แปลจาก: China delayed releasing coronavirus info, frustrating WHO
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2020 นายแพทย์ Tedros Adhanom ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก จับมือกับประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิงของจีน ก่อนที่จะประชุมร่วมที่ the Great Hall of the People in Bejing. ในเดือนมกราคมทั้งเดือน องค์การอนามัยโลกได้สรรเสริญประเทศจีนอย่างเปิดเผยในเรื่องของการตอบรับอย่างรวดเร็วกับโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทางองค์กรขอบคุณรัฐบาลจีนอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการแบ่งปันแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัสอย่าง “โดยทันทีทันใด” และกล่าวว่า การปฏิบัติงานและความมุ่งมั่นต่อความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ “น่าประทับใจเป็นอย่างมากและเกินคำบรรยายใดๆ” แต่เบื้องหลังนั้น กลับกลายเป็นความล่าช้าอย่างสำคัญโดยทางการจีนและสร้างความอึดอัดใจกับเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกในเรื่องการปราศจากข้อมูลของการระบาดใหญ่ ซึ่งทางสำนักข่าว Associated Press ได้ค้นพบแต่หลังฉากแล้ว มันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความล่าช้าอันสำคัญของจีนเรื่องหนึ่งซึ่งสร้างความอึดอัดใจอย่างมากกับเจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกคือ การที่ไม่ได้รับข้อมูลตามที่องค์กรต้องการเพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักข่าว The Associated Press (AP) ได้พบมา
ถึงแม้จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญก็ตาม ตามความจริงแล้ว รัฐบาลจีนกลับนั่งทับต่อการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม, หรือ จีโนม (Genome) ของไวรัสเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ หลังจากห้องแลปของรัฐบาลจีนทั้งสามแห่งได้สามารถถอดรหัสข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ การควบคุมข้อมูลอย่างกวดขันและการแข่งขันชิงดีชิงเด่นภายในระบบสาธารณสุขของรัฐบาลจีนเอง เป็นเหตุของการถูกตำหนิ จากการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่นับเป็นสิบๆ คน และจากเอกสารภายในองค์กรด้วย
ห้องแลปของรัฐบาลจีนเผยแพร่จีโนมหรือแผนที่ทางพันธุกรรมหลังจากห้องแลปอีกแห่งหนึ่งเผยแพร่ก่อนหน้าทางการจีนบนหน้าเวปไซค์ของนักไวรัสวิทยาแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020 เท่านั้น แม้กระทั่งเวลานั้น ทางการจีนยังเตะถ่วงอยู่อีกมากกว่าสองสัปดาห์เป็นอย่างน้อยที่สุด ในการให้ข้อมูลรายละเอียดกับองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและเคสต่างๆ ตามหลักฐานการประชุมภายในซึ่งมีการบันทึกไว้โดยทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติเมื่อเดือนมกราคม – ในช่วงเวลาทั้งหมดนั้นเมื่อการระบาดใหญ่สามารถถกเถียงกันอยู่อย่างเป็นตุเป็นตะว่าการแพร่เชื้อยังช้าอยู่
เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกชมเชยจีนอย่างเปิดเผย เพราะพวกเขาต้องการที่จะเกลี้ยกล่อมเพื่อจะได้ข้อมูลออกมาจากรัฐบาลจีน ตามการบันทึกที่สำนักข่าว AP ได้รับมาจากแหล่งที่แนะนำ โดยเฉพาะตัวแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกเอง ก็ยังคร่ำครวญว่า ในการประชุมในสัปดาห์ของวันที่ 6 มกราคมว่า ทางจีนไม่ได้แบ่งปันข้อมูลอย่างพอเพียงต่อการประเมินถึงเรื่องประสิทธิภาพการแพร่กระจายของไวรัสระหว่างผู้คน และ มีความเสี่ยงใดบ้างที่มันแสดงให้เห็นกับทั่วทั้งโลก ซึ่งทำให้เสียเวลาอันมีค่าไป
“เราจึงดำเนินการไปตามข้อมูลที่มีอยู่อย่างน้อยมาก” กล่าวโดยแพทย์หญิง Maria Van Kerkhove ผู้เป็นแพทย์ทางด้านระบาดวิทยาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเวลานี้เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคสำหรับ COVID-19, ในการประชุมภายในครั้งหนึ่ง “มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีไม่เพียงพอสำหรับท่านต่อการวางแผนอย่างเหมาะสม”
“เราอยู่บนเวทีในเวลานี้ ซึ่งใช่แล้วละ, พวกเขาให้ข้อมูลกับเรา 15 นาทีก่อนที่มันจะไปปรากฏอยู่บนโทรทัศน์ช่องทางการของจีน” กล่าวโดยนายแพทย์ Gauden Galea ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก เมื่อพาดพิงถึงสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (China Central Television หรือ CCTV) ในการประชุมครั้งหนึ่ง
เรื่องราวหลังฉากการตอบรับในช่วงต้นของไวรัสเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่สำนักงานสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติกำลังถูกล้อมกรอบ และยินยอมให้มีการสอบสวนเรื่องราวโดยอิสระว่า มีการควบคุมจัดการกับการระบาดใหญ่ทั่วทั้งโลกกันอย่างไร หลังจากสรรเสริญชื่นชมจีนอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการตอบรับของจีนเมื่อช่วงต้นๆ ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐอเมริกาได้ดุด่าองค์การอนามัยโลกเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับกล่าวหาว่าทำการสมรู้ร่วมคิดกับจีนในการซ่อนเนื้อหาข้อมูลของวิกฤตการณ์โคโรน่าไวรัสไว้ เขาตัดความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (31 พฤษภาคม) พร้อมกับการเสี่ยงเงินอุดหนุนจำนวน $450 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (14,200 ล้านบาท) ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาเป็นผู้อุทิศให้ทุกๆ ปี และเป็นผู้บริจาคที่ใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก
ในระหว่างนี้ ประธานาธิบดี สี เจื้น ผิง ได้รับปากว่าจะทุ่มเงินจำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (63,000 ล้านบาท) ภายในช่วงเวลาสองปีนี้เพื่อต่อสู้กับโคโรน่าไวรัส พร้อมทั้งกล่าวว่า ทางการจีนให้ข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกกับทั่วทั้งโลกอยู่อย่างเสมอ ด้วยวิธีการ “ตามธรรมเนียมอย่างรวดเร็วที่สุด”ข้อมูลใหม่ไม่ได้ให้การสนับสนุนเรื่องราวที่กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาหรือจีนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นการพรรณนาถึงองค์กรที่กลับติดกับอยู่ตรงกลางในเวลานี้ว่า ได้พยายามอย่างเร่งด่วนต่อการวิงวอนขอข้อมูล ถึงแม้จะมีข้อจำกัดในอำนาจขององค์การก็ตาม ถึงแม้ว่ากฎหมายนานาชาติมีข้อผูกมัดให้ประเทศทุกประเทศรายงานข้อมูลให้กับองค์การอนามัยโลกซึ่งสามารถสร้างผลกระทบให้กับทางสาธารณสุขก็ตาม สำนักงานขององค์การสหประชาชาติก็ไม่มีอำนาจต่อการบีบบังคับ และไม่สามารถที่จะทำการสอบสวนการระบาดใหญ่ภายในประเทศนั้นๆ อย่างเป็นอิสระได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ทางองค์กรต้องพึ่งพากับความร่วมมือจากรัฐภาคีต่างๆ
นายแพทย์ Gauden Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในประเทศจีน ระหว่างการสัมภาษณ์ในสำนักงานองค์การอนามัยโลกในกรุงปักกิ่ง
การบันทึกเสียงเสนอแนะว่า แทนที่จะสมรู้ร่วมคิดกับจีน อย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์แจ้งไว้ ทางองค์การอนามัยโลกกลับถูกให้ไปอยู่ในมุมมืด เมื่อทางการจีนให้ข้อมูลเท่าที่ทางกฎหมายบังคับซึ่งมีอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรได้พยายามสร้างภาพพจน์ของจีนให้เฉิดฉายอย่างดีที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นวิธีการที่จะหาข้อมูลเพิ่มเสริมเข้ามา และผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกเอง ต่างคิดกันอย่างแท้จริงว่า นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ “ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างดีแล้ว” ต่อการตรวจพบและถอดรหัสของไวรัส ถึงแม้ว่าจะปราศจากความโปร่งใสจากเจ้าหน้าที่ทางการของจีนก็ตาม
บุคลากรขององค์การอนามัยโลกต่างถกเถียงกันว่า จะกดดันทางการจีนกันอย่างไร เพื่อที่จะได้ลำดับของยีน (Gene Sequences) และข้อมูลอย่างละเอียดของผู้ป่วยโดยไม่ให้ทางการจีนเดือดดาลขึ้นมา พร้อมกับยังมีความวิตกกังวลต่อการสูญเสียการเข้าถึงข้อมูลและทำให้นักวิทยาศาสตร์จีนต้องตกร่างแหลำบากไปได้ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ องค์การอนามัยโลกถูกบังคับให้แบ่งปันข้อมูลอย่างเร็วที่สุด และเตือนภัยกับประเทศรัฐภาคีเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา นายแพทย์ Galea บันทึกว่า องค์การอนามัยโลกไม่สามารถที่จะปรนเปรอต่อความปรารถนาของจีนที่จะยินยอมเปิดเผยข้อมูลให้กับองค์กร ก่อนที่จะไปบอกกับประเทศอื่นๆ ได้ทราบกัน เพราะว่า “นั่นคือการไม่เคารพต่อความรับผิดชอบของเรา”
ในสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม นายแพทย์ Michael Ryan ผู้เป็นประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก กล่าวกับบุคลากรในองค์กรว่า มันถึงเวลาที่จะ “เร่งเครื่อง” (Shift Gears) แล้ว และสร้างความกดกันกับจีนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากความหวาดกลัวว่า จะมีการซ้ำรอยในเรื่องการระบาดใหญ่ของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome หรือ SARS) ซึ่งเริ่มในประเทศจีนเมื่อปี 2002 และคร่าชีวิตผู้คนเกือบ 800 คนทั่วทั้งโลกกันอีกครั้งหนึ่ง
ในสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม นายแพทย์ Michael Ryan ผู้เป็นประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก กล่าวกับบุคลากรในองค์กรว่า มันถึงเวลาที่จะ “เร่งเครื่อง” (Shift Gears) แล้ว และสร้างความกดกันกับจีนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากความหวาดกลัวว่า จะมีการซ้ำรอยในเรื่องการระบาดใหญ่ของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome หรือ SARS) ซึ่งเริ่มในประเทศจีนเมื่อปี 2002 และคร่าชีวิตผู้คนเกือบ 800 คนทั่วทั้งโลกกันอีกครั้งหนึ่ง
นายแพทย์ Michael Ryan ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโปรแกรมฉุกเฉินทางสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุง Geneva
เขากล่าวว่า “นั่นคือสภาพการณ์เดียวกันอย่างเที่ยงแท้ เราพยายามที่จะได้รับการอัพเดทข้อมูลจากจีนอย่างไม่หยุดหย่อนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น องค์การอนามัยโลกแทบจะเอาข้อมูลที่ต้องการออกมาไม่ได้เลย เมื่อกล่าวถึงประเด็นที่หยิบยกออกมาเกี่ยวกับเรื่องความโปร่งใสในภาคใต้ของจีน”
นายแพทย์ Ryan กล่าวว่า ทางที่ดีที่สุดต่อการ “ปกป้องจีน” คือทางองค์การอนามัยโลกจะต้องทำการวิเคราะห์อย่างเป็นอิสระกับข้อมูลที่ได้มาจากรัฐบาลจีน เพราะว่า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว การแพร่กระจายของไวรัสระหว่างผู้คนจะนำมาสู่ปัญหา และ “ประเทศอื่นๆ จะปฏิบัติตามที่กล่าวกันไว้” นายแพทย์ Ryan ยังบันทึกต่อว่า ทางการจีนไม่ได้ให้ความร่วมมือในวิธีการเดียวกัน เหมือนกับของประเทศบางประเทศได้กระทำไว้ในอดีต
“เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศคองโก และไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศคองโกหรือในประเทศอื่นๆ” เขากล่าว ซึ่งคงจะอ้างถึงการระบาดใหญ่ของอีโบล่าไวรัส (Ebola) ซึ่งเริ่มจากที่นั่นเมื่อปี 2018 “เราต้องการที่จะเห็นข้อมูล.... มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมั่นเหมาะในเวลานี้”
ความล่าช้าต่อการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัส ประวิงการตระหนักรับรู้ถึงการแพร่เชื้อออกไปสู่ประเทศอื่นๆ พร้อมๆ กันกับโอกาสในการพัฒนาการตรวจ, ยารักษา และวัคซีนจากทั่วโลก การปราศจากข้อมูลรายละเอียดของตัวผู้ป่วยยังทำให้เกิดความยากต่อการพิจารณาว่า ไวรัสสามารถแพร่เชื้อกระจายออกไปอย่างรวดเร็วกันได้อย่างไร – นั่นคือคำถามอันวิกฤตต่อการหยุดมันลงไป
ระหว่างวันที่แผนที่ทางพันธุกรรมชุดสมบูรณ์ได้ถูกถอดรหัสเป็นครั้งแรกจากห้องแลปของรัฐบาลจีนเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2020 ไปจนถึงวันที่องค์การอนามัยโลกประกาศเรื่องฉุกเฉินทั่วโลกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020 การระบาดใหญ่ได้แผ่ขยายกว้างออกไปด้วยอัตรา 100-200 เท่าแล้ว ตามข้อมูลการติดเชื้อย้อนหลัง (Retrospective Infection Data) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของจีน ในเวลานี้ ประชากรทั่วทั้งโลกได้ติดเชื้อไวรัสนี้ไปมากกว่า 6 ล้านคน และได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 375,000 คน
“มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่านี้ และหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างมากมาย ถ้าประเทศจีนและองค์การอนามัยโลกปฏิบัติการได้เร็วกว่านี้” กล่าวโดย ศาสตราจารย์ Ali Mokdad ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่ Institute for Health Metrics and Evaluation ที่มหาวิทยาลัย Washington
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Mokdad และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ยังได้บันทึกด้วยว่า หากองค์การอนามัยโลกสู้หน้ากับจีนได้แกร่งกว่านี้ มันสามารถกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่มากกว่าเก่า ในเรื่องของการที่ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลยเช่นกัน
คนงานจัดเตรียมเตียงสนามสำหรับผู้ป่วยในศูนย์การประชุมแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวของมลฑลหูเป่ย เมื่อครั้งที่รัฐบาลประกาศว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสมีมากกว่า 20,000 คนแล้ว
“มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่านี้ และหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างมากมาย ถ้าประเทศจีนและองค์การอนามัยโลกปฏิบัติการได้เร็วกว่านี้” กล่าวโดย ศาสตราจารย์ Ali Mokdad ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่ Institute for Health Metrics and Evaluation ที่มหาวิทยาลัย Washington
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Mokdad และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ยังได้บันทึกด้วยว่า หากองค์การอนามัยโลกสู้หน้ากับจีนได้แกร่งกว่านี้ มันสามารถกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่มากกว่าเก่า ในเรื่องของการที่ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลยเช่นกัน
คนงานจัดเตรียมเตียงสนามสำหรับผู้ป่วยในศูนย์การประชุมแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวของมลฑลหูเป่ย เมื่อครั้งที่รัฐบาลประกาศว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสมีมากกว่า 20,000 คนแล้ว
ถ้าองค์การอนามัยโลกผลักดันแรงเกินไป แพทย์หญิง Shi Zhengli ทำงานร่วมกันกับนักวิจัยคนอื่นๆ ในห้องแลปที่สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่นงค์กรเองอาจจะถูกถีบออกมาจากประเทศจีนได้เช่นกัน กล่าวโดยศาสตราจารย์ Adam Kamradt-Scott ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านสุขภาพโลกที่มหาวิทยาลัย Sydney แต่เขาเสริมว่า ความล่าช้าแม้แต่เพียงสองสามวันในการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม สามารถกลายเป็นเรื่องวิกฤตต่อการระบาดใหญ่ได้ และเขาบันทึกว่า ในขณะที่ทางรัฐบาลจีนปราศจากความโปร่งใสเริ่มเห็นกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น การที่นายแพทย์ Tedros Adhanom Ghebreyesusซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ยังคงปกป้องประเทศจีนอย่างต่อเนื่องนั้น มันเลยกลายเป็นปัญหาอยู่
“มันเป็นเรื่องแน่นอนที่สุดที่ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์การอนามัยโลก” กล่าวโดยนายแพทย์ Kamradt-Scott “เขาทำตัวเลยเถิดไปหรือเปล่า? ผมคิดว่าหลักฐานในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นกันอย่างชัดเจน .... มันได้นำไปสู่คำถามต่างๆ อีกมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของจีนและองค์การอนามัยโลก บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องราวเพื่อการตักเตือนกัน”
ทางองค์การอนามัยโลกและเจ้าหน้าที่ขององค์กรที่มีชื่ออยู่ในบทความนี้ ต่างปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ทางสำนักข่าว Associated Press หากปราศจากการบันทึกเสียง หรือ สำเนารายละเอียดในการประชุมต่างๆ ที่มีการบันทึกเหล่านั้นกัน ซึ่งทางสำนักข่าว AP ไม่สามารถที่จะจัดให้กับองค์กรได้ เพราะต้องปกป้องแหล่งข้อมูลที่ได้รับมา
คำแถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “คณะผู้บริหารและบุคลากรของเราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับขององค์กร และแบ่งปันข้อมูลให้กับประเทศรัฐภาคีทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องในการสนทนาอย่างเป็นกันเองและอย่างตรงไปตรงมากับรัฐบาลต่างๆ ทั่วทุกระดับ”
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนปกป้องการกระทำของตนอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก และอีกหลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้ตอบรับกับเรื่องไวรัส แม้ว่าจะล่าช้านานไปกว่าเป็นสัปดาห์ๆ หรือ แม้กระทั่งเป็นเดือนๆก็ตาม
“ตั้งแต่แรกเริ่มของการระบาดใหญ่ เรายังคงแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดกับองค์การอนามัยโลกและชุมชนนานาชาติกันอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบของวิธีการที่เปิดเผย, โปร่งใส และ มีความรับผิดชอบ” กล่าวโดยคุณ Liu Mingzhu ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการฝ่ายต่างประเทศ ของคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2020
___________
การแข่งขันเพื่อค้นพบแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัส เริ่มเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2019 ตามเรื่องราวที่ตีแผ่ออกมาจากการสัมภาษณ์, เอกสาร และการบันทึกการประชุมต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก นั่นคือเมื่อแพทย์หลายคนในเมืองอู่ฮั่น ต่างเริ่มสังเกตเห็นถึงผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ที่มีความน่าสงสัยซึ่งมีไข้และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ซึ่งไม่ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อได้รับการบำบัดรักษาตามมาตรฐานเกี่ยวกับไข้หวัด ด้วยการแสวงหาคำตอบ พวกเขาส่งตัวอย่างการตรวจสอบของผู้ป่วยไปยังห้องแลปทางการพาณิชย์กัน
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม Vision Medicals ซึ่งเป็นห้องแลปแห่งหนึ่ง ได้สร้างแผนที่พันธุกรรมของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ SARS แลป Vision medicals แบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ของเมืองอู่ฮั่นและสถาบันแพทย์ศาสตร์ของทางการจีน ตามที่รายงานครั้งแรกไว้ที่ Chinese Finance Publication Caixin และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นอิสระกับสำนักข่าว AP
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นออกการแจ้งเตือนภายในองค์กรเกี่ยวกับ โรคปอดอักเสบอย่างผิดปกติ (Unusual Pneumonia)ซึ่งต่อมาได้รั่วออกไปยังโซเชี่ยลมีเดียกัน ในคืนวันนั้น แพทย์หญิง Shi Zhengli ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโคโรน่าไวรัสของสถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงต่อการติดตามรอยโรคไวรัส SARS ในถ้ำค้างคาว ได้แจ้งการเตือนเกี่ยวกับโรคชนิดใหม่นี้ ตามการสัมภาษณ์ที่ให้กับ Scientific American แพทย์หญิง Shi ขึ้นรถไฟเที่ยวแรกจากการประชุมที่เมืองเซี่ยงไฮ้กลับไปยังเมืองอู่ฮั่นโดยทันที
แพทย์หญิง Shi Zhengli ทำงานร่วมกันกับนักวิจัยคนอื่นๆ ในห้องแลปที่สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น
ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Gao Fu ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญไปยังเมืองอู่ฮั่น และในวันที่ 31 ธันวาคมวันเดียวกัน ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเคสจากเวปข่าวสารเปิดซึ่งมีข้อมูลจิปาถะ (Open-source Platform) ที่สืบเหตุการณ์สำหรับข่าวกรองในเรื่องการระบาดใหญ่ ตามที่กล่าวโดยประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก คือนายแพทย์
ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2020 ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐภาคีมีเวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมงต่อการตอบคำถาม และทางการจีนรายงานในเวลาสองวันต่อมาว่า มีจำนวนเคสทั้งหมด 44 เคสและไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
จนถึงวันที่ 2 มกราคม แพทย์หญิง Shi ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและจีโนมทั้งหมดของไวรัสได้ ตามที่แจ้งไว้ในเวลาต่อมาซึ่งโพสต์อยู่บนเวปไซค์ของสถาบันของเธอ
นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันว่า นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ตรวจพบและจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันในเวลานั้นด้วยการใช้เวลาอันรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ตามคำให้การที่ให้กับทางการจีน ซึ่งมีการปรับปรุงสมรรถภาพทางเทคนิคอย่างดีขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์โรคระบาด SARS ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้กำกับการปฏิบัติงาน ใช้เวลานานมากเป็นเดือนๆ ต่อการระบุรายละเอียดของไวรัส แต่ในเวลานี้ นักไวรัสวิทยาของจีนพิสูจน์ให้เห็นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันว่า มันเป็นโคโรน่าไวรัสที่ไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อนหน้า ในเวลาต่อมา นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กรได้กล่าวว่า ทางการจีนได้สร้าง “มาตรฐานขึ้นมาใหม่ในการตอบรับกับการระบาดใหญ่”
แต่เมื่อมาถึงเรื่องการแบ่งปันข้อมูลกับทั่วทั้งโลก เรื่องเหล่านี้เริ่มกลายเป็นเรื่องบิดเบี้ยวไปแทน
ในวันที่ 3 มกราคม 2020 ทางคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีนออกการแจ้งเตือนแบบลับ ด้วยการออกคำสั่งให้ห้องแลปต่างๆ ที่มีไวรัส ทำการทำลายตัวอย่างที่มีอยู่ทั้งหมด หรือไม่ก็ส่งมันไปยังสถาบันต่างๆ ที่กำหนดชื่อไว้แล้วเพื่อการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย การแจ้งเตือนฉบับนี้ ซึ่งรายงานโดยห้องแลปของ Caixin ในตอนแรก และทางสำนักข่าว AP ได้เห็น สั่งห้ามแลปต่างๆ ไม่ให้ตีพิมพ์และเผยแพร่เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้โดยปราศจากการอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน คำสั่งนี้รวมไปถึงการห้ามไม่ให้แลปของแพทย์หญิง Shi ทำการตีพิมพ์ลำดับพันธุกรรมของไวรัสหรือแม้แต่เตือนภัยเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
กฎหมายจีนระบุว่า สถาบันการวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการทดลองกับไวรัสชนิดใหม่ที่อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการอนุมัติจากทางการสาธารณสุขระดับสูงก่อน ถึงแม้ว่ากฎหมายมีความมุ่งหมายที่จะให้การทดสอบมีความปลอดภัยก็ตาม แต่มันให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขอย่างกว้างขวางว่า ห้องแลปในระดับเล็กๆ สามารถหรือไม่สามารถทำอะไรกันได้บ้าง
“ถ้าชุมชนของนักไวรัสวิทยาดำเนินการได้อย่างมีอิสรภาพมากกว่านี้....ทางสาธารณะจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสชนิดใหม่ซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้กันอย่างเร็ววันกว่านี้มาก” กล่าวโดยศาสตราจารย์ Edward Gu ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang) และคุณ Li Lantian ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Northwestern ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมจากการวิเคราะห์โรคระบาดนี้
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการกล่าวซ้ำว่า พวกเขาพยายามที่จะสร้างความมั่นใจต่อความปลอดภัยของห้องแลป และได้ออกคำสั่งกับห้องแลปของรัฐบาลจีนสี่แห่งให้แสดงแผนที่ทางพันธุกรรมพร้อมๆ กัน เพื่อให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและความแน่นอนทั้งหมด
เมื่อถึงวันที่ 3 มกราคม ทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้จัดลำดับของไวรัสได้โดยอิสระ ตามข้อมูลภายในองค์กรที่ทางสำนักข่าว AP ได้เห็น และเพียงหลังจากเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 5 มกราคม แลปแห่งที่สามที่ทางการจีนกำหนดภารกิจไว้ นั่นคือสถาบันแพทย์ศาสตร์ของจีน ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งรายงานให้กับทางการ – นำเอาบุคลากรมาทุ่มกับงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ – ตามการสัมภาษณ์กับสถานีของรัฐ ถึงกระนั้น แม้ว่าแลปทั้งสามแห่งได้ถอดรหัสแผนที่ทางพันธุกรรมกันอย่างอิสระได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขของจีนก็ยังคงนิ่งเงียบกันอยู่ องค์การอนามัยโลกรายงานบนเวป Twitter ว่า การสืบสวนยังคงดำเนินการกันอยู่ในกรณีของกลุ่มผู้ป่วยใหญ่ ที่มีโรคปอดอักเสบซึ่งมีความผิดปกติกัน และไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใดในเมืองอู่ฮั่น พร้อมกับกล่าวว่า ทางองค์กรจะแบ่งปัน “รายละเอียดให้มากขึ้นเมื่อเราได้รับข้อมูลเข้ามา”
ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของความเชี่ยวชาญในเรื่องโคโรน่าไวรัสที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นปัญหาที่นั่น
เป็นเวลานานเกือบสองสัปดาห์ ทางการเมืองอู่ฮั่นไม่ได้รายงานการติดเชื้อใหม่กันแต่อย่างใด และทางการยังได้ตรวจตราและเซนเซอร์แพทย์ทุกคนที่ได้ออกแจ้งเตือนเกี่ยวกับเคสที่น่าสงสัยเหล่านี้กัน
ในขณะเดียวกัน นักวิจัยต่างๆ ได้พบว่า โคโรน่าไวรัสชนิดใหม่นี้ ได้ใช้สไปก์โปรตีน (Spike Protein หรือ S-Protein) ที่มีความแตกต่างเพื่อที่จะยึดโยงตัวมันเองกับเซลของมนุษย์ โปรตีนที่ผิดแปลกนี้รวมถึงการปราศจากเคสใหม่ๆ กล่อมเกลาให้นักวิจัยที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต่างคิดกันว่า ไวรัสตัวนี้จะไม่แพร่กระจายเชื้อกับผู้คนกันอย่างง่ายดายเท่าไรนัก – เหมือนกับโคโรน่าไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome หรือ MERS) ตามคำกล่าวของบุคลากรคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะเอ่ยนามด้วยความหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษได้
นายแพทย์ Li ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโคโรน่าไวรัสกล่าวว่า เขามีความสงสัยโดยทันทีเกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogen) ว่ามันสามารถแพร่เชื้อได้ เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสำเนาของรายงานของการจัดลำดับพันธุกรรมในกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสที่คล้ายกับโรค SARS แต่ทีมงานของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนซึ่งเป็นผู้จัดลำดับพันธุกรรมของไวรัส ปราศจากผู้ชำนาญการในโครงสร้างทางโมเลกุลของโคโรน่าไวรัส และประสบความล้มเหลวในการปรึกษานักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ภายนอกองค์กร ตามที่นายแพทย์ Li กล่าวไว้ ทางการสาธารณสุขจีนเอง ได้ปฏิเสธข้อเสนอต่อความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ รวมทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่ถูกห้ามปฏิบัติภารกิจในเรื่องการค้นหาความจริงที่เมืองอู่ฮั่นและจากศาสตราจารย์ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน
ในวันที่ 5 มกราคม ศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยนายแพทย์ Zhang Yongzhen ที่เป็นนักไวรัสวิทยาผู้มีชื่อเสียงมาก เป็นกลุ่มล่าสุดที่สามารถจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสได้ เขาส่งรายงานเข้าไปอยู่ที่ฐานข้อมูลของ GenBank ซึ่งรอการทบทวนและพิจารณากันอยู่อีกครั้งหนึ่ง และแจ้งรายงานต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติอีกด้วย เขายังได้เตือนคณะกรรมาธิการว่า ไวรัสชนิดใหม่นี้ มีความคล้ายคลึงกับ SARS ไวรัสและมีแนวโน้มว่าสามารถติดต่อกันได้
“มันควรจะติดต่อถึงกันได้โดยการผ่านระบบทางเดินหายใจ” กล่าวโดยศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ในการแจ้งเตือนภายในองค์กรซึ่งเห็นโดยสำนักข่าว AP “เราขอเสนอให้นำเอามาตรการการป้องกันเข้ามาใช้ในพื้นที่สาธารณะกัน”
ในวันเดียวกัน องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า จากพื้นฐานของข้อมูลเบื้องต้นจากประเทศจีน ยังไม่มีหลักฐานใดๆ อันสำคัญในการติดต่อระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และไม่เสนอมาตรการโดยเฉพาะใดๆ สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทาง”
ในวันต่อมา ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนยกระดับความฉุกเฉินขึ้นไปถึงระดับสูงสุดลำดับที่สอง บุคลากรต่างๆ เริ่มดำเนินงานเพื่อแยกไวรัสออกมา, ร่างข้อแนะนำต่อการตรวจสอบ และออกแบบชุดตรวจสอบ (Test kits) แต่ทางสำนักงานไม่มีอำนาจใดๆ ในการออกคำสั่งเตือนภัยให้กับทางสาธารณะ และการยกระดับความฉุกเฉินก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ แม้กระทั่งไม่ให้ผู้ปฏิบัติการขององค์กรเองอีกหลายๆ คนได้รับทราบเรื่องนี้กัน
จนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ทีมงานอีกทีมหนึ่งจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นได้จัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) และพบว่าตรงกันกับของแพทย์หญิง Shi, ทำให้แพทย์หญิง Shi มั่นใจว่า กลุ่มงานของเธอแยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้จริง แต่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนกล่าวว่า พวกเขาไม่เชื่อการค้นพบของแพทย์หญิง Shi และจำเป็นต้องตรวจสอบยืนยันกับข้อมูลของเธอก่อนที่เธอสามารถจะเผยแพร่ได้ ตามคำกล่าวของบุคคลสามคนผู้มีความคุ้นเคยกับเนื้อหาเรื่องนี้ ทั้งคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลห้องแลปของแพทย์หญิง Shi ปฏิเสธไม่ยินยอมให้แพทย์หญิง Shi มีเวลาสำหรับให้การสัมภาษณ์ได้
บางคนกล่าวว่า ปัจจัยอันใหญ่ยิ่งที่อยู่หลังฉากของคำสั่งปิดปากแบบนี้คือว่า นักวิจัยของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต้องการตีพิมพ์ผลงานของตนเองก่อนใครทั้งหมด “พวกเขาต้องการที่จะได้รับเครดิตโดยเต็ม” กล่าวโดยคุณ Li Yize ซึ่งเป็นนักวิจัยโคโรน่าไวรัสจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania
ภายในตัวองค์กรเอง ความเป็นผู้นำของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้ถูกระบาดไปด้วยการแข่งขันแบบชิงดีชิงเด่น ตามที่บุคลากรทั้งหมดหกคนซึ่งเป็นผู้มีความคุ้นเคยกับระบบได้อธิบายไว้ พวกเขากล่าวว่า ทางสำนักงานได้ทำการแต่งตั้งและเลื่อนขั้นบุคลากรจากรากฐานที่ว่า พวกเขาสามารถตีพิมพ์งานวิจัยของตนเองในวารสารอันมีเกียรติกันได้มากน้อยขนาดไหน ทำให้นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ไม่เต็มใจต่อการแบ่งปันข้อมูลกัน
เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวัน แม้กระทั่งบุคลากรภายในศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเองก็ยังเริ่มแปลกใจกันว่า ทำไมมันถึงใช้เวลานานมากๆ สำหรับทางการในการวินิจฉัยเชื้อโรคนี้ (Pathogen)
“เราต่างเริ่มมีความน่าสงสัยกัน เพราะภายในหนึ่งหรือสองวัน เราควรจะได้ผลลัพธ์ของการจัดลำดับทางพันธุกรรมกันแล้ว” กล่าวโดยเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลปท่านหนึ่ง ซึ่งปฏิเสธในการเปิดเผยชื่อเพราะกลัวการถูกลงโทษ
___________
เมื่อวันที่ 8 มกราคม หนังสือพิมพ์ the Wall Street Journal รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ในตัวอย่างจาก ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งสร้างการข้ามหน้าข้ามตาและสร้างความอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนกัน เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลป กล่าวกับสำนักข่าว AP ว่า พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการค้นพบไวรัสในครั้งแรกนี้จากหนังสือพิมพ์กันเอง
บทความนี้ยังได้สร้างความน่าอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกอีกด้วย นายแพทย์ Tom Grein ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารเหตุการณ์เร่งด่วนขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ทำให้องค์กรดู “โง่เง่ายิ่งกว่าสองเท่าตัว” แพทย์หญิง Van Kerkhove ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันรับรู้แล้วว่า องค์การอนามัยโลกได้ “สายเกินไปแล้ว” ต่อการประกาศเรื่องโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และบอกกับเพื่อนร่วมงานกันว่า มันเป็นเรื่องวิกฤตที่จะต้องผลักดันประเทศจีนกันแล้ว
แพทย์หญิง Maria Van Kerkhove ซึ่งเป็นหัวหน้าปฏิบัติภารกิจฝ่ายตรวจสอบการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุง Geneva
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายเหตุการณ์ฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก มีความไม่พอใจเป็นอย่างมากอีกด้วยในเรื่องการขาดแคลนข้อมูลเหล่านี้
เขาคร่ำครวญต่อว่า “ความจริงคือ เราเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้ในสัปดาห์ที่สองถึงสัปดาห์ที่สามแล้ว เราไม่มีห้องแลปเพื่อการวินิจฉัยโรค เราไม่มีข้อมูลในเรื่องอายุ, เพศ หรือการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ เราไม่มีเส้นโค้งของการระบาด (epidemic curve)” ซึ่งอ้างอิงถึงเส้นกราฟตามมาตรฐานของการระบาดใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้กันเพื่อแสดงให้เห็นว่าการระบาดใหญ่กำลังคืบหน้ากันอย่างไร
หลังจากบทความได้ถูกตีพิมพ์แล้ว ทางสื่อของรัฐได้แถลงอย่างเป็นทางการในเรื่องการค้นพบโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่แม้กระทั่งหลังจากนั้น ทางการสาธารณสุขของจีนเอง ก็ยังไม่ทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม, การตรวจสอบจากการวินิจฉัย หรือแม้แต่รายละเอียดของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแสดงเบาะแสให้เห็นว่า เชื้อโรคตัวนี้ทำติดเชื้อกันได้อย่างไร
ในช่วงเวลานั้น เคสต่างๆ ที่มีความน่าพิรุธก็เริ่มปรากฎให้เห็นกันในเขตภูมิภาคนั้นกันอย่างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 8 มกราคม เจ้าหน้าที่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของประเทศไทย ได้แยกตัวผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นออกมา เนื่องจากมีอาการน้ำมูกไหล, เจ็บคอ และมีอุณหภูมิสูง ทีมงานของ ดร. สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี ซึ่งเป็นอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้หญิงคนนี้ ได้ติดเชื้อจากโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเหมือนกับที่ทางการจีนอธิบายไว้เมื่อก่อนหน้า ดร. สุภาภรณ์ ได้คิดคำนวณการจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสเป็นผลสำเร็จส่วนหนึ่งในวันที่ 9 มกราคม และส่งรายงานไปยังรัฐบาลไทย และได้ใช้เวลาของวันต่อมาเพื่อค้นหาการจัดลำดับให้ตรงกันกับที่พบก่อนหน้า
แต่เพราะว่าทางการจีนไม่ได้เปิดเผยการจัดลำดับใดๆ ออกมา ดร. สุภาภรณ์จึงไม่พบอะไร เธอไม่สามารถพิสูจน์ว่า ไวรัสที่พบในประเทศไทยเป็นเชื้อโรคตัวเดียวกัน (Pathogen) ที่สร้างความเจ็บป่วยให้กับผู้คนในเมืองอู่ฮั่น
ดร. สุภาภรณ์กล่าวว่า “มันเป็นเหมือนกับการรอเพื่อที่จะได้เห็น เมื่อทางการจีนเปิดเผยข้อมูลแล้ว จากนั้น เราสามารถเปรียบเทียบกันได้”
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2020 ผู้ชายอายุ 61 ปีที่ติดเชื้อไวรัส เสียชีวิตลงที่เมืองอู่ฮั่น นี่คือการรับรู้ถึงการเสียชีวิตของมนุษย์เป็นครั้งแรกแต่การเสียชีวิตไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะจนกระทั่งถึงวันที่ 11 มกราคม
เจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกคร่ำครวญในการประชุมภายในองค์กรว่า พวกเขาได้ทำการร้องขอข้อมูลเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อค้นหาว่า ไวรัสตัวนี้สามารถแพร่เชื้ออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันหรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา
นายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศจีน กล่าวว่า “เราได้เรียกร้องข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยามากกว่าที่มีอยู่ ทั้งอย่างเป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ แต่เมื่อถามถึงเรื่องโดยเฉพาะเจาะจง เราไม่สามารถจะได้รับอะไรกันเลย”
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการฉุกเฉิน พร่ำบ่นว่า ตั้งแต่ประเทศจีนให้ข้อมูลอย่างน้อยที่สุดตามที่กฎหมายระหว่างประเทศบังคับใช้อยู่ มันมีเรื่องอีกเพียงเล็กน้อยที่ทางองค์การอนามัยโลกสามารถกระทำได้ แต่เขายังได้บันทึกอีกด้วยว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2019) องค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์สู่ทางสาธารณะอย่างไม่ปกติ ด้วยการตำหนิต่อประเทศแทนซาเนีย (Tanzania) เพราะไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างพอควรเกี่ยวกับการระบาดใหญ่อันน่าเป็นห่วงของอีโบล่าไวรัส
นายแพทย์ Ryan กล่าวว่า “เราต้องมีความคงเส้นคงวา ภัยอันตรายในเวลานี้คือว่า ถึงแม้ความตั้งใจที่ดีของเรา .... โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมา จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากทำการชี้นิ้วกร่นด่าตรงมาที่องค์การอนามัยโลกกัน”
นายแพทย์ Ryan บันทึกว่า ทางการจีนสามารถ “ให้คุณูปการอย่างใหญ่หลวง” กับชาวโลกด้วยการแบ่งปันเนื้อหาทางพันธุกรรมอย่างทันท่วงที เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้ว “ประเทศอื่นๆ จะต้องเสียเวลาสร้างทุกอย่างกันขึ้นมาใหม่ภายในไม่อีกกี่วันข้างหน้า”
ในวันที่ 11 มกราคม ในที่สุดทีมงานที่นำโดยoนายแพทย์ Zhang จากศูนย์คลินิกสาธารณสุขของเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำการเผยแพร่ข้อมูลทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ของ Virological.org ซึ่งใช้กันโดยนักวินัยต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogens) การเคลื่อนไหวของนายแพทย์ Zhangสร้างความโกรธแค้นให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเป็นอย่างมาก กล่าวโดยบุคคลสามคนซึ่งคุ้นเคยอยู่กับเหตุการณ์นี้ และในวันต่อมา ห้องแลปของนายแพทย์ Zhang ได้ถูกปิดตัวเป็นการชั่วคราวจากทางการสาธารณสุข
นายแพทย์ Zhang ได้ถูกอ้างอิงเพื่อเรียกร้องให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ทางคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ปฏิเสธการขอร้อง ในการให้มีเจ้าหน้าที่ทางการอยู่พร้อมต่อการสัมภาษณ์ และไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับคำถามที่กล่าวถึงนายแพทย์ Zhang
ดร. สุภาภรณ์ทำการเปรียบเทียบการจัดลำดับทางพันธุกรรมของเธอกับของนายแพทย์ Zhang และพบว่าตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ผู้ป่วยในประเทศไทยมีความเจ็บป่วยจริงและมาพร้อมกับไวรัสสายพันธุ์เดียวกันกับที่พบในเมืองอู่ฮั่น ห้องแลปของไทยอีกแห่งหนึ่งได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน ในวันนั้น ทางการของประเทศไทยได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก กล่าวโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทย
------------------------------------------------------------------------------------๊
Updated: ขอเสริมเรื่องนี้ จากบทความที่ AP ลงไว้ ซึ่งมาจากแหล่งที่ใกล้ชิดกับ ดร. สุภาภรณ์ ่ข้อความดังนี้คือ:
ดร. สุภาภรณ์เล่าให้ฟังว่าทางสำนักข่าว AP ใช้ quote จากอาจารย์คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง และเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย ซึ่งนำมาสู่ความความเข้าใจผิดโดยกว้าง ด้วย misreporting ชิ้นนี้ ซึ่ง ดร. สุภาภรณ์ได้ทำการท้วงติงไป (เท่าที่เข้าใจ คือ ดร สุภาภรณ์ กำลังดำเนินการ) อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า จีนไม่ได้รีรอให้ข้อมูลเลย รีบออก Genome Sequencing ทันทีเมื่อวันที่ 11–12 มกราคม ไล่เลี่ยกับในประเทศไทย จีนต้องใช้ความระมัดระวังมากในการออกข้อมูลซึ่งเป็นคุณานุปการให้ประเทศอื่นได้ใช้ phylogenetic tree วางเทียบ ซึ่งไทยก็ทำ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ก็สามารถถอดเทียบรหัสไวรัสตัวนี้ได้ -
ขอขอบคุณที่เสริมเรื่องนี้ เพื่อบทความจะได้อ้างอิงอย่างถูกต้องได้ - Doungchampa Spencer-Isenberg
--------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนายแพทย์ Zhang ได้เผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม (จีโนม) แล้ว ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน, สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และสถาบันแพทย์ศาสตร์ของประเทศจีน ต่างแข่งขันทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมกันเอง ด้วยการทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำเพื่อที่จะตรวจสอบทบทวนเนื้อหา, รวบรวมข้อมูลของผู้ป่วย และส่งรายงาน (ผลงาน) ให้กับคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติเพื่อการอนุมัติ ตามเอกสารที่ทางสำนักข่าว AP ได้รับมา ในที่สุด เมื่อวันที่ 12 มกราคม ห้องแลปสามแห่งพร้อมกันเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ GISAID ซึ่งเป็น พื้นที่(Platform) ของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในการแบ่งปันข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งกันและกัน
จอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ในมอลล์สรรพสินค้าอันเงียบสงบในกรุงปักกิ่ง แสดงให้เห็น ประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิงกำลังพูดคุยอยู่กับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล Huoshenshan ในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนมีนาคม
หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านไปนานมากกว่าสองสัปดาห์ตั้งแต่ Vision Medicals ได้ถอดรหัสการจัดลำดับทางพันธุกรรมส่วนหนึ่งออกมา และเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ตั้งแต่ ห้องแลปทั้งสามแห่งของรัฐบาลจีนได้รับการจัดลำดับทางพันธุกรรมอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด มีผู้คนประมาณ 600 คนที่มีการติดเชื้อในสัปดาห์นั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างคร่าวๆ ประมาณ สามเท่าตัว
นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า การรอคอยไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากต่อการจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogens) ที่ไม่เคยล่วงรู้กันมาก่อน เมื่อกล่าวถึงเรื่องความแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญเท่าเทียมกันกับความรวดเร็ว พวกเขาชี้ให้เห็นถึงการระบาดใหญ่ของโรค SARS เมื่อปี 2003 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จีนบางคน –ในช่วงแรกๆ และอย่างผิดๆ – ด้วยความเชื่อกันว่า ต้นตอของการระบาดใหญ่คือโรคหนองในเทียม (Chlamydia) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
“ความกดดันเริ่มเข้มข้นขึ้นมาในช่วงการระบาดใหญ่ เพื่อสร้างความแน่ใจว่า เราถูกต้องในเรื่องนี้” กล่าวโดย คุณ Peter Daszak ซึ่งเป็นประธานของบริษัท EcoHealthAlliance ในกรุงนิวยอร์ก “แท้ที่จริงแล้ว มันเลวร้ายกว่า ในการออกไปข้างนอกเพื่อไปยังสถานที่สาธารณะ พร้อมกับเรื่องราวที่ผิดๆ เนื่องจากผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นทั้งหมดไปแล้ว ในการตอบรับจากทางการสาธารณสุข”
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ก็ยังตั้งคำถามอย่างเงียบๆ ว่า เกิดอะไรกันขึ้นในหลังฉากกัน
คุณ John Mackenzie ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกระหว่างช่วงการระบาดใหญ่ กล่าวชมเชยเรื่องความรวดเร็วของนักวิจัยของจีนในการจัดลำดับของไวรัส แต่เขากล่าวว่า เมื่อทางการส่วนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ข้อมูลรายละเอียดกลายเป็นรูปแบบของการคลานออกมาอย่างเชื่องช้าไปเสีย
“มันเป็นเรื่องแน่นอนเกี่ยวกับประเภทของช่วงเวลาที่ว่างเปล่า” กล่าวโดยคุณ Mackenzie “มันจะต้องมีการติดต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน คุณก็ทราบดีว่า มันจ้องคุณอยู่ตรงหน้านี่แหละ...ผมควรจะคิดว่า ทางการจีนน่าเปิดตัวให้มากกว่านี้ในช่วงนั้น”
_________________
เมื่อวันที่ 13 มกราคม องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ประเทศไทยได้ยืนยันเคสแรกของไวรัสตัวใหม่นี้ สร้างแรงกดกระแทกให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนทันที
ในการประชุมทางไกลอย่างลับๆ ของวันรุ่งขึ้น (Confidential Teleconference) ผู้นำระดับสูงของทางการสาธารณสุขจีนได้สั่งให้ทั่วประเทศเริ่มเตรียมการรับกับโรคระบาดใหญ่ ถึงกับขนานนามของการระบาดใหญ่ครั้งนี้ว่า “เป็นการท้าทายอย่างรุนแรงที่สุดตั้งแต่การระบาดใหญ่ของ SARS เมื่อปี 2003” ตามที่สำนักข่าว AP ได้เคยรายงานไว้ก่อนหน้า บุคลากรของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนทั่วทั้งประเทศได้เริ่มทำการคัดกรอง, แยกตัวผู้ป่วยออกไป และตรวจสอบสำหรับเคสต่างๆ กลายเป็นจำนวนนับพันๆ รายทั่วทั้งประเทศ
ถึงกระนั้น แม้ว่าทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนจะประกาศอย่างเป็นภายในให้เป็นเรื่องฉุกเฉินระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่มีอยู่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการจีนก็ยังกล่าวว่า โอกาสที่การแพร่เชื้ออย่างยั่งยืนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันนั้น มีความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก
องค์การอนามัยโลกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเวลานั้น แพทย์หญิง Van Kerkhove กล่าวในการแถลงข่าวสรุป (Briefing) กับสื่อมวลชนว่า “มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า สามารถมีการแพร่เชื้อได้อย่างจำกัดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ดูเหมือนกับว่า องค์การอนามัยโลกจะย้อนรอยกับที่กล่าวไว้แต่ก่อนหน้า และโพสต์ในทวีดเตอร์ว่า “การสอบสวนเบื้องต้นซึ่งดำเนินการโดยทางการจีนได้พบว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่อย่างใดในเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” – คำแถลงการณ์นี้ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นเหยื่ออันโอชะสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์กัน
นายแพทย์ Liu Yunguo ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลกในสำนักงานทวีปเอเชีย ซึ่งศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์จากเมืองอู่ฮั่น ได้บินจากกรุงปักกิ่งไปที่เมืองอู่ฮั่นเพื่อการติดต่อโดยตรงอย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ทางการของจีน ตามที่แสดงไว้ในการบันทึกข้อความ เพื่อนผู้เคยเรียนร่วมชั้นกันกับ นายแพทย์ Liu ซึ่งเป็นแพทย์ในเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนให้เขาทราบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอักเสบจำนวนมากกำลังล้นโรงพยาบาลในตัวเมืองกัน และ นายแพทย์ Liu ทำการผลักดันให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมากกว่าเดิม เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นกัน ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับเรื่องราวนี้
ในวันที่ 20 มกราคม ผู้นำของทีมงานผู้เชี่ยวชาญต่างเดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่น นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นแพทย์ทางโรคติดต่อผู้มีชื่อเสียงมากของทางรัฐบาล ได้แถลงการณ์อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไวรัสชนิดใหม่กำลังแพร่กระจายระหว่างผู้คนด้วยกัน ประธานาธิบดี สี เจิ้นผิง ประกาศให้มีการ “ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลการระบาดใหญ่อย่างทันท่วงที และขอความร่วมมือจากนานาชาติให้เข้มมากขึ้น”
นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางระบบทางเดินหายใจ เข้าร่วมพิธีการสาบานตน โดยผ่านการประชุมทางไกลระบบวิดีทัศน์ กับสมาชิกใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสองคนในเมืองอู่ฮั่น
ถึงแม้จะมีคำสั่งแบบนั้นออกมากก็ตาม บุคลากรขององค์การอนามัยโลกก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อจะได้รับข้อมูลของผู้ป่วยจากทางการจีนในเรื่องของการระบาดที่กำลังค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวันเดียวกัน สำนักงานทางด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติได้ส่งทีมงานชุดเล็กไปยังเมืองอู่ฮั่นเป็นเวลาสองวัน รวมทั้งตัวนายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในประเทศจีนอีกด้วย
พวกเขาได้รับการบอกเล่าถึง ความวิตกกังวลกับจำนวนผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ (Cluster of Cases) ท่ามกลางกลุ่มแพทย์และพยาบาลนับเป็นสิบๆ คน แต่พวกเขาไม่มี “แผนผังแสดงการแพร่เชื้อ” (Transmission Trees) เพื่อแจ้งรายละเอียดว่า เคสต่างๆ มีการเชื่อมต่อกันได้อย่างไร หรือมีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่า ไวรัสแพร่กระจายอย่างกว้างขวางได้อย่างไร และใครอยู่ในกลุ่มของการเสี่ยงบ้าง
ในการประชุมภายในองค์กร นายแพทย์ Galea กล่าวว่า ตัวแทนฝ่ายสาธารณสุขของจีนกำลัง “พูดอย่างเปิดเผยและคงที่” ในเรื่องของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน และยังมีการถกเถียงกันว่า เป็นเรื่องที่ยั่งยืนหรือไม่ นายแพทย์ Galea รายงานให้กับเพื่อนร่วมงานในกรุง Geneva และกรุง Manila ได้ทราบว่า ข้อเรียกร้องอันสำคัญของจีนให้กับองค์การอนามัยโลกคือ เพื่อการช่วยเหลือในการ “สื่อสารเรื่องนี้กับทางสาธารณะโดยปราศจากการก่อความตื่นตระหนกกัน”
เมื่อวันที่ 22 มกราคม องค์การอนามัยโลกเปิดประชุมในการก่อตั้งคณะกรรมาธิการอิสระเพื่อพิจารณาว่า ควรประกาศเรื่องฉุกเฉินต่อทางสาธารณสุขโลกหรือไม่ หลังจากการะประชุมสองครั้งที่ไม่สามารถสรุปผลออกมาได้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ไม่สามารถลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ พวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับการประกาศสภาวะฉุกเฉินทั่วโลกกัน – แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศจีนเอง ก็ยังสั่งให้ปิดเมืองอู่ฮั่นในการกักกันตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กร อธิบายอย่างเปิดเผยถึงการแพร่กระจายของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีนว่า เป็นเรื่อง “จำกัด”
เป็นเวลาอีกหลายวันต่อมา ทางการจีนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดใดๆ มากนัก ถึงแม้ว่าจำนวนเคสได้ปะทุขึ้นมา เจ้าหน้าที่ทางการของกรุงปักกิ่งมีความตระหนกเป็นอย่างพอสมควรถึงขนาดพิจารณาว่าจะทำการล็อคดาวน์เมืองหลวงอีกด้วย ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ซึ่งมีความรอบรู้โดยตรงกับเรื่องนี้
ในวันที่ 28 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงขององค์กร รวมไปถึงนายแพทย์ Ryan ได้เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษตรงไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อพบกับประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิง และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงอื่นๆ ของทางการจีน มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งที่ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกจะเข้าแทรกแซงโดยตรง ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของเรื่องการสอบสวนกับระบาดใหญ่
“มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ และประตูระบายน้ำได้เปิดออกแล้ว หรือไม่มีการสื่อสารใดๆ ก็ได้” นายแพทย์ Grein กล่าวในการประชุมภายในองค์กร ในขณะที่เจ้านายของเขายังอยู่ในกรุงปักกิ่ง “เราก็จะได้เห็นกัน”
เมื่อการเดินทางของผู้อำนวยการใหญ่ Tedros สิ้นสุดลง องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ทางการจีนยินยอมที่จะรับนำเอาทีมงานของผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติเข้ามาร่วมด้วย ในการบรรยายสรุปให้กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros เพิ่มพูนการสรรเสริญกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น ด้วยการเรียกระดับของความมุ่งมั่นของจีนว่า เป็นเรื่องที่ “เหลือเชื่อจริงๆ”
ในวันต่อมา ในท้ายที่สุดแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศถึง ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพนานาชาติและอีกครั้งหนึ่ง ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros ก็ขอบคุณประเทศจีน โดยไม่กล่าวถึงเรื่องการปราศจากการให้ความร่วมมือในตอนต้นแต่อย่างใด
ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros กล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้ว เราควรจะแสดงให้เห็นถึงความเคารพของเราและความกตัญญูกับประเทศจีนในการที่เขากระทำการแบบนี้ ทางการจีนได้กระทำการหลายๆ เรื่องอย่างเหลือเชื่อ ต่อการจำกัดการแพร่เชื้อไวรัสไปยังประเทศอื่นๆ กัน”
------------------
ความคิดเห็นของผู้แปล:
บทความนี้ เป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยแปลมา เนื่องจากว่า เมื่อวันก่อนไปพบรายละเอียดที่ลงไว้คร่าวๆ ที่นี่:
บทความแปล: เอกสารรั่วเปิดเผยว่า จีนปิดบังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสเมื่อตอนช่วงแรกๆ ของการระบาดใหญ่
ซึ่งดิฉันทำการแปลไว้คร่าวๆ แต่เนื่องจากการสืบสวนจากสำนักข่าว Associated Press (AP) เป็นเรื่องที่ละเอียดและมีคุณค่าต่อการค้นคว้าในอนาคต ดิฉันเลยขอลงบทความเต็มไว้ให้อ่านกัน
เมื่ออ่านจบแล้ว เราจะเห็นเหตุการณ์หลายอย่าง รวมทั้งการ “อุบ” ข้อมูลไม่ยอมปล่อยให้กับทางสาธารณชนได้ทราบกัน รวมทั้งการแข่งขันชิงดีชิงเด่นในองค์กรเอง ซึ่งพยายามที่จะแย่งเครดิตการค้นพบเรื่องเหล่านี้ ทางการจีนเองไม่ยอมเผยข้อมูลให้ทั่วโลกได้ทราบ ซึ่งเราได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรื่องแบบนี้กัน
บทความนี้แสดงให้เห็นบทบาทขององค์การอนามัยโลกที่ปฏิบัติเป็นตัวกลาง เพื่อสืบหาข้อมูลที่ทางการจีนไม่ปล่อยออกมาให้เห็น เพราะกลัวความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประเทศตนเอง เมื่อเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกับจงใจให้เกิดความล่าช้า เราก็คงจะเห็นแล้วว่า ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นอย่างไร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วทั้งโลกอีกไม่นานอาจจะถเกือบถึง 5 แสนคนก็ได้
ขอให้นำไปขบคิดกันในเช้าวันจันทร์นะคะ Have a great and happy Monday ค่ะ
Doungchampa Spencer-Isenberg
[full-post]
“มันเป็นเรื่องแน่นอนที่สุดที่ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์การอนามัยโลก” กล่าวโดยนายแพทย์ Kamradt-Scott “เขาทำตัวเลยเถิดไปหรือเปล่า? ผมคิดว่าหลักฐานในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นกันอย่างชัดเจน .... มันได้นำไปสู่คำถามต่างๆ อีกมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของจีนและองค์การอนามัยโลก บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องราวเพื่อการตักเตือนกัน”
ทางองค์การอนามัยโลกและเจ้าหน้าที่ขององค์กรที่มีชื่ออยู่ในบทความนี้ ต่างปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ทางสำนักข่าว Associated Press หากปราศจากการบันทึกเสียง หรือ สำเนารายละเอียดในการประชุมต่างๆ ที่มีการบันทึกเหล่านั้นกัน ซึ่งทางสำนักข่าว AP ไม่สามารถที่จะจัดให้กับองค์กรได้ เพราะต้องปกป้องแหล่งข้อมูลที่ได้รับมา
คำแถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “คณะผู้บริหารและบุคลากรของเราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับขององค์กร และแบ่งปันข้อมูลให้กับประเทศรัฐภาคีทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องในการสนทนาอย่างเป็นกันเองและอย่างตรงไปตรงมากับรัฐบาลต่างๆ ทั่วทุกระดับ”
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนปกป้องการกระทำของตนอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก และอีกหลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้ตอบรับกับเรื่องไวรัส แม้ว่าจะล่าช้านานไปกว่าเป็นสัปดาห์ๆ หรือ แม้กระทั่งเป็นเดือนๆก็ตาม
“ตั้งแต่แรกเริ่มของการระบาดใหญ่ เรายังคงแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดกับองค์การอนามัยโลกและชุมชนนานาชาติกันอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบของวิธีการที่เปิดเผย, โปร่งใส และ มีความรับผิดชอบ” กล่าวโดยคุณ Liu Mingzhu ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการฝ่ายต่างประเทศ ของคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2020
___________
การแข่งขันเพื่อค้นพบแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัส เริ่มเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2019 ตามเรื่องราวที่ตีแผ่ออกมาจากการสัมภาษณ์, เอกสาร และการบันทึกการประชุมต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก นั่นคือเมื่อแพทย์หลายคนในเมืองอู่ฮั่น ต่างเริ่มสังเกตเห็นถึงผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ที่มีความน่าสงสัยซึ่งมีไข้และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ซึ่งไม่ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อได้รับการบำบัดรักษาตามมาตรฐานเกี่ยวกับไข้หวัด ด้วยการแสวงหาคำตอบ พวกเขาส่งตัวอย่างการตรวจสอบของผู้ป่วยไปยังห้องแลปทางการพาณิชย์กัน
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม Vision Medicals ซึ่งเป็นห้องแลปแห่งหนึ่ง ได้สร้างแผนที่พันธุกรรมของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ SARS แลป Vision medicals แบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ของเมืองอู่ฮั่นและสถาบันแพทย์ศาสตร์ของทางการจีน ตามที่รายงานครั้งแรกไว้ที่ Chinese Finance Publication Caixin และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นอิสระกับสำนักข่าว AP
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นออกการแจ้งเตือนภายในองค์กรเกี่ยวกับ โรคปอดอักเสบอย่างผิดปกติ (Unusual Pneumonia)ซึ่งต่อมาได้รั่วออกไปยังโซเชี่ยลมีเดียกัน ในคืนวันนั้น แพทย์หญิง Shi Zhengli ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโคโรน่าไวรัสของสถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงต่อการติดตามรอยโรคไวรัส SARS ในถ้ำค้างคาว ได้แจ้งการเตือนเกี่ยวกับโรคชนิดใหม่นี้ ตามการสัมภาษณ์ที่ให้กับ Scientific American แพทย์หญิง Shi ขึ้นรถไฟเที่ยวแรกจากการประชุมที่เมืองเซี่ยงไฮ้กลับไปยังเมืองอู่ฮั่นโดยทันที
แพทย์หญิง Shi Zhengli ทำงานร่วมกันกับนักวิจัยคนอื่นๆ ในห้องแลปที่สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น
ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Gao Fu ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญไปยังเมืองอู่ฮั่น และในวันที่ 31 ธันวาคมวันเดียวกัน ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเคสจากเวปข่าวสารเปิดซึ่งมีข้อมูลจิปาถะ (Open-source Platform) ที่สืบเหตุการณ์สำหรับข่าวกรองในเรื่องการระบาดใหญ่ ตามที่กล่าวโดยประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก คือนายแพทย์
ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2020 ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐภาคีมีเวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมงต่อการตอบคำถาม และทางการจีนรายงานในเวลาสองวันต่อมาว่า มีจำนวนเคสทั้งหมด 44 เคสและไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
จนถึงวันที่ 2 มกราคม แพทย์หญิง Shi ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและจีโนมทั้งหมดของไวรัสได้ ตามที่แจ้งไว้ในเวลาต่อมาซึ่งโพสต์อยู่บนเวปไซค์ของสถาบันของเธอ
นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันว่า นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ตรวจพบและจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันในเวลานั้นด้วยการใช้เวลาอันรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ตามคำให้การที่ให้กับทางการจีน ซึ่งมีการปรับปรุงสมรรถภาพทางเทคนิคอย่างดีขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์โรคระบาด SARS ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้กำกับการปฏิบัติงาน ใช้เวลานานมากเป็นเดือนๆ ต่อการระบุรายละเอียดของไวรัส แต่ในเวลานี้ นักไวรัสวิทยาของจีนพิสูจน์ให้เห็นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันว่า มันเป็นโคโรน่าไวรัสที่ไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อนหน้า ในเวลาต่อมา นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กรได้กล่าวว่า ทางการจีนได้สร้าง “มาตรฐานขึ้นมาใหม่ในการตอบรับกับการระบาดใหญ่”
แต่เมื่อมาถึงเรื่องการแบ่งปันข้อมูลกับทั่วทั้งโลก เรื่องเหล่านี้เริ่มกลายเป็นเรื่องบิดเบี้ยวไปแทน
ในวันที่ 3 มกราคม 2020 ทางคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีนออกการแจ้งเตือนแบบลับ ด้วยการออกคำสั่งให้ห้องแลปต่างๆ ที่มีไวรัส ทำการทำลายตัวอย่างที่มีอยู่ทั้งหมด หรือไม่ก็ส่งมันไปยังสถาบันต่างๆ ที่กำหนดชื่อไว้แล้วเพื่อการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย การแจ้งเตือนฉบับนี้ ซึ่งรายงานโดยห้องแลปของ Caixin ในตอนแรก และทางสำนักข่าว AP ได้เห็น สั่งห้ามแลปต่างๆ ไม่ให้ตีพิมพ์และเผยแพร่เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้โดยปราศจากการอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน คำสั่งนี้รวมไปถึงการห้ามไม่ให้แลปของแพทย์หญิง Shi ทำการตีพิมพ์ลำดับพันธุกรรมของไวรัสหรือแม้แต่เตือนภัยเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
กฎหมายจีนระบุว่า สถาบันการวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการทดลองกับไวรัสชนิดใหม่ที่อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการอนุมัติจากทางการสาธารณสุขระดับสูงก่อน ถึงแม้ว่ากฎหมายมีความมุ่งหมายที่จะให้การทดสอบมีความปลอดภัยก็ตาม แต่มันให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขอย่างกว้างขวางว่า ห้องแลปในระดับเล็กๆ สามารถหรือไม่สามารถทำอะไรกันได้บ้าง
“ถ้าชุมชนของนักไวรัสวิทยาดำเนินการได้อย่างมีอิสรภาพมากกว่านี้....ทางสาธารณะจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสชนิดใหม่ซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้กันอย่างเร็ววันกว่านี้มาก” กล่าวโดยศาสตราจารย์ Edward Gu ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang) และคุณ Li Lantian ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Northwestern ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมจากการวิเคราะห์โรคระบาดนี้
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการกล่าวซ้ำว่า พวกเขาพยายามที่จะสร้างความมั่นใจต่อความปลอดภัยของห้องแลป และได้ออกคำสั่งกับห้องแลปของรัฐบาลจีนสี่แห่งให้แสดงแผนที่ทางพันธุกรรมพร้อมๆ กัน เพื่อให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและความแน่นอนทั้งหมด
เมื่อถึงวันที่ 3 มกราคม ทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้จัดลำดับของไวรัสได้โดยอิสระ ตามข้อมูลภายในองค์กรที่ทางสำนักข่าว AP ได้เห็น และเพียงหลังจากเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 5 มกราคม แลปแห่งที่สามที่ทางการจีนกำหนดภารกิจไว้ นั่นคือสถาบันแพทย์ศาสตร์ของจีน ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งรายงานให้กับทางการ – นำเอาบุคลากรมาทุ่มกับงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ – ตามการสัมภาษณ์กับสถานีของรัฐ ถึงกระนั้น แม้ว่าแลปทั้งสามแห่งได้ถอดรหัสแผนที่ทางพันธุกรรมกันอย่างอิสระได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขของจีนก็ยังคงนิ่งเงียบกันอยู่ องค์การอนามัยโลกรายงานบนเวป Twitter ว่า การสืบสวนยังคงดำเนินการกันอยู่ในกรณีของกลุ่มผู้ป่วยใหญ่ ที่มีโรคปอดอักเสบซึ่งมีความผิดปกติกัน และไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใดในเมืองอู่ฮั่น พร้อมกับกล่าวว่า ทางองค์กรจะแบ่งปัน “รายละเอียดให้มากขึ้นเมื่อเราได้รับข้อมูลเข้ามา”
ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของความเชี่ยวชาญในเรื่องโคโรน่าไวรัสที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นปัญหาที่นั่น
เป็นเวลานานเกือบสองสัปดาห์ ทางการเมืองอู่ฮั่นไม่ได้รายงานการติดเชื้อใหม่กันแต่อย่างใด และทางการยังได้ตรวจตราและเซนเซอร์แพทย์ทุกคนที่ได้ออกแจ้งเตือนเกี่ยวกับเคสที่น่าสงสัยเหล่านี้กัน
ในขณะเดียวกัน นักวิจัยต่างๆ ได้พบว่า โคโรน่าไวรัสชนิดใหม่นี้ ได้ใช้สไปก์โปรตีน (Spike Protein หรือ S-Protein) ที่มีความแตกต่างเพื่อที่จะยึดโยงตัวมันเองกับเซลของมนุษย์ โปรตีนที่ผิดแปลกนี้รวมถึงการปราศจากเคสใหม่ๆ กล่อมเกลาให้นักวิจัยที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต่างคิดกันว่า ไวรัสตัวนี้จะไม่แพร่กระจายเชื้อกับผู้คนกันอย่างง่ายดายเท่าไรนัก – เหมือนกับโคโรน่าไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome หรือ MERS) ตามคำกล่าวของบุคลากรคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะเอ่ยนามด้วยความหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษได้
นายแพทย์ Li ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโคโรน่าไวรัสกล่าวว่า เขามีความสงสัยโดยทันทีเกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogen) ว่ามันสามารถแพร่เชื้อได้ เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสำเนาของรายงานของการจัดลำดับพันธุกรรมในกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสที่คล้ายกับโรค SARS แต่ทีมงานของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนซึ่งเป็นผู้จัดลำดับพันธุกรรมของไวรัส ปราศจากผู้ชำนาญการในโครงสร้างทางโมเลกุลของโคโรน่าไวรัส และประสบความล้มเหลวในการปรึกษานักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ภายนอกองค์กร ตามที่นายแพทย์ Li กล่าวไว้ ทางการสาธารณสุขจีนเอง ได้ปฏิเสธข้อเสนอต่อความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ รวมทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่ถูกห้ามปฏิบัติภารกิจในเรื่องการค้นหาความจริงที่เมืองอู่ฮั่นและจากศาสตราจารย์ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน
ในวันที่ 5 มกราคม ศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยนายแพทย์ Zhang Yongzhen ที่เป็นนักไวรัสวิทยาผู้มีชื่อเสียงมาก เป็นกลุ่มล่าสุดที่สามารถจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสได้ เขาส่งรายงานเข้าไปอยู่ที่ฐานข้อมูลของ GenBank ซึ่งรอการทบทวนและพิจารณากันอยู่อีกครั้งหนึ่ง และแจ้งรายงานต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติอีกด้วย เขายังได้เตือนคณะกรรมาธิการว่า ไวรัสชนิดใหม่นี้ มีความคล้ายคลึงกับ SARS ไวรัสและมีแนวโน้มว่าสามารถติดต่อกันได้
“มันควรจะติดต่อถึงกันได้โดยการผ่านระบบทางเดินหายใจ” กล่าวโดยศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ในการแจ้งเตือนภายในองค์กรซึ่งเห็นโดยสำนักข่าว AP “เราขอเสนอให้นำเอามาตรการการป้องกันเข้ามาใช้ในพื้นที่สาธารณะกัน”
ในวันเดียวกัน องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า จากพื้นฐานของข้อมูลเบื้องต้นจากประเทศจีน ยังไม่มีหลักฐานใดๆ อันสำคัญในการติดต่อระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และไม่เสนอมาตรการโดยเฉพาะใดๆ สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทาง”
ในวันต่อมา ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนยกระดับความฉุกเฉินขึ้นไปถึงระดับสูงสุดลำดับที่สอง บุคลากรต่างๆ เริ่มดำเนินงานเพื่อแยกไวรัสออกมา, ร่างข้อแนะนำต่อการตรวจสอบ และออกแบบชุดตรวจสอบ (Test kits) แต่ทางสำนักงานไม่มีอำนาจใดๆ ในการออกคำสั่งเตือนภัยให้กับทางสาธารณะ และการยกระดับความฉุกเฉินก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ แม้กระทั่งไม่ให้ผู้ปฏิบัติการขององค์กรเองอีกหลายๆ คนได้รับทราบเรื่องนี้กัน
จนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ทีมงานอีกทีมหนึ่งจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นได้จัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) และพบว่าตรงกันกับของแพทย์หญิง Shi, ทำให้แพทย์หญิง Shi มั่นใจว่า กลุ่มงานของเธอแยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้จริง แต่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนกล่าวว่า พวกเขาไม่เชื่อการค้นพบของแพทย์หญิง Shi และจำเป็นต้องตรวจสอบยืนยันกับข้อมูลของเธอก่อนที่เธอสามารถจะเผยแพร่ได้ ตามคำกล่าวของบุคคลสามคนผู้มีความคุ้นเคยกับเนื้อหาเรื่องนี้ ทั้งคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลห้องแลปของแพทย์หญิง Shi ปฏิเสธไม่ยินยอมให้แพทย์หญิง Shi มีเวลาสำหรับให้การสัมภาษณ์ได้
บางคนกล่าวว่า ปัจจัยอันใหญ่ยิ่งที่อยู่หลังฉากของคำสั่งปิดปากแบบนี้คือว่า นักวิจัยของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต้องการตีพิมพ์ผลงานของตนเองก่อนใครทั้งหมด “พวกเขาต้องการที่จะได้รับเครดิตโดยเต็ม” กล่าวโดยคุณ Li Yize ซึ่งเป็นนักวิจัยโคโรน่าไวรัสจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania
ภายในตัวองค์กรเอง ความเป็นผู้นำของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้ถูกระบาดไปด้วยการแข่งขันแบบชิงดีชิงเด่น ตามที่บุคลากรทั้งหมดหกคนซึ่งเป็นผู้มีความคุ้นเคยกับระบบได้อธิบายไว้ พวกเขากล่าวว่า ทางสำนักงานได้ทำการแต่งตั้งและเลื่อนขั้นบุคลากรจากรากฐานที่ว่า พวกเขาสามารถตีพิมพ์งานวิจัยของตนเองในวารสารอันมีเกียรติกันได้มากน้อยขนาดไหน ทำให้นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ไม่เต็มใจต่อการแบ่งปันข้อมูลกัน
เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวัน แม้กระทั่งบุคลากรภายในศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเองก็ยังเริ่มแปลกใจกันว่า ทำไมมันถึงใช้เวลานานมากๆ สำหรับทางการในการวินิจฉัยเชื้อโรคนี้ (Pathogen)
“เราต่างเริ่มมีความน่าสงสัยกัน เพราะภายในหนึ่งหรือสองวัน เราควรจะได้ผลลัพธ์ของการจัดลำดับทางพันธุกรรมกันแล้ว” กล่าวโดยเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลปท่านหนึ่ง ซึ่งปฏิเสธในการเปิดเผยชื่อเพราะกลัวการถูกลงโทษ
___________
เมื่อวันที่ 8 มกราคม หนังสือพิมพ์ the Wall Street Journal รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ในตัวอย่างจาก ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งสร้างการข้ามหน้าข้ามตาและสร้างความอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนกัน เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลป กล่าวกับสำนักข่าว AP ว่า พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการค้นพบไวรัสในครั้งแรกนี้จากหนังสือพิมพ์กันเอง
บทความนี้ยังได้สร้างความน่าอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกอีกด้วย นายแพทย์ Tom Grein ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารเหตุการณ์เร่งด่วนขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ทำให้องค์กรดู “โง่เง่ายิ่งกว่าสองเท่าตัว” แพทย์หญิง Van Kerkhove ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันรับรู้แล้วว่า องค์การอนามัยโลกได้ “สายเกินไปแล้ว” ต่อการประกาศเรื่องโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และบอกกับเพื่อนร่วมงานกันว่า มันเป็นเรื่องวิกฤตที่จะต้องผลักดันประเทศจีนกันแล้ว
แพทย์หญิง Maria Van Kerkhove ซึ่งเป็นหัวหน้าปฏิบัติภารกิจฝ่ายตรวจสอบการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุง Geneva
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายเหตุการณ์ฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก มีความไม่พอใจเป็นอย่างมากอีกด้วยในเรื่องการขาดแคลนข้อมูลเหล่านี้
เขาคร่ำครวญต่อว่า “ความจริงคือ เราเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้ในสัปดาห์ที่สองถึงสัปดาห์ที่สามแล้ว เราไม่มีห้องแลปเพื่อการวินิจฉัยโรค เราไม่มีข้อมูลในเรื่องอายุ, เพศ หรือการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ เราไม่มีเส้นโค้งของการระบาด (epidemic curve)” ซึ่งอ้างอิงถึงเส้นกราฟตามมาตรฐานของการระบาดใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้กันเพื่อแสดงให้เห็นว่าการระบาดใหญ่กำลังคืบหน้ากันอย่างไร
หลังจากบทความได้ถูกตีพิมพ์แล้ว ทางสื่อของรัฐได้แถลงอย่างเป็นทางการในเรื่องการค้นพบโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่แม้กระทั่งหลังจากนั้น ทางการสาธารณสุขของจีนเอง ก็ยังไม่ทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม, การตรวจสอบจากการวินิจฉัย หรือแม้แต่รายละเอียดของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแสดงเบาะแสให้เห็นว่า เชื้อโรคตัวนี้ทำติดเชื้อกันได้อย่างไร
ในช่วงเวลานั้น เคสต่างๆ ที่มีความน่าพิรุธก็เริ่มปรากฎให้เห็นกันในเขตภูมิภาคนั้นกันอย่างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 8 มกราคม เจ้าหน้าที่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของประเทศไทย ได้แยกตัวผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นออกมา เนื่องจากมีอาการน้ำมูกไหล, เจ็บคอ และมีอุณหภูมิสูง ทีมงานของ ดร. สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี ซึ่งเป็นอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้หญิงคนนี้ ได้ติดเชื้อจากโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเหมือนกับที่ทางการจีนอธิบายไว้เมื่อก่อนหน้า ดร. สุภาภรณ์ ได้คิดคำนวณการจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสเป็นผลสำเร็จส่วนหนึ่งในวันที่ 9 มกราคม และส่งรายงานไปยังรัฐบาลไทย และได้ใช้เวลาของวันต่อมาเพื่อค้นหาการจัดลำดับให้ตรงกันกับที่พบก่อนหน้า
แต่เพราะว่าทางการจีนไม่ได้เปิดเผยการจัดลำดับใดๆ ออกมา ดร. สุภาภรณ์จึงไม่พบอะไร เธอไม่สามารถพิสูจน์ว่า ไวรัสที่พบในประเทศไทยเป็นเชื้อโรคตัวเดียวกัน (Pathogen) ที่สร้างความเจ็บป่วยให้กับผู้คนในเมืองอู่ฮั่น
ดร. สุภาภรณ์กล่าวว่า “มันเป็นเหมือนกับการรอเพื่อที่จะได้เห็น เมื่อทางการจีนเปิดเผยข้อมูลแล้ว จากนั้น เราสามารถเปรียบเทียบกันได้”
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2020 ผู้ชายอายุ 61 ปีที่ติดเชื้อไวรัส เสียชีวิตลงที่เมืองอู่ฮั่น นี่คือการรับรู้ถึงการเสียชีวิตของมนุษย์เป็นครั้งแรกแต่การเสียชีวิตไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะจนกระทั่งถึงวันที่ 11 มกราคม
เจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกคร่ำครวญในการประชุมภายในองค์กรว่า พวกเขาได้ทำการร้องขอข้อมูลเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อค้นหาว่า ไวรัสตัวนี้สามารถแพร่เชื้ออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันหรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา
นายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศจีน กล่าวว่า “เราได้เรียกร้องข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยามากกว่าที่มีอยู่ ทั้งอย่างเป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ แต่เมื่อถามถึงเรื่องโดยเฉพาะเจาะจง เราไม่สามารถจะได้รับอะไรกันเลย”
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการฉุกเฉิน พร่ำบ่นว่า ตั้งแต่ประเทศจีนให้ข้อมูลอย่างน้อยที่สุดตามที่กฎหมายระหว่างประเทศบังคับใช้อยู่ มันมีเรื่องอีกเพียงเล็กน้อยที่ทางองค์การอนามัยโลกสามารถกระทำได้ แต่เขายังได้บันทึกอีกด้วยว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2019) องค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์สู่ทางสาธารณะอย่างไม่ปกติ ด้วยการตำหนิต่อประเทศแทนซาเนีย (Tanzania) เพราะไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างพอควรเกี่ยวกับการระบาดใหญ่อันน่าเป็นห่วงของอีโบล่าไวรัส
นายแพทย์ Ryan กล่าวว่า “เราต้องมีความคงเส้นคงวา ภัยอันตรายในเวลานี้คือว่า ถึงแม้ความตั้งใจที่ดีของเรา .... โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมา จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากทำการชี้นิ้วกร่นด่าตรงมาที่องค์การอนามัยโลกกัน”
นายแพทย์ Ryan บันทึกว่า ทางการจีนสามารถ “ให้คุณูปการอย่างใหญ่หลวง” กับชาวโลกด้วยการแบ่งปันเนื้อหาทางพันธุกรรมอย่างทันท่วงที เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้ว “ประเทศอื่นๆ จะต้องเสียเวลาสร้างทุกอย่างกันขึ้นมาใหม่ภายในไม่อีกกี่วันข้างหน้า”
ในวันที่ 11 มกราคม ในที่สุดทีมงานที่นำโดยoนายแพทย์ Zhang จากศูนย์คลินิกสาธารณสุขของเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำการเผยแพร่ข้อมูลทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ของ Virological.org ซึ่งใช้กันโดยนักวินัยต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogens) การเคลื่อนไหวของนายแพทย์ Zhangสร้างความโกรธแค้นให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเป็นอย่างมาก กล่าวโดยบุคคลสามคนซึ่งคุ้นเคยอยู่กับเหตุการณ์นี้ และในวันต่อมา ห้องแลปของนายแพทย์ Zhang ได้ถูกปิดตัวเป็นการชั่วคราวจากทางการสาธารณสุข
นายแพทย์ Zhang ได้ถูกอ้างอิงเพื่อเรียกร้องให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ทางคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ปฏิเสธการขอร้อง ในการให้มีเจ้าหน้าที่ทางการอยู่พร้อมต่อการสัมภาษณ์ และไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับคำถามที่กล่าวถึงนายแพทย์ Zhang
ดร. สุภาภรณ์ทำการเปรียบเทียบการจัดลำดับทางพันธุกรรมของเธอกับของนายแพทย์ Zhang และพบว่าตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ผู้ป่วยในประเทศไทยมีความเจ็บป่วยจริงและมาพร้อมกับไวรัสสายพันธุ์เดียวกันกับที่พบในเมืองอู่ฮั่น ห้องแลปของไทยอีกแห่งหนึ่งได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน ในวันนั้น ทางการของประเทศไทยได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก กล่าวโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทย
------------------------------------------------------------------------------------๊
Updated: ขอเสริมเรื่องนี้ จากบทความที่ AP ลงไว้ ซึ่งมาจากแหล่งที่ใกล้ชิดกับ ดร. สุภาภรณ์ ่ข้อความดังนี้คือ:
ดร. สุภาภรณ์เล่าให้ฟังว่าทางสำนักข่าว AP ใช้ quote จากอาจารย์คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง และเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย ซึ่งนำมาสู่ความความเข้าใจผิดโดยกว้าง ด้วย misreporting ชิ้นนี้ ซึ่ง ดร. สุภาภรณ์ได้ทำการท้วงติงไป (เท่าที่เข้าใจ คือ ดร สุภาภรณ์ กำลังดำเนินการ) อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า จีนไม่ได้รีรอให้ข้อมูลเลย รีบออก Genome Sequencing ทันทีเมื่อวันที่ 11–12 มกราคม ไล่เลี่ยกับในประเทศไทย จีนต้องใช้ความระมัดระวังมากในการออกข้อมูลซึ่งเป็นคุณานุปการให้ประเทศอื่นได้ใช้ phylogenetic tree วางเทียบ ซึ่งไทยก็ทำ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ก็สามารถถอดเทียบรหัสไวรัสตัวนี้ได้ -
ขอขอบคุณที่เสริมเรื่องนี้ เพื่อบทความจะได้อ้างอิงอย่างถูกต้องได้ - Doungchampa Spencer-Isenberg
--------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนายแพทย์ Zhang ได้เผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม (จีโนม) แล้ว ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน, สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และสถาบันแพทย์ศาสตร์ของประเทศจีน ต่างแข่งขันทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมกันเอง ด้วยการทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำเพื่อที่จะตรวจสอบทบทวนเนื้อหา, รวบรวมข้อมูลของผู้ป่วย และส่งรายงาน (ผลงาน) ให้กับคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติเพื่อการอนุมัติ ตามเอกสารที่ทางสำนักข่าว AP ได้รับมา ในที่สุด เมื่อวันที่ 12 มกราคม ห้องแลปสามแห่งพร้อมกันเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ GISAID ซึ่งเป็น พื้นที่(Platform) ของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในการแบ่งปันข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งกันและกัน
จอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ในมอลล์สรรพสินค้าอันเงียบสงบในกรุงปักกิ่ง แสดงให้เห็น ประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิงกำลังพูดคุยอยู่กับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล Huoshenshan ในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนมีนาคม
หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านไปนานมากกว่าสองสัปดาห์ตั้งแต่ Vision Medicals ได้ถอดรหัสการจัดลำดับทางพันธุกรรมส่วนหนึ่งออกมา และเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ตั้งแต่ ห้องแลปทั้งสามแห่งของรัฐบาลจีนได้รับการจัดลำดับทางพันธุกรรมอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด มีผู้คนประมาณ 600 คนที่มีการติดเชื้อในสัปดาห์นั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างคร่าวๆ ประมาณ สามเท่าตัว
นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า การรอคอยไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากต่อการจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogens) ที่ไม่เคยล่วงรู้กันมาก่อน เมื่อกล่าวถึงเรื่องความแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญเท่าเทียมกันกับความรวดเร็ว พวกเขาชี้ให้เห็นถึงการระบาดใหญ่ของโรค SARS เมื่อปี 2003 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จีนบางคน –ในช่วงแรกๆ และอย่างผิดๆ – ด้วยความเชื่อกันว่า ต้นตอของการระบาดใหญ่คือโรคหนองในเทียม (Chlamydia) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
“ความกดดันเริ่มเข้มข้นขึ้นมาในช่วงการระบาดใหญ่ เพื่อสร้างความแน่ใจว่า เราถูกต้องในเรื่องนี้” กล่าวโดย คุณ Peter Daszak ซึ่งเป็นประธานของบริษัท EcoHealthAlliance ในกรุงนิวยอร์ก “แท้ที่จริงแล้ว มันเลวร้ายกว่า ในการออกไปข้างนอกเพื่อไปยังสถานที่สาธารณะ พร้อมกับเรื่องราวที่ผิดๆ เนื่องจากผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นทั้งหมดไปแล้ว ในการตอบรับจากทางการสาธารณสุข”
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ก็ยังตั้งคำถามอย่างเงียบๆ ว่า เกิดอะไรกันขึ้นในหลังฉากกัน
คุณ John Mackenzie ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกระหว่างช่วงการระบาดใหญ่ กล่าวชมเชยเรื่องความรวดเร็วของนักวิจัยของจีนในการจัดลำดับของไวรัส แต่เขากล่าวว่า เมื่อทางการส่วนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ข้อมูลรายละเอียดกลายเป็นรูปแบบของการคลานออกมาอย่างเชื่องช้าไปเสีย
“มันเป็นเรื่องแน่นอนเกี่ยวกับประเภทของช่วงเวลาที่ว่างเปล่า” กล่าวโดยคุณ Mackenzie “มันจะต้องมีการติดต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน คุณก็ทราบดีว่า มันจ้องคุณอยู่ตรงหน้านี่แหละ...ผมควรจะคิดว่า ทางการจีนน่าเปิดตัวให้มากกว่านี้ในช่วงนั้น”
_________________
เมื่อวันที่ 13 มกราคม องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ประเทศไทยได้ยืนยันเคสแรกของไวรัสตัวใหม่นี้ สร้างแรงกดกระแทกให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนทันที
ในการประชุมทางไกลอย่างลับๆ ของวันรุ่งขึ้น (Confidential Teleconference) ผู้นำระดับสูงของทางการสาธารณสุขจีนได้สั่งให้ทั่วประเทศเริ่มเตรียมการรับกับโรคระบาดใหญ่ ถึงกับขนานนามของการระบาดใหญ่ครั้งนี้ว่า “เป็นการท้าทายอย่างรุนแรงที่สุดตั้งแต่การระบาดใหญ่ของ SARS เมื่อปี 2003” ตามที่สำนักข่าว AP ได้เคยรายงานไว้ก่อนหน้า บุคลากรของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนทั่วทั้งประเทศได้เริ่มทำการคัดกรอง, แยกตัวผู้ป่วยออกไป และตรวจสอบสำหรับเคสต่างๆ กลายเป็นจำนวนนับพันๆ รายทั่วทั้งประเทศ
ถึงกระนั้น แม้ว่าทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนจะประกาศอย่างเป็นภายในให้เป็นเรื่องฉุกเฉินระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่มีอยู่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการจีนก็ยังกล่าวว่า โอกาสที่การแพร่เชื้ออย่างยั่งยืนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันนั้น มีความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก
องค์การอนามัยโลกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเวลานั้น แพทย์หญิง Van Kerkhove กล่าวในการแถลงข่าวสรุป (Briefing) กับสื่อมวลชนว่า “มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า สามารถมีการแพร่เชื้อได้อย่างจำกัดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ดูเหมือนกับว่า องค์การอนามัยโลกจะย้อนรอยกับที่กล่าวไว้แต่ก่อนหน้า และโพสต์ในทวีดเตอร์ว่า “การสอบสวนเบื้องต้นซึ่งดำเนินการโดยทางการจีนได้พบว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่อย่างใดในเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” – คำแถลงการณ์นี้ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นเหยื่ออันโอชะสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์กัน
นายแพทย์ Liu Yunguo ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลกในสำนักงานทวีปเอเชีย ซึ่งศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์จากเมืองอู่ฮั่น ได้บินจากกรุงปักกิ่งไปที่เมืองอู่ฮั่นเพื่อการติดต่อโดยตรงอย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ทางการของจีน ตามที่แสดงไว้ในการบันทึกข้อความ เพื่อนผู้เคยเรียนร่วมชั้นกันกับ นายแพทย์ Liu ซึ่งเป็นแพทย์ในเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนให้เขาทราบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอักเสบจำนวนมากกำลังล้นโรงพยาบาลในตัวเมืองกัน และ นายแพทย์ Liu ทำการผลักดันให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมากกว่าเดิม เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นกัน ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับเรื่องราวนี้
ในวันที่ 20 มกราคม ผู้นำของทีมงานผู้เชี่ยวชาญต่างเดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่น นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นแพทย์ทางโรคติดต่อผู้มีชื่อเสียงมากของทางรัฐบาล ได้แถลงการณ์อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไวรัสชนิดใหม่กำลังแพร่กระจายระหว่างผู้คนด้วยกัน ประธานาธิบดี สี เจิ้นผิง ประกาศให้มีการ “ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลการระบาดใหญ่อย่างทันท่วงที และขอความร่วมมือจากนานาชาติให้เข้มมากขึ้น”
นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางระบบทางเดินหายใจ เข้าร่วมพิธีการสาบานตน โดยผ่านการประชุมทางไกลระบบวิดีทัศน์ กับสมาชิกใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสองคนในเมืองอู่ฮั่น
ถึงแม้จะมีคำสั่งแบบนั้นออกมากก็ตาม บุคลากรขององค์การอนามัยโลกก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อจะได้รับข้อมูลของผู้ป่วยจากทางการจีนในเรื่องของการระบาดที่กำลังค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวันเดียวกัน สำนักงานทางด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติได้ส่งทีมงานชุดเล็กไปยังเมืองอู่ฮั่นเป็นเวลาสองวัน รวมทั้งตัวนายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในประเทศจีนอีกด้วย
พวกเขาได้รับการบอกเล่าถึง ความวิตกกังวลกับจำนวนผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ (Cluster of Cases) ท่ามกลางกลุ่มแพทย์และพยาบาลนับเป็นสิบๆ คน แต่พวกเขาไม่มี “แผนผังแสดงการแพร่เชื้อ” (Transmission Trees) เพื่อแจ้งรายละเอียดว่า เคสต่างๆ มีการเชื่อมต่อกันได้อย่างไร หรือมีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่า ไวรัสแพร่กระจายอย่างกว้างขวางได้อย่างไร และใครอยู่ในกลุ่มของการเสี่ยงบ้าง
ในการประชุมภายในองค์กร นายแพทย์ Galea กล่าวว่า ตัวแทนฝ่ายสาธารณสุขของจีนกำลัง “พูดอย่างเปิดเผยและคงที่” ในเรื่องของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน และยังมีการถกเถียงกันว่า เป็นเรื่องที่ยั่งยืนหรือไม่ นายแพทย์ Galea รายงานให้กับเพื่อนร่วมงานในกรุง Geneva และกรุง Manila ได้ทราบว่า ข้อเรียกร้องอันสำคัญของจีนให้กับองค์การอนามัยโลกคือ เพื่อการช่วยเหลือในการ “สื่อสารเรื่องนี้กับทางสาธารณะโดยปราศจากการก่อความตื่นตระหนกกัน”
เมื่อวันที่ 22 มกราคม องค์การอนามัยโลกเปิดประชุมในการก่อตั้งคณะกรรมาธิการอิสระเพื่อพิจารณาว่า ควรประกาศเรื่องฉุกเฉินต่อทางสาธารณสุขโลกหรือไม่ หลังจากการะประชุมสองครั้งที่ไม่สามารถสรุปผลออกมาได้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ไม่สามารถลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ พวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับการประกาศสภาวะฉุกเฉินทั่วโลกกัน – แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศจีนเอง ก็ยังสั่งให้ปิดเมืองอู่ฮั่นในการกักกันตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กร อธิบายอย่างเปิดเผยถึงการแพร่กระจายของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีนว่า เป็นเรื่อง “จำกัด”
เป็นเวลาอีกหลายวันต่อมา ทางการจีนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดใดๆ มากนัก ถึงแม้ว่าจำนวนเคสได้ปะทุขึ้นมา เจ้าหน้าที่ทางการของกรุงปักกิ่งมีความตระหนกเป็นอย่างพอสมควรถึงขนาดพิจารณาว่าจะทำการล็อคดาวน์เมืองหลวงอีกด้วย ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ซึ่งมีความรอบรู้โดยตรงกับเรื่องนี้
ในวันที่ 28 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงขององค์กร รวมไปถึงนายแพทย์ Ryan ได้เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษตรงไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อพบกับประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิง และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงอื่นๆ ของทางการจีน มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งที่ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกจะเข้าแทรกแซงโดยตรง ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของเรื่องการสอบสวนกับระบาดใหญ่
“มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ และประตูระบายน้ำได้เปิดออกแล้ว หรือไม่มีการสื่อสารใดๆ ก็ได้” นายแพทย์ Grein กล่าวในการประชุมภายในองค์กร ในขณะที่เจ้านายของเขายังอยู่ในกรุงปักกิ่ง “เราก็จะได้เห็นกัน”
เมื่อการเดินทางของผู้อำนวยการใหญ่ Tedros สิ้นสุดลง องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ทางการจีนยินยอมที่จะรับนำเอาทีมงานของผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติเข้ามาร่วมด้วย ในการบรรยายสรุปให้กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros เพิ่มพูนการสรรเสริญกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น ด้วยการเรียกระดับของความมุ่งมั่นของจีนว่า เป็นเรื่องที่ “เหลือเชื่อจริงๆ”
ในวันต่อมา ในท้ายที่สุดแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศถึง ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพนานาชาติและอีกครั้งหนึ่ง ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros ก็ขอบคุณประเทศจีน โดยไม่กล่าวถึงเรื่องการปราศจากการให้ความร่วมมือในตอนต้นแต่อย่างใด
ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros กล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้ว เราควรจะแสดงให้เห็นถึงความเคารพของเราและความกตัญญูกับประเทศจีนในการที่เขากระทำการแบบนี้ ทางการจีนได้กระทำการหลายๆ เรื่องอย่างเหลือเชื่อ ต่อการจำกัดการแพร่เชื้อไวรัสไปยังประเทศอื่นๆ กัน”
------------------
ความคิดเห็นของผู้แปล:
บทความนี้ เป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยแปลมา เนื่องจากว่า เมื่อวันก่อนไปพบรายละเอียดที่ลงไว้คร่าวๆ ที่นี่:
บทความแปล: เอกสารรั่วเปิดเผยว่า จีนปิดบังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสเมื่อตอนช่วงแรกๆ ของการระบาดใหญ่
ซึ่งดิฉันทำการแปลไว้คร่าวๆ แต่เนื่องจากการสืบสวนจากสำนักข่าว Associated Press (AP) เป็นเรื่องที่ละเอียดและมีคุณค่าต่อการค้นคว้าในอนาคต ดิฉันเลยขอลงบทความเต็มไว้ให้อ่านกัน
เมื่ออ่านจบแล้ว เราจะเห็นเหตุการณ์หลายอย่าง รวมทั้งการ “อุบ” ข้อมูลไม่ยอมปล่อยให้กับทางสาธารณชนได้ทราบกัน รวมทั้งการแข่งขันชิงดีชิงเด่นในองค์กรเอง ซึ่งพยายามที่จะแย่งเครดิตการค้นพบเรื่องเหล่านี้ ทางการจีนเองไม่ยอมเผยข้อมูลให้ทั่วโลกได้ทราบ ซึ่งเราได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรื่องแบบนี้กัน
บทความนี้แสดงให้เห็นบทบาทขององค์การอนามัยโลกที่ปฏิบัติเป็นตัวกลาง เพื่อสืบหาข้อมูลที่ทางการจีนไม่ปล่อยออกมาให้เห็น เพราะกลัวความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประเทศตนเอง เมื่อเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกับจงใจให้เกิดความล่าช้า เราก็คงจะเห็นแล้วว่า ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นอย่างไร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วทั้งโลกอีกไม่นานอาจจะถเกือบถึง 5 แสนคนก็ได้
ขอให้นำไปขบคิดกันในเช้าวันจันทร์นะคะ Have a great and happy Monday ค่ะ
Doungchampa Spencer-Isenberg
แสดงความคิดเห็น