Voice TV

แกนนำราษฎรโชว์ทุบศาลพระภูมิ-เผารายชื่อ 9 ตุลาการ หลังศาล รธน.ชี้ 'ประยุทธ์' รอดคดีบ้านหลวง
.
การชุมนุมของมวลชนคณะราษฎร 2563 ที่ห้าแยกลาดพร้าว เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 2 ธ.ค. 2563 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมติเอกฉันท์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี และไม่มีความผิดทุกข้อกล่าวหา กรณีถูกกล่าวหาเข้าพักอาศัยภายในบ้านพักทางราชการทหาร
.
ทั้งนี้ ครูใหญ่-อรรถพล บัวพัฒน์ จากกลุ่มขอนแก่นพอกันที และแกนนำคณะราษฎรปราศรัยว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีบ้านพักทหาร พล.อ.ประยุทธ์ สะท้อนให้เห็นว่าตุลาการคือสถาบันห่างไกลประชาธิปไตยมากที่สุด ก่อนที่จะทุบศาลพระภูมิที่ตั้งโชว์บนเวที พร้อมประกาศว่าจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ด้วยมวลชนจากทุกภูมิภาคเข้าสู่เมืองกรุง เพื่อผลักดันข้อเรียกร้องของราษฎรให้สำเร็จ
.
ด้าน รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำคณะราษฎร 2563 กล่าวรำลึกผู้ถูกอุ้มหายและผู้ลี้ภัยทางการเมือง นับตั้งแต่การยึดอำนาจ คสช. เมื่อปี 2557 และขอให้มวลชนยืนสงบนิ่งไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต 1 นาที
.
จากนั้น เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำคณะราษฎร 2563 ปราศรัยว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนไม่ใช่ตุลาการในสายตาประชาชน โดยเสนอต่อประชาชนที่ร่วมรับฟังตนเองอยู่ ตนขอเสนอต่อไปนี้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญและต้องยกเลิก ศาลรัฐธรรมนูญพิสูจน์ตัวเอง การร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่ปฏิรูปสถาบัน ให้ตัดศาลรัฐธรรมนูญออกไป พร้อมทั้งฉีกหนังสือวิชาการ ความคิดความรู้ อำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475 ของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งเขียนโดย นครินทร์ เมฆไตรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเผารูปและรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน
.
ขณะที่ ไผ่ดาวดิน จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา แกนนำคณะราษฎรได้แสดงการทำหน้าที่ตุลาการศาลราษฎรอ่านคำวินิจฉัยในคดีบ้านหลวงของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยพิพากษาในนามศาลราษฎรให้ พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
.
เสกสรร โรจนเมธากุล / วิทวัส มณีจักร













Voice TV

เปิดวงจรอุบาทว์ไอโอ
.
ที่อาคารไทยซัมมิท พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า แถลงข่าว “เปิดวงจรอุบาทว์ไอโอ ผู้มูฟออนเป็นวงกลม” ด้วยการเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ ไอโอ ของกองทัพและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโต้การแถลงข่าวของกองทัพบกเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา
.
พรรณิการ์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีผู้เปิดเอกสารจำนวน 25 หน้าทางโซเชียลมีเดีย ที่ทางกองทัพออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ไอโอ แต่ยอมรับว่าเป็นเอกสารจริง
.
แกนนำคณะก้าวหน้า ตั้งข้อสังเกตุว่า เอกสารของกองทัพแสดงให้เห็นระบบปฏิบัติการแบบทหารอย่างชัดเจน มีการแบ่งงานเป็น 2 ฝ่ายคือ สีขาวและสีดำ มีผู้ควบคุมอยู่ศูนย์กลางดังนี้
.
สีขาว คือ หน่วยที่ทำหน้าที่ปล่อยข้อความจงรักภักดีเทิดทูนสถาบัน รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพ
.
สีดำ ซึ่งถือเป็นแกนกลางของปัญหานั้น ทำหน้าที่ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหมายถึงผู้เห็นต่างรัฐบาลโดยชื่อของผู้ที่อยู่ในปฏิบัติการ เฉพาะ พล ร. 2 รอ. มีถึง 17, 562 บัญชี
.
มีการแบ่งหน่วยรับผิดชอบที่สำคัญคือ 'ซ.1, ซ.2, ซ.3'
.
ซ.1 มีหน้าที่ รีทวีต
.
ซ.2 มีหน้าที่กดไลก์กดถูกใจต่างๆ
.
ซ.3 มีหน้าที่ทวีตข้อความ เน้นสร้างผู้ติดตาม
.
ซ.3.1 เป็นชุดปล่อยข้อมูลเทิดทูนสถาบัน เชิดชูกองทัพ
.
ซ.3.2 เป็นชุดปล่อยข้อมูลสีดำ ที่ด้อยค่าและแพร่มลทินให้ประชาชน โจมตีฝ่ายเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ
.
จุดที่สังเกตว่าเป็นไอโอได้ชัดเจนคือ การเปิดทวิต 3 เดือน มีการทวีตข้อความและภาพ รวมถึงติดแฮชแท็กเหมือนในห้วงเวลาเดียวกัน บางคนเปิดหน้าว่าเป็นทหาร บางคนใช้รูปการ์ตูน​ รูปสัตว์
.
พรรณิการ์ ย้ำว่า ที่กองทัพบอกว่า เป็นงานเชิงบวกสร้างภาพลักษณ์ให้กับกองทัพและเทิดทูนสถาบัน จึงไม่ใช่ความจริง เมื่อมีทหารชั้นผู้น้อยถูกบังคับให้เผยแพร่ ทั้งเเพร่ความรักหรือความเกลียด ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณจากภาษีประชาชน
.
ก่อนหน้านี้ทวิตเตอร์ยังได้ระงับ 926 บัญชีไอโอ โดยให้เหตุผลว่า เป็นบัญชีทวิตเตอร์ที่ด้อยค่าประชาชน โจมตีฝ่ายตรงข้าม ชื่นชมรัฐบาล ซึ่งมีบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทานถูกระงับในคราวนั้นด้วย
.
"อยากให้กองทัพกลับไปทำหน้าที่ของตนคือปกป้องประชาชน ถ้าท่านยังไม่หยุด เราก็จะไม่หยุดพูดความจริง จนกว่ากองทัพจะเป็นกองทัพของประชาชน เป็นประชาธิปไตยและรบกับศัตรูของประชาชน แทนที่จะรบราฆ่าฟันกับประชาชนของตัวเอง ทั้งในโลกออนไลน์และในสถานที่ชุมนุม" แกนนำคณะก้าวหน้า สรุป
.
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม :
https://voicetv.co.th/read/SAPnVbZf2
เสกสรร โรจนเมธากุล
#VoiceOnline




ที่ สน.ชนะสงคราม แกนนำและผู้ปราศรัย คณะราษฎร 2563 เข้าทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกอบด้วย 1. พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ "เพนกวิน" 2. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" 3. ภาณุพงค์ จาดนอก หรือ "ไมค์" 4. อานนท์ นำภา และ 5.​ ปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ "หมอลำแบงค์" โดยมี กฤษฎางค์ นุตจรัส และ นรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทีมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
"ทุกคำพูดชัดเจนในตัวของมันเองว่ามุ่งหมายอะไรและถึงวันที่จะต้องออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าปัญหาของสถาบันกษัตริย์ตอนนี้เป็นอย่างไร เราหวังว่าทางสถาบันจะรับฟังในตอนแรก แต่ตอนนี้ทำให้รู้แล้วและยังใช้กฎหมายพวกนี้มาปิดปาก เราก็สู้ต่อไปเพื่อให้ราษฎรทุกคนเป็นประจักษ์พยาน" อานนท์ กล่าว
ฉัทดนัย ทิพยวรรณ์
อ่านต่อ https://voicetv.co.th/read/5oF7IvL-b
#VoiceOnline




ความจริงประเทศไทย

ฉาวโฉ่!! ทวิตเตอร์สั่งแบนไอโอ-เพจรักสถาบัน บิดเบือนปลุกปั่นข้อมูล ทั่วโลกแห่ประณามไอโอกองทัพไทย
.
ทวิตเตอร์ สั่งกวาดล้างเครือข่ายไอโอไทย พ่วงสั่งแบนกลุ่มคนรักสถาบัน หลังเด็กไทยลุยทลายรังไอโอกองทัพกว่า 17,000 บัญชี ด้านสื่อต่างชาติแห่เสนอข่าวประจานการบิดเบือนข้อมูลของรัฐบาลไทยและการเลือกปฏิบัติของกระทรวงดิจิทัลฯ (ดีอี) ที่มี รัฐมนตรีซึ่งอดีตเคยเป็น กปปส.
.
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า บริษัทผู้ให้บริการทวิตเตอร์ได้สั่งแบนบัญชีคนรักสถาบันชื่อว่า 'จิตอาสา 904' เนื่องจากเชื่อมโยงกัลบัญชีคนรักสถาบันหลายแห่ง ที่ปล่อยเฟคนิวส์ข้อมูลโจมตีม็อบเด็ก ตลอดจนบิดเบือนข้อมูลเทิดทูนสถาบัน และเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อเกืนจริงเกี่ยวกับกษัตริย์ไทย
.
ทวิตเตอร์ตรวจสอบพบว่าบัญชีคนรักสถาบันและเพจอวยเจ้าจำนวนมาก 'ถูกจ้าง-ถูกเกณฑ์' มาผลิตเนื้อหาอวยพระมหากษัติรย์ตัดสลับกับข้อมูลใส่ร้ายราษฎร โดยเฉพาะฝ่ายหัวก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่ ถูกไอโอใช้เฟคนิวส์ใส่ร้ายแบบไร้หลักฐานหลายครั้ง เช่น สหรัฐเบื้องหลังม็อบ เป็นต้น #เราต้องช่วยกันเอาความจริงออกมา ขณะที่การผลิตเนื้อหาอวยเจ้าส่วนใหญ่เป็นโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง และเป็นข้อมูลที่มิได้รับการชำระล้างทางประวัติศาสตร์เพราะไทยมีกฎหมายปิดปากประชาชน
.
ทวิตเตอร์เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างบัญชีไอโอกองทัพอย่างเข้มงวด หลังจากสำนักข่าวทั่วโลกตีแผ่เรื่องราว กองทัพไทยอยู่เบื้องหลังไอโอ 1.7 หมื่นบัญชี สอดคล้องกับการแฉของทวิตเตอร์ที่ระบุว่ากองทัพไทยใช้ไอโอนับพันบัญชี เรื่องนี้ถูกตีแผ่ไปทั่วโลกเพื่อประจานรัฐบาลไทย
.
ขณะที่ชาวเน็ตไทยแห่ขุดหลักฐานต้นตอเครือข่ายบริษัทไอโอกองทัพ ตัดสลับกับภาพแคปโพสต์อวยเจ้าที่มีการทำเป็นขบวนการ รวมถึงเอกสารลับทางราชการเรื่องปฏิบัติการไอโอ และภาพการอบรมไอโอของกองทัพ ยิ่งซ้ำเติมความเน่าเฟะของระบบโฆษณาชวนเชื่อและสงครามไซเบอร์สร้างความแตกแยกในชาติโดยน้ำมือกองทัพ
.
การสังแบนของทวิตเตอร์ มีลักษณะคล้ายกับเฟสบุ๊ก ซึ่งสั่งแบนเพจคนรักสถาบัน เช่น ไทยภักดี, วิ่งเชียร์ลุง, เหรียญทอง แน่นหนา เป็นต้น เพราะมีการปล่อยข้อมูลบิดเบือน-ข่าวปลอมโจมตีฝ่ายตรงข้าม และปล่อยข้อมูลอวยเจ้าเกินจริง สอดคล้องกับสำนักข่าวใหญ่ต่างชาติ AFP ที่ลงข่าวประจานข้อมูลบิดเบือนของขบวนการไอโอคลั่งเจ้าในไทยหลายครั้ง เช่น สถาบันทิศทางไทย หรือ ข่าวขบวนเสด็จ เป็นต้น
.
การปล่อยข่าวเฟคนิวส์ของคนรักสถาบันหลายครั้ง นำมาซึ่งประเด็นละเอียดอ่อนของประเทศ โดยเฉพาะกับชาติมหาอำนาจ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า การตัดสิทธิ์ GSP จนไทยเสียหายนับแสนล้านบาท สาเหตุหนึ่งมาจากการที่ถูกไอโอไทยโจมตีใส่ร้ายและอาจนำมาสู่มาตรการกดดันจาก EU และ UN ในอนาคตถ้ารัฐบาลไทยยังไม่เลิกบิดเบือนข้อมูลโดยอ้างกฎหมายแบบไทยๆที่ขัดหลักสากลทั่วโลก
.
'ปฏิบัติการไอโอ' ปัจจุบันมิได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์ แต่ยังแทรกซึมไปถึงหน่วยงานต่างๆ เช่น การให้ข่าวของตำรวจเรื่องการสลายม็อบที่ค้านกับสายตาทั่วโลกและค้านกับข้อเท็จจริงในสื่อออนไลน์ หรือแม้แจ่การอภิปรายของ สว.ในสภา ที่มีการใช้ข้อมูลบิดเบือนจากไอโอโจมตีฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่การพ่นวาทกรรมของ สส.รัฐบาลบางคนเรื่องสถาบันที่ถือว่าอวยเกินจริง
.
หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัล (ดีอี) ซึ่งมีการแจ้งจับ พรบ.คอมผู้เห็นต่างจากรัฐบาล แต่กลับปล่อยไอโอให้ปล่อยข้อมูลบิดเบือนสร้างความแตกแยก รวมถึงปล่อยคนรักสถาบันปล่อยข้อมูลอวยเจ้าเกินจริง เอนเอียงเพราะเคยเป่านกหวีด กปปส.จริงหรือไม่
.
ความจริงประเทศไทย ที่ถูกสื่อต่างชาติเสนอไปทั่วโลกหลายครั้งรัฐไทยกลับบอกว่าบิดเบือน ขณะเดียวกันรัฐไทยก็ประดิษฐ์ความจริงจอมปลอมแล้วบรรจุในหลักสูตรให้เด็กไทยเรียน จึงไม่น่าแปลกใจที่ฝรั่งได้รับรู้หลายเรื่องที่คนไทยไม่เคยได้รู้
หลายเรื่องในไทยถูกสื่อต่างชาติหยิบยกไปประณาม ขณะที่คนไทยไม่มีสิทธิ์รับรู้
.
ดังนั้นไอโอของรัฐบาลล้วนสะท้อนความต่ำตมและความปลอมของจารีตประวัติศาสตร์แบบไทยๆที่กำหนดไว้ในแบบเรียน มากพอๆกับการเกณฑ์ทหารมาใส่ชุดเหลืองเพื่อจัดตั้งมวลชนมินเนี่ยน ไปแสดงลิเกหลวงและม็อบชนม็อบ ทว่าปฏิบัติการเหล่านี้ไม่ได้ผลอีกแล้วในยุค 5G ในวันที่คนรุ่นใหม่ตาสว่างทั้งประเทศ




Voice TV

มวลชนราษฎรไว้อาลัยวิญญาณเสื้อแดงปี 53 พร้อมสาดสีลงทางเท้าหน้าราบ11
.
การชุมนุมของมวลชนคณะราษฎร 2563 ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เขตบางเขน ในช่วงท้ายของหัวค่ำ บรรดาแกนนำได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย พร้อมย้ำถึงการเปิดแผลของชนชั้นนำศักดินาไทย
.
20.30 น. เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำคณะราษฎร 2563 อ่านประกาศคณะราษฎรโดยระบุใจความว่า สถาบันกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังส่วนตัว ด้วยระบอบประชาธิปไตยพระมหากษัตริย์ย่อมดำรงพระองค์พิทักษ์สิทธิ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย และต้องไม่แทรกแซงอำนาจสูงสุดของประชาชน
.
เวลา 21.40 น. แหวน - ณัฏฐธิดา มีวังปลา พยานปากสำคัญในคดีการเสียชีวิต 6 ศพ บริเวณวัดปทุมวนาราม ปราศรัยถึงการสังหารประชาชนในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม เมื่อปี 2553 พร้อมทั้งขอให้ผู้ชุมนุมได้ร่วมไว้อาลัยให้กับคนเสื้อแดงที่สังเวยให้กับการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ด้วยการร้องเพลงนักสู้ธุลีดิน ทั้งนี้ผู้ปราศรัยได้ตะโกนว่า "ใครฆ่าประชาชน"
.
"วันนี้ขอเรียกวิญญาณ 99 ศพมาที่นี่ ขอวิญญาณคนเสื้อแดงจงลุกขึ้นมายืนเคียงข้างนักศึกษา ประชาชน"
.
จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการสาดสีแดงลงบริเวณทางเท้าหน้ากรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เพื่อสื่อให้รู้ว่ามีประชาชนถูกสังหารจากการสลายการชุมนุม
.
เวลา 22.00 น. เพนกวิน พริษฐ์ระบุว่า วันที่ 2 ธ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดีพล.อ.ประยุทธ์ อยู่บ้านหลวงจะพ้นความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งข้อกฎหมายที่เป็นประเด็นนั้น เคยถอดถอน สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีชิมไปบ่นไปมาแล้ว ถ้ากรณี พล.อ.ประยุทธ์ อยู่บ้านหลวงผิดกฎหมายหรือไม่ พร้อมถามว่าอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไปหรือไม่ และต้องรวมกำลังมากที่สุดไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 2 ธ.ค.นี้
.
โดย พริษฐ์ ได้ประกาศยุติชุมนุมที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ในเวลา 22.05 น.
.


.
วิสัยยศ จันทร์แก้ว
.
#Voiceonline
#ม็อบ29พฤศจิกา




Saiseema Phutikarn
จาก"ที่ดินสาธารณสมบัติฯ"และ"ที่ราชพัสดุ"สู่"เขตพระราชฐาน"?
วาสนา(ในฐานะกระบอกเสียงของกองทัพและรัฐบาล)ยืนยันว่าทั้ง ร.1 และ ร.11 เป็นเขตพระราชฐานทั้งคู่ ?
ทำให้เกิดคำถามคำโตว่าจากเดิมที่ดินของทั้งสองหน่วยงานมีสถานะเป็น "ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน" และ "ที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของ" ที่อยู่กลางใจเมืองรวมกันเกือบ 2 พันไร่ได้กลายมาเป็น "เขตพระราชฐาน" ตั้งแต่เมื่อไหร่?
แล้วการเปลี่ยนสถานะจากที่ดินสาธารณฯสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน/ที่ราชพัสดุ มาเป็น "เขตพระราชฐาน" คือการเอาที่ดินรัฐสมบัติแผ่นดินเป็นเกือบ 2 พันไร่กลางใจเมืองให้กลายมาเป็นสมบัติส่วนตัวหรือไม่?
//ราบ 11//
ที่ดินของราบ 11 บริเวณบางเขนเดิมนั้นมีสถานะ 2 แบบ คือ 1. เป็น" ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน" และ 2. เป็น"ที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ" ซึ่งเมื่อเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่สามารถจะโอนย้ายถ่ายเทได้ยกเว้นออกเป็น พรบ.
แต่ในวันที่ 13 กค.2562 มีการออก พรฎ เพื่อถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นที่ดินของ ราบ 11 ไปเป็นเนื้อที่ 1,340 ไร่... ทำให้ที่ราชพัสดุในบริเวณนั้นไม่มีสถานะเป็นสาธารณสมบัติฯอีกต่อไป การสามารถโอนเปลี่ยนสภาพเปลี่ยนเจ้าของก็ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องออก พรบ ใช้เพียง มติ ครม
จะเหลือเพียงที่ดินบางส่วน(ที่เป็นคลอง) ที่ยังมีสถานะเป็นสาธารณะสมบัติ (ใน พรฎ ฉบับเดียวกัน มีการถอนสภาพที่ดินริมน้ำใกล้ท่าพายัพ ซึ่งอยุ่ติดกับที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯด้วย แต่จะขอละไม่อธิบายในที่นี้)
https://prachatai.com/journal/2019/07/83404
อีกราว 2 เดือนกว่า (30 กย 62) มีการออก พรก โอนกำลังผล ร.1 และ ร.11 ไปให้เป็นส่วนราชการในพระองค์)
https://www.bbc.com/thai/thailand-49880897
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิย 63 ก็มีการออก พรฎ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอีกประมาณ 34 ไร่ ทำให้ที่ดินบริเวณ ราบ 11 ทั้งหมดไม่มีสถานะเป็นที่ดินสาธารณสมบัติอีกต่อไป การโอนเปลี่ยนสภาพสามารถทำได้ง่ายขึ้นไม่ต้องออกเป็น พรบ
https://prachatai.com/journal/2020/06/88310
//ราบ 1//
ที่ดิน ราบ 1 (มี 2 ส่วนคือ สามเสน และ วิภาวดี) เดิมก็มีสถานะเป็น "ที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ"เช่นกัน
แต่เมื่อวันที่ 5 กค 62 ได้มีการออก พรฎ เพื่อถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ บริเวณพื้นที่ ราบ 1 ทั้ง 2 ส่วนรวมกันประมาณเกือบ 500 ไร่ อย่างเงียบๆ ขนาดที่ไม่ค่อยมีสื่อรายงาน เพราะยังไม่เข้าใจในนัยยะที่แท้จริง ส่วนใหญ่คาดว่าเป็นไปตามนโยบายย้ายทหารออกนอกเมือง
เมื่อที่ราชพัสดุบริเวณนั้นไม่มีสถานะเป็นสาธารณสมบัติอีกต่อไป ก็สามารถโอนเปลี่ยนสภาพเปลี่ยนเจ้าของได้ง่าย ไม่ต้องออก พรบ ใช้เพียง มติ ครม
อีกราว 2 เดือนกว่า (30 กย 62) ถึงมีการออก พรก โอนกำลังผล ร.1 และ ร.11 ไปให้เป็นส่วนราชการในพระองค์) เมื่อถึงตอนนี้สื่อถึงพึ่งเข้าใจถึงจุดประสงค์ในการถอนสภาพการเป็นสาธารณฯที่ทำไปทันที
https://www.bbc.com/thai/thailand-49880897
//กฎการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุฯเปลี่ยนให้ง่ายขึ้นสำหรับ"กิจการของพระมหากษัตริย์"//
เมื่อวันที่ 26 พย 62 มีการประกาศกฎกระทรวงเรื่อง "การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ พ.ศ. 2562" ซึ่งเป็นฉบับใหม่ โดยมีเนื้อหาที่เปลี่ยนไปที่สำคัญใน ข้อ 2 วรรค 2 ยกเว้นให้การโอนกรรมสิทธิ์ให้"กิจการของพระมหากษัตริย์" ไม่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามกฎกระทรวงนี้ เพียงแค่ให้ปลัดเสนอ รมต และ ให้ ครม อนุมัติก็สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที ต่างจากฉบับเดิมที่ออกในปี 2550 ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามจนถึงวันนี้รัฐบาลไม่เคยมีการเปิดเผยข้อมูลว่าได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเกือบ 2 พันไร่กลางกรุงเทพฯไปให้ "กิจการของพระมหากษัตริย์"แล้วหรือไม่อย่างไร? มีเพียงการเอ่ยถึงอย่างไม่เป็นทางการเป็นครั้งคราวว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็น "เขตพระราชฐาน"
ปล. เรื่องการถอนสภาพที่ราชพัสดุเพื่อ "กิจการของพระมหากษัตริย์" ยังมีอีกหลายกรณี แต่เอาเท่านี้ก่อนเพื่อไม่ให้ยาวเกินไป



 กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG

หลายวันที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นความพยายามแก้ต่างให้กับกษัตริย์ในเรื่องทรัพย์สิน โดยเฉพาะพวกที่สวมหมวกนักวิชาการ ซึ่งดูแล้วก็ยังไม่พ้นความเชื่อว่าของอะไรที่เกี่ยวกับเจ้าก็ต้องเป็นของของเจ้าทั้งหมด
.
ความเชื่อว่าอะไรบ้างคือทรัพย์สินของกษัตริย์ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าคนคนนั้นยึดมั่นในระบอบอะไรกันแน่
.
ถ้ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ที่ทางเดียวที่สถาบันกษัตริย์จะอยู่ในระบอบนี้ได้คือต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ในแง่นี้สถาบันกษัตริย์ก็คือหน่วยงานรัฐหน่วยหนึ่ง ที่ต้องถูกกำกับอย่างเคร่งครัดโดยองค์กรที่มีที่มาจากประชาชน กษัตริย์และเจ้าคนอื่นๆ ก็คือเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปคือมีหน้าที่เชิงพิธีการ เช่น เป็นประมุขของรัฐคอยปฏิสัมพันธ์กับประมุขรัฐอื่น ลงนามรับรองกฎหมาย เป็นประธานในงานต่างๆ หรือจะมีงานทางสังคมวัฒนธรรมอะไรก็ว่ากันไป (แต่ต้องไม่ใช่อำนาจบริหารหรืออำนาจที่ให้คุณให้โทษผู้อื่น)
.
เมื่อสถาบันกษัตริย์คือหน่วยงาน เจ้าคือเจ้าหน้าที่ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกษัตริย์จึงต้องแยกออกเป็นสองส่วน คือ 1. ทรัพย์สินที่รัฐใช้ในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ เจ้าของทรัพย์สินในข้อนี้คือรัฐ แต่จัดไว้ให้กษัตริย์และเจ้าคนอื่นๆ เพื่อการทำหน้าที่ เช่น วัง พาหนะประจำตำแหน่ง ชุดและเครื่องประดับที่เป็นเครื่องแบบ อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ในพิธีการ รวมถึงเงินในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ กับ 2. ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า เจ้าอยากได้เสื้อผ้าอะไรไว้ใช้ส่วนตัว อยากได้คอมพิวเตอร์ใหม่ อยากเล่นเกมส์ อยากสะสมสิ่งของ ก็ไปหาซื้อมา เงินที่ใช้ซื้อก็ไปกำหนดในกฎหมายว่าจะให้เจ้ามีเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งอย่างไร รวมถึงอาจมีข้อจำกัดการใช้เงินเหมือนกับที่นักการเมืองมี (เช่น ห้ามซื้อหุ้น)
.
และแน่นอนว่า 1. จะโอนมาเป็น 2. ไม่ได้
.
ถ้าให้เปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นๆ ข้าราชการอื่นๆ ก็เหมือนกับกระทรวง ทบวง กรม มีอาคารที่ทำการ มีบ้านพักข้าราชการ มีรถประจำตำแหน่ง มีครุภัณฑ์ต่างๆ มีงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมา ส่วนข้าราชการก็มีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้าของตัวเอง ที่ใช้เงินเดือนซื้อมา ข้าราชการบางตำแหน่งก็มีข้อจำกัดการใช้เงินมากกว่าปรกติ (เช่น ส.ส. ห้ามซื้อ (ถือ) หุ้นสื่อ) โดยที่อาคารกระทรวงจะโอนมาเป็นของส่วนตัวของรัฐมนตรีไม่ได้ รถถังจะโอนมาเป็นของส่วนตัวของ ผบ.ทบ. ไม่ได้ เป็นต้น
.
ทีนี้ในเรื่องของทรัพย์สินที่เจ้าเคยถือไว้โดยอ้างว่า “เจ้าหามาเอง” ที่โดยตัวมันเองไม่ได้มีใว้ในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ เช่น หุ้นและที่ดินที่ถือโดย “สำนักงานทรัพย์สินส่วนกษัตริย์” ในอดีตเมื่อตอนยังไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย ทรัพย์สินเหล่านี้กษัตริย์ได้มาโดยการใช้อำนาจรัฐ เช่น การเกณฑ์แรงงาน การผูกขาดการค้า การเก็บภาษีประชาชนมาลงทุน แล้วมาถือไว้เอง (เพราะกษัตริย์ก็ถือตัวเองเป็นรัฐ) แต่เมื่อเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว เราวางฐานะสถาบันกษัตริย์คือหน่วยงาน เจ้าคือเจ้าหน้าที่ เราไม่ยอมรับให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเอาอำนาจรัฐมาใช้สร้างความมั่งคั่งส่วนตัว หุ้นและที่ดินเหล่านี้จึงต้องตกเป็นของรัฐ อันที่จริงสำนักทรัพย์สินฯ ต้องไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพราะเป็นหน่วยงานที่ต้องอยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาล จึงไม่สมควรมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารทรัพย์สินได้เองซึ่งอาจขัดแย้งกับรัฐบาลได้ และต้องปล่อยทรัพย์สินที่ไม่ได้มีใว้ในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ให้ไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น (เช่น กระทรวงการคลัง)
.
ส่วนการบริจาคเงินให้กับเจ้า เมื่อเจ้าคือเจ้าหน้าที่ การที่เจ้ารับเงินก็ไม่ต่างจากการที่นักการเมืองรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตามกฎหมายนักการเมืองนั้นห้ามรับเกิน 3,000 บาท แต่เจ้ากลับรับได้เป็นหลักร้อยล้าน การบริจาคนี้อาจนำไปสู่การใช้อิทธิพลของสถาบันกษัตริย์เพื่อตอบแทนผลประโยชน์แก่ผู้บริจาคได้เช่นเดียวกับที่ผู้ให้เงินนักการเมืองหวังอิทธิพลจากนักการเมือง ดังนั้นจึงต้องไม่เปิดให้มีการบริจาคให้กับเจ้าโดยตรงเพื่อ “ใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย” และหากใครประสงค์ที่จะบริจาคเพื่อใช้ในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ เงินนั้นก็ต้องเข้าสู่การบริหารจัดการของรัฐบาล จะนำไปเป็นเงินส่วนตัวของเจ้าไม่ได้
.
สรุปอีกครั้ง ในระบอบประชาธิปไตย ทรัพย์สินที่รัฐใช้ในกิจการเกี่ยวกับกษัตริย์ และทรัพย์สินที่แสวงหามาโดยใช้อำนาจรัฐ จะต้องไม่ถูกโอนไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ นี่คือหลักการในการจัดระเบียบทรัพย์สินเกี่ยวกับกษัตริย์ในประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง หากใครยังเห็นว่าทรัพย์สินทั้งหมดนี้ต้องเป็นของเจ้า นั่นเท่ากับคุณไม่เอาระบอบประชาธิปไตย คุณเอาระบอบอื่น ซึ่งเราจะไม่เอาด้วยกับพวกคุณ



iLaw
ชุมนุมซ้อมต้านรัฐประหาร “ทำไม-อย่างไร” รวมปราศรัยแกนนำ 

27 พ.ย.2563 คณะราษฎรนัดหมายชุมนุม 5 แยกลาดพร้าวในธีม ‘ซ้อมต้านรัฐประหาร’ หลังจากช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือการรัฐประหารในโซเชียลมีเดีย เวทีตั้งขึ้นหลังเวลานัดหมายเวลาประมาณ 17.00 น. ประชาชนทยอยมาร่วมจนแน่นเช่นเคย นอกจากเวทีใหญ่ยังมีจุดปราศรัยย่อยๆ และกิจกรรมย่อยในพื้นที่ชุมนุมอีกหลายจุด
“การรัฐประหารครั้งเดียวที่ยอมรับได้คือ อภิวัฒน์สยาม 2475 จากสมูบรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย” โฆษกกล่าวเปิดเวทีและระบุว่า ไทยมีการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่ารวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง สำเร็จ 13 ครั้ง ไม่สำเร็จ 11 ครั้ง และทุกครั้งที่สำเร็จล้วนมีการรับรอง จึงขอคำมั่นสัญญากับประชาชนว่าจะไม่ยอมต่อการละเมิดสิทธิอีก จะต่อต้านทุกรูปแบบและไม่ยอมให้รัฐประหารบังเกิดขึ้นอีกในประเทศที่เรารักและหวงแหน
@@@ ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก กล่าวถึงข้อปฏิบัติในการต่อต้านรัฐประหาร สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันทีคือ
1.ทำคาร์ม็อบ จอดรถทำให้ถนนเป็นอัมพาต
2.ประชาชนออกมาให้มากที่สุด ยึดห้าแยกลาดพร้าว ทำให้ลำเลียงยุทโธปกรณ์ไม่ได้ รวมถึงการยึดทุกแยกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
3.แสดงสัญลักษณ์ โบขาว-เป็ด แสดงซ้ำๆ ทุกครั้ง ผูกโบว์ขาวทุกที่ ถ้ามีการแกะออกก็ให้ผูกใหม่
4.ไม่ทำตามคำสั่งใดๆ ของกบฏที่ฉีกรัฐธรรมนูญ
“การติดคุกจะไม่มีเด็ดขาดหากประชาชนชนะกบฏ เมื่อไรที่มีคณะอะไรก็ตามตั้งขึ้นมาอีก ไม่ต้องทำตามคำสั่ง ถ้าไม่สามารถควบคุมพวกเราได้ภายใน 3 วัน พวกมันจะกลายเป็นกบฏแผ่นดินทันที อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือ พระมหากษัตริย์ก็มีส่วนในการเซ็นรับรอง ครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก พวกเราจะออกจากบ้านมาปกป้องพระมหากษัตริย์ ให้อยู่นอกอำนาจ ไม่ให้พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือของกบฏเป็นอันขาด” ไมค์กล่าว
ไมค์กล่าวอีกว่า ส่วนการต้านรัฐประหารในระยะยาว คือ การไม่อุดหนุนนายทุนที่สนับสนุนคณะรัฐประหาร อย่าซื้อของห้าง อย่าซื้อของเซเว่นฯ ให้ซื้อของที่ร้านชำ เพื่อไม่ให้นายทุนผูกขาดสนับสนุนรัฐบาลรัฐประหารอีก
เขายังกล่าวตอบคำถามมวลชนจำนวนหนึ่งว่าที่ทำอยู่นี้สำเร็จบ้างหรือไม่ว่า เราสำเร็จไปแล้วเกินครึ่ง สิ่งแรกที่สำเร็จคือ การทำให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเองได้ในโรงเรียน สิ่งที่สองคือ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์แบบสาธารณะ วันก่อนสื่อหลายสำนักนำเสนอเรื่องสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครทำเรื่องนี้เลย ส่วนข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือน้ำมันให้ขบวนการเราขับเคลื่อนได้
“ทุกวันนี้เราเป็นขบวนการประชาธิปไตยที่ใช้สันติวิธี สู้ด้วยสมอง สู้ด้วยสติปัญญา นี่คือพัฒนาการของพวกเราที่รับรู้ข้อมูลจากโซเชียล แม้แต่เรื่องของสุรชัย แซ่ด่าน ที่ศพลอยแม่น้ำโขงมาแล้วศพหาย เราหลายคนตาสว่างมากขึ้นจนทำให้พวกเราทนไม่ได้อีกแล้วกับประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเขียนผู้กล้า ไม่เคยเชิดชูไพร่อย่างพวกเรา แต่ต่อไปนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยต้องมีคณะราษฎร 2563 โดยมีพ่อแม่พี่น้องทุกคนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นั้น และจะต้องเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีคนตายหรือเสียเลือดเสียเนื้ออีก” ไมค์กล่าว
@@@ ครูใหญ่ อรรพถล บัวพัฒน์ กล่าวว่า หากเกิดการรัฐประหารขึ้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประชาชนจะออกมาต้านอย่างมหาศาล ต้นทุนนอกจาอาวุธ กำลังพลเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกต้นทุนหนึ่งที่ต้องจ่ายคือ ต้นทุนความศรัทธา ศรัทธาที่เหลืออยู่ไม่มากมันจะหมดไปถ้ารัฐประหารเกิดขึ้น ทั้งนี้ประเด็นทหาร ประเด็นทุน มีคนพูดถึงมากแล้ว วันนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องพูดคือ การปฏิรูปศาสนา เราจำเป็นต้องดึงศาสนาออกจากอำนาจรัฐ ถ้าทำได้เราจะปฏิรูปประเทศนี้ได้อย่างแท้จริง เพราะศาสนาแทรกซึมอยู่ในการศึกษา ในสื่อ และเป็นตัวบอกให้เราจำยอมผู้มีบุญมากกว่า รัฐจะต้องแยกออกจากศาสนาแล้วเลิกใช้ศาสนาเป็นโฆษณาชวนเชื่อ
@@@ ตัวแทนกลุ่มรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เราไม่ต้องการรัฐประหาร และจะไม่ให้รัฐประหารเกิดขึ้นอีกแล้ว ย้ำกันอีกครั้งว่า 3 ข้อเรียกร้องเราจะไม่ลดเพดาน 1.รัฐบาลประยุทธ์ และองคาพยพต้องออกไปให้เร็วที่สุด 2. เราต้องการรัฐธรรมนูญจากประชาชนเท่านั้น 3.เราต้องการปฏิรูปให้สถาบันอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ความรุนแรงที่รัฐบาลประยุทธ์ทำไว้กับประเทศนี้ ไม่ใช่แค่การสลายการชุมนุมอย่างเดียว ไม่ใช่จับคนเห็นต่างเข้าคุกอย่างเดียว แต่ที่สำคัญมากคือ บริหารเศรษฐกิจล้มเหลวจนประชาชนเผชิญความยากลำบากอย่างมาก ตัวแทนกลุ่มยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนการรัฐประหารมาตลอด สนับสนุนเผด็จการตลอด และเขาจะไม่เลือกพรรคนี้แม้เป็นคนภาคใต้
@@@ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล กล่าวว่า ความชอบธรรมของประชาชนคือการออกมาชุมนุมใช้สิทธิในการเรียกร้อง ไม่ว่าจะเรียกร้องเรื่องใดก็กระทำด้วยความสงบ และประชาชนจะออกมาทุกวันเพื่อให้เขารู้ว่าไม่ยอมอีกต่อไป และต้องการมากดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยความเป็นธรรม สำหรับวันนี้ประชาชนออกมาแสดงออกว่า ไม่เอารัฐประหาร ปัจจุบันในโซเชียลมีอินโฟกราฟฟิคมากมายว่าวิธีต่อต้านรัฐประหารนั้นทำอย่างไรได้บ้าง ขอให้ทุกคนหาศึกษาเพื่อเมื่อถึงเวลาเราจะได้เตรียมพร้อม
“การรัฐประหารจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาฝืนคำสั่งไม่ยอมทำตาม ขอเรียนเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยว่า การรัฐประหารคือกบฏ วินาทีที่ผู้บังคับบัญชาทำรัฐประหาร ไม่มีความชอบธรรมในคำสั่ง และไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายอีกต่อไป อย่าไปฟัง”
@@@ อานนท์ นำภา กล่าวว่า เรามาสู้ด้วยกันด้วยความเป็นปกติ ความเป็นพื้นฐาน คอมมอนเซนส์ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่การต่อสู้ยิ่งใหญ่ซับซ้อน น้องๆ มัธยมออกมาต่อสู้เรื่องทรงผมก็เป็นความคิดพื้นฐานว่า ผมสั้นผมยาวไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญา เราสู้บนพื้นฐานว่า การทำรัฐประหารเข้ามานิรโทษกรรมตัวเอง มันผิดปกติ เราสู้บนพื้นฐานว่า การเลือกตั้งนั้นปกติ การแต่งตั้งพวกพ้อง 250 คนมันผิดปกติ สังคมไทยไม่กล้าปริปากถึงความผิดปกติต่างๆ อีกมาก
“เราแค่ก้าวผ่านความกลัวมาสู้บนพื้นฐานแบบง่ายๆ โคตรง่ายแต่ผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด ไม่มีประเทศไหนที่นักวิชาการต้องลี้ภัย”
“เขากลัวและพร้อมทำทุกอย่างที่จะทำให้เรื่องผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติอีกครั้ง เขาพร้อมจะจับคนที่พูดความจริงไปติดคุก ทั้งที่มันเป็นคอมมอนเซนส์ เขาพร้อมจะทำรัฐประหารอีกครั้ง เพราะวันนี้มีการระดมทหารจากต่างจังหวัดมาในกทม.จำนวนมาก”
“คนรุ่นผมอยู่กับความผิดปกติจนเป็นปกติ เข้าโรงหนังเพลงสรรเสริญดังขึ้น ขนาดหลับก็ต้องลุกเพราะมันถูกปลูกฝังมาจนชิน ทุกวันนี้ใครยืนดูผิดปกติ คนเจเนอเรชันใหม่กำลังขยับขึ้นมาแทนอย่างมีนัยสำคัญ คน 18-19 ปี อีก 5 ปีจะสมัครส.ส.ได้ คน 25-30 ปี อีก 5 ปี คนเหล่านี้จะเป็นรัฐมนตรีได้ วันนั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะมาถึง” อานนท์ระบุพร้อมย้ำว่าปีหน้าก็อาจจบแล้วเนื่องจากคนทั้งประเทศตื่นแล้ว คนตื่นแล้วจะไม่หลับอีก
“วันนี้เราเรียกร้องให้สถาบันปฏิรูป ไม่ได้เรียกร้องเป็นอย่างอื่น แต่ถ้าวันใดท่านคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากระบอบประชาธิปไตย วันนั้นคือเราขาดกัน และการต่อต้านการรัฐประหารจะทำทุกวิถีทางให้กลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตย ใช้คอมมอนเซน์ สู้แบบพื้นฐานความเป็นมนุษย์นี่แหละ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พี่น้องอาชีวะมีความสามารถในการแกะรถถังให้เป็นเศษเหล็ก ผมเชื่อว่าพี่น้องวิจิตรศิลป์สามารถสาดสีพ่นสีต้านรัฐประหารได้ ผมเชื่อมั่นในพี่น้องคนอีสานคนใต้จะเอาปลาร้าน้ำบูดูมาสาดใส่ทหารที่รัฐประหาร และเชื่อมั่นว่าพี่น้องทั้งหมดจะมาร่วมต้านรัฐประหารหากมีใครคิดจะทำ การต้านรัฐประหารจะไม่มีใครเป็นแกนนำ ทุกคนเป็นอิสระ เป็นแกนนำของตัวเอง นี่คือพันธสัญญาร่วมกัน”
@@@ ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา กล่าวว่า หากมีรัฐประหารเกิดขึ้น เชื่อว่าจะมีประชาชนออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากกว่าในอดีต เป็นแสนเป็นล้าน เราต้องออกมาต่อต้าน คัดค้าน เป็นการยืนยันว่ามีคนที่ไม่เอาเผด็จการ ออกมาชูสามนิ้ว ออกมาทำอะไรก็ได้แสดงให้เห็นว่ามีมนุษย์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ใช้กำลังแก้ปัญหาทางการเมือง
“ปัญหาของสังคมไทยมันมีมานานมากแล้ว เราวนหลูปแบบนี้เพราะวัฒนธรรมการเมืองแบบผิดๆ ที่ปล่อยให้คนทำรัฐประหารลอยนวล สังคมที่ผู้มีอำนาจใช้กฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม จำกัดความคิดทางการเมือง เพราะคุณไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าประชาชนเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อก่อนชาติคือสถาบัน แต่วันนี้ชาติคือประชาชน คำว่า คน ไม่ใช่คนที่ก้มกราบ แต่เป็นคนที่ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี แค่เราเปลี่ยนความคิดของเราในการมองคน ในการมองตัวเอง แค่นี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เลิกดูถูกตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณกับเจ้าก็มีความเป็นคนเฉกเช่นเดียวกัน”
“ความจนของเราไม่ใช่เพราะเราเกิดมาเป็นเช่นนั้น เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ที่มันจนเพราะโครงสร้างทางการเมืองไม่เป็นธรรม ทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม ใครเป็นคนผูกขาดทางเศรษฐกิจ แรงงานคนชั้นล่างเป็นคนสร้างโลก สร้างทางที่สะดวกสบาย สร้างห้างสรรพสินค้าใหญ่โต แต่พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีที่จะยืนในสังคมไทยได้อย่างภาคภูมิใจ ... สำหรับคนที่ออกมาต่อสู้ใหม่ๆ ขอปรบมือชื่นชมความกล้าหาญ คุณมองได้ไกลมากกว่าตัวเอง มองเห็นคนอื่น มองเห็นผู้ทุกข์ยาก เห็นอกเห็นใจคนที่ถูกกดขี่ นี่คือความเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อฆ่ากัน เกลียดกัน ที่เราเกลียดกันเพราะถูกหล่อหลอม อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่เคยพูดถึงความเป็นมนุษย์เลย เขาทำให้คนเหมือนๆ กันทั้งที่เราไม่เหมือนกัน เรามีความหลากหลายแต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ เราต้องการความยุติธรรม ความถูกต้อง”
“คณะรัฐประหารเวลาเข้ามาจะอ้างแพทเทิร์นไม่กี่แบบ หนึ่งคือความขัดแย้ง ความวุ่นวาย จริงๆ ความขัดแย้งตอนนี้กับหกปีที่แล้วก็เหมือนเดิม ความขัดแย้งในสังคมไทยเรื่องเดิมคือความไม่ยุติธรรมทุกมิติ ปัญหามีมาตลอด แต่รัฐบาลประยุทธ์ให้เราหยุดพูดถึงปัญหา เขาไม่ได้แก้ปัญหา แค่ให้หยุดพูด นี่คือวัฒนธรรมที่ไม่ดีของสังคมไทย เราต้องหยุดวัฒนธรรมของการนิ่งเฉย วัฒนธรรมของการสยบยอม เราต้องกล้าหาญแล้วออกมาสู้กับความอยุติธรรม”
ไผ่กล่าวว่า หากเกิดรัฐประหาร ไม่ว่าอยู่ไหนทำอะไรอยู่ต้องออกมารวมกัน, ใครมีรถเอารถมาจอดเป็นม็อบคาร์ สิ่งที่ทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้รวมกันก็มีพลัง ถ้าใครนึกอะไรไม่ออก ลุกออกมายืนชูสามนิ้วแล้วท่องว่า ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป ... ทำให้เขารู้ว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม สังคมนี้เปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนไม่กลัวอีกแล้ว เราจะออกมาต่อสู้ด้วยความรัก รักในความยุติธรรม รักในความเป็นมนุษย์
###
ภาพโดย Kan Sangtong Chana La Napat Thikamporn Tamtiang








Voice TV

องค์กรสิทธิฯ ทั่วโลกจับตารัฐบาลไทย
.
เวลา 17.00 น. สุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ ประเทศไทย ร่วมสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มราษฎร ที่บริเวณ 5 แยกลาดพร้าว กล่าวกับวอยซ์ว่า ตอนนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายองค์กรกำลังติดตามการชุมนุมทางการเมืองในไทยอย่างใกล้ชิด หลังเกิดความรุนแรงถี่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม หรือการแจ้งข้อหาที่มีโทษสูงแก่ผู้ชุมนุม
.
สุนัย กล่าวอีกว่า องค์กรสิทธิฯ หลายองค์กรประเมินว่ารัฐไทยไม่ทำตามข้อตกลงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยการให้พลเมืองสามารถชุมนุมทางการเมืองได้อย่างสงบ เพราะรัฐไทยไม่ได้อำนวยความสะดวก รวมถึงรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมรวมตัวได้ตามสิทธิได้อย่างสงบและปลอดภัย
.
ตรงกันข้ามรัฐไทยกลับปราบปราม สลายการชุมนุมประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปิดกั้น ขัดขวางการแสดงออกทางการเมือง
.
"เราประเมินว่าตอนนี้ผู้ชุมนุมยังชุมนุมกันอย่างสงบ สันติ และอยู่ในกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยและตามข้อตกลงกติการะหว่างประเทศอยู่"
.
อีกหนึ่งความกังวลที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเป็นห่วงคือ ความรุนแรงในที่ชุมนุมจากตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ อย่างกลุ่มอันธพาลฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาก่อเหตุความรุนแรงในที่ชุมนุม
.
ดังนั้นเขาจึงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติกับผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่ดูแล อำนวยความสะดวกกับฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลเพียงอย่างเดียว
.
วิสัยยศ จันทร์แก้ว
#VoiceOnline





[full-post]



สุขุม สมหวัง ยังวัน
ใครแพ้ใครชนะ (2)
ตอนที่ 1 >>https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10217627302983111&id=1494837804
คราวนี้มาพูดถึงฝ่ายประชาธิปไตยกันบ้าง
1. คณะราฎร ประกาศล่วงหน้าถึงการชุมนุมครั้งต่อไปที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นเวลาเกือบอาทิตย์เต็มๆ ข้อดีคือทำให้ประชาชนรู้จุดหมายล่วงหน้า สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้า และศึกษาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน และรู้ว่าเป้าทางการเมืองของการชุมนุมครั้งนี้คืออะไร
แต่ข้อเสียคือ ทำให้ฝ่ายรัฐ สามารถเตรียมการต่อต้านล่วงหน้าได้อย่างแน่นหนา จนยากที่จะตีฝ่าเข้าไปได้
ยิ่งใกล้กำหนดนัด ยิ่งมีเสียงเรียกร้องหนาหูขึ้นเรื่อยๆให้ "แกง" หรือ "เท" เป้านั้นเสีย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากแกนนำแทบจะในทันที จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานที่เป็นอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเย็นวันสุกดิบ และเปลี่ยนอีกครั้งเป็นที่ SCB ในคืนเดียวกัน ทำให้ราเห็นว่า
1.1 ทุกคนคือแกนนำอย่างแท้จริง แกนนำรับฟังเสียงของมวลชนอย่างแท้จริง ขบวนการนี้ เป็นขบวนการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มิได้ขับเคลื่อนด้วยการชี้นำจากแกนนำเพียงกลุ่มเดียว
1.2 ความยืดหยุ่นอ่อนตัว ไม่เข้าเผชิญหน้าอย่างดึงดันหักหาญ โดยมีเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลักชัย
1.3 ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของมวลชนอย่างดีเยี่ยม ทำให้มวลชนยิ่งเชื่อมั่นต่อขบวนการนี้ ที่จะทำให้มีคนเข้าร่วมมากยิ่งขึ้นในอนาคต
2. เป้าหมายทางการเมืองหลัก คือเปิดโปงการฉ้อฉลทรัพย์สินของแผ่นดิน ในรูปของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นสัญลักษณ์ เมื่อสำนักงานทรัพย์สินฯ ถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนา ก็กำหนดเป้าใหม่ที่ SCB ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญไม่แพ้กัน และผลทางการเมืองก็ชัดเจนแล้วว่า สามารถเปิดโปงจนบรรลุผลทางการเมืองได้สมเจตนารมณ์ การปราศรัยที่พุ่งเป้าใส่ชนชั้นปกครอง มีทั้งข้อกฎหมาย และตัวเลขที่อ้างอิงได้อย่างมีน้ำหนักแน่นหนา ทำให้ชนชั้นปกครองตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างจนต่อหลักฐาน
3. มีบุคคลชั้นนำอย่างอ.สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ หนึ่งในปัญญาชนสยามและผศ.ดร.ษัษฐรัมย์​ ธรรมบุสดี​ แห่ง มธ. กล้าประกาศตัวเข้าร่วมขบวนการนี้อย่างชัดเจนเปิดเผย ย่อมสร้างผลสะเทือนอย่างลึกล้ำต่อวงการนักวิชาการและปัญญาชนไทย ทำให้เชื่อได้ว่า เร็วๆนี้ จะต้องมีบุคคลอื่นๆ ออกมาเปิดตัวสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นอีกแน่นอน
4. ยุทธวิธีมุ้งมิ้ง แต่แฝงนัยอย่างเหนือชั้นทันยุค แกนนำประกาศเชิญชวนมวลชน แต่งกายมาม็อบแบบมุ้งมิ้งจัดเต็ม แม้แต่ตัวแกนนำคนสำคัญอย่างเพนกวิน หรือทนายอานนท์ ก็ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยชุดเป็ดสีเหลืองน่ารักน่าเอ็นดู เป็นภาพที่ขัดแย้งกันอย่างยากจะเชื่อได้ว่า พวกเขาคือคนที่ขึ้นปราศรัยในเรื่องอันหมิ่นเหม่อย่างเผ็ดร้อน และได้สาระสำคัญครบถ้วน เป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้บรรยากาศของม็อบเป็นไปอย่างผ่อนคลายไม่เคร่งเครียด มวลชนได้รับเนื้อหาของคำปราศรัยไปอย่างเต็มๆ
ที่เด็ดสุดของม็อบคืนนี้ คือคูปองเป็ดแทนเงินสดของราษฎร เป็นคูปองหน้าตาน่ารักน่าชัง แต่แฝงความหมายลึกซึ้ง สั่นสะเทือนวงการการเงินการคลังของประเทศ ลึกซึ้งจนสื่อหลักบางแห่ง เอาไปทำสกู๊ปพิเศษออกอากาศเผยแพร่ไปทั่วโลก
นอกจากจะสามารถใช้จับจ่ายสินค้าจากรถ CIAได้จริงแล้ว ยังกลายเป็นของสะสมระดับ rare item ที่ผู้คนอยากได้ไว้ในคอลเล็คชั่นส่วนตัว เราจะไม่แปลกใจเลยว่า ม็อบครั้งหน้า หากแกนนำประกาศว่าจะมีการแจกคูปองนี้อีก นักสะสมทั้งหลาย จะแฝงตัวเข้ามาในม็อบ เพื่อเก็บสะสมคูปองนี้อย่างล้นหลาม นับว่าเป็นอุบายที่แยบยลลึกซึ้งเหนือคำบรรยายจริงๆ
5. จากแกงเทโพเป็นแกงโฮะ การย้ายสถานที่ชุมนุมอย่างฉับพลันทันการณ์ ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ขนเอาบังเกอร์ ตู้คอนเทนเนอร์ และกองกำลังหลายสิบกองพัน ออกมาเตรียมตั้งรับอย่างเอิกเกริกโกลาหล แล้วถูกเท หรือถูกแกงอย่างเจ็บแสบซึ่งๆหน้า ยิ่งทำให้ชนชั้นปกครองไทย กลายเป็นตัวตลกเอกในเวทีโลก ชาวบ้านออกมาก่นด่ากันขรม เพราะทำให้รถติดไปทั่วกรุง ความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาลที่มีน้อยอยู่แล้ว ลดต่ำลงเป็นติดลบภายในชั่วข้ามคืน ภาวะรัฐล้มเหลว กำลังกัดกินรัฐบาลจนถึงกระดูก
6. กระแสสื่อเริ่มตีกลับ เริ่มมีสื่อกระแสหลัก พูดถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา หลังจากที่ต้องละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจมานาน เท่ากับการทลายเพดานของสื่อให้เปิดโบ๋โล่งโจ้งขึ้น นั่นจะบังคับให้สื่ออื่นๆ ต้องนำเสนอข่าวในทำนองเดียวกันนี้กว้างขวางกว่าที่เคยเป็นมา
7. มาตรา 112 สิ้นมนต์สะกด แต่กลับกลายสภาพเป็นมนต์ดำย้อนเข้าแช่งชักชนชั้นปกครองไทยเอง ทั้งรัฐมนตรีสวีเดน ทั้งองค์กรทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศ ที่มีภรรยาของดาราดังเป็นตัวแทน และอีกหลายองค์กร จากหลายประเทศ ดาหน้าออกมาประสานเสียงคัดค้านการใช้กฎหมายมาตรานี้กันโดยไม่ต้องนัดหมาย แต่หากเขาจะดึงขืนดึงดันใช้ต่อไป อย่าว่าแต่เยอรมันนีที่เขาจะกลับไปเสวยสุขอีกไม่ได้เลย แค่จะเหยียบย่างออกจากกะลาเล็กๆใบนี้ ยังยากยิ่งที่จะทำได้
8. ก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ หลังจากม็อบผ่านการถูกปราบปราบด้วยรถฉีดน้ำผสมสารเคมีร้ายแรง และแก๊สน้ำตา และถูกอันธพาลลอบยิงมาสองครั้งสองครา ไม่นับรวมการจับกุมด้วยสารพัดข้อหาอีกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รวมกับการปล่อยข่าวลือ ข่าวลวงอีกสารพัด ม็อบไม่เพียงแต่ยังดำรงอยู่ได้ หากแต่กลับยิ่งเข้มแข็งขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ และมีแนวโน้มอย่างเห็นได้ชัดว่า กำลังก้าวกระโดดสู่คุณภาพใหม่ที่น่าตื่นใจ จะเห็นได้ชัดจากที่ก่อนสลายตัว ยังได้นัดหมายการชุมนุมล่วงหน้าในอีกเพียงสองวัน โดยปิดสถานที่นัดหมายเป็นความลับ
เป็นการตีเหล็กขณะที่กำลังร้อนแดง และสรุปบทเรียนข้อผิดพลาดจากครั้งก่อน เป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลมและทันสถานการณ์อย่างยิ่ง เพราะอย่าลืมว่า วันที่ 2 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ศาลรธน. มีนัดอ่านคำพิพากษาคดีตู่อยู่บ้านหลวง เป็นโอกาสสุดท้ายที่ชนชั้นปกครอง จะเปลี่ยนม้ารับใช้ หากยังดื้อด้านใช้ม้าตัวนี้ต่อไป มีแต่จะพากันลงเหวกันทั้งม้าทั้งคนขี่
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอดีต ไม่เคยสำเร็จลงได้ภายในวันสองวัน ต้องผ่านการต่อสู้อย่างเข้มข้นยาวนานทั้งสิ้น ถ้าเรานับเอาการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 มิ.ย. 2475 เป็นหมุดหมายแรก จนถึงปีนี้ ก็รวมเวลาได้ 88 ปีเต็ม ตลอดเวลายาวนานเท่าอายุคนคนหนึ่งนี้ อาจมีบางช่วงกระแสสูง บางช่วงกระแสตกต่ำ แต่เรากล้าพูดได้ว่า ไม่มีครั้งใดเลยที่กระแสการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์ จะสูงเท่าทุกวันนี้ ไม่มีครั้งใดเลยในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่ฐานรากอันแน่นหนามั่นคงของศักดินา จะถูกขุดเซาะให้สึกกร่อนโงนเงนได้ขนาดนี้
วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ใช่ด้วยพรหมณ์ หรือเทพองค์ใด หากแต่โดยสองมือของประชาราษฎรนี่ต่างหาก ที่เหลือก็เพียงแค่เดินหน้าไปช่วงชิงมันมาเท่านั้น ขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดของอาจารย์ษัษฐรัมย์​ วาทะแห่งค่ำคืนวานที่ว่า "เมื่อเรากล้าจะยืนขึ้น เราจะเห็นว่าศัตรูของเราตัวเล็กนิดเดียว"
ประชาชนจงเจริญ!




สุขุม สมหวัง ยังวัน

ใครแพ้ใครชนะ (1)
ม็อบ 25 พ.ย. 63 ที่มีเป้าหมายเดิมที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนจุดนัดพบถึงสองครั้ง เป็นที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย และมาจบที่ SCB ได้สะท้อนความจริงให้สังคมรับรู้ หลายประการ
1. ความแตกตื่นโกลาหลของศักดินาและสมุน เริ่มจากการใช้ ฮ.บินลาดตระเวนในระดับต่ำไปทั่วกรุง สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ประชาชนทั่วไป เขาคาดหวังว่า จะข่มขวัญให้ประชาชนเกรงกลัว แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้าน ที่ยังไม่รู้เรื่องม็อบวันนั้น หันมาสนใจ และสอบถามต้นสายปลายเหตุ และรับรู้เข้าใจเป้าประสงค์ของม็อบไปในที่สุด กลายเป็นลูกศรอาบยาพิษ ที่ย้อนกลับมาพุ่งใส่คนยิงเข้ากลางอกอย่างเหมาะเหม็ง
2. การปักป้าย"เขตพระราชฐาน" ไว้โดยรอบสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยต้องการสื่อเป็นนัยว่า "เขตใช้กระสุนจริง" พร้อมทั้งขนเอาตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งรายล้อมเส้นทางทุกสายที่มุ่งไปที่นั่น วางแนวลวดหนาม แบริเออร์ปูน ฯลฯ จนกลายเป็นกำแพงยักษ์ ที่สื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก กลับยิ่งเป็นการประจานความโฉดเขลาและขลาดกลัวของพวกเขาไปทั่ว ถึงขนาดบริษัทต่างชาติเจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ ที่มีเครื่องหมายการค้าติดอยู่ ต้องออกมาชี้แจงปฏิเสธความเกี่ยวพันของบริษัทตน กับรัฐบาลไทย ส่งผลให้ฝ่ายรัฐ ต้องสั่งให้สมุนบริวารเอาสีไปทาทับเครื่องหมายการค้าบนตู้ จนกลายเป็นการแสดงความโง่ซ้ำซ้อน เสียหายทางการเมืองหนักเข้าไปอีก
3. การระดมกองกำลัง ทั้งตำรวจ และทหาร เข้ามาจำนวนมหาศาล ทั้งมาในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบ อีกทั้งย่ามใจขนาดมาฝึกซ้อมการเผชิญเหตุกลางถนนในกรุง อย่างไม่แคร์สายตาประชาชน และสื่อมวลชน แทนที่จะเป็นการข่มขวัญมวลชน กลับยิ่งเป็นการประจานตัวเองหนักเข้าไปอีก
4. ทันทีที่แกนนำประกาศเปลี่ยนเป้าหมายเป็น SCB ธนาคารไทยพาณิชย์ ก็รีบสั่งปิดธนาคารทันที ความเสียหายทางการเงินในการปิดธนาคารแม้เพียงหนึ่งวัน คงมีมูลค่าหลายร้อย หรืออาจถึงหลายพันล้านบาท ไม่นับรวมความน่าเชื่อถือของธนาคารต่อนักธุรกิจทั่วโลก แล้วใครกันที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารแห่งนี้?
นี่ถ้าไม่ใช่การยกก้อนหินทุ่มขาตัวเอง จะเรียกว่าอะไร?
5. เอกสารลับของราชการแทบทุกระดับชั้นความลับ ไม่ว่า ปกปิด ลับ จนถึงลับมาก ถูกนำออกเผยแพร่ไปทั่วสังคมออนไลน์ และสื่อมวลชน สะท้อนให้สันนิษฐานไปได้สองแง่ แง่หนึ่ง มีหนอนบ่อนไส้แทรกซึมอยู่ในแทบทุกวงการ หรืออีกแง่หนึ่ง คือข้าราชการ ตำรวจและทหาร เริ่มไม่เห็นด้วยกับประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้น และนำเอกสารเหล่านั้นออกเผยแพร่เสียเอง
ไม่ว่าจะมองแง่ใด ย่อมสร้างความหวาดระแวงกันเองในหมู่ชนชั้นปกครอง จนยากจะจัดการปัญหาของฝ่ายตนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นับเป็นสัญญาณบอกเหตุที่สำคัญยิ่งของสภาพ"รัฐล้มเหลว"ที่กำลังเกิดขึ้น
6. การใช้อันธพาล มาปาระเบิดและยิงใส่การ์ดของผู้ชุมนุม ขณะกำลังสลายตัว จนเป็นเหตุให้ทีมการ์ดได้รับบาดเจ็บไปหนึ่งคน แต่ก็ต้องแลกกับผู้ก่อเหตุถูกจับตัวได้แทบจะในทันทีทันใด สะท้อนให้เห็น
6.1 ความจนตรอกของรัฐ ที่ไม่อาจใช้เครื่องมือที่ถูกกฎหมายในมือของตนได้แล้ว
6.2 ธาตุแท้ของความป่าเถื่อนอำมหิตของผู้เสียประโยชน์
6.3 ความมีประสิทธิภาพของกลุ่มการ์ดทุกกลุ่ม ที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทำให้การสืบหาผู้บงการ ทำได้ไม่ยากเย็นนัก ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้บงการ และผู้ลงมือ ต้องคิดหนักขึ้นที่จะก่อเหตุทำนองเดียวกันนี้อีกในอนาคต
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงด้านของความพ่ายแพ้ถอยร่นของชนชั้นปกครอง ก่อนที่จะพูดถึงด้านชัยชนะและการรุกไล่ของฝ่ายประชาชน แต่ดูแล้วข้อเขียนนี้ชักจะยาวเกินไป จึงขอยกไปเขียนอีกตอนหนึ่ง
To be continue... โปรดติดตาม.



 4 ข้อสงสัยที่เป็นเหตุผลว่า "ทำไมคนไทยผู้รักประชาธิปไตย รักความถูกต้องยุติธรรม ต้องไปสถานทูตเยอรมัน"-

.

1. นับตั้งแต่ในหลวงวชิราลงกรณ์ขึ้นครองราชย์

เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่ในหลวงวชิราลงกรณ์เลือกที่จะพำนักอาศัยอยู่ที่ประเทศเยอรมนีเป็นส่วนมาก โดยบินกลับมาประเทศไทยบ้างเพียงสองสามเดือนครั้ง?

.

2. เนื่องจากช่วงที่ในหลวงภูมิพลตายจากไป เป็นช่วงเวลาที่ในหลวงวชิราลงกรณ์อาศัยอยู่ที่เยอรมนี (ณ ขณะนี้ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยหลักอยู่ บินกลับมาประเทศไทยบ้างเพียงสองสามเดือนครั้ง) ดังนั้นในหลวงวชิราลงกรณ์จะต้องเสียภาษีมรดกให้กับประเทศเยอรมนีหรือไม่ หากจะต้องเสียจะต้องเสียเป็นจำนวนเท่าไร?

.

3. ในหลวงวชิราลงกรณ์ใช้อำนาจอธิปไตยขณะพักอาศัยในเยอรมนี เช่น ลงนามในกฎหมาย ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการ ออกพระบรมราชโองการที่ส่งผลต่อการเมืองหรือไม่ กรณีเหล่านี้เป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศเยอรมนีอันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในทางระหว่างประเทศหรือไม่?

.

4. ทางประเทศเยอรมนีจะยอมให้ข้าราชบริพารของในหลวงวชิลาลงกรณ์ที่อาจจะมีพฤติการณ์เข้าข่ายการซ้อมทรมาน อุ้มหาย ประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง รวมถึงข้าราชบริพาร ได้พักอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมันนีที่เคารพในสิทธิเสรีภาพของมนุษย์อย่างยิ่งต่อไปหรือไม่

.



Voice TV

"ตาและหัวใจสว่าง"
"อดีตมีแต่คนกลัว ตอนนี้มีแต่คนกล้า"

.
ที่แยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน การชุมนุมของคณะราษฎร บัณฑิต อาร์ณีญาญ์ วัย 80 ปี ผู้ถูกดำเนินคดีผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำนวน 4 คดี ร่วมชุมนุมแยกราชประสงค์วันนี้ กล่าวว่า ตอนนี้ประชาชนตื่นแล้ว "ตาและหัวใจสว่าง" กว่าในอดีต เชื่อว่าไม่นาน เผด็จการจะพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ
.
ชายคนนี้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 ครั้งเเรกเมื่อปี 2518 เล่าว่า เห็นการเติบโตทางความคิดของประชาชนเรื่อยมาตลอด จากอดีตที่มีแต่คนกลัว ผิดกับปัจจุบันมีแต่คนกล้า
.
"สมัยก่อนใครกล้า เขาหาว่าบ้า เจ้าหน้าที่บอกว่าผมเป็นบ้าถึงสองคดีก่อนจะยกฟ้อง แต่คนอื่นบอกว่าผมมาก่อนกาล" เขาบอก จำเป็นต้องมีคนเกิดก่อนกาล "ไม่อย่างนั้นไม่ได้เกิดซะที"
.
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ครั้งที่ 3 ของบัณทิตถูกยกฟ้อง ขณะที่คดีที่ 4 อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ซึ่งจะมีความคืบหน้าในเดือน พ.ย.นี้
.
ชายวัย 80 ปี แสดงความคิดเห็นต่อการไล่จับแกนนำและผู้ชุมนุมของภาครัฐว่า "โง่มาก" เป็นการตัดสินใจที่ผิดของคนหวงอำนาจ ทางออกที่ถูกต้องคือยอมรับปัญหา รับฟังข้อเสนอ เจรจาอย่างสันติ เพื่อนำประเทศชาติไปข้างหน้าอย่างมีอนาคต
.
"เสียเวลามาก ชนะประชาชนแบบนี้ คุณอยู่ได้ไม่นาน"
.
บัณฑิตบอกว่าวันนี้เขามาร่วมชุมนุมและขายสินค้า ที่เผยเเพร่ข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นคน
.
"รวยเมื่อไหร่ ผมจะเอาข้อความเหล่านี้ไปประกาศให้ทั่วเสาไฟฟ้าทุกต้นเลย" เขาบอก
เสกสรร โรจนเมธากุล
#VoiceOnline
#ม็อบ25ตุลา
#แยกราชประสงค์
#WhatsHappenningInThailand



Voice TV - Talking Thailand

ยืนยันจะต่อสู้กับเผด็จการที่คอยกดทับ ยืนยันพวกเราไม่ได้ชังชาติและมั่นใจว่าเราปรารถนาดีต่อชาติ

23 ต.ค.63 นางสาวภัสสราวารี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ มหานคร ย้ำว่าเพื่อนเราที่เข้าไปเป็นนักสู้ และยืนยันจะต่อสู้กับเผด็จการที่คอยกดทับเราดังนั้นจึงไม่ควรมีใครที่ถูกกระทำเช่นนี้ ไม่ควรมีใครถูกกระทำเยี่ยงอาชญากรเพียงเพราะแค่นิยามคำว่ารักชาติต่างกัน ยืนยันพวกเราไม่ได้ชังชาติไปน้อยกว่าใคร และมั่นใจว่าเราปรารถนาดีต่อชาติไม่แพ้กับพวกที่อยู่ในสภา

หากผู้มีอำนาจรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิดให้เร่งปล่อยตัวเพื่อนของเรา เราทุกคนมารอรับเพื่อนเราอยู่ที่นี่ หากรัฐบาลปล่อยตัวเพื่อนเราทุกคนจะถือเป็นการ ถอยคนละก้าวด้วยความจริงใจ
เรามีความหวังว่าทุกคนจะได้อิสรภาพกลับคืนมาตามที่ควรจะได้ หลายคนมีหน้าที่ทางการศึกษา แต่เพื่อนเรากลับถูกจำกัดอิสรภาพ เพราะไม่ต้องการให้เพื่อนเราออกมาสอบ พร้อมย้ำว่าการถอยที่เราจะยอมรับได้ในขั้นแรกคือรัฐบาลต้องปล่อยตัวนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกคนให้อิสรภาพทุกคน อย่าปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของพวกเรา และหลังจากนี้ต้องไม่มีประชาชนคนใดถูกดำเนินคดีทางการเมืองอีก

พร้อมยืนยันว่าหน้าที่ในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ คือหน้าที่ของทุกคนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการตรวจสอบและ วิพากษ์ วิจารณ์คือการทำหน้าที่ของประชาชนไทย
โดยระบุด้วยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีศักยภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จึงต้องยอมถอยและลาออก

ขณะเดียวกันย้ำว่าการปฏิรูปสถาบันไม่ใช่การล้มล้าง แต่การปฏิรูปจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาลดความขัดแย้งในสังคมไทย และสถาบันจะกลับมาอยู่ในจุดที่เป็นมิ่งขวัญอย่างที่ควรจะเป็น "แปลว่าทำให้ดีขึ้นไม่ใช่ล้มล้างจำเอาไว้"



Chaturon Chaisang

รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร มีผู้นำเป็นอดีต ผบ.ทบ. ที่เอาเรื่องความตายมาข่มขู่นักเรียนนักศึกษาได้อย่างหน้าตาเฉย การใช้ความรุนแรงต่อนักเรียนนักศึกษาประชาชนจึงเกิดขึ้นเพื่อรักษาอำนาจของพวกตนโดยไม่มีความละอายใดๆ
ขอประณามการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมและการใช้ความรุนแรงของรัฐในครั้งนี้
รัฐบาลที่บังคับใช้กฎหมายโดยปราศจากหลักนิติธรรม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไร้เหตุผล จับนักศึกษาประชาชนไปขังตามอำเภอใจ ลิดรอนเสรีภาพสื่อและประชาชน กระทั่งใช้ความรุนแรงปราบประชาชน ย่อมจะปกครองไม่ได้ แม้รักษาอำนาจไว้ได้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น
#หยุดทำร้ายประชาชน
#หยุดคุกคามประชาชน
ขอบคุณภาพจากข่าวสด



Voice TV

ม็อบแสดงพลังชุมนุม เจอกัน 5 โมงเย็น 16 ต.ค.

มวลชนร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากจนถึงช่วงท้ายสุดท้ายก่อนปิดเวทีแยกราชประสงค์เพื่อยุติการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 15 ต.ค. 2563 โดยคณะราษฎร 2563 นัดหมายชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 16 ต.ค. 2563 เวลา 17.00 น. ที่แยกราชประสงค์ ขณะเดียวกันยังมีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุุว่าหากมีการรัฐประหารหรือมีรัฐบาลแห่งชาติ ก็จะออกมาต่อต้านจนถึงที่สุด
โดยแกนนำคณะราษฎรได้วางยุทธศาสตร์การต่อสู้ให้ชุมนุมไปเรื่อยๆ แต่ไม่ปักหลักยืดเยื้อ ซึ่งเป็นยุทธวิธีดาวกระจายหรือ 'ฮ่องกงโมเดล'
ในขณะที่ท่าทีของทางตำรวจที่แถลงเมื่อเวลา 22.30 น. ยืนยันจะไม่จู่โจมหรือจับกุมแกนนำม็อบในทันที แต่จะให้วิธีการดำเนินคดีกับแกนนำทุกรายตามกฎหมาย
อ่านต่อ https://www.voicetv.co.th/read/158OxcuU4
เสกสรร โรจนเมธากุล




การเมืองไทย ในกะลา

สภานิสิตนศ.จุฬาฯ-มธ.-มหิดล ออกแถลงการณ์ป้องม็อบคณะราษฎรไม่ได้หมิ่นสถาบัน
สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสภานักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันออกแถลงการณ์เรื่อง การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคม และสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน มีเนื้อหาดังนี้


ตามที่ได้มีการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณทำเนียบรัฐบาลและบริเวณใกล้เคียงในวันที่ 13-15 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินมาอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายความตึงเครียดลงนั้น
พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย ขอแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1.การจับกุมแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ในวันที่ 13 และ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าการดำเนินการจับกุมดังกล่าว จะเป็นไปตามหมายจับที่ศาลได้อนุมัติไว้ก่อนหน้า แต่การดำเนินการเกี่ยวกับการจับกุม รวมถึงการพิจารณาการประกันตัวผู้ต้องหานั้น จะต้องเป็นไปโดยธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาที่ไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือพฤติการณ์อื่น ๆ ตามมาตรา 108/1 ได้มีสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดี และต้องให้ผู้ต้องหานั้นมีสิทธิในการติดต่อทนายความได้ พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย จึงขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้บังคับกฎหมายอย่างเป็นธรรม และไม่ใช้บังคับกฎหมายและดำเนินการจับกุมเพียงเพราะต้องการให้การชุมนุมนั้นยุติลงหรือเพียงเพื่อขัดขวางไม่ให้แกนนำผู้ชุมนุมนั้นได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป
อนึ่ง พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัยได้รับข่าวสารว่า มีนิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ถูกจับกุมเนื่องในการชุมนุมในวันดังกล่าวด้วย พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย จึงขอเรียกร้องไปยังทางมหาวิทยาลัยประสานงานช่วยเหลือนิสิตดังกล่าวเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวฯ โดยพวกเราเชื่อว่า “ไม่มีบุคคลใดต้องถูกจับกุมเพียงเพราะเขามีความเห็นต่าง”
2.การสลายการชุมนุมและการขอคืนพื้นที่เมื่อเย็นวันที่ 13 ตุลาคม และคืนวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา การดำเนินการสลายการชุมนุมและขอคืนพื้นที่นั้นจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้มีการร้องขอต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดก่อนตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้ารื้อที่ตั้งของผู้ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม จึงมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการสลายการชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 14 ตุลาคมนั้น คาดว่าน่าจะเป็นการสลายการชุมนุมโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่อย่างไรก็ดี การสลายการชุมนุมนั้นก็คงยังต้องเป็นไปตามหลักสากลและคำนึงถึงการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่พึงสลายการชุมนุมในช่วงเวลายามวิกาล พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย จึงขอเรียกร้องไปยังผู้บังคับใช้กฎหมาย ให้ใช้บังคับกฎหมายอย่างละมุนละม่อม จากเบาไปหาหนัก เพื่อมิให้เกิดความรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้น
3.กรณีขบวนเสด็จพระราชดำเนินผ่านมาบริเวณที่กลุ่มผู้ชุมนุมปิดทางจราจรอยู่ กรณีนี้ พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย เห็นว่า การชุมนุมในบริเวณดังกล่าว แม้ส่งผลให้ขบวนเสด็จพระราชดำเนินฯ นั้นต้องชะลอตัวลงอยู่บ้าง แต่ก็มิได้เกิดความรุนแรงหรือการกระทำใดอันอาจถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แต่อย่างใด ทั้งนี้ พวกเรา ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้งสามมหาวิทยาลัย เห็นว่า ไม่ควรมีผู้ใดนำเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ไปบิดเบือนหรือไปใช้ปลุกระดมมวลชนเพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือความกระทบกระทั่งระหว่างกัน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ เช่น เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ต้องเกิดขึ้นอีก และเพื่อไม่ให้เป็นการเปิดทางไปสู่การรัฐประหารในอนาคต
ทั้งนี้ สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสภานักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีและการเจรจาในการแก้ไขปัญหา เคารพสิทธิ เสรีภาพและความเห็นต่างทางการเมือง เพื่อระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนต่อไป
ผู้แทนนิสิตนักศึกษาสามมหาวิทยาลัย




Chaturon Chaisang

การใช้กำลังจับนักศึกษาและควบคุมตัวไปอย่างที่ตำรวจทำในวันนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามเจตนาและตัวบทกฎหมายของพรบ.การชุมนุมฯ

การชุมนุมโดยไม่แจ้งให้ตำรวจทราบก่อนในพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ต้องห้าม หากเป็นความผิดก็มีโทษสถานเบาคือโทษปรับเท่านั้น

แม้มีการชุมนุมในพื้นที่ต้องห้าม ตำรวจก็ยังต้องไปชี้แจงเจรจาก่อน และจะให้ยุติการชุมนุมก็ต้องร้องขอให้ศาลสั่ง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นซึ่งหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการหรือสาธารณชน

การที่ตำรวจใช้กำลังจับนักศึกษาโดยไม่แจ้งสิทธิ์ ไม่แจ้งข้อหาครั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นผลดีต่อการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือการกระทบกระทั่งจนอาจบานปลายไปได้

ไม่ทราบว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหลายต้องการอะไรและคำนึงหรือไม่ว่าจะมีผลอย่างไร









iLaw
YoetsrhterdaSayoitdopsSnofns ogaSdtrl 2:3u5ti PrhMed ·

สาวตรี สุขศรี: แก้กฎหมายละเมิดอำนาจศาล กำหนดบทลงโทษผู้พิพากษา และสร้างกลไกตรวจสอบอิสระจากภายนอกคือสามเรื่องเร่งด่วนของการปฏิรูประบบยุติธรรมไทย

.
สาวตรีระบุว่า หน้าที่หลักๆของศาลคือการค้นหาความจริง ตัดสินข้อพิพาท รวมทั้งกำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด การที่ศาลสามารถให้คุณให้โทษรวมถึงสามารถสั่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนได้ย่อมจะทำให้มีผู้ที่เสียประโยชน์จากการทำหน้าที่ของศาลจึงต้องการกลไกเรื่องเครื่องมือพิเศษที่จะใช้เพื่อคุ้มครองให้ศาลสามารถเอานวยความยุติธรรมไปตามข้อเท็จจริงของพยานหลักฐานโดยปราศจากการแทรกแซง
.
กฎหมายละเมิดอำนาจศาลเป็นกฎหมายที่ใช้กันในหลายประเทศรวมทั้งประเทศประชาธิปไตย ประเทศอย่างอังกฤษซึ่งใช้ common law หรือกฎหมายจารีต จะให้ความคุ้มครองผู้พิพากษาในกฎหมายละเมิดอำนาจศาลอย่างกว้างขวางโดยหมายรวมถึงการคุ้มครองเกียรติของผู้พิพากษา ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้ระบบ common law เหมือนกันจะมีขอบเขตกฎหมายละเมิดอำนาจศาลที่แคบกว่าคือมุ่งเน้นคุ้มครองความสงบภายในศาลและห้องพิจารณาเท่านั้น แต่การวิพากษ์วิจารณ์ศาลเป็นเรื่องที่สาธารณชนสามารถทำได้ เพราะ Free Speech หรือเสรีภาพในการพูดถือเป็นคุณค่าที่สหรัฐให้ความสำคัญอันดับต้นๆในฐานะบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 1
.
สำหรับประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรหรือ civil law กำหนดกรอบความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไว้แค่การรักษาความเรียบร้อยระหว่างการพิจารณาคดีเท่านั้น หากการกระทำเป็นความผิดอื่น เช่น คู่ความหมิ่นประมาทผู้พิพากษา หากจะดำเนินคดีผู้พิพากษาต้องไปฟ้องคดีตามปกติ แต่ไม่ใช่การละเมิดอำนาจศาล นอกจากนั้นโทษของความผิดนี้ก็เป็นแค่เชิญออกนอกห้องพิจารณาคดีหรือหากไม่เชื่อฟังก็จะเป็นโทษกักขังแต่ไม่ใช่โทษจำคุก และระยะเวลาของการละเมิดข้อกำหนดศาลก็ไม่เกิน 1 สัปดาห์ เท่านั้น
.
ที่สำคัญความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลก็เป็นความผิดที่มีการประกันหลัก due process หรือการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมรับรองไว้ด้วย เช่นการมีทนายความหรือต้องใช้องค์คณะอื่นที่ไม่ใช่องค์คณะที่มีข้อพิพาทเรื่องการละเมิดอำนาจศาลเป็นผู้พิจารณา ซึ่งต่างจากกรณีของไทยที่ การไต่สวนและการมีทนายความไม่ได้เป็นการบัญญัติไว้ในตัวบทกฎหมายแต่เป็นดุลพินิจหรือความเมตตาของศาลในแต่ละองค์คณะ
.
ในกรณีของไทยกฎหมายละเมิดอำนาจศาลที่มีครั้งแรกย้อนไปถึงสมัยกฎหมายตราสามดวงที่พูดด้วยภาษาปัจจุบันสรุปได้ว่า หากคู่ความโต้เถียงกัน ให้ศาลห้ามปราม หากผู้ใดไม่ฟังให้เสมียนศาลนำไปจำขื่อไว้จนค่ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายเพียงแต่มุ่งคุ้มครองกระบวนการพิจารณาคดี มากระทั่งในร.ศ. 127 ที่มีการใช้กฎหมายลักษณะวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายไทยถูกตราโดยได้รับอิทธิพลจากกฎหมายอังกฤษ จึงมีการขยายความกฎหมายละเมิดอำนาจศาลให้กว้างจนกระทั่งต่อมาถึงในปัจจุบันที่เป็นความผิดตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง อย่างไรก็ตามสาวตรีก็เห็นว่าถ้าจะมีกฎหมายละเมิดอำนาจศาลในระบบกฎหมายไทยที่ยังพอทันสมัยอยู่บ้างก็คงเป็นในส่วนของศาลปกครองที่กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรว่า องค์คณะที่จะทำหน้าที่พิจารณาจะต้องไม่ใช่องค์คณะที่มีเหตุละเมิดอำนาจศาล และโทษจำคุกอยู่ที่ไม่เกิน 1 เดือน แต่ไปเพิ่มโทษปรับแทนเป็นไม่เกิน 50000 บาท และมีข้อยกเว้นว่าหากการวิพากษ์วิจารณ์การพิจารณาหรือคำพิพากษาเป็นไปโดยสุจริตหรือด้วยวิธีทางวิชาการไม่ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล
.
สาวตรีย้ำด้วยว่า แม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแล้วแต่ศาลยังคงตัดสินใต้พระปรมาภิไธย จนบางครั้งอาจรู้สึกว่าสถาบันศาลไปยึดโยงกับความศักดิ์สิทธิ์บางประการ
.
"หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อำนาจกษัตริย์ในการตัดสินคดีถูกยกเลิกไป แต่วาทกรรมที่ว่าศาลตัดสินใต้พระปรมาภิไธยยังคงอยู่ ทำให้ศาลรู้สึกว่าตนเองยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างเหนือประชาชน"
.
สาวตรีระบุด้วยว่าแม้ระบบยุติธรรมไทยจะมีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอยู่ แต่ก็เป็นระบบตรวจสอบภายในที่ไม่อยู่ในความรับรู้ของสาธารณะ ซึ่งตรงนี้ก็อาจทำให้สาธารณะมีคำถามถึงความเป็นอิสระของศาลได้ ที่ผ่านมาศาลมักกลัวว่าการกดดันของประชาชนในคดีที่เป็นประเด็นสาธารณะและเป็นที่สนใจจะกระทบต่อความเป็นอิสระของศาลจนเราเห็นกรณีที่มีคนไปชุมนุมที่หน้าศาลถูกดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล (คดีนักกิจกรรมละเมิดอำนาจศาลจังหวัดขอนแก่น) แต่ก็มีกรณีที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ทำคำพิพากษาแล้วถูกเรียกสำนวนไปตรวจแก้ในสาระสำคัญดังกรณีผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ตรงนั้นมีคำถามว่าเป็นการแทรกแซงภายในหรือไม่
.
สาวตรีทิ้งท้ายว่าหากในอนาคตจะมีการปฏิรูประบบศาล ส่วนตัวมองว่ามีประเด็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข 3 อย่าง 1. ควรมีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนกับผู้พิพากษาตัดสินคดีไปโดยไม่ชอบที่ไม่ใช่แค่เรื่องโทษทางวินัยแต่ต้องเป็นโทษทางแพ่งหรืออาญาด้วย 2.องค์กรตรวจสอบศาลต้องเป็นองค์กรภายนอกส่วนที่มาจะเป็นอย่างไรก็ไปถกเถียงกันต่อได้ แต่ถ้ายังกลไกตรวจสอบภายในเพียงอย่างเดียว สาธารณะก็คงอดมีข้อกังขาไม่ได้เหมือนที่มีข้อกังขาต่อการตัดสินคดีทหารโดยทหารศาลว่าจะเที่ยงธรรมมากน้อยแค่ไหน และสามคือต้องไปแก้ไขกฎหมายละเมิดอำนาจศาลให้มีความชัดเจนและแคบเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์คือเพื่อคุ้มครองความเป็นอิสระให้ศาลตัดสินคดีได้รวดเร็วและยุติธรรมเท่านั้น
-------------------------------------
วันที่ 7 ตุลาคม 2563 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้อง321 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชจัดเสวนาในหัวข้อเรื่อง "เสาหลักต้องเป็นหลักอันศักดิ์สิทธิ์ : บทบาทศาลท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน" เพื่อพูดคุยถึงการออกข้อกำหนดของศาลรวมถึงใช้กฎหมายละเมิดอำนาจศาลในบริบทที่ศาลถูกดึงมีเข้ามาเป็นผู้ตัดสินคดีทางการเมืองท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังครุกรุ่ม รวมถึงร่วมแลกเปลี่ยนหาตำแหน่งที่ของศาลที่ควรจะเป็นในท่านกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความแหลมคม งานวันนี้มีนักศึกษาประมาณ 20 คนและมีประชาชนทั่วไปราว 15 คนร่วมฟังการเสวนา โดยมีผู้ร่วมเสวนาสามคนได้แก่ รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ผ.ศ.สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสัณหวรรณ ศรีสด จากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ)
.
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >>> https://freedom.ilaw.or.th/node/855


Atukkit Sawangsuk

ชัดเจนครับ

1.ละเมิดอำนาจศาลต้องใช้บังคับในห้องพิจารณาคดีเท่านั้น
จะเอามาใช้โดยอ้างปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิอะไรไม่ได้
เพราะผู้พิพากษาเป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนเรา
2.ต้องมีกฎหมายเอาผิด บุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบือนความยุติธรรม โดยเฉพาะผู้พิพากษา ไม่ใช่ตัดสินอย่างไรก็ได้แล้วลอยนวล
อันนี้ไม่ใช่แค่ทุจริตนะ ทุจริตมีกฎหมายเอาผิดอยู่แล้ว
แต่หมายถึงตัดสินโดยอคติ โดยความลำเอียงทางการเมือง โดยไม่ยึดหลักกฎหมาย โดยไม่ยึดพยานหลักฐาน หรือพยานหลักฐานเห็นๆ กลับตัดสินไปอีกอย่าง
3.ต้องมีองค์กรตรวจสอบศาล แยกออกมาอยู่ภายนอก ไม่ใช่ศาลงุบงิบลงโทษกันเอง ประชาชนไม่กล้าร้องเรียน
ถ้าจะให้ครบถ้วนทั้งในแง่การเข้าสู่อำนาจและการตรวจสอบอำนาจ ต้องทำแบบอังกฤษ มีทั้งองค์กรตรวจสอบศาล และองค์กรคัดเลือกผู้พิพากษา
ไม่ใช่แบบไทย ศาลจัดสอบเอง อายุ 25 เอาไปอบรมให้อยู่ในจารีต ในกรอบความคิดอนุรักษ์นิยม ก่อนสอบผู้ช่วยฯ ก็ต้องสอบเนติบัณฑิต ซึ่งประธานศาลฎีกาเป็นนายกสภา คือครอบงำความคิดหมด
ของฝรั่งเขาคัดจากคนมีประสบการณ์ อายุเหมาะสม เช่น 35 มีผลงานเป็นทนายโจทก์จำเลยเข้าใจหัวอกคนที่อยู่ข้างล่างอยู่ใต้บัลลังก์ใต้อำนาจศาล ไม่ใช่เรียนจบแล้วก็เหาะมาอยู่บนหอคอยงาช้าง เจ้ายศเจ้าอย่างเป็นเจ้านายเจ้าชีวิตคน

 

วิวัฒนชัย วินิจจะกุล

“พ่อแม่มีลูกทั้งหมด 10 คน ผมเป็นลูกคนที่ 9 อายุห่างจากธงชัย (ธงชัย วินิจจะกูล) 9 ปี ชีวิตวัยเด็กเติบโตมาในตึกแถวสามชั้นครึ่งย่านท่าพระจันทร์ พ่อแม่ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ปี 2494 บ้านของเราเป็นร้านขายอาหาร ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผมอายุ 7 ขวบ จำได้ว่าได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ รับรู้ว่ามีการยิงกัน และเห็นธงชัยใส่ชุดนักเรียนมอมแมมกลับมาบ้าน ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบ อาม่า ผม และน้องสาวถูกพาไปอยู่บ้านของป้าแถวประตูน้ำชั่วคราว พ่อแม่คงกลัวว่าคนแก่และเด็กจะโดนลูกหลงจากเหตุการณ์ เพราะท่าพระจันทร์ก็อยู่ใกล้ธรรมศาสตร์และสนามหลวง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิในเวลานั้น

“เช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ร้านอาหารของเราปิดขายมาได้สักพักใหญ่แล้ว เพราะพ่อป่วยเป็นกระดูกกดทับเส้นประสาทบริเวณต้นคอ เขาต้องใส่เฝือกคอเกือบทั้งวัน เพื่อยึดไม่ให้คอหมุนไปมา หมอก็สั่งว่าห้ามทำงานหนัก ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ ตื่นเช้ามาเตรียมจะไปโรงเรียนเหมือนปกติ เดินลงบันไดมาก็แปลกใจ เพราะเห็นพี่ๆ ยังอยู่ในบ้าน ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าโรงเรียนประกาศหยุด สำหรับเด็กที่ยังไม่ได้เข้าใจเรื่องการเมืองลึกซึ้ง มุมหนึ่งก็ดีใจที่ไม่ต้องไปโรงเรียน อีกมุมก็เสียดายเพราะวันพุธมีวิชาวาดเขียน ซึ่งเป็นวิชาที่ชอบ ผมไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์นอกบ้านตึงเครียดขนาดไหน แต่ในความไม่รู้นั้น อีกด้านคือมันรับรู้จนเคยชิน ก่อนหน้านั้นเราเคยได้ยินเสียงปืนเป็นเรื่องปกติ คืนวันที่ 5 ต่อเนื่องเช้าวันที่ 6 เสียงปืนดังถี่ขึ้น เสียงแป๊กๆๆๆ เหมือนเสียงประทัดก็ดังอยู่ตลอด

“ช่วงสายของวันนั้น อยู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าวิ่งแตกตื่นเข้ามาในบ้านหลายสิบคน ทั้งทุบประตูบ้านขอเข้ามา และเข้ามาทางหน้าต่างชั้นสอง เพราะตึกแถวละแวกนั้นมีหลังคาเป็นระเบียงต่อกันเป็นแนวยาว หนึ่งในคนที่หลบเข้ามาคือพี่สาว เขาเป็นนักเรียนเตรียมอุดมฯ ที่หนีออกมาจากการชุมนุมในธรรมศาสตร์ หลายคนที่เข้ามาตัวเปียก เราต้องหาเสื้อผ้าใหม่ให้เปลี่ยน พวกเขาคงเดินเลาะเลียบรั้วธรรมศาสตร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาขึ้นที่ท่าเรือท่าพระจันทร์ ผมคิดว่าบ้านแถวนั้นคงรับคนเข้าไปหลบภัยกันทุกหลัง แต่คนเข้ามาที่บ้านของเราถือว่าโชคร้าย เพราะหลังจากนั้นไม่นาน สถานีวิทยุยานเกราะประกาศว่า บ้านเลขที่นี้-ชื่อร้าน ‘จิตรอารี’ คือบ้านของนายธงชัย วินิจจะกูล เป็นนักศึกษาแกนนำการชุมนุม และให้ที่พักพิงคนที่หลบรอดออกมาจากธรรมศาสตร์ เหมือนชี้นำกลุ่มอันธพาลการเมืองให้มุ่งหน้ามาทำร้ายคนในบ้าน พี่ๆ ต้องปีนบันไดขึ้นไปช่วยกันปลดป้ายร้านลงมา นับจากเช้าวันนั้นเป็นต้นมา เราไม่เคยเอาป้ายร้านกลับขึ้นไปติดอีกเลย

“ต่อมาก็มีตำรวจมาทุบประตู บุกเข้ามาพร้อมอาวุธ จำได้ว่าบางคนถือปืน M16 ด้วย จับกุมกวาดต้อนคนในบ้านออกไป พี่สาวคนที่หลบรอดออกมาจากธรรมศาสตร์เกือบถูกพาตัวไปด้วย ดีที่แม่รีบกระชากแขนกลับ แล้วบอกว่า ‘คนนี้ลูกของฉัน’ ผ่านไปสักพักมีตำรวจอีกชุดมาทุบประตูบ้านตะโกนถามซ้ำๆ ว่า ‘ธงชัยอยู่ไหน!’ ตอนนั้นคนที่อยู่ในบ้านมีพ่อ แม่ อาม่า พี่สาวสี่คน พี่ชายคนรองซึ่งเรียนอยู่ที่เทคโนฯ บางมด และไม่ได้ยุ่งอะไรกับเรื่องการเมือง เวลานั้นส่วนใหญ่ผมและน้องสาวอยู่กันที่ชั้นสอง พี่ชายเป็นคนลงไปเปิดประตู แล้วก็มีเสียงกรี๊ดลั่นของพี่สาวสักคน ผมรีบวิ่งลงมาตรงเชิงบันไดระหว่างชั้น มองไปที่หน้าบ้าน ได้ยินพี่สาวบอกว่าตำรวจใช้ปืนฟาดแล้วลากตัวพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว เขาคงดูเหมือนนักศึกษาที่ยังตกค้างอยู่ จากนั้นไม่ถึงอึดใจก็มีเสียงปืนกลดังกราด วินาทีนั้นคือบรรยากาศที่น่ากลัวที่สุด ไม่มีใครกล้าจินตนาการว่าเกิดอะไรกับเขา พ่อร้องไห้หันหน้าเอามือทุบผนัง คร่ำครวญว่าทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้กับครอบครัวของเรา

“บ่ายวันนั้น ลูกของป้ามารับพวกเราไปหลบพักอยู่บ้านป้าที่ประตูน้ำอีกครั้ง มีอาม่า พี่สาวสองคน ผม และน้องสาว ครั้งนี้ไปอยู่นานเป็นเดือนจนใกล้เปิดเทอม สรุปว่าพี่ชายของผมถูกจับติดคุก 3 คน คือ สองคนที่อยู่ในธรรมศาสตร์วันนั้น (ธงชัย และ ชวลิต วินิจจะกูล) และคนที่ถูกตำรวจใช้ปืนฟาดแล้วลากตัวออกจากบ้านไป (สุวิทย์ วินิจจะกูล) คนหลังถูกจับไม่นานก็ปล่อยตัวออกมาพร้อมกับผู้ต้องหาล็อตใหญ่ล็อตแรก ชวลิตถูกปล่อยออกมารอบสุดท้าย หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเข้าป่า ซึ่งตอนนั้นพี่สาวที่เรียนอยู่เตรียมอุดมฯ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนธงชัยเป็นหนึ่งในคนที่ถูกส่งฟ้องคดี 6 ตุลา เวลาแม่ไปเยี่ยมลูกชายที่บางเขน วันไหนที่ผมไปด้วยก็ช่วยถือถุงข้าวปลาอาหาร เดินฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงจากหน้าประตูไปถึงอาคารเยี่ยม ในความรู้สึกตอนนั้นคือไกลเหลือเกิน

“เพื่อนบ้านย่านท่าพระจันทร์มีทั้งคนที่เข้าใจแล้วให้กำลังใจ และคนที่พูดกับพ่อแม่ประมาณว่า ‘เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นคอมมิวนิสต์’ บางคนบอกว่า ‘ที่ร้านปิดมาเป็นปีได้ก็เพราะลูกชายรับเงินจากรัสเซีย’ พอดีว่าช่วงนั้นพ่ออาการดีขึ้นจนเกือบหายแล้ว แม่เลยตัดสินใจว่าจะเปิดร้านอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ให้คนที่กล่าวหาได้เห็นว่า ลูกของแม่ไม่ได้ผิด เราไม่ได้รับเงินใคร แม่บอกว่า ‘ถึงจะขายได้ห้าบาทสิบบาทก็เอา’ พวกเราก็เห็นดีด้วย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดร้านไปเป็นเวลานานๆ เพราะสำหรับครอบครัวที่มีลูกหลายคน ยังไงพ่อแม่ก็ต้องกัดฟันทำมาหากิน แต่พวกเขาคงวางแผนไว้นานแล้วว่า ถ้าทำงานเก็บเงินได้มากพอจะเกษียณตัวเอง พอเปิดร้านได้อีกประมาณปีเศษ ในปี 2521 ครอบครัวของเราก็ย้ายจากท่าพระจันทร์มาอยู่ย่านฝั่งธนฯ

“หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาจบลงใหม่ๆ ลมขวาจัดพัดแรง ผมเรียนอยู่ ป.5 ครูประจำชั้นเป็นภรรยานายทหารอากาศ เขาสั่งการบ้านให้นักเรียนคัดลายมือเนื้อร้องเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ สั่งให้นักเรียนออกมายืนหน้าห้องร้องเพลงปลุกใจ แต่ผมร้องไม่เป็นสักเพลง ต้องใช้วิธีขยับปากตามเพื่อนไป (หัวเราะ) เพราะที่ผ่านมาเราร้องเป็นแต่เพลงเพื่อชีวิต กรรมาชน กงล้อ รวมฆ้อน คาราวาน อะไรพวกนี้ ยังจำได้ว่าเนื้อเพลงเพื่อชีวิตจะสอนให้เรากล้าหาญ เสียสละ คิดถึงส่วนรวม เรียนไปเพื่อรับใช้ประชาชน ผมคุ้นตากับบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ จากโปสเตอร์ที่ติดอยู่บนผนังบ้าน คุ้นเคยกับชื่อพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีบทบาทก่อน 6 ตุลา เรื่องที่ตลกคือ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า พ่อเขาบอกว่าพรรคการเมืองที่ไม่ดีและอย่าไปเลือก คือพรรคการเมืองที่มีคำว่า ‘สังคม’ อยู่ในชื่อ ซึ่งผมมาเข้าใจทีหลังว่าเพราะเป็นคำที่ไปพ้องกับลัทธิสังคมนิยม คิดดูว่า พรรคกิจสังคม พรรคสังคมชาตินิยม พรรคธรรมสังคม ในตอนนั้นเป็นสังคมนิยมเหรอ

“ช่วง ม.ต้น ผมได้อ่านหนังสือ เราคือผู้บริสุทธิ์ และได้อ่านเอกสารที่กลุ่มนักศึกษาจัดทำขึ้นหลังจากนั้น ทั้งที่เป็นเอกสารโรเนียวและจุลสาร ทำให้เข้าใจเหตุการณ์ 6 ตุลา เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการสังหารหมู่ในตอนเช้ากับการช่วงชิงอำนาจและรัฐประหารในเย็นวันนั้น ผู้บริสุทธิ์คดี 6 ตุลาถูกขังอยู่ 710 วัน ก่อนจะได้รับการนิรโทษกรรม ทำให้ฆาตกรตัวจริงได้รับนิรโทษไปด้วย ธงชัยกลับมาเรียนต่อ แต่เราไม่ค่อยได้คุยเรื่องซีเรียสกันมากนัก ช่วงเวลานั้นการพูดถึง 6 ตุลาเป็นเหมือนเรื่องลึกลับน่ากลัว ถ้ามีใครมาถามถึงพี่สาวและพี่ชายที่เข้าป่า พี่ๆ บอกว่าให้ตอบว่า ‘เขาไปเรียนต่อต่างประเทศ’ จนกระทั่งเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมได้ฟังอภิปรายเสวนาได้คุยแลกเปลี่ยนกับคนมากขึ้น มีหนังสือให้อ่านมากขึ้น ทำให้เข้าใจเหตุการณ์มากขึ้นว่า 6 ตุลาเกิดจากการบรรจบกันของหลายเงื่อนไขปัจจัย ทั้งความหวาดกลัวผสมความระแวงของชนชั้นนำ ความโหดร้ายเลือดเย็นของชนชั้นปกครอง การแย่งชิงอำนาจกันในกองทัพ และการเมืองระหว่างประเทศ

“ชีวิตวัยเด็ก 12 ปีของผมที่ท่าพระจันทร์ คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทุกวันนี้รายละเอียดหลายเรื่องเลือนรางไปบ้าง แต่ภาพบางภาพของเหตุการณ์ยังชัดเจน ทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความสะเทือนใจของพ่อแม่ ภาพที่แม่ดึงลูกสาวกลับมาจากการกวาดต้อนของตำรวจ ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายแล้วลากตัวออกจากบ้านไปต่อหน้าต่อตา ลูกติดคุก ลูกเข้าป่า รวมไปถึงสายตาที่คนอื่นมองในทางไม่ดี สำหรับคนจีนที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ค่อยๆ เก็บเงินสร้างตัวสร้างครอบครัวจนเซ้งตึกแถวได้ การต้องปลดป้ายร้านลงแล้วไม่ได้ติดกลับอีกเลย มันหมายความว่าบ้านที่เป็นศูนย์รวมความรักกลายเป็นสถานที่ไม่ปลอดภัยไปแล้ว และดูเหมือนเขาแทบจะไม่สามารถปกป้องคุ้มครองลูกๆ ได้เลยในเหตุการณ์วันนั้น มันเกินกว่าที่ผมจะอธิบายได้ว่าพ่อแม่ต้องแบกรับความรู้สึกหนักอึ้งไว้ขนาดไหน

“แม่ไปฟังคดีแทบทุกครั้งที่มีโอกาส ร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่เสียชีวิตจาก 6 ตุลาต่อเนื่องเป็นประจำ สมัยนั้นยังจัดงานรำลึกกันที่โรงพยาบาลสงฆ์ ใครชวนให้ไปพูดอะไรก็ไป แม่เหมือนเป็นตัวแทนของบรรดาญาติหรือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาไปกลายๆ ผมคิดว่า ณ จุดนั้นแม่ไม่ได้มีลูกแค่สิบคนแล้ว แต่มีลูกเป็นหมื่นเป็นแสนคน ลูกๆ ที่รักความเป็นธรรม มีความฝันอยากเห็นสังคมไทยดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า อุดมคติ ความปรารถนาดี และความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่ความโหดร้ายรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาได้ทำลายความฝันของพวกเขาแทบหมดสิ้น คนที่น่ารังเกียจคือคนที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุการณ์ 6 ตุลาต่างหาก ดังนั้นสังคมไทยจะต้องไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ไม่ควรมีครอบครัวไหนที่ต้องเจอกับผลกระทบเลวร้ายแบบเดียวกับคนรุ่นนั้นอีกแล้ว”

-

(เขาคือ 1 ใน 19 คนที่อยู่ในหนังสือ 'มนุษย์ 6 ตุลา')

https://www.facebook.com/bkkhumans/photos/a.1433077766976167/2824823324468264/


มนุษย์กรุงเทพฯ

'มนุษย์ 6 ตุลา' หนังสือรวมบทสัมภาษณ์ 19 ชิ้น เป็นความพยายามที่จะบันทึกเหตุการณ์ในเวลานั้นผ่านเรื่องเล่าชีวิตคน ตัดทอนและเรียบเรียงให้สั้นกระชับเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ปิดท้ายด้วยคำอธิบายขนาดยาวจากนักวิชาการ ที่ค่อยๆ คลี่ความโกลาหลให้เห็นที่มาของความรุนแรง
สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ - https://bit.ly/3l8Yiu7
[full-post]
ขับเคลื่อนโดย Blogger.