แกว่งปากไปยั่วอุ้งเท้าผู้มีอำนาจท่านไหนสักพัก
ถ้าไม่ออกประกาศตั้งแต่ดึกๆ 29 เมษายน เดี๋ยวก็จะมีช่องโหว่ช่องว่างอะไรตามมา
แต่ว่านอกจากเทคนิคกฎหมายแล้ว
ตัวเนื้อหาของประกาศก็น่าพูดถึง
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องให้ทุกจังหวัดยัง"คงคำสั่งเดิม"ที่ประกาศกันมาตั้งแต่ต้นเดือน-กลางเดือน ช่วงที่โรคยังน่ากลัวอยู่เอาไว้
ประเทศ เอ๊ยจังหวัดไหน ที่คิดจะผ่อนคลายหรืออะไร
ให้หยุดไว้ก่อน
การติดเบรกนี้บอกอะไร
หนึ่ง บอกว่าคำสั่งเดิมที่บอกให้แต่ละจังหวัดไปจัดการพื้นที่ของตัวเองเอาเองนั้นไม่มีความหมาย
หรือพิสูจน์แล้วว่ายิ่งเละกว่าเดิม
เลยต้องกลับมากระชับอำนาจใหม่
หนึ่ีง แสดงว่ามีรัฐอิสระ เอ๊ยบางจังหวัด"แหลม"เกินหน้าเกินตารัฐบาล
ต้องจัดการตบเกรียนให้เห็นเสียหน่อย
...
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ในขณะที่พยายามปลอบใจหรือเชิดชูกันว่า
บัดนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยลดลงมาเหลือเลขตัวเดียวติดกัน 4 วันซ้อน
ยังมีความจำเป็นอะไรจะต้องใช้มาตรการเข้มงวดสุดขีดเหมือนเดิม
ในเมื่ออีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ชัดเจนว่า มาตรการบีบไม่ปล่อยที่ผ่านมา
ทำให้คนตกงานมากขึ้น ธุรกิจทั้งหลายตายซ้ำตายซาก
อะไรคือ"ทางสายกลาง" อะไรคือ"ความพอดี" ของเรื่องนี้
ตรงไหนที่จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคอยู่ในระดับท่ควบคุมได้
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องโอบอุ้มไม่ให้คนส่วนใหญ่ล้มตายลงเพราะปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ
ต้องนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจให้ชัดและให้ดี
...
มีข้อเสนออย่างหนึ่งว่า ถ้าเห็นความจำเป็นว่าจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้
คนที่ควรจะออกมาพูดจาอธิบาย ไม่ควรจะใช้นายแพทย์ที่เป็นโฆษกศบค. อะไรตอนนี้
มุขเก่าที่ปล่อยมา"แป้ก"หรือทำให้คนยิ่งหงุดหงิด อึดอัดนั้นยกไว้ไม่พูดเสียก็ได้
แค่เรื่องสุดท้ายที่บอกว่า สถิติคนฆ่าตัวตาย"ไม่นอกเหนือความคาดหมาย"
หรือน้อยกว่าสมัยต้มยำกุ้งนี่
ก็เป็นอนันตริยกรรม ไม่สามารถอภัยให้ได้แล้ว
และสมควรยิ่งที่จะเอาหมอโรคจิตไปตรวจสภาพจิตบ้าง
ว่าทำไม่เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา
เป็นตัวเลขที่เอามาพูดเล่นได้
...
เราพูดกันมาแต่ต้นว่าวิกฤติครั้งนี้มีอย่างน้อยสองมิติซ้อนกันอยู่
คือวิกฤติโรคระบาด กับวิกฤติปากท้องชาวบ้าน
อย่าให้มีวิกฤติอารมณ์ของชาวบ้านเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกอย่างเลยครับ
รู้จักไหน"คนโมโหหิว"
รู้ไหมว่าความโกรธของคนสิ้นไร้ไม้ตอก(แล้วยังถูกเหยียดหยัน เยาะเย้ยซ้ำเติม)นั้นเป็นอย่างไร
ดับไฟกองเดิมไม่ได้
อย่่าทะลึ่งไปก่อกองใหม่ขึ้นมาเลยครับ
เดี๋ยวมันจะลามมาไหม้ตัว
แต่ว่านอกจากเทคนิคกฎหมายแล้ว
ตัวเนื้อหาของประกาศก็น่าพูดถึง
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องให้ทุกจังหวัดยัง"คงคำสั่งเดิม"ที่ประกาศกันมาตั้งแต่ต้นเดือน-กลางเดือน ช่วงที่โรคยังน่ากลัวอยู่เอาไว้
ประเทศ เอ๊ยจังหวัดไหน ที่คิดจะผ่อนคลายหรืออะไร
ให้หยุดไว้ก่อน
การติดเบรกนี้บอกอะไร
หนึ่ง บอกว่าคำสั่งเดิมที่บอกให้แต่ละจังหวัดไปจัดการพื้นที่ของตัวเองเอาเองนั้นไม่มีความหมาย
หรือพิสูจน์แล้วว่ายิ่งเละกว่าเดิม
เลยต้องกลับมากระชับอำนาจใหม่
หนึ่ีง แสดงว่ามีรัฐอิสระ เอ๊ยบางจังหวัด"แหลม"เกินหน้าเกินตารัฐบาล
ต้องจัดการตบเกรียนให้เห็นเสียหน่อย
...
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ในขณะที่พยายามปลอบใจหรือเชิดชูกันว่า
บัดนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยลดลงมาเหลือเลขตัวเดียวติดกัน 4 วันซ้อน
ยังมีความจำเป็นอะไรจะต้องใช้มาตรการเข้มงวดสุดขีดเหมือนเดิม
ในเมื่ออีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ชัดเจนว่า มาตรการบีบไม่ปล่อยที่ผ่านมา
ทำให้คนตกงานมากขึ้น ธุรกิจทั้งหลายตายซ้ำตายซาก
อะไรคือ"ทางสายกลาง" อะไรคือ"ความพอดี" ของเรื่องนี้
ตรงไหนที่จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคอยู่ในระดับท่ควบคุมได้
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องโอบอุ้มไม่ให้คนส่วนใหญ่ล้มตายลงเพราะปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ
ต้องนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจให้ชัดและให้ดี
...
มีข้อเสนออย่างหนึ่งว่า ถ้าเห็นความจำเป็นว่าจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้
คนที่ควรจะออกมาพูดจาอธิบาย ไม่ควรจะใช้นายแพทย์ที่เป็นโฆษกศบค. อะไรตอนนี้
มุขเก่าที่ปล่อยมา"แป้ก"หรือทำให้คนยิ่งหงุดหงิด อึดอัดนั้นยกไว้ไม่พูดเสียก็ได้
แค่เรื่องสุดท้ายที่บอกว่า สถิติคนฆ่าตัวตาย"ไม่นอกเหนือความคาดหมาย"
หรือน้อยกว่าสมัยต้มยำกุ้งนี่
ก็เป็นอนันตริยกรรม ไม่สามารถอภัยให้ได้แล้ว
และสมควรยิ่งที่จะเอาหมอโรคจิตไปตรวจสภาพจิตบ้าง
ว่าทำไม่เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา
เป็นตัวเลขที่เอามาพูดเล่นได้
...
เราพูดกันมาแต่ต้นว่าวิกฤติครั้งนี้มีอย่างน้อยสองมิติซ้อนกันอยู่
คือวิกฤติโรคระบาด กับวิกฤติปากท้องชาวบ้าน
อย่าให้มีวิกฤติอารมณ์ของชาวบ้านเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกอย่างเลยครับ
รู้จักไหน"คนโมโหหิว"
รู้ไหมว่าความโกรธของคนสิ้นไร้ไม้ตอก(แล้วยังถูกเหยียดหยัน เยาะเย้ยซ้ำเติม)นั้นเป็นอย่างไร
ดับไฟกองเดิมไม่ได้
อย่่าทะลึ่งไปก่อกองใหม่ขึ้นมาเลยครับ
เดี๋ยวมันจะลามมาไหม้ตัว