สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ


กถาวัตถุปกรณ์​ มี​ ประเด็นที่พึงรู้​ ดังนี้ (ตามนัยคัมภีร์​นิสสยะ​ อักษรปัลลวะ​ อักษรสิงหล​ และอักษรขอมโบราณ)​ 

๑. คัมภีร์​นี้ทำไมปราชญ์​ผู้รู้ทั้งหลาย​ มี​ พระอรรถกถา​จารย์​ พระฏีกาจารย์​ และ​ พระนิสสยาจารย์​  เป็นต้น จึงกล่าวว่า​ เป็นคัมภีร์​ขนาดกลางที่สุขุมลุ่มลึกเข้าใจได้ยาก​ พึงทราบว่า​ เพราะองค์ประกอบของเนื้อหาแต่ละส่วนมีหลายนัย​ และแต่ละนัยก็มีความซับซ้อน​ ผู้ศึกษาจึงควรให้ความสำคัญโครงสร้างของคัมภีร์์เป็นพิเศษ​

๒. คัมภีร์​นี้​ ในบรรดาเรื่องคำพูด (กถา)​ 9​ ประเภท​ มี​

       1.)​ติรัจฉานกถา​ คือ​ คำพูดที่ขัดขวาง​การบรรลุมรรค​ ผล​ นิพพาน

       2.)​วิกคาหิกกถา​ คือ​ คำพูดที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง

       3.)​สัมโมทนียกถา​ คือ​ คำพูดที่ก่อให้เกิดความสามัคคี

       4.)​อนุปุพพิกถา​ คือ​ คำพูดที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน

       5.)​อาลาปกถา​ คือ​ คำพูดที่เป็นการเจรจาตกลงความกัน  เช่น​ การเจรจาการค้า​ เป็นต้น

       6.)​ปพันธกัปปนกถา​ คือ​ คำพูดที่กำหนดประเด็น​ เช่น​ การโต้วาที​ การอภิปราย​ เป็นต้น

       7.)​วาทกถา​ คือ​ คำพูดที่โต้เถียง​กัน​ และคำพูดที่โต้แย้งกัน​ เกี่ยวกับลัทธิต่างๆ​ ซึ่งในคัมภีร์​นี้เป็นคำพูดแสดงการโต้แย้งกันแบบบัณฑิต​ มิใช่เป็นคำพูดแสดงการโต้เถียงกันแบบอันธพาล​

       8.)​ชัปปกถา​ คือ​ คำพูดที่บอกความประสงค์​เป็นเชิงบัณฑิต​  เช่น​ แทนที่จะ่้ร้องขอให้ไว้ชีวิต​ตรงๆ กลับร้องขอแบบเป็นเชิงของบัณฑิต​โดยการบอกความประสงค์เป็นเชิง​แทนว่า​ ตนปรารถนา​ได้เห็นท่านมีชีวิต​เป็นร้อยปี  เป็นต้น

       9.)​วิตัณฑกถา​ คือ​ คำพูดล้อเลียน​ เช่น​ การพูดล้อเล่นชการพูดประชด​ การพูดเหน็บแนม​ เป็นต้น

๓. คัมภีร์​นี้​ ส่วนที่เป็นเนื้อหาจำแนกเป็นประเด็น​ 266 กถา(ข้อ)​ มีบุคคลกถา​ เป็นต้น​ จำแนกเป็นสาระทางธรรม(เรื่อง)​ 18​ กลุ่ม​ มีกลุ่มเกี่ยวกับพระพุทธ​เจ้าเป็นต้น​ เช่น​ เรื่อง​(สาระ)​พระโอวาทเป็นโลกุตตระหรือ? เพื่อความสะดวกในการศึกษาและยืนยันว่าคัมภีร์​นี้เป็นวาทกถาจริงจึงแสดงเป็นกถา(ข้อ)​ไม่แสดงเป็นสาระ(เรื่อง)

๔.ในคัมภีร์​นี้​ ส่วนที่เป็นวิธีการ​ จำแนกเป็น​ 8​ วิธี​ โดยอาศัยนัยที่พึงปฏิบัติ(ปฏิบัตติกม)​ เรียกว่าอัฏฐมุกขนัย​ คือ​จาก​ 2​ ฝ่าย​ ที่เป็นฝ่ายยอมรับแล้วกลับกลอกกลิ้ง​เป็นปฏิเสธ​ เรียกว่า​ ฝ่ายอนุโลมปัจจนีกะ  4​ นัย​ และฝ่ายปฏิเสธแล้วกลับสัปปลับเป็นยอมรับ​ เรียกว่า​ ฝ่ายปัจจนีกานุโลมะ​ 4​ นัย

   แต่เมื่อจำแนกเป็นนัยที่พึงเกิดขึ้น(อุปปัตติกมะ)​ การติติง(นิคคหะ)​ พึงเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ขั้นตอน​การตั้งประเด็น(ฐปนา)​ คือ​ ช่วงที่ตั้งคำถามนำ(อนุโลมฐปนา)​ และช่วงที่ตั้งคำถามกลับ(ปฏิโลมฐปนา)​ ซึ่งถ้าขั้นตอนการตั้งประเด็นเกิดขึ้นแล้ว​ มีการยอมรับการติติงแล้ว​ ก็จะยุติการวาทกถา(การโต้แย้ง)​ จึงเรียกนัยนี้ว่า​ อัฏฐกนิคคหนัย​ ดังนั้น​ เมื่อว่าตามนัยที่พึงเกิดขึ้น(อุปปัตติกมะ)​ ซึ่งจะทำให้คัมภีร์​นี้​ แสดงขั้นตอนการโต้แย้งกันได้ครบทุกช่วงตอน​ ฝ่ายการถามนำจึงต้องมีครบทั้ง​ 5​ ช่วงตอน​ เรียกว่า​ ฝ่ายอนุโลมปัญจกะ​ และฝ่ายถามกลับก็ต้องมีครบทั้ง​ 5​ ช่วงตอนเช่นกัน​ เรียกว่า​ ฝ่ายปัจจนีกปัญจกะ​ สรุปอันดับขั้นตอน​การโต้แย้งกันในคัมภีร์​นี้​ จึงมีลำดับ​ ดังนี้

   1. ฐปนา​ คือ​ ขั้นตอนการตั้งประเด็น​ มี​ 2​ ฝ่าย​ คือ

         1.) อนุโลมฐปนา​ คือ​ ฝ่ายตั้งประเด็นถามนำ

        2.) ปฏิโลมฐปนา​ คือ​ ฝ่ายตั้งประเด็น​ถามกลับ

   แต่ละฝ่าย​ มี​ 4​ ช่วงตอน​ คือ

       1.) อนุโลมปาปนา​ คือ​ ช่วงตอนการถามนำเลวร้าย

       2.) อนุโลมโรปนา​ คือ​ ช่วงตอนการถามนำสดใส

       3.) ปฏิโลมปาปนา​ คือ​ ช่วงตอนการถามกลับเลาร้าย

       4.) ปฏิโลมโรปนา​ คือ​ ช่วงตอนการถามกลับสดใส​ 

   2. ปฏิกัมมจตุกกะ​ คือ​ ขั้นตอนการแก้ไข​ มี​ 4​ ช่วงตอน​ เหมือนขั้นตอน​ฐปนา

   3. นิคคหจตุกกะ​ คือ​ ขั้นตอนการติติง​ มี​ 4​ ช่วงตอน​ เหมือนขั้นตอนฐปนา

   4. อุปมาจตุกกะ​ คือ​ ขั้นตอนการเปรียบเทียม​ มี​ 4​ ช่วงตอน​ เหมือนขั้นตอนปฐนา

   5. นิคคมจตุกกะ​ คือขั้นตอนการลงความเห็น​ มี​ 4​ ช่วงตอน​ เหมือนขั้นตอน​ฐปนา

   5. แม้รู้โครงสร้าง​คัมภีร์​จากข้อที่​ 1.ถึงข้อที่​ 4​ ดีพอแล้ว​ ก็เป็นเหตุให้อ่านคัมภีร์​เข้าใจได้เท่านั้น​ เปรียบเหมือนเซียนมวยที่อ่านเชิงมวยของคู่ต่อสู้​ คือ​ ฝ่ายสกวาที​ กับฝ่ายปรวาทีได้ขาด​ แต่ก็ยังมีธรรมอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเสมือนเหตุให้เป็นนักมวย​แชมป์​เสียเอง​ 10​ ประการ​ คือ​ ธรรมที่เป็นสาเหตุให้เกิดสักกายทิฏฐิ(ความเห็นผิดว่าอัตตาตัวตนมีอยู่จริง)​ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดความเห็นผิดเป็นลัทธิ​ต่างๆขึ้นตามมาอีกทอดหนึ่ง​ และความฉลาดรอบรู้ความโดดเด่นของสภาวธรรมแต่ละสภาวธรรมที่สักกายทิฏฐิอาศัยเกิดขึ้น​ มี​ ขันธ์, อายตนะ​ เป็นต้น​ อันเปรียบเสมือนนักมวยแชมป์รอบรู้​ความโดดเด่นแม่ไม้มวยแต่ละแม่ไม้มวยดี  ซึ่งจะส่งผลให้กำหนดการใช้แม่ไม้มวยได้เหมาะสม​ กับทั้งยังรู้จังหวะ​ว่าจะเร่งหรือจะผ่อนแรง​ ในการโตแย้งกันธรรมส่วนนี้ก็​คือ​ อัฏฐมุุขนัย​ นั่นเอง​ที่เป็นประธาน เมื่อศึกษาเนื้อหาทั้ง​ 5​ ข้อดีแล้ว​ จะยกวาทกถาข้อใดขึ้นแสดงก็ตาม​ รูปแบบ​วิธีการ​  อันดับที่เป็นระบบขั้นตอน, อันดับที่เป็นระบบช่วงตอน​ ตลอดเชิงไหวพริบ​ปฏิภาณ​ก็จะหลังไหลพรั่งพรู​ให้ทราบได้

   1.) ธรรมที่เป็นสาเหตุให้เกิดสักกายทิฎฐิ​ มี​ 10​ ประการ​ ดังนี้

       1.1  สัสสตวาทะ คือสักกายทิฎฐิที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิดเกิดเป็นลัทธิว่า​ อัตตาและโลกเที่ยง​ มี​ 4 ลัทธิ​ย่อย

       1.2  เอกัจจสัสสตวาทะ คือสักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็น​ส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็นลัทธิว่า​   อัตตา​ และโลกบางส่วนเที่ยง​ มี​ 4​ ลัทธืย่อย

       1.3  อันตานันติกวาทะ​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิดเกิดเป็นลัทธิว่าโลกมีที่สุด​ โลกไม่มีที่สุด​ มี​ 4​ ลัทธิ​ย่อย

       1.4  อมราวิกเขปิกวาทะ​ คือสักกายทิฏฐิที่เป็นส่วนให้โลเลเกิดเป็นลัทธิพูดโลเลไม่อยู่​กับร่องกับรอย​ มี​ 4​ ลัทธิย่อย

       1.5  อธิจจสมุปปันนิกวาทะ​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่​เป็น​ส่วนให้เข้าใจผิด​เกิดเป็นลัทธิ​ว่า​ อัตตา​ และโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย​ มี​ 2​ ลัทธิ​ย่อย

       1.6  สัญญีวาทะ​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็นลัทธิว่า​ หลังจากตายแล้ว​ อัตตามีสัญญา​ มี​ 16​ ลัทธิย่อย

       1.7  อสัญญีวาทะ​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็นลัทธิ​ว่า​ หลังจากตายแล้ว​ อัตตาไม่มีสัญญา​ มี​ 8​ ลัทธิ​ย่อย

       1.8  เนวสัญญีนาสัญญี​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็นลัทธิว่า​ หลังจากตายแล้ว​ อัตตามีสัญญาก็ไม่ใช่​ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่​ มี​ 8​ ลัทธิย่อย

       1.9  อุจเฉทวาทะ​ คือ​ สักกายทิฏฐิที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็น​ลัทธิว่า​   หลังตายแล้ว​ อัตตาขาดสูญ​ มี​ 7​ ลัทธิย่อย

       1.10  ทิฏฐธัมมนิพพาน​วาทะ​ คือ​ สักกายทิฏ​ฐิ​ที่เป็นส่วนให้เข้าใจผิด​ เกิดเป็นลัทธิว่า​ มีสภาวธรรมบางอย่างที่ดับลงแล้วเป็นสภาวนิพพานที่เข้าถึงได้ในปัจจุบัน​ขณะ​  มี​ 5​ ลัทธิย่อย

   สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า​ มิจฉาทิฏฐิทั้งหลายมีเพราะมีสักกายทิฏ​ฐิ​เป็นปัจจัยนั่นแล

    2. สภาวธรรมที่สักกายทิฏฐิอิงอาศัยให้เกิดลัทธิต่างๆที่โดดเด่น​ มี​ 4​ อย่าง​ คือ​

       2.1 ขันธ์​ 5​ โดดเด่นเกี่ยวกับว่า​ มีกาล​ 3​  คือ​ เป็นอดีต​ เป็นอนาคต​ และเป็นปัจจุบัน​ได้ การโต้แย้งจึงสะดวก​ สามารถใช้​ อัฏฐมุขนัย​ที่​1และที่​ 2​ ติดต่อกันได้เลย​ โดยไม่จำเป็นต้องมี​รูปแบบวิธีการ, ระบบที่เป็นขั้นตอน, ระบบที่เป็นช่วงตอน​ ตะล่อมรอใช้อันดับอัฏฐ​มุขนัย​ ดังในสุทธสัจฉิกัฏฐะกถา  เป็นอุทาหรณ์

       2.2  อายตนะ​ 12​ โดดเด่นเกี่ยวกับมีกาล​ เป็นกาลขณะ​ คือชั่วขณะอายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก​ เพื่อทำกิจสืบต่อสังสารวัฏ​ฏ์​ให้ยืดยาว การโต้แย้ง​ที่เหมาะสมเริ่มจากอัฏฐมุขนัยอันดับที่​ 3​ จึงจำเป็นต้องมีรูปแบบวิธีการ, ระบบที่เป็นขั้นตอน, ระบบมที่เป็นช่วงตอน​ ตะล่อมให้จบลงที่อัฏฐมุขนัยอันดับที่​  6​  ดังในโอกาสสัจฉิกัฏฐกถา​ เป็นอุทาหรณ์​

       2.3  ธาตุ​ 18​ โดดเด่นด้วยกิจที่ทรงวัฏฏทุกข์ไว้​ตลอดกาลที่ธาตุ​ 18​ ยังเป็นไปอยู่ การโต้แย้งที่เหมาะสมเริ่มที่อัฏฐมุขนัยอันดับที่​ 4​ จึงจำเป็นต้องมีรูปแบบวิธีการ, ระบบที่เป็นขั้นตอน, ระบบที่เป็นช่วงตอน​ ตะล่อมให้จบลงที่อัฏฐมุขนัยอันดับที่​ 7 ดังในกาลสัจฉิกัฏฐกถา​ เป็นอุทาหรณ์

       2.4  อินทรีย์​ 22​ โดดเด่นด้วยกิจที่ทรงความเป็นใหญ่ไว้ กล่าวคือ​ เมื่อตนเข้มแข็งธรรมอื่นก็พลอยเข้มแข็งไปด้วย​ เมื่อตนอ่อนแอธรรมอื่นก็พลอยอ่อนแอไปด้วย​ การโต้แย้งที่เหมาะสมเริ่มที่อัฏฐมุขนัยอันดับที่​ 5​ จึงจำเป็นต้องมีรูปแบบ​วิธี, ระบบที่เป็นขั้นตอน, ระบบที่เป็นช่วงตอนตะล่อมใก้จบลงที่อัฏฐมุขนัยอันดับที่​ 8​ ดังใน​ อวัยยวสัจฉืกัฏฐกถาเป็นอุทาหรณ์​


[full-post]

ธรรมะ, อภิธรรม, กถาวัตถุ

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.