พาหุง-การแบ่งบรรทัด

“พาหุง” เป็นคำขึ้นต้นในบทพุทธชัยมงคลคาถา หรือที่มีชื่อโดยเฉพาะว่า “ชยมังคลัฏฐกคาถา” ซึ่งมักเรียกกันเป็นสามัญว่า “คาถาพาหุง” และเรียกสั้นๆ ว่า “พาหุง”

บท “พาหุง” ท่านแต่งเป็นวสันตดิลกฉันท์

ฉันท์ชนิดนี้กำหนดคำวรรคละ 14 พยางค์ 1 บทมี 4 วรรค ตามมาตรฐานของฉันท์

คำว่า “วรรค” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บาท”

เวลาเขียนคาถาพาหุง 1 บทแบ่งเป็น 4 บรรทัด บรรทัดละ 1 วรรค หรือบรรทัดละ 1 บาท

ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นคาถาพาหุงในหนังสือสวดมนต์ฉบับหนึ่งแบ่งวรรคแปลกไปอีกแบบหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นการแบ่งตามความเข้าใจหรือตามความคิดของคนแบ่งที่คิดเอาเองว่าแบ่งแบบนั้นดูสวยดี-หรืออะไรประมาณนั้น - โปรดดูภาพประกอบ

แบ่งแบบนั้นอาจ “ดูสวยดี” ก็จริง แต่ไม่ถูกต้องตามหลักการแบ่งวรรคแบ่งบรรทัดของวสันตดิลกฉันท์-ตามที่ยุติดีแล้วในปัจจุบัน

บาลีวันละคำวันนี้จึงขอเสนอบทพาหุงที่แบ่งวรรค-แบ่งบรรทัด และแบ่งคำในแต่ละวรรคถูกต้อง พร้อมทั้งมีคำแปลประกอบไว้ให้ด้วย โดยหวังว่า ท่านผู้ใด หรือสำนักพิมพ์ใด หรือโรงพิมพ์ใด จะพิมพ์คาถาพาหุงเผยแพร่ ท่านผู้นั้นสำนักพิมพ์นั้นโรงพิมพ์นั้นจะได้มีอุตสาหะในการจัดหาจัดทำต้นฉบับที่ถูกต้องก่อนที่จะดำเนินการพิมพ์ เพื่อบุญที่ได้จากการพิมพ์หนังสือสวดมนต์เผยแพร่จะได้เป็นบุญบริสุทธิ์ ไม่มีโทษแถมไปให้ด้วย

คำแปลนั้นขอให้ถือว่าเป็นเพียงสำนวนหนึ่งเท่านั้น หนังสือสวดมนต์ฉบับอื่นอาจแปลเป็นสำนวนอื่นก็ได้

อนึ่ง ในการสวดสาธยายเป็นหมู่คณะ กรณีที่สวดคำแปล (ตามสำนวนนี้) ด้วย มีคำแนะนำว่าควรสวดหยุดเป็นบรรทัด ภาษาบาลีสวดหยุดทีละวรรคและเป็นวรรคละบรรทัดอยู่แล้ว ส่วนภาษาไทยถ้าไม่ตกลงกันไว้ก่อนก็จะไม่รู้ว่าสวดถึงไหนจึงหยุดทีหนึ่ง จึงขอเสนอแนะไว้ดังกล่าว

..............

ชยมังคลัฏฐกคาถา

พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีได้ชนะพญามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน
ถืออาวุธครบมือ ขี่คชสารคีรีเมขละพร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องก้องกึก
ด้วยธรรมวิธีมีทานบารมีเป็นต้น
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีได้ชนะอาฬวกยักษ์
ผู้มีจิตกระด้างปราศจากความอดทน
มีฤทธิ์พิลึกยิ่งกว่าพญามาร
เข้ามาต่อสู้ยิ่งนักจนตลอดรุ่ง
ด้วยวิธีทรมานเป็นอันดี คือพระขันติ
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีได้ชนะช้างตัวประเสริฐชื่อนาฬาคิรี
เป็นช้างตกมันยิ่งนัก แสนที่จะทารุณ
ประดุจไฟป่า จักราวุธ และสายฟ้า
ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำคือพระเมตตา
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีมีพระหฤทัยไปในที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์
ได้ชนะโจรชื่อองคุลิมาล
(ผู้มีพวงดอกไม้คือนิ้วมือมนุษย์)
แสนร้ายกาจ มีฝีมือ
ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นทางสามโยชน์
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีได้ชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา
ผู้เอาไม้กลมผูกที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์
ด้วยวิธีสงบระงับอันงาม ในท่ามกลางหมู่ชน
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีรุ่งเรืองแล้วด้วยประทีปคือปัญญา
ได้ชนะสัจจกนิครนถ์ ผู้สละเสียซึ่งความสัตย์
มีใจที่จะยกถ้อยคำของตนให้สูงดุจยกธง
เป็นผู้มืดมนยิ่งนัก
ด้วยเทศนาญาณวิธี
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีโปรดให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส -
นิรมิตกายเป็นนาคราช
ไปทรมานพญานาคราชชื่อนันโทปนันทะ
ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก
ด้วยวิธีแสดงฤทธิ์ที่เหนือกว่า
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.

พระจอมมุนีได้ชนะพรหมผู้มีนามว่าพกะ ผู้มีฤทธิ์
สำคัญตนว่ารุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์
มีมืออันท้าวภุชงค์คือทิฐิที่ตนถือผิดรัดรึงไว้แน่นแฟ้นแล้ว
ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือเทศนาญาณ
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านเทอญ.

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเตมะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ.

นรชนใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน
สวดก็ดี ระลึกก็ดี
ซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ คาถาเหล่านี้ทุกๆ วัน
นรชนนั้นจะขจัดอุปัทวันตรายทั้งหลาย เป็นอเนกประการเสียได้
ถึงซึ่งพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขแล.

..............

ดูก่อนภราดา!

: ชนะใจตัวเองได้
: ชนะโลกได้



ครช. คปอ. กสรก. บุกสภาฯ นำพานรัฐธรรมนูญ (จำลอง) และหมุดคณะราษฎร(จำลอง) มาแสดงเชิงสัญลักษณ์ครบรอบวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง พร้อมอ่านประกาศคณะราษฎร ยื่นหนังสือแกนนำฝ่ายค้าน กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่หน้ารัฐสภา (เกียกกาย) ถ.สามเสน กทม.
.
ยูดีดีนิวส์ : 24 มิ.ย. 63 เวลา 10.30 น. วันนี้ถือเป็นวันครบรอบ "การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475" หรือ “88 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) มาสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ" และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนร่วมกัน โดยเรียกตนเองว่า "คณะราษฎร" เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าวทำให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกเกิดขึ้นมาดังกล่าว
.
บรรยากาศที่บริเวณหน้ารัฐสภา ถ.สามเสน เขตดุสิต กทม. กลุ่มคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) กลุ่ม 24มิถุนาประชาธิปไตย และกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง (กสรก.) พร้อมด้วยประชาชนผู้รักประชาธิปไตย จำนวนกว่า 100 คน เดินทางมาร่วมแสดงพลังโดยการนำพานรัฐธรรมนูญ (จำลอง) และหมุดคณะราษฎร (จำลอง) มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์วันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง พร้อมอ่านประกาศคณะราษฎร
.
โดยทำกิจกรรม “ทวงคืนมรดกคณะราษฎร ทวงสัญญารัฐธรรมนูญประชาชน” บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และทวงถามความคืบหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ในฐานะมรดกทางอุดมการณ์ของคณะราษฎร และคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลให้กับประชาชน ว่าจะดำเนินการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา
.
ทั้งนี้มีตัวแทนคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 และแกนนำพรรคฝ่ายค้าน อาทิ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล นายชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เป็นตัวแทนรับหนังสือ
.
นายอนุสรณ์ อุณโณ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ครช.ได้ยื่นข้อเสนอว่าด้วยหลักเกณฑ์และแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ได้แก่
.
1. สร้างสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เข้มแข็ง ไม่นำเหตุความมั่นคงมาอ้างในการจำกัดเสรีภาพให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และสร้างหลักประกันด้านรัฐสวัสดิการ
.
2. สร้างกลไกเข้าสู่อำนาจที่ยึดโยงกับประชาชน กำหนดให้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส. และส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด การปฏิรูปประเทศหรือยุทธศาสตร์ชาติต้องไม่เกิดขึ้นโดยคนกลุ่มเดียวและต้องไม่นิรโทษกรรมให้คณะรัฐประหาร
.
3. ให้ตราพระราชบัญญัติการรับฟังความเห็นของประชาชนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและให้ความเห็นของประชาชนมีผลผูกพันในทางกฎหมายและทางการเมืองต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
.
4. ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เรื่องหลักเกณฑ์แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอาศัยเพียงเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
.
นายอนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ถูกจัดทำภายใต้คณะรัฐประหารนำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอกย้ำให้เห็นถึงความถดถอยทางอำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบกลไกทางการเมืองให้สถาบันทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนอ่อนแอ อาทิ พรรคการเมืองหรือสภาผู้แทนราษฎร แถมยังเข้าไปกุมอำนาจทางการเมือง อาทิ วุฒิสภา หรือ องค์กรอิสระ เพื่อควบคุมและแย้งกับอำนาจที่มาจากประชาชน เมื่อเจตนารมณ์พื้นฐานของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือการลดทอนอำนาจจากประชาชน จึงไม่แปลกที่สังคมไทยจะเห็นความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไม่สามารถรับมือต่อวิกฤตการณ์ที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศได้อย่างทันท่วงที โดยปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังและอดอยาก
.
“ในวาระ 24 มิถุนาหรือวาระ 88 ปี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นโอกาสสำคัญของประชาชนที่จะร่วมกันเรียกร้องให้มีการปักหมุดประชาธิปไตย สร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนกลับไปสู่รากฐานเดิม คือประชาชนทุกคนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ และมีเป้าหมายให้ประชาชนทุกคนมีความมั่นคงปลอดภัย มีความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ และมีสิทธิเสมอภาคกัน” นายอนุสรณ์ กล่าว
.
ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนเป็นประธานรัฐสภาสมัยเมื่อปี 2540 และได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็อยากให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 ไปเป็นต้นแบบ 88 ปีที่ผ่านมาเรายังไม่มีประชาธิปไตยที่เป็นอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง ทุกวันนี้อำนาจยังเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญต่อไป
.
นายชำนาญ กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ.กำลังทำงานอย่างต่อเนื่องโดยแบ่งออกเป็น 2 ชุด ได้แก่ ชุดศึกษาเนื้อหาและชุดการรับฟังความคิดเห็นโดยวันนี้จะมีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดที่มาจากข้อเสนอที่ผู้แทนจากหลากหลายองค์กรยื่นเข้ามาเราจะฟังทุกส่วน ยืนยันว่าจะช้าหรือเร็วสุดท้ายก็ต้องมีการแก้ไขอย่างแน่นอน
.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในวันนี้เป็นไปอย่างเข้มงวด มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.เตาปูน สน.บางโพ สน.พญาไท สน.ดินแดน ทั้งในและนอกเครื่องแบบ คอยสอดส่องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในกิจกรรมดังกล่าว ก่อนที่กลุ่มมวลชนจะแยกย้ายกันกลับด้วยความเรียบร้อยในเวลา 11.40 น.โดยไม่มีเหตุความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น[full-post]



ทองย้อย แสงสินชัย

ทานสหาย

อ่านว่า ทาน-นะ-สะ-หาย

ประกอบด้วยคำว่า ทาน + สหาย


(๑) “ทาน”

บาลีอ่านว่า ทา-นะ รากศัพท์มาจาก ทา (ธาตุ, = ให้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)

: ทา + ยุ > อน = ทาน แปลตามศัพท์ว่า “การให้” “สิ่งของสำหรับให้”

“ทาน” มีความหมายว่า -

(1) การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น

(2) สิ่งที่ให้, ทรัพย์สินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ทาน” ว่า giving, dealing out, gift; almsgiving, liberality, munificence (การให้, การแจกให้, ของขวัญ; การให้ทาน, การมีใจคอกว้างขวาง)

“ทาน” ใช้ในรูปเดียวกันทั้งบาลีและสันสกฤต
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -
(สะกดตามต้นฉบับ)


“ทาน : (คำนาม) ‘ทาน’, การให้, การบริจาค; มันเหลวซึ่งเยิ้มออกจากขมับช้างตกน้ำมัน; การอุปถัมภ์, การบำรุง; วิศุทธิ, นิรมลีกรณ์; การตัด, การแบ่ง; ทักษิณา, ของถวาย, ของให้เปนพิเศษ; การตี, การเฆาะ; อรัณยมธุ, น้ำผึ้งป่า; giving, gift, donation; fluid that flows from the temples of an elephant in rut; nourishing, cherishing; a present, a special gift; striking, beating; wild honey.”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “ทาน” ไว้ว่า -

“ทาน : การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น; สิ่งที่ให้, ทรัพย์สินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป.”

(๒) “สหาย”

บาลีอ่านว่า สะ-หา-ยะ รากศัพท์มาจาก -

(1) สห + อยฺ ธาตุ

(ก) “สห” (สะ-หะ) เป็นคำบุรพบทและคำอุปสรรค แปลว่า พร้อม, กับ, พร้อมด้วย

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สห” ว่า conjunction with, together, accompanied by (ต่อเนื่อง, ด้วยกัน, ติดตามด้วย)

(ข) สห + อย (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ ปัจจัย, “ลบสระหน้า ทีฆะสระหลัง” คือลบ อะ ที่ (ส)-ห และทีฆะ อะ ที่ อ-(ยฺ) เป็น อา (อย > อาย)

: สห + อย = สหย + อ = สหย > สหาย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไปร่วมกันในกิจทั้งหลาย”

(2) สห (คำบุรพบทและคำอุปสรรค = พร้อม, กับ, พร้อมด้วย) + อย (ความเสื่อมหรือความเจริญ), “ลบสระหน้า ทีฆะสระหลัง”

: สห + อย = สหย > สหาย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความเสื่อมหรือความเจริญร่วมกัน”

“สหาย” (ปุงลิงค์) หมายถึง สหาย, เพื่อน (companion, friend)

ทาน + สหาย = สหาย (บาลีอ่านว่า ทา-นะ-สะ-หา-ยะ) แปลตามศัพท์ว่า “สหายแห่งทาน”

อภิปรายขยายความ :

“ทานสหาย” เป็นคำเรียกการให้ทานแบบหนึ่งใน 3 แบบ คือ ทานทาส ทานสหาย และ ทานบดี

บุคคลใด ตนเองบริโภคของอย่างใด ก็ให้แก่ผู้อื่นอย่างนั้น บุคคลนั้นเรียกว่า “ทานสหาย” (ทาน-นะ-สะ-หาย

อธิบายให้เห็นภาพว่า ของที่ตนเองกินเป็นเช่นไร ของที่ตนเองใช้มีคุณภาพแบบไหน เวลาให้ของกินของใช้ผู้อื่น ก็วางอารมณ์เสมือนว่าผู้รับเป็นเพื่อนรักของตน ตัวเองกินแค่ไหนมีแค่ไหน ก็อยากให้เพื่อนรักได้กินได้มีทัดเทียมกับตนเช่นกัน และที่แน่ๆ จะไม่ให้ของเลวกว่าที่ตนเองกินใช้แก่ผู้อื่นเป็นเด็ดขาด

แบบนี้แหละคือ “ทานสหาย”

คำว่า “ทานสหาย” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554

แถม :

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -

(1) สหาย : (คำนาม) เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข. (ป., ส.).

(2) เพื่อนตาย : (คำนาม) เพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์หรือยอมตายแทนกันได้.

(3) เพื่อนยาก : (คำนาม) เพื่อนในยามทุกข์ยาก, เพื่อนร่วมทุกข์ยาก.

..............

ดูก่อนภราดา!

: ถ้าต้องรอให้เพื่อนออกปาก
: คุณก็เป็นแค่เพื่อนยาก ยังไม่ใช่เพื่อนตาย



Atukkit Sawangsuk

ปาฐกถาธงชัย วินิจจะกูล เมื่อต้นปี ถลก "ประวัติศาสตร์กฎหมาย" ว่าการปฏิรูปกฎหมายสู่สมัยใหม่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการทำของนอกให้เป็นของไทย ทำให้ดูเหมือนมีการปกครองด้วยกฎหมาย แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย แล้วก็พัฒนามาเป็นนิติรัฐแบบรัฐมีอภิสิทธิ์ กับนิติธรรมที่อิงกับพุทธและธรรมราชา

"นิติธรรม" คำนี้ขุดมาใช้ในรัฐธรรมนูญ 2550 หลังรัฐประหารโค่นทักษิณ ใช้ตุลาการภิวัตน์ทำลายล้างประชาธิปไตย อ้างว่าแปลจาก Rule of Law แต่ความหมายมันคือ การใช้อำนาจกฎหมายโดย "คนดีย์"

ชวน อ.เข็มทอง Khemthong Tonsakulrungruang มาคุยเรื่องนี้ ในฐานะที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง "อิทธิพลของพุทธศาสนาในกฎหมายไทย"


ซึ่งนักกฎหมายที่ถนัดเรื่องนี้มีน้อยนะครับ ถัดจาก อ.วรเจตน์ ซึ่งสนใจพุทธด้วยตัวเอง ก็มี อ.เข็มทองนี่แหละ ศึกษาโดยตรง ว่ามีการใช้กฎหมายโดยอ้างศาสนาได้อย่างไร ทั้งที่มันไม่ได้อยู่ในตัวบท ในลายลักษณ์อักษรของกฎหมายเลย แต่มันอยู่ในวิธีคิด ในการอบรมบ่มเพาะผู้พิพากษาตุลาการ จนกลายเป็นยกย่องกันว่า ผู้พิพากษาคนนั้นคนนี้ เป็นคนดี เข้าถึงแก่นธรรม มากกว่าดูความสามารถในทางกฎหมาย

ในแง่ตัวบุคคล ก็สัญญา ธรรมศักดิ์ สนิทสนมกับพุทธทาส "เผด็จการโดยธรรม"

พูดงี้ไม่ได้ปฏิเสธศาสนา หลักธรรม แต่มันคนละเรื่องกันกับการใช้กฎหมาย เทพียุติธรรมของฝรั่งต้องปิดตา คือต้องไม่มีอคติว่าคนนั้นเป็นใคร ว่าไปตามพยานหลักฐาน แต่ถ้าใช้ศาสนา ก็จะคิดว่าตัวเองเป็นผู้บรรลุธรรม มองไอ้นั่นไอ้นี่คนเลวคนชั่ว ต้องเอามันให้ตาย หาช่องเล่นจนได้ โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย

รัฐธรรมนูญ 2540 ว่าด้วยองค์กรอิสระ นี่คือกฎหมายศาสนาโดยแท้ เพราะคิดว่าจะมีคนดีลอยมากจากฟ้ามาเป็นองค์กรอิสระ แล้วก็ให้อำนาจมากๆ จะได้ปราบมาร เพียงแต่ตอนนั้นยังยึดโยงวุฒิสภาจากเลือกตั้ง พอ 50 60 ยิ่งไปใหญ่

ตุลาการรายแรกที่บรรยายธรรมในคดีการเมือง ถ้าจำกันได้ คือประเสริฐ นาสกุล ประธานศาล รธน. คดีซุกหุ้นทักษิณ ซึ่งผู้คนปลาบปลื้มฟูมฟาย (เขาให้วินิจฉัยเรื่องซุกหุ้นขัดกฎหมายหรือไม่ ขัดไม่ขัดก็ว่าไปสิ นี่แกร่ายยาวสอนว่าอย่าเห็นแก่ตัว) ศาลไม่ใช่พระ ถ้าเราอยากฟังเทศน์เราก็ไปวัด ที่เราไปศาลเพราะต้องการฟังคำวินิจฉัยด้วยเหตุผลทางกฎหมาย


เมื่อคุณปู่คุณย่าได้ทราบเรื่องชโลมใจหนีตามคุณปรีชาไปญี่ปุ่น
ดูท่านมิได้แสดงอาการผิดหวังเท่าไร
ทำให้เจ้าคุณชลธารฯ และคุณหญิงแปลกใจไปตามกัน
เพราะทั้งสองคิดว่าคงจะได้รับการตำหนิติเตียน
จากคุณปู่และคุณย่าอย่างไม่อาจหลีกพ้น
และท่านทั้งสองก็พร้อมแล้วที่จะรับคำติเตียนนั้น
..
เมื่อเป็นดังนี้ คุณปู่คุณย่าก็แจ้งเรื่องสายสุนี
ให้เจ้าคุณชลธารฯ ทราบ ทั้งหมดประหลาดใจอย่างยิ่ง
ที่เหตุการณ์ได้เป็นไปทำนองนี้ ไม่มีใครนึกฝันมาก่อน
แต่มันได้เป็นไปแล้ว เป็นไปแล้วจริง ๆ
แม้จะมีท่าทีแห่งความหม่นหมอง
แต่อาการโล่งอกก็มีขึ้นแก่ท่านผู้ใหญ่ทั้ง ๔ เช่นกัน
สำหรับพ่อนั้นโล่งอกไปมากกว่าใครหมด
...
“เมื่อเรื่องมันเป็นไปทำนองนี้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป”
เจ้าคุณชลธารฯ พูดยิ้มน้อย ๆ สีหน้าสดใสขึ้น
..
“เอาเป็นว่า ผมจะจัดการเรื่องสายสุนีกับลูกผมให้เรียบร้อย” คุณปู่พูด
“เรื่องที่แล้ว ๆ มาก็ให้ถือเป็นว่าเหมือนฝันไป”
“ผมจะมีจดหมายถึงชโลมใจ ให้กลับมาพร้อมกับปรีชา
และจะจัดการแต่งงานให้เป็นที่เรียบร้อย” เจ้าคุณชลธารฯ ว่า
...
แต่การพูดกับเจ้าคุณเทวฤทธิ์สงครามมิใช่เรื่องง่าย
เวลานั้นคุณปู่ยังมิได้พูดกับเจ้าคุณเทวฤทธิ์ฯ
พ่อนึกอยู่เหมือนกันว่าเรื่องอาจไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร
เจ้าคุณเทวฤทธิ์ฯ เป็นคนมีทิฐิมานะมาก
เมื่อเจ้าคุณเทวฤทธิ์ฯ และคุณหญิง
ได้ทราบเรื่องสายสุนีมีครรภ์
เพราะการบอกเล่าของสายสุนี
เพราะเธอไม่อาจกลั้นความอึดอัดที่แน่นอยู่ในอกได้
ตามที่เธอได้บอกมาในจดหมายถึงพ่อ
...
เรื่องนี้เหมือนสายฟ้าฟาดลงบนศีรษะ
ของเจ้าคุณและคุณหญิงเทวฤทธิ์ฯ
ท่านโกรธมาก เขียนจดหมายมาด่าคุณปู่คุณย่าและพ่อ
เสียมากมาย ล้วนเป็นคำรุนแรงแสลงหู
ถ้าไม่เห็นแก่สายสุนีแล้ว
พ่ออยากจะนำพระยาเทวฤทธิ์ฯ ขึ้นศาลเสีย
ในฐานหมิ่นประมาท แต่พวกเราทุกคนตั้งใจไว้แล้วว่า
จะอดทนให้ถึงที่สุด
สายสุนีถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยทันที
เมื่อเดินทางกลับ สายสุนีลอบโทรเลขถึงพ่อ
บอกกำหนดวันกลับเป็นเที่ยวบินและเวลาเรียบร้อย
พ่อไปรับเธอที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
เครื่องบินมาถึงตามกำหนดไม่พลาดเลยแม้นาทีเดียว
พ่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าคุณเทวฤทธิ์ฯ และคุณหญิง
พ่อยกมือไหว้แสดงความเคารพ
แต่ท่านทั้งสองเฉยเมยเหมือนไม่เห็นพ่อ
พ่อไม่ได้นึกอะไรมาก ให้อภัยในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่อายุมาก
และที่สำคัญที่สุดคือท่านเป็นบิดาของหญิงที่พ่อรักดังดวงใจ
เมื่อผ่านด่านที่ตรวจออกมาได้แล้ว
เจ้าคุณและคุณหญิงมิได้พูดอะไรกับสายสุนีแม้แต่คำเดียว
สายสุนีเหลียวเห็นพ่อเธอยกมือไหว้
เจ้าคุณรีบรวบมือบุตรีจูงไปขึ้นรถ
แล้วให้คนขับออกรถทันที
=====================


Atukkit Sawangsuk

นับถอยหลัง 88 ปี 24 มิถุนา 2475
เคยฟังนักประวัติศาสตร์อธิบายในอีกแง่มุมหนึ่งว่า


ที่จริงแล้ว คณะราษฎร โดยส่วนใหญ่เคารพยกย่อง "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" สมัยรัชกาลที่ 5
เพราะต่างก็เกิดและเติบโตในยุค ร.5
มีความประทับใจกับการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย ให้โอกาสลูกหลานสามัญชนไปเรียนต่างประเทศ ได้รับความคิดใหม่ๆ มาปฏิรูประบบราชการ เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของสยาม
แต่พอเข้าสู่ยุครัชกาลที่ 6 ประสิทธิภาพการบริหารก็ไม่เหมือนเดิม ทรงทนุบำรุงการละครและเสือป่า ข้าราชการหัวใหม่โดยเฉพาะทหารเริ่มไม่พอใจ จนเกิดกบฎ รศ.130
มาถึงยุครัชกาลที่ 7 พระบรมวงศานุวงศ์กลับมามีอำนาจมาก (ร.7 เป็นน้อง อภิรัฐมนตรีมีแต่พีๆ บารมีแข็งปั๋ง เชื้อพระวงศ์มีจำนวนมากและมีอภิสิทธิ์ในการรับราชการ)
เศรษฐกิจตกต่ำยุค The Great Depression มีการใช้จ่ายล้นเกินมาตั้งแต่รัชกาลก่อน รัชกาลที่ 7 ต้องรัดเข็มขัด แต่อภิรัฐมนตรีไม่รัดด้วย ปลดข้าราชการ พวกมีเจ้านายเลี้ยงก็ไม่โดนปลด ขึ้นภาษี ชาวบ้านก็เดือดร้อน
สลิ่มไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์ว่ายุคนั้น "รัฐบาล" โดนชาวบ้านวิจารณ์หนัก หนังสือพิมพ์ถล่มยับ (หรือรู้แต่บอกว่าเห็นไหม ร.7 ท่านใจกว้างให้วิจารณ์ได้) กรมพระกำแพงเพชร เดินทางไปดูงานต่างประเทศเมื่อปี 2474 ซื้อหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 13 คัน (ใหม่ล้ำราคาแพง) กลับมาด้วย ก็โดนสื่อวิจารณ์อย่างหนักว่ามันเหมาะกับสถานการณ์ไหม เขากำลังรัดเข็มขัดกันอยู่
.................
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่จริงเกิดขึ้นสั้นๆ ในสมัย ร.5 สถาปนารัฐชาติ รวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง จากเดิมที่เป็นระบอบกษัตริย์กับหัวเมือง+ประเทศราช เพื่อรับมือกับยุคอาณานิคม และริบอำนาจจากขุนนาง (โดยเฉพาะผู้สำเร็จราชการ)
ระบอบนี้รุ่งเรืองด้วยพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ 5 แต่พอพ้นยุคสมัยท่าน ประสิทธิภาพก็ลดต่ำลง จนถึงกาลอวสาน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับยุคสมัย ร.5 โหยหา อยากได้ผู้นำแบบนั้นอีก แต่ไม่มี แล้วความคิดใหม่ก็แผ่ขยายเข้ามาพอดี คือเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ประชาธิปไตย





Voice TV

นศ.ชูป้ายตามหาคนโดนอุ้มหายกลางกรุง

นักศึกษากลุ่ม Spring Movement จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ชูป้าย "ถูกบังคับสูญหาย" หวิดโดนตำรวจพาไปโรงพัก แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ยอมแพ้ ด้าน นศ.ตั้งข้อสงสัย ทำไมตำรวจมีปัญหากับกิจกรรมทวงความเป็นธรรมให้คนถูกอุ้ม

วันนี้ (15 มิ.ย.) เวลาประมาณ 17.00 น. นักศึกษากลุ่ม Spring Movement และแนวร่วม จัดกิจกรรมชูโปสเตอร์ซึ่งมีรูปภาพและข้อความตามหาบุคคลที่ถูก “อุ้มหาย” หรือถูกบังคับสูญหาย บริเวณทางเชื่อมบีทีเอสสถานีช่องนนทรี


ป้ายตามหาคนหายปรากฎชื่อของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมที่ถูกอุ้มหายที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงบุคคลอื่น ได้แก่ สุรชัย แซ่ด่าน, ไกรเดช ลือเลิศ หรือสหายกาสะลอง, สยาม ธีรวุฒิ, กฤษณะ ทัพไทย, วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, อิทธิพล สุขแป้น, ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือสหายภูชนะ, ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวง ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ที่ถูกบังคับสูญหายไปในช่วงที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการชูป้ายดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้เดินผ่านไปมาจำนวนมาก มีการหยุดถ่ายรูปและอ่านข้อความบนป้าย โดยหลังจากจัดกิจกรรมไปได้ไม่นาน ได้มีตำรวจพยายามจะนำตัวนักศึกษาไปยังสถานีตำรวจ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการแจ้งว่านักศึกษาทำผิดข้อหาใด นักศึกษาจึงไม่ยินยอมไปกับตำรวจ สุดท้ายตำรวจจึงยอมปล่อยให้มีการจัดกิจกรรมต่อไป

ตัวแทนนักศึกษาที่ร่วมกิจกรรมตั้งข้อสงสัยว่า พวกเขาทำกิจกรรมอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบุคคลที่โดนอุ้มหาย เหตุใดตำรวจจึงต้องการขัดขวาง ขณะเดียวกันตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐกล้บดูจะเพิกเฉยต่อการติดตามนำตัวผู้เกี่ยวข้องกับการอุ้มหายมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

#VoiceOnline
#ThaIcantBreathe

อ่านเพิ่มเติม: https://voicetv.co.th/read/w4E9ytNqX










[full-post]


Banrasdr Photo

(15 มิย.)ที่หน้าสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กลุ่มประชาชน นักศึกษา เดินทางมาทวงคำตอบจากทางการกัมพูชา กรณีวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองชายไทยที่ถูกอุ้มหายหน้าที่พักในประเทศกัมพูชา โดยวันนี้ทางกลุ่มได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุและภาพผู้ต้องสงสัยมาให้ทางการกัมพูชาเพิ่มเติม เพื่อเร่งติดตามนำตัวผู้กระทำและผู้สั่งการมาลงโทษ


ทั้งนี้การยื่นหนังสือเรียกร้องแก่รัฐบาลกัมพูชากรณีวันเฉลิมเมื่อวันที่ 8 มิย.ที่ผ่านมา มีประชาชนถูกออกหมายเรียกในความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วจำนวน 10 ราย สมยศ พฤกษาเกษมสุข หนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายเรียก กล่าวว่านี่เป็นการใช้กฎหมายโดยไม่สุจริต เป็นการกลั่นแกล้งและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอาจรู้เห็นเป็นใจกับการอุ้มฆ่าทั้งรายล่าสุดและรายอื่นๆ รวมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักกิจกรรมทางการเมืองในประเทศ จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลทบทวนสิ่งที่ทำเพราะอาจจะทำให้สถานการณ์บานปลายได้









แปลจาก: China delayed releasing coronavirus info, frustrating WHO

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2020 นายแพทย์ Tedros Adhanom ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก จับมือกับประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิงของจีน ก่อนที่จะประชุมร่วมที่ the Great Hall of the People in Bejing. ในเดือนมกราคมทั้งเดือน องค์การอนามัยโลกได้สรรเสริญประเทศจีนอย่างเปิดเผยในเรื่องของการตอบรับอย่างรวดเร็วกับโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทางองค์กรขอบคุณรัฐบาลจีนอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการแบ่งปันแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัสอย่าง “โดยทันทีทันใด” และกล่าวว่า การปฏิบัติงานและความมุ่งมั่นต่อความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ “น่าประทับใจเป็นอย่างมากและเกินคำบรรยายใดๆ” แต่เบื้องหลังนั้น กลับกลายเป็นความล่าช้าอย่างสำคัญโดยทางการจีนและสร้างความอึดอัดใจกับเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกในเรื่องการปราศจากข้อมูลของการระบาดใหญ่ ซึ่งทางสำนักข่าว Associated Press ได้ค้นพบ

ตลอดทั้งเดือนมกราคม (2020) องค์การอนามัยโลกสรรเสริญจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเปิดเผย ต่อเรื่องที่เรียกว่า การตอบรับอันรวดเร็วกับโคโรน่าไวรัส ทางองค์กรทำการขอบคุณกับรัฐบาลจีนอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีกในการแบ่งปันแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัสอย่าง “ทันทีทันใด” และกล่าวว่า การปฏิบัติงานและปณิธานต่อความโปร่งใสของจีนเป็นเรื่องที่ “น่าประทับใจมากและเกินคำบรรยาย”
แต่หลังฉากแล้ว มันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความล่าช้าอันสำคัญของจีนเรื่องหนึ่งซึ่งสร้างความอึดอัดใจอย่างมากกับเจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกคือ การที่ไม่ได้รับข้อมูลตามที่องค์กรต้องการเพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักข่าว The Associated Press (AP) ได้พบมา
ถึงแม้จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญก็ตาม ตามความจริงแล้ว รัฐบาลจีนกลับนั่งทับต่อการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม, หรือ จีโนม (Genome) ของไวรัสเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ หลังจากห้องแลปของรัฐบาลจีนทั้งสามแห่งได้สามารถถอดรหัสข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ การควบคุมข้อมูลอย่างกวดขันและการแข่งขันชิงดีชิงเด่นภายในระบบสาธารณสุขของรัฐบาลจีนเอง เป็นเหตุของการถูกตำหนิ จากการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่นับเป็นสิบๆ คน และจากเอกสารภายในองค์กรด้วย
ห้องแลปของรัฐบาลจีนเผยแพร่จีโนมหรือแผนที่ทางพันธุกรรมหลังจากห้องแลปอีกแห่งหนึ่งเผยแพร่ก่อนหน้าทางการจีนบนหน้าเวปไซค์ของนักไวรัสวิทยาแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020 เท่านั้น แม้กระทั่งเวลานั้น ทางการจีนยังเตะถ่วงอยู่อีกมากกว่าสองสัปดาห์เป็นอย่างน้อยที่สุด ในการให้ข้อมูลรายละเอียดกับองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและเคสต่างๆ ตามหลักฐานการประชุมภายในซึ่งมีการบันทึกไว้โดยทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติเมื่อเดือนมกราคม – ในช่วงเวลาทั้งหมดนั้นเมื่อการระบาดใหญ่สามารถถกเถียงกันอยู่อย่างเป็นตุเป็นตะว่าการแพร่เชื้อยังช้าอยู่

นายแพทย์ Tedros Ghebreyesus ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในกรุง Geneva เมื่อเดือนมีนาคม 2020
เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกชมเชยจีนอย่างเปิดเผย เพราะพวกเขาต้องการที่จะเกลี้ยกล่อมเพื่อจะได้ข้อมูลออกมาจากรัฐบาลจีน ตามการบันทึกที่สำนักข่าว AP ได้รับมาจากแหล่งที่แนะนำ โดยเฉพาะตัวแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกเอง ก็ยังคร่ำครวญว่า ในการประชุมในสัปดาห์ของวันที่ 6 มกราคมว่า ทางจีนไม่ได้แบ่งปันข้อมูลอย่างพอเพียงต่อการประเมินถึงเรื่องประสิทธิภาพการแพร่กระจายของไวรัสระหว่างผู้คน และ มีความเสี่ยงใดบ้างที่มันแสดงให้เห็นกับทั่วทั้งโลก ซึ่งทำให้เสียเวลาอันมีค่าไป
“เราจึงดำเนินการไปตามข้อมูลที่มีอยู่อย่างน้อยมาก” กล่าวโดยแพทย์หญิง Maria Van Kerkhove ผู้เป็นแพทย์ทางด้านระบาดวิทยาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเวลานี้เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิคสำหรับ COVID-19, ในการประชุมภายในครั้งหนึ่ง “มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีไม่เพียงพอสำหรับท่านต่อการวางแผนอย่างเหมาะสม”
“เราอยู่บนเวทีในเวลานี้ ซึ่งใช่แล้วละ, พวกเขาให้ข้อมูลกับเรา 15 นาทีก่อนที่มันจะไปปรากฏอยู่บนโทรทัศน์ช่องทางการของจีน” กล่าวโดยนายแพทย์ Gauden Galea ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก เมื่อพาดพิงถึงสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (China Central Television หรือ CCTV) ในการประชุมครั้งหนึ่ง
เรื่องราวหลังฉากการตอบรับในช่วงต้นของไวรัสเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่สำนักงานสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติกำลังถูกล้อมกรอบ และยินยอมให้มีการสอบสวนเรื่องราวโดยอิสระว่า มีการควบคุมจัดการกับการระบาดใหญ่ทั่วทั้งโลกกันอย่างไร หลังจากสรรเสริญชื่นชมจีนอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการตอบรับของจีนเมื่อช่วงต้นๆ ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐอเมริกาได้ดุด่าองค์การอนามัยโลกเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับกล่าวหาว่าทำการสมรู้ร่วมคิดกับจีนในการซ่อนเนื้อหาข้อมูลของวิกฤตการณ์โคโรน่าไวรัสไว้ เขาตัดความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (31 พฤษภาคม) พร้อมกับการเสี่ยงเงินอุดหนุนจำนวน $450 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (14,200 ล้านบาท) ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาเป็นผู้อุทิศให้ทุกๆ ปี และเป็นผู้บริจาคที่ใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก
ในระหว่างนี้ ประธานาธิบดี สี เจื้น ผิง ได้รับปากว่าจะทุ่มเงินจำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (63,000 ล้านบาท) ภายในช่วงเวลาสองปีนี้เพื่อต่อสู้กับโคโรน่าไวรัส พร้อมทั้งกล่าวว่า ทางการจีนให้ข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกกับทั่วทั้งโลกอยู่อย่างเสมอ ด้วยวิธีการ “ตามธรรมเนียมอย่างรวดเร็วที่สุด”
ข้อมูลใหม่ไม่ได้ให้การสนับสนุนเรื่องราวที่กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาหรือจีนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นการพรรณนาถึงองค์กรที่กลับติดกับอยู่ตรงกลางในเวลานี้ว่า ได้พยายามอย่างเร่งด่วนต่อการวิงวอนขอข้อมูล ถึงแม้จะมีข้อจำกัดในอำนาจขององค์การก็ตาม ถึงแม้ว่ากฎหมายนานาชาติมีข้อผูกมัดให้ประเทศทุกประเทศรายงานข้อมูลให้กับองค์การอนามัยโลกซึ่งสามารถสร้างผลกระทบให้กับทางสาธารณสุขก็ตาม สำนักงานขององค์การสหประชาชาติก็ไม่มีอำนาจต่อการบีบบังคับ และไม่สามารถที่จะทำการสอบสวนการระบาดใหญ่ภายในประเทศนั้นๆ อย่างเป็นอิสระได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ทางองค์กรต้องพึ่งพากับความร่วมมือจากรัฐภาคีต่างๆ


นายแพทย์ Gauden Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในประเทศจีน ระหว่างการสัมภาษณ์ในสำนักงานองค์การอนามัยโลกในกรุงปักกิ่ง

การบันทึกเสียงเสนอแนะว่า แทนที่จะสมรู้ร่วมคิดกับจีน อย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์แจ้งไว้ ทางองค์การอนามัยโลกกลับถูกให้ไปอยู่ในมุมมืด เมื่อทางการจีนให้ข้อมูลเท่าที่ทางกฎหมายบังคับซึ่งมีอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรได้พยายามสร้างภาพพจน์ของจีนให้เฉิดฉายอย่างดีที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นวิธีการที่จะหาข้อมูลเพิ่มเสริมเข้ามา และผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกเอง ต่างคิดกันอย่างแท้จริงว่า นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ “ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างดีแล้ว” ต่อการตรวจพบและถอดรหัสของไวรัส ถึงแม้ว่าจะปราศจากความโปร่งใสจากเจ้าหน้าที่ทางการของจีนก็ตาม

บุคลากรขององค์การอนามัยโลกต่างถกเถียงกันว่า จะกดดันทางการจีนกันอย่างไร เพื่อที่จะได้ลำดับของยีน (Gene Sequences) และข้อมูลอย่างละเอียดของผู้ป่วยโดยไม่ให้ทางการจีนเดือดดาลขึ้นมา พร้อมกับยังมีความวิตกกังวลต่อการสูญเสียการเข้าถึงข้อมูลและทำให้นักวิทยาศาสตร์จีนต้องตกร่างแหลำบากไปได้ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ องค์การอนามัยโลกถูกบังคับให้แบ่งปันข้อมูลอย่างเร็วที่สุด และเตือนภัยกับประเทศรัฐภาคีเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา นายแพทย์ Galea บันทึกว่า องค์การอนามัยโลกไม่สามารถที่จะปรนเปรอต่อความปรารถนาของจีนที่จะยินยอมเปิดเผยข้อมูลให้กับองค์กร ก่อนที่จะไปบอกกับประเทศอื่นๆ ได้ทราบกัน เพราะว่า “นั่นคือการไม่เคารพต่อความรับผิดชอบของเรา”
ในสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม นายแพทย์ Michael Ryan ผู้เป็นประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก กล่าวกับบุคลากรในองค์กรว่า มันถึงเวลาที่จะ “เร่งเครื่อง” (Shift Gears) แล้ว และสร้างความกดกันกับจีนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากความหวาดกลัวว่า จะมีการซ้ำรอยในเรื่องการระบาดใหญ่ของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome หรือ SARS) ซึ่งเริ่มในประเทศจีนเมื่อปี 2002 และคร่าชีวิตผู้คนเกือบ 800 คนทั่วทั้งโลกกันอีกครั้งหนึ่ง


นายแพทย์ Michael Ryan ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโปรแกรมฉุกเฉินทางสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุง Geneva
เขากล่าวว่า “นั่นคือสภาพการณ์เดียวกันอย่างเที่ยงแท้ เราพยายามที่จะได้รับการอัพเดทข้อมูลจากจีนอย่างไม่หยุดหย่อนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น องค์การอนามัยโลกแทบจะเอาข้อมูลที่ต้องการออกมาไม่ได้เลย เมื่อกล่าวถึงประเด็นที่หยิบยกออกมาเกี่ยวกับเรื่องความโปร่งใสในภาคใต้ของจีน”
นายแพทย์ Ryan กล่าวว่า ทางที่ดีที่สุดต่อการ “ปกป้องจีน” คือทางองค์การอนามัยโลกจะต้องทำการวิเคราะห์อย่างเป็นอิสระกับข้อมูลที่ได้มาจากรัฐบาลจีน เพราะว่า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว การแพร่กระจายของไวรัสระหว่างผู้คนจะนำมาสู่ปัญหา และ “ประเทศอื่นๆ จะปฏิบัติตามที่กล่าวกันไว้” นายแพทย์ Ryan ยังบันทึกต่อว่า ทางการจีนไม่ได้ให้ความร่วมมือในวิธีการเดียวกัน เหมือนกับของประเทศบางประเทศได้กระทำไว้ในอดีต

“เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศคองโก และไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศคองโกหรือในประเทศอื่นๆ” เขากล่าว ซึ่งคงจะอ้างถึงการระบาดใหญ่ของอีโบล่าไวรัส (Ebola) ซึ่งเริ่มจากที่นั่นเมื่อปี 2018 “เราต้องการที่จะเห็นข้อมูล.... มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมั่นเหมาะในเวลานี้”

ความล่าช้าต่อการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัส ประวิงการตระหนักรับรู้ถึงการแพร่เชื้อออกไปสู่ประเทศอื่นๆ พร้อมๆ กันกับโอกาสในการพัฒนาการตรวจ, ยารักษา และวัคซีนจากทั่วโลก การปราศจากข้อมูลรายละเอียดของตัวผู้ป่วยยังทำให้เกิดความยากต่อการพิจารณาว่า ไวรัสสามารถแพร่เชื้อกระจายออกไปอย่างรวดเร็วกันได้อย่างไร – นั่นคือคำถามอันวิกฤตต่อการหยุดมันลงไป

ระหว่างวันที่แผนที่ทางพันธุกรรมชุดสมบูรณ์ได้ถูกถอดรหัสเป็นครั้งแรกจากห้องแลปของรัฐบาลจีนเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2020 ไปจนถึงวันที่องค์การอนามัยโลกประกาศเรื่องฉุกเฉินทั่วโลกเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020 การระบาดใหญ่ได้แผ่ขยายกว้างออกไปด้วยอัตรา 100-200 เท่าแล้ว ตามข้อมูลการติดเชื้อย้อนหลัง (Retrospective Infection Data) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของจีน ในเวลานี้ ประชากรทั่วทั้งโลกได้ติดเชื้อไวรัสนี้ไปมากกว่า 6 ล้านคน และได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 375,000 คน
“มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เราสามารถที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่านี้ และหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างมากมาย ถ้าประเทศจีนและองค์การอนามัยโลกปฏิบัติการได้เร็วกว่านี้” กล่าวโดย ศาสตราจารย์ Ali Mokdad ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่ Institute for Health Metrics and Evaluation ที่มหาวิทยาลัย Washington
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Mokdad และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ยังได้บันทึกด้วยว่า หากองค์การอนามัยโลกสู้หน้ากับจีนได้แกร่งกว่านี้ มันสามารถกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่มากกว่าเก่า ในเรื่องของการที่ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลยเช่นกัน

คนงานจัดเตรียมเตียงสนามสำหรับผู้ป่วยในศูนย์การประชุมแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวของมลฑลหูเป่ย เมื่อครั้งที่รัฐบาลประกาศว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสมีมากกว่า 20,000 คนแล้ว

ถ้าองค์การอนามัยโลกผลักดันแรงเกินไป แพทย์หญิง Shi Zhengli ทำงานร่วมกันกับนักวิจัยคนอื่นๆ ในห้องแลปที่สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่นงค์กรเองอาจจะถูกถีบออกมาจากประเทศจีนได้เช่นกัน กล่าวโดยศาสตราจารย์ Adam Kamradt-Scott ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านสุขภาพโลกที่มหาวิทยาลัย Sydney แต่เขาเสริมว่า ความล่าช้าแม้แต่เพียงสองสามวันในการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม สามารถกลายเป็นเรื่องวิกฤตต่อการระบาดใหญ่ได้ และเขาบันทึกว่า ในขณะที่ทางรัฐบาลจีนปราศจากความโปร่งใสเริ่มเห็นกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น การที่นายแพทย์ Tedros Adhanom Ghebreyesusซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ยังคงปกป้องประเทศจีนอย่างต่อเนื่องนั้น มันเลยกลายเป็นปัญหาอยู่
“มันเป็นเรื่องแน่นอนที่สุดที่ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์การอนามัยโลก” กล่าวโดยนายแพทย์ Kamradt-Scott “เขาทำตัวเลยเถิดไปหรือเปล่า? ผมคิดว่าหลักฐานในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นกันอย่างชัดเจน .... มันได้นำไปสู่คำถามต่างๆ อีกมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของจีนและองค์การอนามัยโลก บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องราวเพื่อการตักเตือนกัน”
ทางองค์การอนามัยโลกและเจ้าหน้าที่ขององค์กรที่มีชื่ออยู่ในบทความนี้ ต่างปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ทางสำนักข่าว Associated Press หากปราศจากการบันทึกเสียง หรือ สำเนารายละเอียดในการประชุมต่างๆ ที่มีการบันทึกเหล่านั้นกัน ซึ่งทางสำนักข่าว AP ไม่สามารถที่จะจัดให้กับองค์กรได้ เพราะต้องปกป้องแหล่งข้อมูลที่ได้รับมา
คำแถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “คณะผู้บริหารและบุคลากรของเราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับขององค์กร และแบ่งปันข้อมูลให้กับประเทศรัฐภาคีทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องในการสนทนาอย่างเป็นกันเองและอย่างตรงไปตรงมากับรัฐบาลต่างๆ ทั่วทุกระดับ”
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนปกป้องการกระทำของตนอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก และอีกหลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้ตอบรับกับเรื่องไวรัส แม้ว่าจะล่าช้านานไปกว่าเป็นสัปดาห์ๆ หรือ แม้กระทั่งเป็นเดือนๆก็ตาม
“ตั้งแต่แรกเริ่มของการระบาดใหญ่ เรายังคงแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดกับองค์การอนามัยโลกและชุมชนนานาชาติกันอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบของวิธีการที่เปิดเผย, โปร่งใส และ มีความรับผิดชอบ” กล่าวโดยคุณ Liu Mingzhu ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการฝ่ายต่างประเทศ ของคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2020
___________
การแข่งขันเพื่อค้นพบแผนที่ทางพันธุกรรมของไวรัส เริ่มเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2019 ตามเรื่องราวที่ตีแผ่ออกมาจากการสัมภาษณ์, เอกสาร และการบันทึกการประชุมต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก นั่นคือเมื่อแพทย์หลายคนในเมืองอู่ฮั่น ต่างเริ่มสังเกตเห็นถึงผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ที่มีความน่าสงสัยซึ่งมีไข้และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ซึ่งไม่ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อได้รับการบำบัดรักษาตามมาตรฐานเกี่ยวกับไข้หวัด ด้วยการแสวงหาคำตอบ พวกเขาส่งตัวอย่างการตรวจสอบของผู้ป่วยไปยังห้องแลปทางการพาณิชย์กัน
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม Vision Medicals ซึ่งเป็นห้องแลปแห่งหนึ่ง ได้สร้างแผนที่พันธุกรรมของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาอยู่ด้วยกันเกือบทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ SARS แลป Vision medicals แบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ของเมืองอู่ฮั่นและสถาบันแพทย์ศาสตร์ของทางการจีน ตามที่รายงานครั้งแรกไว้ที่ Chinese Finance Publication Caixin และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นอิสระกับสำนักข่าว AP
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นออกการแจ้งเตือนภายในองค์กรเกี่ยวกับ โรคปอดอักเสบอย่างผิดปกติ (Unusual Pneumonia)ซึ่งต่อมาได้รั่วออกไปยังโซเชี่ยลมีเดียกัน ในคืนวันนั้น แพทย์หญิง Shi Zhengli ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโคโรน่าไวรัสของสถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงต่อการติดตามรอยโรคไวรัส SARS ในถ้ำค้างคาว ได้แจ้งการเตือนเกี่ยวกับโรคชนิดใหม่นี้ ตามการสัมภาษณ์ที่ให้กับ Scientific American แพทย์หญิง Shi ขึ้นรถไฟเที่ยวแรกจากการประชุมที่เมืองเซี่ยงไฮ้กลับไปยังเมืองอู่ฮั่นโดยทันที

แพทย์หญิง Shi Zhengli ทำงานร่วมกันกับนักวิจัยคนอื่นๆ ในห้องแลปที่สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น
ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Gao Fu ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญไปยังเมืองอู่ฮั่น และในวันที่ 31 ธันวาคมวันเดียวกัน ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเคสจากเวปข่าวสารเปิดซึ่งมีข้อมูลจิปาถะ (Open-source Platform) ที่สืบเหตุการณ์สำหรับข่าวกรองในเรื่องการระบาดใหญ่ ตามที่กล่าวโดยประธานฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก คือนายแพทย์
ทางองค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2020 ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐภาคีมีเวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมงต่อการตอบคำถาม และทางการจีนรายงานในเวลาสองวันต่อมาว่า มีจำนวนเคสทั้งหมด 44 เคสและไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
จนถึงวันที่ 2 มกราคม แพทย์หญิง Shi ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและจีโนมทั้งหมดของไวรัสได้ ตามที่แจ้งไว้ในเวลาต่อมาซึ่งโพสต์อยู่บนเวปไซค์ของสถาบันของเธอ
นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันว่า นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ตรวจพบและจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันในเวลานั้นด้วยการใช้เวลาอันรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ตามคำให้การที่ให้กับทางการจีน ซึ่งมีการปรับปรุงสมรรถภาพทางเทคนิคอย่างดีขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์โรคระบาด SARS ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้กำกับการปฏิบัติงาน ใช้เวลานานมากเป็นเดือนๆ ต่อการระบุรายละเอียดของไวรัส แต่ในเวลานี้ นักไวรัสวิทยาของจีนพิสูจน์ให้เห็นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันว่า มันเป็นโคโรน่าไวรัสที่ไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อนหน้า ในเวลาต่อมา นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กรได้กล่าวว่า ทางการจีนได้สร้าง “มาตรฐานขึ้นมาใหม่ในการตอบรับกับการระบาดใหญ่”
แต่เมื่อมาถึงเรื่องการแบ่งปันข้อมูลกับทั่วทั้งโลก เรื่องเหล่านี้เริ่มกลายเป็นเรื่องบิดเบี้ยวไปแทน
ในวันที่ 3 มกราคม 2020 ทางคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีนออกการแจ้งเตือนแบบลับ ด้วยการออกคำสั่งให้ห้องแลปต่างๆ ที่มีไวรัส ทำการทำลายตัวอย่างที่มีอยู่ทั้งหมด หรือไม่ก็ส่งมันไปยังสถาบันต่างๆ ที่กำหนดชื่อไว้แล้วเพื่อการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย การแจ้งเตือนฉบับนี้ ซึ่งรายงานโดยห้องแลปของ Caixin ในตอนแรก และทางสำนักข่าว AP ได้เห็น สั่งห้ามแลปต่างๆ ไม่ให้ตีพิมพ์และเผยแพร่เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้โดยปราศจากการอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน คำสั่งนี้รวมไปถึงการห้ามไม่ให้แลปของแพทย์หญิง Shi ทำการตีพิมพ์ลำดับพันธุกรรมของไวรัสหรือแม้แต่เตือนภัยเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
กฎหมายจีนระบุว่า สถาบันการวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการทดลองกับไวรัสชนิดใหม่ที่อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการอนุมัติจากทางการสาธารณสุขระดับสูงก่อน ถึงแม้ว่ากฎหมายมีความมุ่งหมายที่จะให้การทดสอบมีความปลอดภัยก็ตาม แต่มันให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขอย่างกว้างขวางว่า ห้องแลปในระดับเล็กๆ สามารถหรือไม่สามารถทำอะไรกันได้บ้าง
“ถ้าชุมชนของนักไวรัสวิทยาดำเนินการได้อย่างมีอิสรภาพมากกว่านี้....ทางสาธารณะจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสชนิดใหม่ซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้กันอย่างเร็ววันกว่านี้มาก” กล่าวโดยศาสตราจารย์ Edward Gu ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang) และคุณ Li Lantian ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Northwestern ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมจากการวิเคราะห์โรคระบาดนี้
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการกล่าวซ้ำว่า พวกเขาพยายามที่จะสร้างความมั่นใจต่อความปลอดภัยของห้องแลป และได้ออกคำสั่งกับห้องแลปของรัฐบาลจีนสี่แห่งให้แสดงแผนที่ทางพันธุกรรมพร้อมๆ กัน เพื่อให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและความแน่นอนทั้งหมด
เมื่อถึงวันที่ 3 มกราคม ทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้จัดลำดับของไวรัสได้โดยอิสระ ตามข้อมูลภายในองค์กรที่ทางสำนักข่าว AP ได้เห็น และเพียงหลังจากเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 5 มกราคม แลปแห่งที่สามที่ทางการจีนกำหนดภารกิจไว้ นั่นคือสถาบันแพทย์ศาสตร์ของจีน ได้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งรายงานให้กับทางการ – นำเอาบุคลากรมาทุ่มกับงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ – ตามการสัมภาษณ์กับสถานีของรัฐ ถึงกระนั้น แม้ว่าแลปทั้งสามแห่งได้ถอดรหัสแผนที่ทางพันธุกรรมกันอย่างอิสระได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการสาธารณสุขของจีนก็ยังคงนิ่งเงียบกันอยู่ องค์การอนามัยโลกรายงานบนเวป Twitter ว่า การสืบสวนยังคงดำเนินการกันอยู่ในกรณีของกลุ่มผู้ป่วยใหญ่ ที่มีโรคปอดอักเสบซึ่งมีความผิดปกติกัน และไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใดในเมืองอู่ฮั่น พร้อมกับกล่าวว่า ทางองค์กรจะแบ่งปัน “รายละเอียดให้มากขึ้นเมื่อเราได้รับข้อมูลเข้ามา”
ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของความเชี่ยวชาญในเรื่องโคโรน่าไวรัสที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นปัญหาที่นั่น
เป็นเวลานานเกือบสองสัปดาห์ ทางการเมืองอู่ฮั่นไม่ได้รายงานการติดเชื้อใหม่กันแต่อย่างใด และทางการยังได้ตรวจตราและเซนเซอร์แพทย์ทุกคนที่ได้ออกแจ้งเตือนเกี่ยวกับเคสที่น่าสงสัยเหล่านี้กัน
ในขณะเดียวกัน นักวิจัยต่างๆ ได้พบว่า โคโรน่าไวรัสชนิดใหม่นี้ ได้ใช้สไปก์โปรตีน (Spike Protein หรือ S-Protein) ที่มีความแตกต่างเพื่อที่จะยึดโยงตัวมันเองกับเซลของมนุษย์ โปรตีนที่ผิดแปลกนี้รวมถึงการปราศจากเคสใหม่ๆ กล่อมเกลาให้นักวิจัยที่ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต่างคิดกันว่า ไวรัสตัวนี้จะไม่แพร่กระจายเชื้อกับผู้คนกันอย่างง่ายดายเท่าไรนัก – เหมือนกับโคโรน่าไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome หรือ MERS) ตามคำกล่าวของบุคลากรคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะเอ่ยนามด้วยความหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษได้
นายแพทย์ Li ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโคโรน่าไวรัสกล่าวว่า เขามีความสงสัยโดยทันทีเกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogen) ว่ามันสามารถแพร่เชื้อได้ เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสำเนาของรายงานของการจัดลำดับพันธุกรรมในกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสที่คล้ายกับโรค SARS แต่ทีมงานของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนซึ่งเป็นผู้จัดลำดับพันธุกรรมของไวรัส ปราศจากผู้ชำนาญการในโครงสร้างทางโมเลกุลของโคโรน่าไวรัส และประสบความล้มเหลวในการปรึกษานักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ภายนอกองค์กร ตามที่นายแพทย์ Li กล่าวไว้ ทางการสาธารณสุขจีนเอง ได้ปฏิเสธข้อเสนอต่อความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ รวมทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่ถูกห้ามปฏิบัติภารกิจในเรื่องการค้นหาความจริงที่เมืองอู่ฮั่นและจากศาสตราจารย์ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน
ในวันที่ 5 มกราคม ศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยนายแพทย์ Zhang Yongzhen ที่เป็นนักไวรัสวิทยาผู้มีชื่อเสียงมาก เป็นกลุ่มล่าสุดที่สามารถจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสได้ เขาส่งรายงานเข้าไปอยู่ที่ฐานข้อมูลของ GenBank ซึ่งรอการทบทวนและพิจารณากันอยู่อีกครั้งหนึ่ง และแจ้งรายงานต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติอีกด้วย เขายังได้เตือนคณะกรรมาธิการว่า ไวรัสชนิดใหม่นี้ มีความคล้ายคลึงกับ SARS ไวรัสและมีแนวโน้มว่าสามารถติดต่อกันได้
“มันควรจะติดต่อถึงกันได้โดยการผ่านระบบทางเดินหายใจ” กล่าวโดยศูนย์สาธารณสุขทางด้านคลินิกของเมืองเซี่ยงไฮ้ในการแจ้งเตือนภายในองค์กรซึ่งเห็นโดยสำนักข่าว AP “เราขอเสนอให้นำเอามาตรการการป้องกันเข้ามาใช้ในพื้นที่สาธารณะกัน”
ในวันเดียวกัน องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า จากพื้นฐานของข้อมูลเบื้องต้นจากประเทศจีน ยังไม่มีหลักฐานใดๆ อันสำคัญในการติดต่อระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และไม่เสนอมาตรการโดยเฉพาะใดๆ สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทาง”
ในวันต่อมา ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนยกระดับความฉุกเฉินขึ้นไปถึงระดับสูงสุดลำดับที่สอง บุคลากรต่างๆ เริ่มดำเนินงานเพื่อแยกไวรัสออกมา, ร่างข้อแนะนำต่อการตรวจสอบ และออกแบบชุดตรวจสอบ (Test kits) แต่ทางสำนักงานไม่มีอำนาจใดๆ ในการออกคำสั่งเตือนภัยให้กับทางสาธารณะ และการยกระดับความฉุกเฉินก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ แม้กระทั่งไม่ให้ผู้ปฏิบัติการขององค์กรเองอีกหลายๆ คนได้รับทราบเรื่องนี้กัน
จนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ทีมงานอีกทีมหนึ่งจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นได้จัดลำดับเชื้อโรค (Pathogen) และพบว่าตรงกันกับของแพทย์หญิง Shi, ทำให้แพทย์หญิง Shi มั่นใจว่า กลุ่มงานของเธอแยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้จริง แต่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนกล่าวว่า พวกเขาไม่เชื่อการค้นพบของแพทย์หญิง Shi และจำเป็นต้องตรวจสอบยืนยันกับข้อมูลของเธอก่อนที่เธอสามารถจะเผยแพร่ได้ ตามคำกล่าวของบุคคลสามคนผู้มีความคุ้นเคยกับเนื้อหาเรื่องนี้ ทั้งคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลห้องแลปของแพทย์หญิง Shi ปฏิเสธไม่ยินยอมให้แพทย์หญิง Shi มีเวลาสำหรับให้การสัมภาษณ์ได้
บางคนกล่าวว่า ปัจจัยอันใหญ่ยิ่งที่อยู่หลังฉากของคำสั่งปิดปากแบบนี้คือว่า นักวิจัยของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนต้องการตีพิมพ์ผลงานของตนเองก่อนใครทั้งหมด “พวกเขาต้องการที่จะได้รับเครดิตโดยเต็ม” กล่าวโดยคุณ Li Yize ซึ่งเป็นนักวิจัยโคโรน่าไวรัสจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania
ภายในตัวองค์กรเอง ความเป็นผู้นำของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนได้ถูกระบาดไปด้วยการแข่งขันแบบชิงดีชิงเด่น ตามที่บุคลากรทั้งหมดหกคนซึ่งเป็นผู้มีความคุ้นเคยกับระบบได้อธิบายไว้ พวกเขากล่าวว่า ทางสำนักงานได้ทำการแต่งตั้งและเลื่อนขั้นบุคลากรจากรากฐานที่ว่า พวกเขาสามารถตีพิมพ์งานวิจัยของตนเองในวารสารอันมีเกียรติกันได้มากน้อยขนาดไหน ทำให้นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ไม่เต็มใจต่อการแบ่งปันข้อมูลกัน
เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวัน แม้กระทั่งบุคลากรภายในศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเองก็ยังเริ่มแปลกใจกันว่า ทำไมมันถึงใช้เวลานานมากๆ สำหรับทางการในการวินิจฉัยเชื้อโรคนี้ (Pathogen)
“เราต่างเริ่มมีความน่าสงสัยกัน เพราะภายในหนึ่งหรือสองวัน เราควรจะได้ผลลัพธ์ของการจัดลำดับทางพันธุกรรมกันแล้ว” กล่าวโดยเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลปท่านหนึ่ง ซึ่งปฏิเสธในการเปิดเผยชื่อเพราะกลัวการถูกลงโทษ
___________
เมื่อวันที่ 8 มกราคม หนังสือพิมพ์ the Wall Street Journal รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้แยกแยะโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ในตัวอย่างจาก ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งสร้างการข้ามหน้าข้ามตาและสร้างความอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนกัน เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแลป กล่าวกับสำนักข่าว AP ว่า พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการค้นพบไวรัสในครั้งแรกนี้จากหนังสือพิมพ์กันเอง
บทความนี้ยังได้สร้างความน่าอับอายให้กับเจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกอีกด้วย นายแพทย์ Tom Grein ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารเหตุการณ์เร่งด่วนขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ทำให้องค์กรดู “โง่เง่ายิ่งกว่าสองเท่าตัว” แพทย์หญิง Van Kerkhove ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันรับรู้แล้วว่า องค์การอนามัยโลกได้ “สายเกินไปแล้ว” ต่อการประกาศเรื่องโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และบอกกับเพื่อนร่วมงานกันว่า มันเป็นเรื่องวิกฤตที่จะต้องผลักดันประเทศจีนกันแล้ว

แพทย์หญิง Maria Van Kerkhove ซึ่งเป็นหัวหน้าปฏิบัติภารกิจฝ่ายตรวจสอบการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุง Geneva
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายเหตุการณ์ฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก มีความไม่พอใจเป็นอย่างมากอีกด้วยในเรื่องการขาดแคลนข้อมูลเหล่านี้
เขาคร่ำครวญต่อว่า “ความจริงคือ เราเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้ในสัปดาห์ที่สองถึงสัปดาห์ที่สามแล้ว เราไม่มีห้องแลปเพื่อการวินิจฉัยโรค เราไม่มีข้อมูลในเรื่องอายุ, เพศ หรือการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ เราไม่มีเส้นโค้งของการระบาด (epidemic curve)” ซึ่งอ้างอิงถึงเส้นกราฟตามมาตรฐานของการระบาดใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้กันเพื่อแสดงให้เห็นว่าการระบาดใหญ่กำลังคืบหน้ากันอย่างไร
หลังจากบทความได้ถูกตีพิมพ์แล้ว ทางสื่อของรัฐได้แถลงอย่างเป็นทางการในเรื่องการค้นพบโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่แม้กระทั่งหลังจากนั้น ทางการสาธารณสุขของจีนเอง ก็ยังไม่ทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม, การตรวจสอบจากการวินิจฉัย หรือแม้แต่รายละเอียดของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแสดงเบาะแสให้เห็นว่า เชื้อโรคตัวนี้ทำติดเชื้อกันได้อย่างไร
ในช่วงเวลานั้น เคสต่างๆ ที่มีความน่าพิรุธก็เริ่มปรากฎให้เห็นกันในเขตภูมิภาคนั้นกันอย่างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ 8 มกราคม เจ้าหน้าที่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของประเทศไทย ได้แยกตัวผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นออกมา เนื่องจากมีอาการน้ำมูกไหล, เจ็บคอ และมีอุณหภูมิสูง ทีมงานของ ดร. สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี ซึ่งเป็นอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผู้หญิงคนนี้ ได้ติดเชื้อจากโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเหมือนกับที่ทางการจีนอธิบายไว้เมื่อก่อนหน้า ดร. สุภาภรณ์ ได้คิดคำนวณการจัดลำดับพันธุกรรมของไวรัสเป็นผลสำเร็จส่วนหนึ่งในวันที่ 9 มกราคม และส่งรายงานไปยังรัฐบาลไทย และได้ใช้เวลาของวันต่อมาเพื่อค้นหาการจัดลำดับให้ตรงกันกับที่พบก่อนหน้า
แต่เพราะว่าทางการจีนไม่ได้เปิดเผยการจัดลำดับใดๆ ออกมา ดร. สุภาภรณ์จึงไม่พบอะไร เธอไม่สามารถพิสูจน์ว่า ไวรัสที่พบในประเทศไทยเป็นเชื้อโรคตัวเดียวกัน (Pathogen) ที่สร้างความเจ็บป่วยให้กับผู้คนในเมืองอู่ฮั่น
ดร. สุภาภรณ์กล่าวว่า “มันเป็นเหมือนกับการรอเพื่อที่จะได้เห็น เมื่อทางการจีนเปิดเผยข้อมูลแล้ว จากนั้น เราสามารถเปรียบเทียบกันได้”
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2020 ผู้ชายอายุ 61 ปีที่ติดเชื้อไวรัส เสียชีวิตลงที่เมืองอู่ฮั่น นี่คือการรับรู้ถึงการเสียชีวิตของมนุษย์เป็นครั้งแรกแต่การเสียชีวิตไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะจนกระทั่งถึงวันที่ 11 มกราคม
เจ้าหน้าที่ทางการขององค์การอนามัยโลกคร่ำครวญในการประชุมภายในองค์กรว่า พวกเขาได้ทำการร้องขอข้อมูลเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อค้นหาว่า ไวรัสตัวนี้สามารถแพร่เชื้ออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันหรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา
นายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศจีน กล่าวว่า “เราได้เรียกร้องข้อมูลเกี่ยวกับระบาดวิทยามากกว่าที่มีอยู่ ทั้งอย่างเป็นทางการและอย่างไม่เป็นทางการ แต่เมื่อถามถึงเรื่องโดยเฉพาะเจาะจง เราไม่สามารถจะได้รับอะไรกันเลย”
นายแพทย์ Ryan ซึ่งเป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการฉุกเฉิน พร่ำบ่นว่า ตั้งแต่ประเทศจีนให้ข้อมูลอย่างน้อยที่สุดตามที่กฎหมายระหว่างประเทศบังคับใช้อยู่ มันมีเรื่องอีกเพียงเล็กน้อยที่ทางองค์การอนามัยโลกสามารถกระทำได้ แต่เขายังได้บันทึกอีกด้วยว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2019) องค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์สู่ทางสาธารณะอย่างไม่ปกติ ด้วยการตำหนิต่อประเทศแทนซาเนีย (Tanzania) เพราะไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างพอควรเกี่ยวกับการระบาดใหญ่อันน่าเป็นห่วงของอีโบล่าไวรัส
นายแพทย์ Ryan กล่าวว่า “เราต้องมีความคงเส้นคงวา ภัยอันตรายในเวลานี้คือว่า ถึงแม้ความตั้งใจที่ดีของเรา .... โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมา จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากทำการชี้นิ้วกร่นด่าตรงมาที่องค์การอนามัยโลกกัน”
นายแพทย์ Ryan บันทึกว่า ทางการจีนสามารถ “ให้คุณูปการอย่างใหญ่หลวง” กับชาวโลกด้วยการแบ่งปันเนื้อหาทางพันธุกรรมอย่างทันท่วงที เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้ว “ประเทศอื่นๆ จะต้องเสียเวลาสร้างทุกอย่างกันขึ้นมาใหม่ภายในไม่อีกกี่วันข้างหน้า”
ในวันที่ 11 มกราคม ในที่สุดทีมงานที่นำโดยoนายแพทย์ Zhang จากศูนย์คลินิกสาธารณสุขของเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำการเผยแพร่ข้อมูลทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ของ Virological.org ซึ่งใช้กันโดยนักวินัยต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค (Pathogens) การเคลื่อนไหวของนายแพทย์ Zhangสร้างความโกรธแค้นให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนเป็นอย่างมาก กล่าวโดยบุคคลสามคนซึ่งคุ้นเคยอยู่กับเหตุการณ์นี้ และในวันต่อมา ห้องแลปของนายแพทย์ Zhang ได้ถูกปิดตัวเป็นการชั่วคราวจากทางการสาธารณสุข
นายแพทย์ Zhang ได้ถูกอ้างอิงเพื่อเรียกร้องให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ทางคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน ได้ปฏิเสธการขอร้อง ในการให้มีเจ้าหน้าที่ทางการอยู่พร้อมต่อการสัมภาษณ์ และไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับคำถามที่กล่าวถึงนายแพทย์ Zhang
ดร. สุภาภรณ์ทำการเปรียบเทียบการจัดลำดับทางพันธุกรรมของเธอกับของนายแพทย์ Zhang และพบว่าตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ผู้ป่วยในประเทศไทยมีความเจ็บป่วยจริงและมาพร้อมกับไวรัสสายพันธุ์เดียวกันกับที่พบในเมืองอู่ฮั่น ห้องแลปของไทยอีกแห่งหนึ่งได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน ในวันนั้น ทางการของประเทศไทยได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก กล่าวโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทย

------------------------------------------------------------------------------------๊
Updated: ขอเสริมเรื่องนี้ จากบทความที่ AP ลงไว้ ซึ่งมาจากแหล่งที่ใกล้ชิดกับ ดร. สุภาภรณ์ ่ข้อความดังนี้คือ:

ดร. สุภาภรณ์เล่าให้ฟังว่าทางสำนักข่าว AP ใช้ quote จากอาจารย์คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง และเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย ซึ่งนำมาสู่ความความเข้าใจผิดโดยกว้าง ด้วย misreporting ชิ้นนี้ ซึ่ง ดร. สุภาภรณ์ได้ทำการท้วงติงไป (เท่าที่เข้าใจ คือ ดร สุภาภรณ์ กำลังดำเนินการ) อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า จีนไม่ได้รีรอให้ข้อมูลเลย รีบออก Genome Sequencing ทันทีเมื่อวันที่ 11–12 มกราคม ไล่เลี่ยกับในประเทศไทย จีนต้องใช้ความระมัดระวังมากในการออกข้อมูลซึ่งเป็นคุณานุปการให้ประเทศอื่นได้ใช้ phylogenetic tree วางเทียบ ซึ่งไทยก็ทำ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ก็สามารถถอดเทียบรหัสไวรัสตัวนี้ได้ -

ขอขอบคุณที่เสริมเรื่องนี้ เพื่อบทความจะได้อ้างอิงอย่างถูกต้องได้ - Doungchampa Spencer-Isenberg
--------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนายแพทย์ Zhang ได้เผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรม (จีโนม) แล้ว ศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีน, สถาบันไวรัสวิทยาของเมืองอู่ฮั่น และสถาบันแพทย์ศาสตร์ของประเทศจีน ต่างแข่งขันทำการเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมกันเอง ด้วยการทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำเพื่อที่จะตรวจสอบทบทวนเนื้อหา, รวบรวมข้อมูลของผู้ป่วย และส่งรายงาน (ผลงาน) ให้กับคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติเพื่อการอนุมัติ ตามเอกสารที่ทางสำนักข่าว AP ได้รับมา ในที่สุด เมื่อวันที่ 12 มกราคม ห้องแลปสามแห่งพร้อมกันเผยแพร่แผนที่ทางพันธุกรรมบนเวปไซค์ GISAID ซึ่งเป็น พื้นที่(Platform) ของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในการแบ่งปันข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งกันและกัน

จอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ในมอลล์สรรพสินค้าอันเงียบสงบในกรุงปักกิ่ง แสดงให้เห็น ประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิงกำลังพูดคุยอยู่กับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล Huoshenshan ในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนมีนาคม
หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านไปนานมากกว่าสองสัปดาห์ตั้งแต่ Vision Medicals ได้ถอดรหัสการจัดลำดับทางพันธุกรรมส่วนหนึ่งออกมา และเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ตั้งแต่ ห้องแลปทั้งสามแห่งของรัฐบาลจีนได้รับการจัดลำดับทางพันธุกรรมอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด มีผู้คนประมาณ 600 คนที่มีการติดเชื้อในสัปดาห์นั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างคร่าวๆ ประมาณ สามเท่าตัว
นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า การรอคอยไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากต่อการจัดลำดับเชื้อโรค (Pathogens) ที่ไม่เคยล่วงรู้กันมาก่อน เมื่อกล่าวถึงเรื่องความแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญเท่าเทียมกันกับความรวดเร็ว พวกเขาชี้ให้เห็นถึงการระบาดใหญ่ของโรค SARS เมื่อปี 2003 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จีนบางคน –ในช่วงแรกๆ และอย่างผิดๆ – ด้วยความเชื่อกันว่า ต้นตอของการระบาดใหญ่คือโรคหนองในเทียม (Chlamydia) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
“ความกดดันเริ่มเข้มข้นขึ้นมาในช่วงการระบาดใหญ่ เพื่อสร้างความแน่ใจว่า เราถูกต้องในเรื่องนี้” กล่าวโดย คุณ Peter Daszak ซึ่งเป็นประธานของบริษัท EcoHealthAlliance ในกรุงนิวยอร์ก “แท้ที่จริงแล้ว มันเลวร้ายกว่า ในการออกไปข้างนอกเพื่อไปยังสถานที่สาธารณะ พร้อมกับเรื่องราวที่ผิดๆ เนื่องจากผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นทั้งหมดไปแล้ว ในการตอบรับจากทางการสาธารณสุข”
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ก็ยังตั้งคำถามอย่างเงียบๆ ว่า เกิดอะไรกันขึ้นในหลังฉากกัน
คุณ John Mackenzie ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการฝ่ายฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกระหว่างช่วงการระบาดใหญ่ กล่าวชมเชยเรื่องความรวดเร็วของนักวิจัยของจีนในการจัดลำดับของไวรัส แต่เขากล่าวว่า เมื่อทางการส่วนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ข้อมูลรายละเอียดกลายเป็นรูปแบบของการคลานออกมาอย่างเชื่องช้าไปเสีย
“มันเป็นเรื่องแน่นอนเกี่ยวกับประเภทของช่วงเวลาที่ว่างเปล่า” กล่าวโดยคุณ Mackenzie “มันจะต้องมีการติดต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน คุณก็ทราบดีว่า มันจ้องคุณอยู่ตรงหน้านี่แหละ...ผมควรจะคิดว่า ทางการจีนน่าเปิดตัวให้มากกว่านี้ในช่วงนั้น”
_________________
เมื่อวันที่ 13 มกราคม องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ประเทศไทยได้ยืนยันเคสแรกของไวรัสตัวใหม่นี้ สร้างแรงกดกระแทกให้กับเจ้าหน้าที่ทางการของจีนทันที
ในการประชุมทางไกลอย่างลับๆ ของวันรุ่งขึ้น (Confidential Teleconference) ผู้นำระดับสูงของทางการสาธารณสุขจีนได้สั่งให้ทั่วประเทศเริ่มเตรียมการรับกับโรคระบาดใหญ่ ถึงกับขนานนามของการระบาดใหญ่ครั้งนี้ว่า “เป็นการท้าทายอย่างรุนแรงที่สุดตั้งแต่การระบาดใหญ่ของ SARS เมื่อปี 2003” ตามที่สำนักข่าว AP ได้เคยรายงานไว้ก่อนหน้า บุคลากรของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนทั่วทั้งประเทศได้เริ่มทำการคัดกรอง, แยกตัวผู้ป่วยออกไป และตรวจสอบสำหรับเคสต่างๆ กลายเป็นจำนวนนับพันๆ รายทั่วทั้งประเทศ
ถึงกระนั้น แม้ว่าทางศูนย์ป้องกันโรคติดต่อของจีนจะประกาศอย่างเป็นภายในให้เป็นเรื่องฉุกเฉินระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่มีอยู่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการจีนก็ยังกล่าวว่า โอกาสที่การแพร่เชื้ออย่างยั่งยืนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันนั้น มีความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก
องค์การอนามัยโลกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเวลานั้น แพทย์หญิง Van Kerkhove กล่าวในการแถลงข่าวสรุป (Briefing) กับสื่อมวลชนว่า “มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า สามารถมีการแพร่เชื้อได้อย่างจำกัดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ดูเหมือนกับว่า องค์การอนามัยโลกจะย้อนรอยกับที่กล่าวไว้แต่ก่อนหน้า และโพสต์ในทวีดเตอร์ว่า “การสอบสวนเบื้องต้นซึ่งดำเนินการโดยทางการจีนได้พบว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่อย่างใดในเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน” – คำแถลงการณ์นี้ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นเหยื่ออันโอชะสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์กัน
นายแพทย์ Liu Yunguo ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลกในสำนักงานทวีปเอเชีย ซึ่งศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์จากเมืองอู่ฮั่น ได้บินจากกรุงปักกิ่งไปที่เมืองอู่ฮั่นเพื่อการติดต่อโดยตรงอย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ทางการของจีน ตามที่แสดงไว้ในการบันทึกข้อความ เพื่อนผู้เคยเรียนร่วมชั้นกันกับ นายแพทย์ Liu ซึ่งเป็นแพทย์ในเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนให้เขาทราบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอักเสบจำนวนมากกำลังล้นโรงพยาบาลในตัวเมืองกัน และ นายแพทย์ Liu ทำการผลักดันให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมากกว่าเดิม เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นกัน ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับเรื่องราวนี้
ในวันที่ 20 มกราคม ผู้นำของทีมงานผู้เชี่ยวชาญต่างเดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่น นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นแพทย์ทางโรคติดต่อผู้มีชื่อเสียงมากของทางรัฐบาล ได้แถลงการณ์อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไวรัสชนิดใหม่กำลังแพร่กระจายระหว่างผู้คนด้วยกัน ประธานาธิบดี สี เจิ้นผิง ประกาศให้มีการ “ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลการระบาดใหญ่อย่างทันท่วงที และขอความร่วมมือจากนานาชาติให้เข้มมากขึ้น”

นายแพทย์ Zhong Nanshan ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางระบบทางเดินหายใจ เข้าร่วมพิธีการสาบานตน โดยผ่านการประชุมทางไกลระบบวิดีทัศน์ กับสมาชิกใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสองคนในเมืองอู่ฮั่น
ถึงแม้จะมีคำสั่งแบบนั้นออกมากก็ตาม บุคลากรขององค์การอนามัยโลกก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อจะได้รับข้อมูลของผู้ป่วยจากทางการจีนในเรื่องของการระบาดที่กำลังค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวันเดียวกัน สำนักงานทางด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติได้ส่งทีมงานชุดเล็กไปยังเมืองอู่ฮั่นเป็นเวลาสองวัน รวมทั้งตัวนายแพทย์ Galea ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในประเทศจีนอีกด้วย
พวกเขาได้รับการบอกเล่าถึง ความวิตกกังวลกับจำนวนผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ (Cluster of Cases) ท่ามกลางกลุ่มแพทย์และพยาบาลนับเป็นสิบๆ คน แต่พวกเขาไม่มี “แผนผังแสดงการแพร่เชื้อ” (Transmission Trees) เพื่อแจ้งรายละเอียดว่า เคสต่างๆ มีการเชื่อมต่อกันได้อย่างไร หรือมีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่า ไวรัสแพร่กระจายอย่างกว้างขวางได้อย่างไร และใครอยู่ในกลุ่มของการเสี่ยงบ้าง
ในการประชุมภายในองค์กร นายแพทย์ Galea กล่าวว่า ตัวแทนฝ่ายสาธารณสุขของจีนกำลัง “พูดอย่างเปิดเผยและคงที่” ในเรื่องของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน และยังมีการถกเถียงกันว่า เป็นเรื่องที่ยั่งยืนหรือไม่ นายแพทย์ Galea รายงานให้กับเพื่อนร่วมงานในกรุง Geneva และกรุง Manila ได้ทราบว่า ข้อเรียกร้องอันสำคัญของจีนให้กับองค์การอนามัยโลกคือ เพื่อการช่วยเหลือในการ “สื่อสารเรื่องนี้กับทางสาธารณะโดยปราศจากการก่อความตื่นตระหนกกัน”
เมื่อวันที่ 22 มกราคม องค์การอนามัยโลกเปิดประชุมในการก่อตั้งคณะกรรมาธิการอิสระเพื่อพิจารณาว่า ควรประกาศเรื่องฉุกเฉินต่อทางสาธารณสุขโลกหรือไม่ หลังจากการะประชุมสองครั้งที่ไม่สามารถสรุปผลออกมาได้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ไม่สามารถลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ พวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับการประกาศสภาวะฉุกเฉินทั่วโลกกัน – แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศจีนเอง ก็ยังสั่งให้ปิดเมืองอู่ฮั่นในการกักกันตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันรุ่งขึ้น นายแพทย์ Tedros ซึ่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กร อธิบายอย่างเปิดเผยถึงการแพร่กระจายของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีนว่า เป็นเรื่อง “จำกัด”
เป็นเวลาอีกหลายวันต่อมา ทางการจีนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดใดๆ มากนัก ถึงแม้ว่าจำนวนเคสได้ปะทุขึ้นมา เจ้าหน้าที่ทางการของกรุงปักกิ่งมีความตระหนกเป็นอย่างพอสมควรถึงขนาดพิจารณาว่าจะทำการล็อคดาวน์เมืองหลวงอีกด้วย ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ซึ่งมีความรอบรู้โดยตรงกับเรื่องนี้
ในวันที่ 28 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงขององค์กร รวมไปถึงนายแพทย์ Ryan ได้เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษตรงไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อพบกับประธานาธิบดี สี เจิ้น ผิง และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงอื่นๆ ของทางการจีน มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งที่ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกจะเข้าแทรกแซงโดยตรง ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของเรื่องการสอบสวนกับระบาดใหญ่
“มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ และประตูระบายน้ำได้เปิดออกแล้ว หรือไม่มีการสื่อสารใดๆ ก็ได้” นายแพทย์ Grein กล่าวในการประชุมภายในองค์กร ในขณะที่เจ้านายของเขายังอยู่ในกรุงปักกิ่ง “เราก็จะได้เห็นกัน”
เมื่อการเดินทางของผู้อำนวยการใหญ่ Tedros สิ้นสุดลง องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ทางการจีนยินยอมที่จะรับนำเอาทีมงานของผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติเข้ามาร่วมด้วย ในการบรรยายสรุปให้กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros เพิ่มพูนการสรรเสริญกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น ด้วยการเรียกระดับของความมุ่งมั่นของจีนว่า เป็นเรื่องที่ “เหลือเชื่อจริงๆ”
ในวันต่อมา ในท้ายที่สุดแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศถึง ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพนานาชาติและอีกครั้งหนึ่ง ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros ก็ขอบคุณประเทศจีน โดยไม่กล่าวถึงเรื่องการปราศจากการให้ความร่วมมือในตอนต้นแต่อย่างใด
ผู้อำนวยการใหญ่ Tedros กล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้ว เราควรจะแสดงให้เห็นถึงความเคารพของเราและความกตัญญูกับประเทศจีนในการที่เขากระทำการแบบนี้ ทางการจีนได้กระทำการหลายๆ เรื่องอย่างเหลือเชื่อ ต่อการจำกัดการแพร่เชื้อไวรัสไปยังประเทศอื่นๆ กัน”
------------------
ความคิดเห็นของผู้แปล:
บทความนี้ เป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยแปลมา เนื่องจากว่า เมื่อวันก่อนไปพบรายละเอียดที่ลงไว้คร่าวๆ ที่นี่:

บทความแปล: เอกสารรั่วเปิดเผยว่า จีนปิดบังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโคโรน่าไวรัสเมื่อตอนช่วงแรกๆ ของการระบาดใหญ่
ซึ่งดิฉันทำการแปลไว้คร่าวๆ แต่เนื่องจากการสืบสวนจากสำนักข่าว Associated Press (AP) เป็นเรื่องที่ละเอียดและมีคุณค่าต่อการค้นคว้าในอนาคต ดิฉันเลยขอลงบทความเต็มไว้ให้อ่านกัน

เมื่ออ่านจบแล้ว เราจะเห็นเหตุการณ์หลายอย่าง รวมทั้งการ “อุบ” ข้อมูลไม่ยอมปล่อยให้กับทางสาธารณชนได้ทราบกัน รวมทั้งการแข่งขันชิงดีชิงเด่นในองค์กรเอง ซึ่งพยายามที่จะแย่งเครดิตการค้นพบเรื่องเหล่านี้ ทางการจีนเองไม่ยอมเผยข้อมูลให้ทั่วโลกได้ทราบ ซึ่งเราได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรื่องแบบนี้กัน
บทความนี้แสดงให้เห็นบทบาทขององค์การอนามัยโลกที่ปฏิบัติเป็นตัวกลาง เพื่อสืบหาข้อมูลที่ทางการจีนไม่ปล่อยออกมาให้เห็น เพราะกลัวความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประเทศตนเอง เมื่อเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกับจงใจให้เกิดความล่าช้า เราก็คงจะเห็นแล้วว่า ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นอย่างไร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วทั้งโลกอีกไม่นานอาจจะถเกือบถึง 5 แสนคนก็ได้
ขอให้นำไปขบคิดกันในเช้าวันจันทร์นะคะ Have a great and happy Monday ค่ะ
Doungchampa Spencer-Isenberg
[full-post]
ขับเคลื่อนโดย Blogger.