังนั้นการส่งเสริมสนับสนุนและกำกับการจัดการศึกษาที่ทำโดยสภาวิชาชีพจึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ.[full-post]


Posted: 27 Aug 2018 10:56 AM PDT
Submitted on Tue, 2018-08-28 00:56

เอกชัย หงส์กังวาน มาที่ทำเนียบรัฐบาล นอกจากทวงถามความคืบ 8 เดือนนาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีซ่อมทหารเกณฑ์จนตายว่า ทั้งหมดนี้ที่ คสช. อ้างว่าจะกวาดล้างสิ่งที่ทุจริต แต่ทาง คสช. กลับสร้างสิ่งทุจริตขึ้นมาเองนั้น ตกลงจะเอื้อประโยชน์ให้ใครกันแน่ พร้อมถามกรณีที่เขาถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ ว่า คสช. เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

24 ส.ค. 2561 คลิปเอกชัย หงส์กังวาน เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล นอกจากทวงถามความคืบ 8 เดือนนาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีซ่อมทหารเกณฑ์จนตายว่า ทั้งหมดนี้ที่ คสช. อ้างว่าจะกวาดล้างสิ่งที่ทุจริต แต่ทาง คสช. กลับสร้างสิ่งทุจริตขึ้นมาเองนั้น ตกลงจะเอื้อประโยชน์ให้ใครกันแน่ พร้อมถามกรณีที่เขาถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ ว่า คสช. เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

"แต่ที่น่าสงสัยคือแล้วทำไมกรณีของทหารหลายๆ กรณี ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการซ่อมทั้งหลาย ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทั้งพลทหารวิเชียร เผือกสม พลทหาร สมชาย ศรีเอื้องดอย พลทหาร ทรงธรรม หมุดหมัด พลทหาร ยุทธกินันท์ บุญเนียม พลทหาร นพดล วรกิจพันธ์ ทุกกรณีนี้ทหารจะมาอ้างว่าตายเองมั่ง แกล้งเอง หัวใจวายตายเอง เป็นฮีทสโตรกเอย อะไรเอย"

"ทั้งๆ ที่กรณีเหล่านี้เกิดจากการซ่อม หรือภาษาทหารใช้คำว่าธำรงวินัย แต่ตอนนี้ทาง พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. อ้างว่าไม่มีธำรงวินัยอีกต่อไปแล้ว กรณีล่าสุดคือคุณคชา พะชะ ที่โดน ได้ข่าวว่าสมองตายแล้ว ก็คงเรียกว่าคงหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดแล้ว ก็เกิดจากการซ่อม แต่ทางทหารก็พยายามจะปกปิด คือทุกอย่าง การที่รัฐบาลหรือ คสช. อ้างว่าจะกวาดล้างสิ่งที่ทุจริต แต่ทาง คสช. กลับสร้างสิ่งทุจริตขึ้นมาเอง ตรงนี้คือสิ่งที่ผมสงสัยว่าตกลงคุณจะเอื้อประโยชน์ให้ใครกันแน่ และนี่คือที่มาของผม"


"และกรณีคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สวมนาฬิกาหรู 25 เรือนไม่มีที่มาที่ไป ไม่ได้แจ้งกรณีนี้ให้กับทาง ปปช. ไม่มีการแสดงบัญชีให้ ปปช. รับรู้แต่ต้น ปรากฏว่าพอมีการเปิดเผย มีทางเพจ CSILA เปิดเผยนาฬิกาหรู แล้วมีการตีราคาทั้งหมด ซึ่งจากข้อมูลที่เผยแพร่ 25 เรือน ซึ่งอาจจะมีมากกว่านั้นอีก ราคามูลค่าโดยรวมประเมินว่ามีมากกว่า 30 ล้านบาท ไม่มีการแสดงในบัญชีทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น"

"ผมจึงเห็นว่าเรื่องนี้ในเมื่อทาง คสช. อ้างว่าจะเข้ามากวาดล้างทุจริต แต่กรณีนี้มันเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคมว่ามันเป็นการทุจริตของทหารหรือเปล่า ปรากฏว่าทางคุณประยุทธ์กลับไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้คุณประวิตรยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป ทั้งๆ ที่กรณีอื่นคุณจะรีบดำเนินการ รีบปลดทันที แต่พอคุณประวิตรกลับเพิกเฉยบอกว่าให้เป็นหน้าที่ ปปช. ซึ่งจนตอนนี้เป็นเวลาผ่านมาแล้ว 8 เดือนยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย" เอกชัยกล่าวตอนหนึ่ง


จะให้ ‘เอกชัย’ ลาไปหรืออย่างไร? บุกทำเนียบถาม คสช. มีเอี่ยวดักตีหรือไม่, ประชาไท, 25 ส.ค. 2561[full-post]

ที่มาภาพ: Facebook Banrasdr Photo

Posted: 26 Aug 2018 03:25 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 17:25


26 สค.2561 เวลาประมาณ 08.00 น. ทนายประเวศ ประชานุกูลได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมี สมยศ พฤกษาเกษมสุข เอกชัย หงส์กังวาน (เพื่อนผู้ต้องขังคดี 112) สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล(ลูกความ) และเพื่อนๆ อีกประมาณยี่สิบคนไปรอรับ

29 เมษ.2560 ทหารหลายสิบนายได้บุกเข้าตรวจค้นบ้าน ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร และได้ควบคุมตัวประเวศตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาโดยไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ประเวศ ถูกตั้งข้อหาจากการโพสต์เฟสบุ๊ค

โดยแบ่งเป็น ม.112 จำนวน 10 กรรม และ ม.116 จำนวน 3 กรรม ทั้งในคดี ม.112 และ ม.116 ฟ้องว่ามีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์

รู้จักประเวศ ประภานุกูล จากทนายสู่จำเลย สู้คดี 112 พลีชีพในความเงียบ

ในชั้นศาล ประเวศ ไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาคดียืนยันว่าศาลไม่มีความชอบธรรม และไม่ให้สิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี ประเวศประท้วงศาลโดยการแจ้งขอถอนทนาย และปฏิเสธการลงรายมือชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือ ในระหว่างกระบวนการพิจารณา

ที่มาภาพ: Facebook Sirawith Seritiwat

27 มิ.ย.2561 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ยกฟ้องข้อหา ม.112 แต่ให้ลงโทษจำคุกข้อหา ม.116 กรรมละ 5 เดือน นอกจากนี้ศาลยังพิพากษาให้จำคุก ในข้อหาขัดขืนการพิมพ์ลายนิ้วมือ เพิ่มอีก 1 เดือน รวมระยะเวลาทนายประเวศถูกคุมขังในเรือนจำ 16 เดือน


ตัดสินคดี 'ประเวศ' ยกฟ้อง 112 ลงโทษจำคุกเฉพาะ ม.116 รวม 16 เดือน

หลังได้รับการปล่อยตัว ประเวศให้สัมภาษณ์ว่าแม้ได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่คดียังไม่สิ้นสุดเพราะอัยการของขยายอุทธรณ์ต่อศาล เมื่อถามถึงความรู้สึก ประเวศกล่าวว่ายังไม่ทราบว่าเหตุผลที่แท้จริงของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะอะไร การต่อสู้ในข้อหานี้ หากเป็นการสู้โดยยอมให้ศาลเป็นผู้ตัดสินคดี เท่ากับเป็นการรับรองกับอำนาจที่ศาลใช้ขังตัวเราเอง เป็นการสู้ที่หลงทาง ข้อหา 112 ศาลไม่ใช่คนกลางที่ตัดสินคดี แต่ศาลคือองค์กรของผู้เสียหาย ในเมื่อผู้เสียหายเป็นผู้ตัดสินคดี มันจึงไม่มีความยุติธรรม ประเวศยืนยันจุดยืนเดิมและประกาศว่าจะต่อสู้แต่ขอเวลาพักตั้งหลัก 1-2 สัปดาห์

[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 05:34 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 19:34


คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ระบุผลของการขยายตัวของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตาม ต้องออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่และมีนโยบายที่ต้องให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ดูแลกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น

26 ส.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความเห็นต่อผลของการขยายตัวของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและสมองกลอัจฉริยะต่อการผลิต ระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและราคาหุ่นยนต์ ราคา ระบบอัตโนมัติและสมองกลอัจฉริยะที่ลดลงถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอุปสงค์ต่อการใช้หุ่นยนต์ในภาคการผลิต การบริการเพิ่มขึ้น และกระตุ้นให้อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและสมองกลอัจฉริยะเติบโตในระดับสูง โอกาสของผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไม่ได้อยู่ที่การเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์แต่อยู่ที่การเป็นผู้ให้บริการด้านการรวมระบบ (System Integrator) และ ติดตั้งระบบอัตโนมัติให้กับผู้ใช้งานมากกว่า เครื่องจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์สมองกลอัจฉริยะ จะเข้ามาพลิกโฉมหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งการผลิตและการบริการ ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจอุตสาหกรรม ตลาดแรงงานและการจ้างงานจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ภาคบริการจะมีผลิตภาพสูงขึ้น คุณภาพผลิตภัณฑ์ดีขึ้นและเป็นมาตรฐาน โดยในช่วงแรกต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงเพื่อเปลี่ยนจากระบบที่ใช้แรงงานมนุษย์เข้มข้นเป็นระบบที่ใช้ทุนเทคโนโลยีเข้มข้นแทน เทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะทำให้อัตราความเสียหายในการกระบวนการผลิตลดลง ต้นทุนลดลง เกิดการประหยัดต่อขนาดและผลกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติต่อตลาดแรงงานเป็นเรื่องที่ภาครัฐภาคเอกชน และแรงงานไม่ควรละเลย ในบางกิจการนั้นระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แรงงานคนได้มากกว่า 70% ประเทศที่มีค่าแรงสูงมากเกินไปและมีระบบคุ้มครองผู้ใช้แรงงานอ่อนแอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดโดยเทคโนโลยีอัตโนมัติจะถูกนำมาใช้แทนที่แรงงานคนมากที่สุด ผู้กำหนดนโยบาย นายจ้าง ลูกจ้างและสถาบันฝึกอบรมต้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและเตรียมรับมือกับผลกระทบของเทคโนโลยี หุ่นยนต์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ตของทุกสิ่ง (Internet of Things) และการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) เทคโนโลยีเหล่านี้จะกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และตลาดการจ้างงานโดยรวม ความต้องการใช้หุ่นยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 15% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2018-2020) และคาดการณ์ว่าจะมีหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5 แสนตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ สัดส่วนประชากรในวัยแรงงานลดลง ราคาหุ่นยนต์ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น กรณีของไทย เมื่อเปรียบเทียบราคาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและระยะเวลาการใช้งาน กับ ค่าจ้างแรงงานในปัจจุบันพบว่า การใช้หุ่นยนต์เพื่อทดแทนแรงงานมนุษย์เริ่มอยู่ในระดับที่คุ้มค่าต่อการลงทุนแล้ว ทำให้การใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

งานวิจัยขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คาดการณ์ว่า ในสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานและการจ้างงานในไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 44 (กว่า 17 ล้านตำแหน่ง) มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติ โดยกลุ่มคนงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ พนักงานขายตามร้านหรือพนักงานบริการตามเครือข่ายสาขา พนักงานบริการอาหาร ภาคเกษตรกรรม แรงงานทักษะต่ำที่ทำงานซ้ำๆ คนงานโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าและรองเท้าอาจได้รับผลกระทบสูงถึง 70-80% แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน แรงงานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ขณะที่ Economic Intelligence Unit (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าแนวโน้มการใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้แรงงานกว่า 6.5 แสนคนหรือ 15% ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในภาคการผลิตจะถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์อุตสาหกรรมภายในปี ค.ศ. 2030

กิจการในไทยไม่ได้เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเอง ไทยเป็น “ผู้ซื้อ” และ “ผู้รับ” เทคโนโลยีมากกว่าเป็น “ผู้ขาย” และ “ผู้สร้าง” เทคโนโลยี กิจการธุรกิจต่างๆก็ไม่ได้ลงทุนทางด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากนัก อุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยยังหวังพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ (ซึ่งก็ร่อยหรอลง) และค่าแรงราคาถูก (ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ถูกแล้ว) ส่วนผู้ประกอบการหุ่นยนต์ไทยมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ความเชื่อมั่นในตราสินค้า ขนาดการผลิตไม่ใหญ่พอจึงไม่ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด

แรงงานไทยทั้งหมด 39 ล้านคน ร้อยละ 45 เป็นเพศหญิงและร้อยละ 55 เป็นเพศชาย จากจำนวนทั้งหมดนี้ร้อยละ 67 จบการศึกษาชั้นประถม สะท้อนค่าเฉลี่ยระดับการศึกษาของแรงงานไทยยังคงต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม แรงงานที่มีการศึกษาต่ำและทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงในการถูกเลิกจ้างสูงและจะถูกทดแทนโดยเทคโนโลยีการผลิตมากยิ่งขึ้นในอนาคต ฉะนั้นต้องเตรียมความพร้อมและรับมือกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้วยการเตรียมทักษะให้สามารถทำงานกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้ การบ่มเพาะทักษะด้านบุคคล (Soft Skills) และ ทักษะด้านความรู้ (Hard Skills) โดยเฉพาะความรู้ทางด้าน STEM (ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์) ที่ประเทศขาดแคลนอยู่ คนงานหญิงในอุตสาหกรรมสิ่งทอ คนงานทักษะต่ำและมีระดับการศึกษาน้อย เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลต้องดูแลด้วยมาตรการต่างๆเป็นพิเศษเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในการถูกเลิกจ้างจากการนำระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงาน ระบบเสมือนจริง และ ระบบออนไลน์ได้ทำให้ระบบการผลิต ระบบการกระจายสินค้าและห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเก่าและทำให้กิจการอุตสาหกรรมและการจ้างงานจำนวนหนึ่งหายไป การส่งเสริมให้มีการ Reskill พัฒนาทักษะ ประสิทธิภาพและผลิตภาพให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจึงมีความสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) ก็เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มแห่งอนาคตเช่นเดียวกัน แนวคิดในการแชร์การใช้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเป็นเจ้าของสิ่งที่ใช้ โดยชี้ประเด็นว่า สังคมที่เน้นการเป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง ได้สร้างสังคมที่ผู้คนล้วนหนี้สินเกินตัว สะสมเกินพอดี อันนำมาสู่วิกฤติของระบบทุนนิยมโลก การบริโภคร่วมกัน (Collaborative Consumption) ที่ปัจเจกบุคคลเป็นผู้ขายตรงและเป็นผู้บริโภคตรง (P2P) แต่ละบุคคลเป็นได้ทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขาย แล้วแต่ว่าต้องการเป็นบทบาทใด ในเวลาใด โมเดลธุรกิจแบบนี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมในการตัดสินใจว่าจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตรงหรือว่าเช่าใช้ สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อยอดขายสินค้า ตลาดแรงงาน การจ้างงาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานสู่ความต้องการแรงงานที่มีความรู้ ขณะเดียวกัน การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ทำให้ขาดแคลนแรงงาน ระบบเศรษฐกิจจำเป็นต้องใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะในการทำงานและในระบบการผลิตมากขึ้นอยู่แล้ว ต้องทำให้ “มนุษย์” ทำงานร่วมกับ “หุ่นยนต์” และ “สมองกลอัจฉริยะ” ได้อย่างผสมกลมกลืนซึ่งต้องอาศัยระบบมาตรฐานแรงงาน ลักษณะตลาดแรงงานและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตเหล่านี้ และต้องออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่และมีนโยบายที่ต้องให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ดูแลกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม กิจการในไทยโดยภาพรวมโดยเฉพาะ SMEs ยังลงทุนทางด้านเทคโนโลยีน้อย เนื่องจากเห็นว่ายังมีต้นทุนสูงและขาดแคลนผู้ปฏิบัติงานที่มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หากไม่เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว ย่อมไม่สามารถอยู่รอดหรือแข่งขันได้ในโลกยุคใหม่ ผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยไม่ลงทุนใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในสายการผลิตเพราะไม่มั่นใจว่ากิจการหรือธุรกิจของตนจะประยุกต์ใช้หุ่นยนต์ได้อย่างไร ขั้นตอนและกระบวนการผลิตส่วนใดที่สามารถใช้ได้และให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่า จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าการลงทุนและการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในหลากหลายอุตสาหกรรมในต่างประเทศได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวอยู่ที่ 30-80% โดยเฉลี่ย
[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 05:47 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 19:47


26 ส.ค. 2561 เพจ Land Watch THAI จับตาปัญหาที่ดิน รายงานว่า ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ตัวแทนชาวบ้าน-หัวหน้าครอบครัวของชาวบ้าน หมู่ 2 หมู่ 10 หมู่ 11 และหมู่ 12 ใน ต.โยธะกา จำนวนประมาณ 100 คน ได้เข้าร่วมประชุมหารือกัน เนื่องจากเมื่อกลางปี 2557 ชาวบ้าน ต.โยธะกาได้รับหนังสือจากสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ฉะเชิงเทรา แจ้งยกเลิกสัญญาเช่าและการเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุ และส่งมอบที่ดินคืนทหารเรือ ด้วยเหตุผลว่า กองทัพเรือมีแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณศูนย์เกษตรกรรมทหารเรือโยธะกา เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหาร

หลังจากปี 2557 เป็นต้นมา สำนักงานธนารักษ์เลิกเก็บค่าเช่าที่ดินจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านยังคงใช้ที่ดินทำนาต่อไป ไม่มีใครส่งมอบที่ดินหรือย้ายออกไปปลายปี 2560 ชาวบ้านได้รับหนังสืออีกครั้งจากกองทัพเรือ ขอให้ส่งมอบคืนที่ดินให้แก่กองทัพเรือ ภายใน 7 วัน โดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัยพ์สิน และบริวารออกไปจากที่ดิน พร้อมกับทำหนังสือส่งมอบที่ดิน พร้อมทั้งระบุว่าหากยังเพิกเฉยทางราชการมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนั้นชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน เพื่อร้องเรียนและขอสิทธิในการใช้ที่ดินต่อไป

ต่อมาได้มีการลงข่าวคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมธนารักษ์ ในข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2561 ระบุว่า กรมธนารักษ์ได้จัดหาที่ราชพัสดุสนับสนุนโครงการอีอีซีใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง กว่า 11,000 ไร่ ในส่วนของฉะเชิงเทรานั้น เป็นที่ของกองทัพเรือที่ส่งคืนให้กรมธนารักษ์ อยู่ใน อ.บางน้ำเปรี้ยว พื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่เศษ อยู่บริเวณศูนย์เกษตรกรรมทหารเรือ ที่ ต.โยธะกา ซึ่งได้ส่งมอบให้อีอีซีไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะนำไปพัฒนาเป็นอะไรขึ้นกับอีอีซีจะกำหนด

อนึ่ง จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเบิกสัญญาเช่าดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้เดือดร้อนเฉพาะที่อยู่อาศัย ผู้เดือดร้อนทั้งที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน และผู้เดือดร้อนเฉพาะที่ดินทำกิน ในพื้นที่ หมู่ 2 หมู่ 10 หมู่ 11 และหมู่ 12 รวม 166 ครัวเรือน มีผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 635 คน

ดังนั้นวันนี้จึงได้มีการนัดหมายตัวแทนชาวบ้านจากทั้ง 4 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวของผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการขอคืนที่ดินของกองทัพเรือ เพื่อใช้สนับสนุนในในโครงการอีอีซี ซึ่งที่ประชุมได้มีมติ ก่อตั้งกลุ่ม"โยธะการักษ์ถิ่น" ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรที่ดินทั้งที่ี่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้กับชาวบ้านในรูปของการเช่าซื้อที่ดินระยะยาว 30 ปี จากกองทัพเรือ และเพื่อสร้างความมั่นคงในที่ดินที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน และเตรียมเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป

ทั้งนี้ ในเชิงประวัติศาสตร์ ต.โยธะกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2480 โดยการแยกมาจาก ต.ดอนเกาะกา และ ต.หมอนทอง ทั้งสองตำบลเป็นชุมชนเก่าแก่ ตั้งขึ้นประมาณในสมัยรัชกาลที่ 5 (2416 – 2453) การตั้งถิ่นฐานและบุกเบิกที่ดินของชาวโยธะกา เกิดขึ้นจากการจับจองบุกเบิกที่ดินจากผู้คนในท้องถิ่น และผู้คนที่อพยพมาสร้างครอบครัว และชาวบ้านถิ่นอื่นที่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบุกเบิกจับจองที่ดิน ในสมัยนั้นบริเวณตำบลโยธะกายังเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยมาจาก 3 ทาง คือ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก และ อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี

แต่การขุดคลองผ่าน ต.โยธะกา ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ให้บริษัททำการขุดคลองได้เป็นเวลา 25 ปี และให้สิทธิบริษัทจับจองที่ดิน 2 ฝั่งคลองเว้นจากที่หลวง 1 เส้นขึ้นไปฟากละ 40 เส้น ตลอดลำคลอง รวม 80 เส้น ตั้งแต่วันที่ได้ขุดคลอง เป็นผลให้ที่ดิน ใน ต.โยธะกา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทคูนาสยาม และมีการเปลี่ยนมือหลายครั้ง จนกระทั่งกองทัพเรือกองทัพเรือได้ใช้เงินงบประมาณในการจัดซื้อที่ดิน จำนวน 3 แปลง จำนวนรวม 4000 ไร่ เมื่อพ.ศ. 2491 ในขณะนั้น มีชาวบ้านได้ใช้ที่ดินทำนาอยู่ก่อนแล้ว

อ่านบทความประวัติศาสตร์ที่ดินชาวนา ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ได้ที่ http://landwatchthai.org/1108[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 06:14 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 20:14


เรื่องของสัญลักษณ์ 'สวัสดิกะ' หรือการสื่อถึง 'นาซี' กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมเยอรมนีมานานแล้ว แต่ในงาน Gamescom ครั้งล่าสุดซึ่งเป็นงานแสดงโชว์เกมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีการเปิดตัวเกมจากผู้สร้างชาวเยอรมันที่จะมีการแสดงให้เห็นสัญลักษณ์และผู้นำเผด็จการ 'อดอล์ฟ ฮิตเลอร์' ออกมาอย่างโจ่งแจ้งเป็นครั้งแรกต่อสังคมเยอรมนีสำหรับเกมที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดข้อถกเถียงระหว่างเรื่องของเสรีภาพทางงานศิลป์และความกังวลว่าจะเกิดการกระตุ้นให้มีพวกนาซีสุดโต่งเพิ่มขึ้นหรือไม่ (ที่มาภาพ: throughthedarkestoftimes.com)

26 ส.ค. 2561 สื่อเดอะโลคัล รายงานถึงเรื่องการเปิดตัวเกม 'Through the Darkest of Times' ในงานจัดแสดงวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป Gamescom วิดีโอเกมชุดนี้เป็นเกมแรกของเยอรมนีที่นำเสนอเรื่องราวช่วงยุคสมัยนาซีแบบไม่มีการเซนเซอร์ โดยมีทั้งการนำเสนอตราสวัสดิกะและตัวละคร 'อดอล์ฟ ฮิตเลอร์' อย่างตรงไปตรงมา โดยผู้เล่นจะได้รับบทบาทเป็นสมาชิกกลุ่ม 'เรดออเครสตรา' (Red Orchestra หรือ Die Rote Kapelle) ซึ่งเป็นขบวนการต่อต้านนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต

อย่างไรก็ตามในเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งนี้ 2 จะมีข้อห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้มีการแสดงตราสัญลักษณ์นาซี หรือแม้กระทั่งการนำเสนอถึงจอมเผด็จการฮิตเลอร์ในงานศิลปะบันเทิง โดยวิดีโอเกมจากต่างประเทศที่มีตราสัญลักษณ์นาซีมักจะถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์อื่นอย่างเช่นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของเยอรมนีซึ่งระบุห้ามสัญลักษณ์นาซีในฐานะที่ 'ขัดต่อรัฐธรรมนูญ'

แม้กระทั่งการนำเสนอฮิตเลอร์ในวิดิโอเกมฟอร์มยักษ์ 'Wolfenstein 2' จากค่ายเบเธสดาค่ายเกมสัญชาติสหรัฐฯ ก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของตัวละครให้สื่อถึงฮิตเลอร์น้อยลง เช่น การตัดหนวดทรงที่มีลักษณะเฉพาะตัวของฮิตเลอร์ออกและมีการเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่

อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันการกำกับควบคุมในเรื่องนี้เริ่มมีการผ่อนปรนบ้างแล้ว ทำให้ Through the Darkest of Times มีการนำเสนอสัญลักษณ์นาซีติดบนแขนเสื้อตัวละครและมีตัวละครผู้นำนาซีที่มีชื่อเดิมและไม่ถูกตัดหนวดออก

ยอร์ก ฟริดริช หนึ่งในผู้พัฒนาเกมนี้กล่าวว่าคนทำเกมเมื่อก่อนเคยกลัวที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ตรงๆ จึงสร้างจินตนาการขึ้นมาทดแทน ไม่นำเสนอภาพฮิตเลอร์ ไม่พูดถึงยิว ซึ่งฟริดริชมองว่ามันเป็นปัญหาถ้าจะไม่สามารถพูดถึงมุมมองประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง

สื่อเดอะโลคัลระบุว่าตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมามีการฝ่าฝืนนำเสนอเกี่ยวกับนาซีในแบบที่ถูกห้ามมากขึ้นในเยอรมนี มีการกดดันจากกลุ่มผู้จัดจำหน่ายเกมและคนเล่นเกมเองทำให้หน่วยงาน USK ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับควบคุมสื่อบันเทิงของเยอรมนีเริ่มให้เสรีภาพในการสื่อถึงเรื่องเหล่านี้ในงานศิลปะ-บันเทิงต่างๆ ได้บ้าง

อลิซาเบธ เซคเคอร์ ผู้อำนวยการ USK กล่าวว่า กรณีของเกม 'Through the Darkest of Times' นั้นถือเป็นครั้งแรกที่อนุญาตให้นำเสนอเรื่องราวในอดีตผ่านมุมมองเชิงวิพากษ์ได้ในนามของ 'เสรีภาพทางศิลปะ'

ในปี 2541 ศาลเยอรมนีตัดสินให้มีการปิดกั้นวิดีโอเกมที่แสดงสัญลักษณ์นาซี โดยที่ผู้พิพากษาในสมัยนั้นกลัวว่ามันจะทำให้เด็กที่เติบโตมากับสัญลักษณ์พวกนี้มีความคุ้นชินกับมัน แต่คนเล่นเกมก็รู้สึกว่าการห้ามเรื่องนี้เป็นสิ่งที่กวนใจพวกเขามานานแล้ว เนื่องจากมันทำให้ชาวเยอรมันได้สัมผัสเนื้อหาของเกมแตกต่างจากคนประเทศอื่นๆ

ไมเคิล ซีเซิลส์ หนึ่งในผู้เยี่ยมชมงาน Gamescom กล่าวว่าเนื้อหาเกี่ยวกับนาซีเยอรมันเป็นอดีตที่ไม่จำเป็นที่จะต้องแอบซ่อนไว้ ทั้งนี้มันยังอาจจะใช้เป็นเครื่องเตือนใจได้ด้วย

แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอเรื่องของสัญลักษณ์นาซีในสังคมเยอรมนี ฟรานซิสกา กิฟเฟย์ รัฐมนตรีกระทรวงกิจการครอบครัวของเยอรมนีกล่าวว่า พวกเขาไม่ควร "เล่นกับตราสวัสดิกะ" และอยากให้ชาวเยอรมันมีสำนึกความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ของตนเองเสมอแม้กระทั่งในยุคปัจจุบัน ขณะที่ สเตฟาน มานเนส เจ้าของเว็บไซต์ข้อมูลประวัติศาสตร์นาซีตั้งคำถามว่าพวกเขาจะอธิบายกับเด็กๆ ที่รับรู้เกี่ยวตราสวัสดิกะในวิดีโอเกมได้อย่างไร

ทว่า คลอส-ปีเตอร์ ซิก นักประวัติศาสตร์จากศูนย์วัจัยสังคมศาสตร์มาร์คโบลชในกรุงเบอร์ลินโต้แย้งว่าคนที่เล่นเกมน่าจะฉลาดพอและแยกแยะออก วิกค์บอกอีกว่า "ไม่มีใครที่จะกลายเป็นนาซีเพียงแค่เห็นสัญลักษณ์สวัสดิกะ"

ในกรณีที่ USK เริ่มผ่อนปรนการใช้ตราสัญลักษณ์เหล่านี้บ้างแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอนุญาตให้ใช้มันไปทั่วจนเป็นเรื่องสามัญ แต่จะมีการตัดสินเป็นรายกรณีไปว่ากรณีไหนบ้างที่ 'เหมาะสมทางสังคม'

ไม่เพียงแค่เกมเท่านั้นศิลปะอื่นๆ เช่นภาพยนตร์ก็เริ่มกลับมานำเสนอเรื่องที่เคยถูกห้ามพูดถึงอย่างอดีตผู้นำนาซีบ้างแล้วซึ่งภาพยนตร์เยอรมนีหลายเรื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานำเสนอจอมเผด็จการฮิตเลอร์ในเชิงเสียดสี แม้กระทั่งหนังสือเรื่อง 'การต่อสู้ของข้าพเจ้า' (Mein Kampf) ก็กลับมาเผยแพร่ในเยอรมนีได้ในปี 2559 โดยที่มีหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ประกอบไว้ด้วย

ในอีกแง่มุมหนึ่งก็มีความกังวลเกี่ยวกับการผุดขึ้นอีกครั้งของกลุ่มขวาจัดหัวรุนแรงและขบวนการต่อต้านผู้อพยพ ขณะที่หัวหอกของกลุ่มขวาจัดในเยอรมนีคือพรรคเอเอฟดี ก็วิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมการรำลึกอาชญากรรมของนาซี

อย่างไรก็ตามซิกกล่าวว่าวิดีโอเกมที่นำเสนอเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเยอรมนีเริ่มยอมรับอดีตอันมืดมนของตัวเองได้อย่างเป็นปกติแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นจะไปได้ไกลในระดับที่ไม่อยากกลับไปสู่จุดเดิมอีกแล้วมากขนาดไหน

"ถ้าหากสังคมสามารถอ่าน 'การต่อสู้ของข้าพเจ้า' ได้โดยไม่ได้รู้สึกโหยหาอดีต นั่นก็แสดงให้เห็นว่า นาซีได้ตายไปแล้ว" ซิกกล่าว

เรียบเรียงจาก
Video game swastikas stir unease in Germany, The Local, 24-08-2018
https://www.thelocal.de/20180824/video-game-swastika-stir-unease-in-germany

Wolfenstein 2 Has A Strange Workaround For Germany's Censorship Laws, Kotaku, 30-10-2017
https://kotaku.com/wolfenstein-2-has-a-strange-workaround-for-germanys-cen-1819985020

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://throughthedarkestoftimes.com/
https://en.wikipedia.org/wiki/Red_Orchestra_(espionage)[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 08:18 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 22:18


ใบตองแห้ง

โลกออนไลน์แห่ต้านกฎหมายจราจร เพิ่มโทษไม่มีและไม่พกใบขับขี่ ปรับสูงถึง 50,000 และ 10,000 บาท โดยคนส่วนมากถามกลับว่า ลดอุบัติเหตุได้จริงหรือ จะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจมิชอบไหม

แต่ก็มีบางส่วน เช่นอีเจี๊ยบ เลียบด่วน เห็นควรปรับให้หวาดกลัว ไม่งั้นก็ยังมีเด็ก 15 ขโมยรถพ่อมาขับชนคนตาย


ถามว่าลดอุบัติเหตุได้ไหม คิดแบบอีเจี๊ยบ ก็ลดได้มั้ง แต่อุบัติเหตุที่เกิดจากเด็กไม่มีใบขับขี่ มีซักเท่าไหร่ 99.99% ที่ขับวายป่วง เทกระจาด ชนคนตาย มีใบขับขี่ทั้งนั้น ใบขับขี่ไม่ใช่หลักประกันว่าขับรถดีมีวินัย อีกอย่าง คนไม่มีใบขับขี่ประสบอุบัติเหตุ ก็โดนเพิ่มโทษและประกันไม่จ่ายค่าเสียหายอยู่แล้ว

เรื่องที่คนไม่เห็นด้วยมาก คือใช่เลย มันผิดครับ แต่ทำไมโทษปรับสูงลิบ แค่ลืมใบขับขี่ ปรับ 10,000 เมาแล้วขับปรับ 10,000-20,000 เทียบความผิดร้ายแรงกว่ากันกี่เท่า ส่วนไม่มีใบขับขี่ปรับ 50,000 นี่ก็ชวนให้นึกถึง “ตายได้ห้าหมื่น” ค่าชีวิตเบื้องต้นที่ประกันบุคคลที่สามจ่ายให้สมัยก่อน (ปัจจุบัน 65,000)

ในหลักกฎหมายเรียกว่า กำหนดโทษเกินสมควรแก่เหตุ ไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับความผิดอื่น ในกฎหมายฉบับเดียวกันหรือฉบับอื่น เช่น ยิงปืนในที่ชุมนุมชน ยังมีโทษปรับแค่ไม่เกิน 5,000 (น้อยกว่าขายน้ำข้าวหมากอีกนะนั่น) แต่กฎหมายไทยว่ากันตามกระแส เรื่องไหนทีสังคมฮือฮา หรือรัฐขึงขังจริงจัง ก็มุ่งแต่จะเพิ่มโทษ เพิ่มความผิด โดยคิดว่ายาแรงแก้ปัญหาได้ จนทำให้กฎหมายลักลั่น

กรณีนี้ก็ทายได้เลย ถ้าเพิ่มโทษไม่มีไม่พกใบขับขี่สำเร็จ ค่าปรับก็จะสูงโด่ง ล้ำความผิดอื่น ต่อไปโทษฝ่าฝืนกฎจราจรต่างๆ ก็ต้องปรับตามเป็น 5,000 10,000 หรือ 20,000 จึงสมเหตุสมผลกัน

คำถามสำคัญคือ อุบัติเหตุประเทศไทยครองแชมป์โลก เป็นเพราะคนไทยนิสัยไม่ดี ต้องเพิ่มโทษ เพิ่มมาตรการบังคับ หรือเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอยู่ มันหย่อนยาน มันไม่มีมาตรฐาน ไม่เสมอหน้า หรือเกินกำลังที่จะบังคับใช้ได้จริง จนกวดขันได้เป็นพักๆ เท่านั้น

พูดอีกอย่าง ชาวบ้านผิด หรือรัฐผิด บังคับใช้กฎหมายไม่สำเร็จ แล้วก็มาเพิ่มโทษให้ร้ายแรงหวังให้คนหวาดกลัว มันจะแก้ได้จริงไหม

ไม่ได้จ้องด่าตำรวจไทย ว่าเป็นช่องให้รีดไถ แต่เอาง่ายๆ ช่วงรถติดเช้าเย็นจราจรมีเวลาจับใครไหม เห็นแต่สายๆ บ่ายๆ ค่อยตั้งด่าน คนไม่มีใบขับขี่ไม่ขับช่วงนั้นก็รอดไป

กรณีนี้ท้ายที่สุด กรมขนส่งคงถอย ลดโทษปรับให้น้อยลง ปัดโธ่ ม.44 ห้ามนั่งหลังรถกระบะยังต้องถอย ขนส่งเป็นใครมาจากไหน

แต่ถ้ามองภาพกว้าง วิธีคิดเดียวกัน คำถามเดียวกัน ไม่เคยหายไป ความคิดแบบรัฐราชการที่มุ่งจัดระเบียบ มุ่งเข้มงวดประชาชน เป็นหนทางแก้ไขปัญหา โดยไม่มองย้อนว่าปัญหาสั่งสมมาจากการปฏิบัติของรัฐเองหรือไม่

การใช้อำนาจแก้ปัญหามันง่ายดีไงครับ เพิ่มอำนาจ เพิ่มกฎหมาย เพิ่มบทลงโทษ แล้วเชื่อว่าราชการจะมีคุณภาพประสิทธิภาพบังคับใช้ได้

นี่ไม่ต่างอะไรกับกฎเหล็กคุมเด็กของกระทรวงศึกษา ซึ่งเพิ่มอำนาจครอบจักรวาลโดยไม่สามารถบังคับใช้เป็นมาตรฐาน นอกจากจะไปเลือกวินิจฉัย

หรือไม่ ถ้าปัญหามันซับซ้อนจัดการยาก ก็ใช้อำนาจกวาดไปเลย โคตรง่าย แบบทวงคืนผืนป่า ชูป้ายกวาดล้างนายทุน แล้วก็กวาดชาวบ้านเกลี้ยงเกลา ทั้งที่มีหลายปัญหาสั่งสมมานาน หรืออย่าง กทม.ก็กวาดล้างแผงลอยซะเกลี้ยงเกลา ขณะที่สิงคโปร์จัดการอีกอย่าง กระทั่งจะจดทะเบียนสตรีทฟู้ดเป็นมรดกโลกอยู่แล้ว

ความคิดอย่างนี้ไม่ได้มีเฉพาะยุคนี้สมัยนี้หรอก ราชการเป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย แต่สี่ปีที่ผ่านมา เราอยู่ในยุครัฐราชการเป็นใหญ่ ซึ่งคิดว่าประเทศชาติจะมั่นคงได้ ต้องทำให้รัฐเข้มแข็ง ใช้อำนาจเข้มงวดประชาชน ดูแลให้เป็นคนมีคุณภาพ มีวินัย อย่าทำตามใจตัวเอง อย่าเรียกร้องมาก รู้จักหน้าที่ และอย่าเลือกคนไม่ดี

ความคิดที่ว่าประชาชนผิด ต้องเข้มงวด ต้องจัดระเบียบ นี่ยังถูกอกถูกใจคนชั้นกลางในเมือง “ไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร” เพราะไม่เคยเข้าใจว่าชาวบ้านต้องนั่งท้ายรถกระบะ เด็ก 14-15 ในชนบทต้องขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่เคยรู้ว่าน้ำข้าวหมากกับสาโทต่างกันอย่างไร หรือยังไงมันก็เหล้าเอาโทษหนักไว้แหละดี

คนในเมือง โดยเฉพาะคนมีฐานะ จะนิยมชมชอบ “ยาแรง” และรู้สึกว่ารัฐเข้มแข็ง รัฐที่มีอำนาจมาก มีไว้ปกป้องตัวเอง ซึ่งต่างกันสิ้นเชิงกับคนจนเมืองหรือคนชนบท ที่จะไม่ไว้วางใจอำนาจรัฐเป็นพื้นฐาน



ที่มา: www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1487074


Posted: 26 Aug 2018 08:42 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Sun, 2018-08-26 22:42


กานดา นาคน้อย
27 สิงหาคม 2561

ฉันอ่านบทความจากสื่อออนไลน์เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในเวเนซุเอลา พบว่าบทความเล่าเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างและใส่สีสันดราม่า หลายบทความนำเวเนซุเอลามาเทียบกับไทยแบบจับแพะชนแกะ ดังนั้นฉันจึงรวบรวมดราม่ามาเปรียบเทียบความจริงในบทความนี้

ดราม่า 1 : เวเนซุเอลาเป็นประเทศสังคมนิยม

ความจริง 1 : เวเนซุเอลาเป็นประเทศผสมสังคมนิยมและทุนนิยม


รัฐบาลชาเวซ (พศ. 2542-2558) และรัฐบาลมาดุโร (พศ. 2558-ปัจจุบัน)ไม่ได้ยึดธุรกิจเอกชนทุกอย่างมาแปรรูปให้เป็นรัฐวิสาหกิจหมด ยึดเพียงบางธุรกิจ ขยายธุรกิจของรัฐวิสาหกิจเดิมและก่อตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่ๆเพื่อลดความสำคัญของเอกชน เน้นรัฐวิสาหกิจผลิตน้ำมันและวัตถุดิบอุตสาหกรรม (อาทิ ซีเมนต์ เหล็ก) และรัฐวิสาหกิจในภาคบริการรวมทั้งสาธารณูปโภค การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและยานยนต์ยังเป็นกรรมสิทธิ์เอกชน บริษัทเอกชนขนาดใหญ่มีทั้งบริษัทของเศรษฐีเวเนซุเอลาและบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติ ส่วนสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรต้องนำเข้าจากต่างประเทศ การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและยานยนต์ก็ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและอะไหล่

ความจำเป็นที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นสังคมนิยม 100% ไม่ได้ ในทางทฤษฎีรัฐบาลตั้งรัฐวิสาหกิจนำเข้าเอง 100% เองก็ได้ แต่ในทางปฎิบัติประเทศทุนนิยมที่ส่งออกสินค้ามาเวเนซุเอลาก็จะคว่ำบาตรไม่ส่งสินค้าให้ ดังนั้นตราบใดที่เวเนซุเอลาไม่มีเทคโนโลยีผลิตสินค้าทุกอย่างที่ต้องการหรือนำเข้าจากประเทศสังคมนิยมเหมือนกันหมดทุกอย่างก็เป็นสังคมนิยม 100% ไม่ได้ แม้แต่รัฐวิสาหกิจน้ำมันซึ่งทำรายได้เกิน 90% ของรายได้ประเทศก็ต้องพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขุดเจาะและกลั่นน้ำมัน

ภาคบริการที่สำคัญอย่างกิจการธนาคารก็มีทั้งธนาคารรัฐและธนาคารเอกชน เวเนซุเอลายังมีตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร กิจการขนส่งก็มีทั้งของรัฐวิสาหกิจและเอกชน มีรัฐวิสาหกิจรถไฟฟ้าและสายการบิน แต่ก็มีแท็กซี่เอกชน มีบริษัทขนส่งและชิปปิ้งเอกชน สายการบินต่างชาติรวมทั้งสายการบินอเมริกันก็มีสำนักงานในเวเนซุเอลา

ภาคบริการขายปลีกก็มีทั้งของรัฐวิสาหกิจและเอกชน รัฐบาลชาเวซยึดซูเปอร์มาร์เก็ตเอกชนบางแห่งมาแปรรูปเป็นรัฐวิสาหกิจขายปลีก แม้ว่ารัฐบาลมาดุโรประกาศว่าขั้นต่อไปของการ“ปฏิวัติโบลิวาร์”ในอนาคตคือการให้รัฐวิสาหกิจขายปลีกผูกขาดการขายปลีกอาหารทั้งประเทศ ในทางปฎิบัติก็คงขาดทุนย่อยยับเหมือนรัฐวิสาหกิจหลายแห่งในปัจจุบัน (ฉันจะอธิบายประเด็นการขาดทุนของรัฐวิสาหกิจเวเนซุเอลาในภายหลังเมื่อกล่าวถึงดราม่าอื่นๆ)

เวลานิตยสารฟอร์บจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐฯ)ก็มีคนเวเนซุเอลาติดอันดับด้วย เช่น อภิมหาเศรษฐีธนาคาร (อันดับ 480) อภิมหาเศรษฐีสื่อสาร (อันดับ 1999) [1] ในแง่นี้ก็คล้ายไทยเพราะไทยก็มีอภิมหาเศรษฐีธนาคารและอภิมหาเศรษฐีสิ่อสารติดอันดับนิตยสารฟอร์บช่นกัน แต่ไทยมีความเป็นทุนนิยมมากกว่าเวเนซุเอลา ยกตัวอย่างกิจการขายปลีก ไทยไม่มีรัฐวิสาหกิจขายปลีกแบบเวเนซุเอลา แม้ว่าไทยมีโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐแต่กระทรวงพาณิชย์ไทยไม่ใช่เจ้าของร้านธงฟ้าประชารัฐ และเจ้าของร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ใช่พนักงานรัฐวิสาหกิจ

ดราม่า 2 : เวเนซุเอลาตัดสัมพันธ์กับสหรัฐฯและหันไปพึ่งรัสเซียกะจีน

ความจริง 2 : เวเนซุเอลาตัดสัมพันธ์กับสหรัฐฯชั่วคราวเพียง 9 เดือน


ปัจจุบันมาตรการคว่ำบาตรโดยรัฐบาลทรัมป์ก็ไม่ได้ห้ามค้าขายหรือห้ามธุรกรรมทุกอย่าง ห้ามเพียงบางธุรกรรมเท่านั้น สถานทูตเวเนซุเอลาในกรุงวอชิงตันดีซีดำเนินการปกติและมีสถานกงศุลเวเนซุเอลา 7 แห่งตามเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ

นอกจากค้าขายก็มีการลงทุนข้ามชาติ บริษัทอเมริกันเข้าไปลงทุนในเวเนซูเอลา เช่น ฟอร์ด พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล คิมเบอร์ลีคล้าค ฯลฯ รัฐวิสาหกิจน้ำมันเวเนซุเอลามีหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมันซิทโก้ (Citgo) ที่สหรัฐฯมานานเกือบ 40 ปีแล้ว ผู้บริหารระดับสูงของซิทโก้ก็เป็นคนเวเนซุเอลา [2] รัฐบาลชาเวซและรัฐบาลมาดุโรตรึงค่าเงินสกุลโบลิวาร์กับดอลลาร์สหรัฐฯและออกพันธบัตรกู้เงินสกุลเงินดอลลาร์ เจ้าหนี้ของเวเนซุเอลาก็มีสัญชาติอเมริกันด้วย แต่รัฐบาลเวเนซุเอลาประกาศชักดาบไม่จ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนเจ้าหนี้อเมริกัน (และชาติอื่นๆด้วย) ปัจจุบันกำลังต่อรองเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ [3]

ดราม่า 3 : รัฐบาลชาเวซและรัฐบาลมาดุโรใช้จ่ายโครงการสังคมสงเคราะห์มากเกินไป

ความจริง 3 : รัฐบาลชาเวซและรัฐบาลมาดุโรสงเคราะห์คนรวยและคนชั้นกลางมากเกินไป


รัฐบาลชาเวซส่งเคราะห์คนรวยและคนชั้นกลางอย่างมหาศาลด้วยเงินดอลลาร์ในตลาดเงินตราแบบ“เนียนๆ”โดยไม่ผ่านงบประมาณประจำปี การสงเคราะห์ดังกล่าวเลยดูไม่ชัดเจนแบบโครงการทางสังคม ยุครัฐบาลชาเวซเงินโบลิวาร์มี 2 อัตรา [4]

ก) อัตราแข็ง กำหนดให้ใช้นำเข้าสินค้าและใช้กับบุคคลทั่วไปที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์ ธนาคารและบุคคลที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินดอลลาร์ก็ได้อัตรานี้

ข) อัตราอ่อน เป็นอัตราเงินสดตามตลาดมืดซึ่งคือตลาดที่ไม่ผ่านธนาคารในประเทศ มีทั้งในรูปแบแลกเงินสดและผ่านธนาคารนอกประเทศ


ในทางเศรษฐศาสตร์อัตราตลาดมืดคือ“อัตราจริง”เพราะปรับตามความพึงพอใจของผู้ขายและผู้ซื้อ รัฐบาลชาเวซออกมาตรการต่างๆเพื่อกำจัดอัตรานี้แต่กำจัดไม่สำเร็จ ก่อนชาเวซเสียชีวิตมีการลดค่าเงินโบลิวาร์หลายครั้ง ยิ่งลดค่าเงินอัตราอ่อนในตลาดมืดยิ่งกลายเป็นอัตรามหาอ่อน พอรัฐบาลมาดุโรมารับช่วงต่อก็แก้ปัญหาโดยการลดค่าเงินต่อและแบ่งแยกเป็นอัตราดังต่อไปนี้

ก) อัตราอภิมหาแข็ง กำหนดให้ใช้อัตรานี้กับบริษัทนำเข้าสินค้าจำเป็น

ข) อัตรามหาแข็ง กำหนดให้ใช้อัตรานี้กับบริษัทนำเข้าสินค้า

ค) อัตราแข็ง กำหนดให้ใช้อัตรานี้กับบริษัทและบุคคลทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์ และบัตรเครดิตของคนต่างชาติที่ใช้ในเวเนซุเอลาหรือบัตรเครดิตของคนเวเนซุเอลาที่ใช้ในต่างประเทศ แต่มีโควต้าจำกัดว่าจะใช้เงินดอลลาร์ผ่านบัตรเครดิตได้เท่าไร


การลดค่าเงินและการแบ่งแยกอัตราก็ไม่ได้กำจัดตลาดมืด อัตราจริงในตลาดมืดก็ปรับจากอัตรามหาอ่อนเป็นอภิมหาอ่อน

เพื่อให้เข้าใจว่ารัฐบาลชาเวซสงเคราะห์คนรวยและคนชั้นกลางอย่างไรลองสมมุติว่าแบงค์ชาติไทยใช้นโยบายเดียวกันจะเกิดอะไรขึ้น? สมมุติว่าแบงค์ชาติไทยขายเงินดอลลาร์ด้วยอัตรา 6 บาทต่อดอลลาร์โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ขอซื้อต้องพิสูจน์ความจำเป็นหรือต้องซื้อพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ (คือให้รัฐบาลกู้) และในตลาดมืด (เช่น ร้านขายปลีก คนอยากซื้อคอนโดที่ไมอามี คนอยากฝากเงินดอลลาร์ที่ธนาคารที่ปานามา คนมีหนี้สินที่ต้องจ่ายเจ้าหนี้ที่นิวยอร์ค ฯลฯ) มีอัตรา 30 บาทต่อดอลลาร์ และคุณมีเงินออมอยู่ 6 ล้านบาท คุณจะทำอย่างไร? สมมุติว่าคุณอยากแปลงเงินออมเป็นเงินดอลลาร์ทั้ง 6 ล้านบาท

ก) ถ้าคุณจดทะเบียนตั้งบริษัทนำเข้าเพื่อขอซื้อเงินดอลลาร์ 1 ล้านดอลลาร์และได้อนุมัติ แล้วเอา 1 ล้านดอลลาร์ไปขายที่ตลาดมืดก็จะได้ 30 ล้านบาท หลังจากนั้นเอาเงิน 30 ล้านบาทนี้ไปซื้อเงินดอลลาร์จากแบงค์ชาติอีกรอบก็จะได้มา 5 ล้านดอลลาร์ แบ่งเงิน 5 ล้านดอลลาร์เป็น 2 ส่วนคือส่วนหนึ่งใช้ซื้อสินค้านำเข้าจริงๆเผื่อแบงค์ชาติส่งพนักงานมาตรวจสอบภายหลังว่าคุณนำเข้าสินค้าจริงหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งก็เป็น “ส่วนต่าง”ที่คุณเก็บเอาเข้ากระเป๋าตัวเองได้

ข) ถ้าคุณซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุ 1 ปี คุณต้องรอ 1 ปีกว่าจะได้เงิน 1 ล้านดอลลาร์ แต่คุณก็จะได้ดอกเบี้ยในสกุลดอลลาร์เป็นค่าเสียเวลาด้วย ถ้ารอไม่ไหวคุณก็เอาพันธบัตรที่ซื้อมาไปขายเป็นเงินสดในตลาดมืดก็ได้ [5]

วิธีการ ก) ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่รัฐอนุมัติ ก็เป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกสินบนหรืออำนวยให้พวกพ้องซื้อเงินดอลลาร์มาค้ากำไรได้ รัฐบาลชาเวซจับกุมพนักงานที่รับสินบนเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัวเป็นครั้งคราว ที่จริงแล้วการใช้อัตราเงินแข็งเป็นอัตราทางการเป็นวิธีการซื้อเสียงจากสถาบันการเงิน นักธุรกิจ คนรวย และคนชั้นกลางที่มีเงินออม ถ้าไม่อยากให้มีการซื้อขายเงินในตลาดมืดจริงๆก็ทำได้ คือกำหนดอัตราแบงค์ชาติให้เท่ากับอัตราจริง รัฐบาลชาเวซอำพรางปัญหาด้วยการลดค่าเงินโบลิวาร์เป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้อัตราจริง การปรับอัตราแลกเปลี่ยนในยุครัฐบาลมาดุโรก็ไม่ได้เท่าอัตราจริง [6]

รัฐบาลเวเนซุเอลาจะโดนบังคับให้เผชิญอัตราจริงก็ต่อเมื่อเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่แบงค์ชาติเหลือน้อยมากจนแบงค์ชาติขายเงินดอลลาร์ด้วยอัตราที่แข็งกว่าตลาดมืดไม่ได้แล้ว (โปรดรำลึกถึงยุควิกฤตต้มยำกุ้ง) และเมื่อนั้นก็มาถึงในยุครัฐบาลมาดุโร ที่จริงแล้วราคาน้ำมันปัจจุบันไม่ได้ต่ำเท่าตอนต้นยุครัฐบาลมาดุโร แต่รัฐวิสาหกิจน้ำมันที่เป็นตัวทำรายได้เงินทุนสำรองสกุลดอลลาร์ลดกำลังผลิตเพราะขาดทุนเรื้อรังจนไม่มีทุนมาบำรุงและซ่อมแซมเครื่องจักร ยิ่งขาดทุนวิศวกรก็ยิ่งลาออก(คาดว่าเพื่ออพยพไปอยู่ประเทศอื่น)

เมื่อเงินทุนสำรองลดน้อยลงมาก บริษัทที่นำเข้าวัตถุดิบและบริษัทรถยนต์ที่เคยซื้อเงินดอลลาร์จากรัฐง่ายๆก็ต้องรอเป็นเดือน ทำให้เกิดภาวะสินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลน รถยนต์ก็ขาดแคลนจนรถมือสองราคาแพงขึ้นเรื่อยๆจนแพงกว่าราคารถใหม่ในอดีต เมื่อเป็นเช่นนี้คนก็ยิ่งไม่อยากถือเงินโบลิวาร์อยากซื้อรถซื้อบ้านซื้อสินค้าที่เก็บได้นาน เป็นแบบนี้นานเข้าธุรกรรมในตลาดมืดก็ยิ่งเฟื่องฟู รัฐบาลพยายามปิดเว็บไซต์ https://dolartoday.com ที่รายงานอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/DolarToday ของเว็บนี้มีคนติดตามมากกว่า 10% ของประชากรเวเนซุเอลา (มีทวิตเตอร์หรือเพจเฟซบุ๊คไทยที่มีคนติดตามเกิน 6.8 ล้านคนไหม?)

อีกวิธีหนึ่งที่รัฐบาลชาเวซและมาดุโรใช้เพื่อซื้อเสียงคนรวยคือให้นายพลระดับสูงเข้าไปบริหารรัฐวิสาหกิจรวมทั้งรัฐวิสาหกิจน้ำมัน [7][8] วิธีนี้ไม่ซับซ้อนและชัดเจน นอกจากนี้ทหารในยุครัฐบาลมาดุโรมีหน้าที่พิเศษคือควบคุมสินค้าจากโรงงาน(ทั้งโรงงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ)ให้ไปถึงปลายทาง รัฐบาลใช้มาตรการควบคุมราคาสินค้าที่ต่ำมาก ประกอบกับภาวะขาดแคลนสินค้า จึงเกิดการลักลอบขายสินค้าให้พ่อค้าในตลาดมืดที่นำไปขายต่อเพื่อหากำไรหลายเท่าตัว รัฐบาลจึงส่งทหารไปคุ้มกันสินค้า แต่ก็ยากที่จะตรวจสอบว่าทหารรับสินบนแล้วปล่อยให้คนขับรถขนส่งลักลอบขายสินค้าหรือไม่

ดราม่า 4 : รัฐบาลชาเวซเปลี่ยนเวเนซุเอลาจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศส่งออกน้ำมัน

ความจริง 4 : เวเนซุเอลาเป็นประเทศส่งออกน้ำมันมานานก่อนชาเวซเป็นประธานาธิบดี


เวเนซุเอลาเป็น 1 ใน 5 ของประเทศส่งออกน้ำมันที่ก่อตั้งองค์กรประเทศส่งออกน้ำมันหรือ“โอเปค”ก่อนชาเวซเป็นประธานาธิบดี 39 ปี นักคิดของเวเนซุเอลาในยุคนั้นเชื่อมั่นว่าถ้าประเทศส่งออกน้ำมันร่วมกันลดปริมาณการผลิตก็จะดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แนวคิดนี้ไม่ประสบความสำเร็จนักด้วยหลายสาเหตุ สาเหตุสำคัญคือการคาดการณ์ปริมาณความต้องการน้ำมันในตลาดโลกไม่ใช่เรื่องง่าย และประเทศสมาชิกมีแรงจูงใจที่จะผลิตเกินโควต้าที่ตกลงกันในที่ประชุมโอเปค

ดราม่า 5 : ถ้ารัฐบาลชาเวซไม่ใช้นโยบายประชานิยมจะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ

ความจริง 5 : ถึงไม่ใช้นโยบายประชานิยมก็มีวิกฤตเศรษฐกิจได้


วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเวเนซุเอลา เมื่อ 30 ปีที่แล้วชาเวซยังไม่ได้เป็นประธานาธิบดีและยังไม่มีนโยบายประชานิยม แต่ก็มีวิกฤตด้วยสาเหตุเดียวกันคือทุนสำรองเงินตราต่างประเทศน้อยและหนี้สาธารณะต่างชาติมากจนจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นไม่ได้ ในยุคนั้นรัฐวิสาหกิจน้ำมันก็รายได้ลดเพราะราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลงเช่นกัน และรัฐบาลก็ใช้จ่ายมาก งบกระทรวงกลาโหมก็มาก รัฐบาลชาเวซก็เพิ่มงบกลาโหมเช่นกัน ไม่ใช่ว่ารัฐบาลชาเวซเพิ่มงบให้โครงการทางสังคมเท่านั้น

เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่รัฐบาลชาเวซและรัฐบาลมาดุโรมีอำนาจควบคุมการใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของแบงค์ชาติเวเนซุเอลา ให้แบงค์ชาติอัดฉีดเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเรื้อรังและกู้จากต่างชาติเพิ่มเติมด้วย ผลการขาดทุนของรัฐวิสาหกิจบางปีสูงกว่างบประมาณโครงการเพื่อสังคมด้วยซ้ำ เมื่อขาดทุนแล้วกู้ไปเรื่อยๆก็จบลงด้วยวิกฤต วิกฤตครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วตรงนี้ยุคนี้มีโซเชียลมีเดีย ทำให้”อัตราจริงในตลาดมืด”อยู่ในที่แจ้งยิ่งเร่งให้คนเข้าไปซื้อเงินดอลลาร์ในตลาดมืดมากยิ่งขึ้น และทำให้ทั่วโลกรับรู้วิกฤตครั้งนี้ได้รวดเร็วมากกว่าครั้งก่อน

ประเทศที่เป็นตัวอย่างให้เวเนซุเอลาได้คือเอกวาดอร์ เอกวาดอร์เป็นประเทศส่งออกน้ำมันและเป็นสามาชิกโอเปคตั้งแต่พศ. 2516 เคยประสบปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะ เอกวาดอร์เรียนรู้จากประสบการณ์และแก้ปัญหาตรงจุด ในเมื่อประชาชนอยากได้เงินดอลลาร์มากจนไม่อยากถือเงินแบงค์ชาติ รัฐบาลก็อนุญาตให้ประชาชนใช้เงินดอลลาร์ค้าขายและทำธุรกรรมควบคู่ไปกับเงินแบงค์ชาติ ปรับอัตราแลกเปลี่ยนที่สะท้อนค่าจริงในตลาดมืด และไม่พิมพ์เงินใหม่ก่อนมีรายได้ส่งออกที่เพิ่มเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ เอกวาดอร์มีระบบสวัสดิการสุขภาพครอบคลุมยิ่งกว่าของไทย เหมือนประเทศทุนนิยมยุโรป แคนาดา และญี่ปุ่น เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงตอนปี 2557 ก็ไม่ได้เกิดวิกฤตแบบเวเนซุเอลา

ดราม่า 6 : ถ้าไทยไม่ยกเลิกโครงการประชานิยมไทยจะเกิดวิกฤตแบบเวเนซุเอลา

ความจริง 6 : ถึงไม่มีโครงการประชานิยมไทยก็เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะมาแล้ว


ไทยเคยมีวิกฤตหนี้สาธารณะในยุครัฐบาลเปรม ทำให้กู้เงินจากไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก วิกฤตหนี้สาธารณะ(ไม่ว่าประเทศไหน)เกิดจากการกู้โดยรัฐบาลจนเกินกำลังการใช้หนี้จนต้องประกาศว่าจะไม่จ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นแล้วเข้าสู่กระบวนการต่อรองเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ การยกเลิกโครงการประชานิยมไม่ได้รับประกันว่ารัฐบาลจะไม่เพิ่มงบประมาณใช้จ่ายโครงการอื่นๆ

บทสรุป

วิกฤตเวเนซุเอลาให้บทเรียนหลายอย่าง อาทิ


ก) ไม่ควรให้ผู้นำฝ่ายบริหารมีอำนาจควบคุมการใช้จ่ายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

ข) ไม่ควรให้ผู้นำฝ่ายบริหารกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ค) ไม่ควรใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบแบ่งแยกและอภิมหาแข็งกว่าอัตราจริง

ง) ไม่ควรอัดฉีดเงินรัฐบาลหรือแบงค์ชาติเพื่ออุ้มรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเรื้อรัง

จ) ไม่ควรให้นายพลบริหารรัฐวิสาหกิจที่สำคัญต่อรายได้ประเทศและรายได้ส่งออก

ฉ) ไม่ควรพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกอย่าง



ผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้เขียนได้ที่ https://twitter.com/kandainthai



หมายเหตุ

[1] Forbes Billionaire List 2018 (from Venezuela):

https://www.forbes.com/billionaires/list/#version:static_search:venezuela



[2] Venezuelan creditor eyeing Citgo assets face uphill battle:

https://www.reuters.com/article/us-venezuela-citgo-bondholders-analysis/venezuelan-creditors-eyeing-citgo-assets-face-uphill-battle-idUSKBN1E838E



[3] Venezuela’s creditors aim to avoid infighting call to unity:

https://www.reuters.com/article/us-venezuela-debt-committee/venezuelas-creditors-aim-to-avoid-infighting-in-call-to-unity-idUSKBN1JL1DZ



[4] Venezuela’s bizarre system of exchange rates

https://mises.org/library/venezuelas-bizarre-system-exchange-rates



[5] The silent creditor group in Venezuela’s debt crisis:

https://www.reuters.com/article/us-venezuela-debt-bondholders/the-silent-creditor-group-in-venezuelas-debt-crisis-venezuelans-idUSKBN1E20K9



[6] Venezuela’s Currency Circus: https://www.nytimes.com/2015/03/07/opinion/francisco-toro-dorothy-kronick-venezuelas-currency-circus.html



[7] Appointment of Army general to Venezuela oil company could mean more politics, less oil: http://www.latinamericanstudies.org/venezuela/lameda.htm
[8] Under military rule, Venezuela oil workers quit in a stampede

https://www.reuters.com/article/us-venezuela-oil-workers-insight/under-military-rule-venezuela-oil-workers-quit-in-a-stampede-idUSKBN1HO0H9

[full-post]


Posted: 26 Aug 2018 01:46 PM PDT
Submitted on Mon, 2018-08-27 03:46


เยี่ยมยุทธ สุทธิฉายา สัมภาษณ์/เรียบเรียง


สัมภาษณ์อาห์เหม็ด ชาฮีด ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ ถึงความหมาย ความสำคัญ สถานการณ์ในเอเชีย/อาเซียน ความเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยแบบแยกไม่ขาด แนวทางที่รัฐสามารถจำกัด ดูแลการใช้สิทธิ เสรีภาพได้แบบควรแก่เหตุในยุคดิจิทัล

การพูดถึงศาสนาในโรงเรียนไทยนั้นอยู่บนเส้นเรื่องที่ว่า ไทยประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มีประชากรส่วนมากเป็นคนพุทธ และลงท้ายด้วยคำสวยๆ ว่าไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม แต่ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี ทว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาคือการอยู่ร่วมกันระหว่างคนที่มีความเชื่อต่างกันทั้งในด้านปฏิสัมพันธ์ และความเคารพกันในทางความคิด ความเชื่อในฐานะที่ทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน และเท่าเทียมกัน

โจทย์ปัญหาเดียวกันถูกถามสะท้อนไปมาทั่วโลก ในเมื่อทุกประเทศต่างมีความแตกต่างในด้านความเชื่อ มโนธรรมกันทั้งนั้น หน้าประวัติศาสตร์โลกต่างเห็นการเลือกปฏิบัติต่อคนที่นับถือศาสนาหรือความเชื่อชุดหนึ่งเหนือกว่าอีกชุดหนึ่งอยู่เสมอๆ และหลายครั้งจบลงด้วยบทโศกและความตายของคนจำนวนมาก ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดตอนนี้คือกรณีรัฐบาลพม่ากระทำต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่

ในทางสิทธิมนุษยชน มนุษย์นั้นมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเชื่อและสามารถแสดงออกอย่างสันติ เสรีภาพนี้ถูกบรรจุอยู่ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) ซึ่งประชาไทได้รับเกียรติจากอาห์เหม็ด ชาฮีด ผู้รายงานพิเศษ องค์การสหประชาชาติ (UN Special Rapporteur) ด้านเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ มาให้สัมภาษณ์ถึงความหมาย ความสำคัญของเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ สถานการณ์ภาพรวมในเอเชีย ข้อกังวลและคำแนะนำกับการทำให้เกิดการเคารพซึ่งการมีความเชื่อที่ต่างกัน (หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่มี) ท่ามกลาง ‘อิสลาโมโฟเบีย’ และโซเชียลมีเดียที่ใช้กันแพร่หลาย


อาห์เหม็ด ชาฮีด

อาห์เหม็ดไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ประเทศไทยเนื่องจากไม่ได้อยู่ในระหว่างการมาเยือนประเทศ แต่การพูดคุยกันในประเทศที่งดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา และการบัญญัติหน้าที่ให้รัฐพึงป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพุทธศาสนาในมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็ให้ภาพดูขัดแย้งกันดี

เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อคืออะไร

หลักการพื้นฐานของเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อคือสิทธิมนุษยชนที่ใช้กับทุกผู้ทุกคน เสรีภาพดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาหรือความเชื่อ แต่มันคือการทำให้ปัจเจกชนหรือกลุ่มได้มีเสรีภาพในการมีความคิด มโนธรรม ศาสนาหรือความเชื่อ เป็นสิทธิมนุษยชนสากล และเนื่องจากมันเป็นเสรีภาพ มันจึงเป็นการให้พื้นที่ให้คนได้ใช้สิทธิดังกล่าว รัฐไม่สามารถแทรกแซงได้และยังต้องคุ้มครองการแสดงออกซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าวอย่างสันติ ทั้งนี้ การใช้สิทธินั้นสามารถถูกจำกัดได้แต่ก็เพียงแต่ในกรณีจำเพาะเจาะจงมาก ผมควรจะต้องเพิ่มเติมด้วยว่ามัน (เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ) คือความเท่าเทียมเพราะมันเป็นสิทธิที่ทุกคน ทุกเพศมีอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะมีหรือไม่มีความศรัทธาต่อความเชื่อใดๆ ก็ตาม

คุณไม่สามารถแยกเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อออกจากสิทธิมนุษยชนที่เหลือด้วยเหตุผลว่าเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อเป็นพื้นฐานที่สร้างบริบทให้คนสามารถใช้สิทธิอื่นๆ คุณไม่สามารถหารัฐใดๆ บนโลกที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนในขณะที่เป็นประชาธิปไตย ถ้ารัฐปกป้องเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิใดถูกสถาปนา แม้ว่าคุณจะเอาข้อที่ 18 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights - UDHR: ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความคิดมโนธรรมและศาสนา สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพในการเปลี่ยนศาสนาหรือความเชื่อถือ...) ออกไป คุณก็ยังสามารถใช้เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อได้ เพราะว่าสิทธิอื่นๆ ยังคงให้ความคุ้มครองในการใช้สิทธิดังกล่าว แต่ความแตกต่างคือ เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นมากกว่าเสรีภาพในการแสดงออก เพราะตามข้อที่ 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ระบุว่าเสรีภาพในการแสดงออกนั้นสามารถถูกจำกัดได้ด้วยบางสาเหตุ เช่น ความมั่นคงของชาติ แต่เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อไม่สามารถถูกจำกัดด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติหรือความปลอดภัยของสาธารณะ

เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อกับประชาธิปไตยมีความเชื่อมโยงกันไหม

คุณไม่สามารถหารัฐที่ปฏิเสธเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อและเป็นประชาธิปไตย เพราะว่าหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตยคือเจตจำนงของประชาชน และจุดเริ่มต้นของความเป็นอิสระของคนก็คือมโนธรรมของคน ถ้าคุณไม่มีพื้นที่ให้เชื่อหรือประสงค์ที่จะเชื่อ คุณก็อยู่ในรัฐแบบออร์เวลเลียน (จอร์จ ออร์เวล ผู้เขียนนิยายเรื่อง 1984 ที่รัฐควบคุมประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จ) ที่รัฐบาลต้องการจะล้างสมอง ใส่ความคิดเข้าไปในหัวและควบคุมวิธีคิดของคุณ ยิ่งประชาชนมีเสรีภาพที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการเชื่อ ก็หมายความว่ามีพื้นที่เสรีภาพที่มากขึ้น และนั่นคือสิ่งที่ประชาธิปไตยผูกแนบอยู่กับสิทธิมนุษยชน

ความสัมพันธ์อีกด้านหนึ่งมาจากการทดลองในหนังสือที่ชือว่า The Price of Freedom Denied มีการทดลองและพบว่ายิ่งมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อมากเท่าไหร่ สังคมก็ยิ่งมีแนวโน้มจะสงบสุขและขัดแย้งกันน้อยลง มีการทำวิจัยอื่นๆ ในเรื่องของความเท่าเทียมกันในแนวราบ พบว่า ยิ่งมีความเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทางเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสันติสุขมากขึ้นเท่านั้น ความสัมพันธ์ในด้านที่สามคือความสัมพันธ์ระหว่างโอกาสทางเศรษฐกิจ ในประวัติศาสตร์เมื่อมีการก่อกวนหรือกวาดล้างขึ้นก็จะเกิดภาวะทุนหนีหาย เกิดภาวะสมองไหลและผู้คนย้ายถิ่น

ภาพรวมเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อในเอเชียเป็นอย่างไรบ้าง

เอเชียเป็นกลุ่มก้อนของรัฐที่ใหญ่มาก และในหลายพื้นที่ก็มีปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เอเชียสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มๆ เอเชียตะวันตกส่วนมากเป็นประเทศมุสลิม เอเชียใต้ก็มีอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศหรือเนปาล และก็มีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตรงนี้ เอเชียกลางที่ประกอบด้วยคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และเอเชียตะวันออกไกลที่มีญี่ปุ่น จีนและเกาหลี

ในภาพรวม ทุกกลุ่มมีปัญหาที่น่ากังวลมากๆ ถ้าดูข้อมูลงานวิจัยจาก PEW Research Center ว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อในระดับโลก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ตำแหน่งแห่งหนของประเทศในเอเชียมีความน่าเป็นห่วงกว่าประเทศอื่นในโลกในด้านความเข้มงวดของรัฐบาล และความโหดร้ายทารุณจากสังคม (ที่มีต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ)


ดัชนีความเข้มงวดกับศาสนาโดยรัฐและสังคมที่จัดทำโดย PEW Research Center ที่ในปี 2559 มีการจัดทำอันดับความเข้มงวดของรัฐบาลและสังคมต่อศาสนา และพบว่ารัฐบาลของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิคมีอัตราความเข้มงวดสูงกว่าพื้นที่อื่นในโลก (ที่มา: PEW Research Center)

และถ้าดูจากรายงานของคณะกรรมาธิการสำหรับเสรีภาพทางศาสนานานาชาติของสหรัฐฯ (United States Commission on International Religious Freedom - USCIRF) หน่วยงานที่สังเกตการณ์สถานการณ์เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อรอบโลก ในรายงานปี 2561 มี 28 ประเทศที่ USCIRF ใส่ไว้ในลิสต์ที่น่ากังวลซึ่งแบ่งเป็นสองเทียร์ เทียร์ที่หนึ่งมี 16 ประเทศ เป็นเอเชียไป 11 ในเทียร์สองมี 12 ประเทศ เป็นเอเชียไป 8

มีข้อกังวลอะไรกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่

ผมมีข้อกังวลเกี่ยวกับภูมิภาคอาเซียนหลายข้อ เหตุผลหลักก็คือเทรนด์และความซับซ้อนในภูมิภาคนี้มีความเติบโตขึ้น ภูมิภาคนี้ค่อนข้างจะตามหลังภูมิภาคอื่นในการทำตามอาณัติที่ผมรับผิดชอบอยู่ ซึ่งอาณัตินี้มีความเป็นมาย้อนหลังไปถึงปี 2529 (ข้อตกลงสหประชาชาติว่าด้วยผู้รายงานพิเศษเรื่องความไม่อดทนอดกลั้นกับศาสนา คือข้อตกลงที่กำหนดหน้าที่ของผู้รายงานพิเศษในการทำงานเกี่ยวกับกรณีเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อ) และเพิ่งมีสองประเทศที่ยอมรับการไปเยือนประเทศ คือลาวกับเวียดนาม การไปเยือนเวียดนามอีกครั้งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ออกมาดีเท่าไหร่ เวียดนามเป็นประเทศที่รายงานของ PEW Research Center ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถานการณ์ที่น่ากังวล เนื่องจากรัฐบาลมีท่าทีรุนแรงต่อศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นหลังถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ที่มองศาสนาเป็นปัญหา ซึ่งในบริบทดังกล่าวก็มีบรรยากาศของความกดขี่ ความท้าทายสำหรับผู้คนที่นับถือศาสนาหรือความเชื่อ

หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความลำบากในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน มีข้อเสนอแนะอะไรหรือไม่

แน่นอนว่ารัฐมีหน้าที่สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนไม่ว่าเป็นพลเรือนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เสรีภาพในการนับถือศาสนาไม่ได้คุ้มครองคือการใช้ความรุนแรงในนามของศาสนา คุณไม่สามารถจับอาวุธขึ้นมาในนามของศาสนา และมันเป็นเรื่องต้องห้ามภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ข้อตกลงระหว่างประเทศมีระบุไว้ชัดเจนกรณีที่รัฐประกาศสงครามต่อรัฐอื่น แต่ไม่มีสิทธิใดที่ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มใดๆ จะประกาศสงครามกับรัฐ คนเหล่าถือว่าล่วงละเมิดบรรทัดฐานระหว่างประเทศ และรัฐก็มีหน้าที่ตอบโต้กลุ่มคนเหล่านั้น แต่รัฐเองก็มีกฎหมายทั้งเรื่องมนุษยธรรม เรื่องการสู้รบ ไปจนถึงกฎหมายอื่นๆ ที่กำกับกรอบการทำหน้าที่ของรัฐในกรณีดังกล่าว และสิ่งสำคัญคือความได้สัดส่วน รัฐนั้นมีหน้าที่ต้องจบความขัดแย้ง แต่ไม่สามารถละเมิดสิทธิของเหล่านักรบ

สิ่งที่พบเห็นตอนนี้คือประเทศต่างๆ จำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อในนามของการรักษาความสงบสุข ผมกำลังพูดถึงภาวะเกลียดกลัวอิสลาม (อิสลาโมโฟเบีย)

เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือความเชื่อในฐานะที่เป็นสิทธิมนุษยชนนั้นยอมให้มีการจำกัดจากรัฐได้อยู่บ้าง ผมอ้างอิงจากหลักปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนสองข้อ หนึ่งคือข้อ 18 ของ ICCPR วงเล็บสาม ความปลอดภัยของส่วนรวมเป็นฐานอย่างหนึ่งในการจำกัดเสรีภาพ อีกอย่างหนึ่งคือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม คุณไม่สามารถใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างในการสร้างความวุ่นวายต่อสาธารณะและสถานการณ์ที่ไม่สงบสุข

เสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา หรือความเชื่อของบุคคลอาจอยู่ภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดเฉพาะที่บัญญัติโดยกฎหมาย และตามความจ าเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยสุขอนามัย หรือศีลธรรมของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นมูลฐานของบุคคลอื่นเท่านั้น

อีกเงื่อนไขที่สามารถจำกัดเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อได้คือเรื่องสาธารณสุข คุณไม่สามารถใช้ศาสนารับรองการกระทำของคุณได้ถ้ามันทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น เมื่อมีโรคระบาดครั้งใหญ่ที่มีผลกระทบกับเด็กจำนวนมากแต่มีคนบอกว่าศาสนาของเราไม่อนุญาตให้ฉีดวัคซีน แบบนี้รัฐก็ต้องเข้ามาแทรกแซง และยังมีเหตุผลเรื่องศีลธรรมของสังคมอีก ไม่ใช่ศีลธรรมที่อิงอยู่กับศาสนา แต่อิงอยู่กับคุณค่าที่คนในสังคมยึดถือร่วมกันรวมไปถึงสิทธิของผู้อื่น ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้เป็นปัจจัยที่รัฐสามารถใช้นำมาจำกัดเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อได้แต่ก็ต้องมีเงื่อนไขอย่างอื่นประกอบด้วย เช่น จะต้องมีการกำหนดไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน และการกระทำจะต้องได้สัดส่วนกับภัยคุกคามที่เกิด คุณไม่สามารถใช้ค้อนขนาดใหญ่มาทุบลูกนัทได้ มันต้องเป็นมาตรการที่ได้สัดส่วนที่อย่างน้อยก็ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ

แต่ก็มีแนวโน้มที่รัฐจะใช้ความรุนแรงเพื่อทำให้เกิดเสรีภาพหรือสันติภาพ แล้วบังคับใช้มาตรการที่โหดร้ายจนไปทำลายสิทธิเหมือนกัน และนั่นเป็นเรื่องที่ผิด ยกตัวอย่างกรณีอิสลาโมโฟเบีย คำนี้ควรต้องถูกชี้แจงให้กระจ่าง การนับถือศาสนาหรือความเชื่อไม่มีอะไรผิด เพราะเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อไม่ได้คุ้มครองแนวคิด ข้อ 20 ของ ICCPR พูดถึงหน้าที่ของรัฐในการห้ามไม่ให้เกิดการรณรงค์ให้เกลียดชังศาสนาที่นำไปสู่การเกิดความรุนแรงต่อบุคคลอื่น ไม่ใช่ว่าทุกการกระทำที่มีแรงจูงใจจากศาสนาจะสามารถกระทำได้หมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐมีพื้นที่ในการทำลายสิทธิทุกอย่าง และก็มีบางกรณีที่รัฐมีสิทธิในการปกป้องประชาชนจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในนามศาสนา ซึ่งรัฐเองก็ต้องทำด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ปัญหาก็คืออิสลาโมโฟเบียที่ถูกมองเป็นว่าเป็นความเกลียดชังมุสลิมก็คือคุณไม่สามารถทำให้การเกลียดทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความรุนแรง เพราะมันขัดกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ความหมายของอิสลาโมโฟเบียคือการมองมุสลิมทุกคนเป็นภัยคุกคามและสมควรได้รับการเลือกปฏิบัติ แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผิดอย่างชัดเจนและก็เป็นอาชญากรรมด้วย

โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างไรกับการสร้างเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อ


ต้องเข้าใจว่าการใช้เสรีภาพต้องเป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบ ตาม UDHR นั้น ปัจเจกบุคคลมีหน้าที่ของตัวเองต่อชุมชน แต่ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่นั้นจะถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลในการทำลายสิทธิ สิทธิของผมในการจะเหวี่ยงแขนจบลงเมื่อมันไปโดนหน้าคนๆ หนึ่ง สิทธิที่ผมจะพูดอย่างเสรีจบเมื่อมันไปปลุกระดมคนอื่นให้ไปทำอันตรายกับคนอื่นๆ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งสำคัญต่อประชาธิปไตยและสำหรับเราที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระในโลกแบบที่เราต้องการ แต่การไม่มีข้อจำกัดเลยนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

แล้วเราจะทำอย่างไรกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียล่ะ แทนที่จะปิดมันลงหรือว่าจะเซนเซอร์ คุณควรจะมีข้อจำกัดให้น้อยที่สุด มีข้อแนะนำอยู่ในข้อที่ 20 ของ ICCPR เรื่องแนวทางของรัฐในการจัดการการกระทำในลักษณะแบบนั้น โดยมีเกณฑ์พิจารณาอยู่ห้าอย่าง
  1. ตัวผู้พูด อำนาจที่อยู่กับตัวผู้พูดมีผลมากน้อยขนาดไหน
  2. เนื้อหาที่พูดออกมา
  3. บริบทของการพูดว่ามีแนวโน้มจะทำให้เกิดความรุนแรงหรือไม่
  4. ขอบเขตของการพูด (extent)
  5. เจตนาของการพูด เช่น เป็นลักษณะของการอธิบาย หรือเป็นการอภิปรายในห้องเรียนที่จะต้องมีการวิพากษ์ หรือต่อหน้าม็อบที่กำลังโกรธ

มีหลายปัจจัยที่รัฐควรจะเข้ามาจัดการกับเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต แต่ประเด็นคือการทำให้การแบนมีน้อยและรับประกันว่าการแบนนั้นโปร่งใส อยู่บนหลักความรับผิดรับชอบ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้กับการแสดงออกอย่างเสรี เพราะความเกลียดชังทางศาสนาสามารถถูกโต้ตอบได้ถ้ามีเสรีภาพการแสดงออก เมื่อไม่มีเสรีภาพการแสดงออกมันก็ทำให้ความเกลียดชังถูกฟูมฟักขึ้น และอาจมีอิหม่าม นักเทศน์ที่ออกมาพูดด้วยความเกลียดชัง ถ้ามีเสรีภาพในการแสดงออกก็จะมีคนอื่นสามารถมาท้าทายพวกเขาได้ แนวคิดของเสรีภาพการแสดงออกสามารถนำมาใช้ในทางบวกเพื่อโต้ตอบวาทกรรมที่ไม่ดีด้วยการสร้างวาทกรรมที่ดี และแสดงออกซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของวาทกรรมที่ไม่ดีและความเกลียดชัง

มีความเห็นอย่างไรถ้ารัฐบังคับใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติกับศาสนาหนึ่งจากอีกศาสนาหนึ่ง


รัฐทำให้เกิดภาวะอันตรายในระยะยาวถ้าทำเช่นนั้น ถ้าคนมีเสรีภาพในการใช้สิทธิ มีประชาธิปไตย มีผู้นำที่ดีที่ประชาชนสามารถเรียกร้องสิทธิและได้มันมาโดยสันติ สังคมก็จะมีเสถียรภาพขึ้น สงบสุขและเข้มแข็ง เมื่อรัฐบาลปฏิเสธเสรีภาพของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วทำให้ศาสนาหนึ่งอยู่เหนือกว่าศาสนาหนึ่ง ก็จะจบลงด้วยการเลือกปฏิบัติต่อคนกลุ่มหนึ่ง และการเลือกปฏิบัติก็เป็นเรื่องที่ถูกห้ามในแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนทุกอย่าง

[full-post]
ขับเคลื่อนโดย Blogger.