ทองย้อย แสงสินชัย
-----------
ญาติมิตรสังเกตไหมครับว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา-ตั้งแต่มีคณะ คสช.- บรรดาคนที่เราเรียกว่า “นักการเมือง” หายเงียบไปหมด
ประเทศชาติและประชาชนเผชิญปัญหาสารพัด แต่ไม่มีนักการเมืองออกมาช่วยแก้ไข ชั้นที่สุดแม้แต่ออกมาบอกวิธีแก้ไขก็ไม่มี-ราวกับเขาไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศไทยและไม่ได้มีตัวตนอยู่ในประเทศไทย
เหตุผลสำคัญมีข้อเดียว คือ ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า
และเหตุผลสำคัญที่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า ก็คือ-เขามีคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย
นักการเมืองเป็นบุคคลที่แสดงตัวต่อสาธารณชนว่าต้องการเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน
เพียงแต่มีเงื่อนไขที่ยอมรับกันทั่วโลกอยู่ในเวลานี้ว่า คนที่จะได้สิทธิ์ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนจะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง”
การเลือกตั้งจึงนับได้ว่าเป็นประตูวิเศษ
ความวิเศษของประตูเลือกตั้งนี้มิใช่มีเพียงแค่ทำให้ผู้ผ่านประตูกลายเป็นผู้วิเศษเท่านั้น แต่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ผู้ผ่านประตูเข้าไปได้แล้วสามารถเข้าไปทำอะไรก็ได้ตามสบาย เพราะผู้คนจะถูกสะกดจิตให้สนใจเฉพาะตรงประตูเท่านั้น
มีน้อยที่สุดที่จะสนใจเลยประตูเข้าไปว่า-คนที่เข้าประตูไปนั้นไปทำอะไรบ้าง
ความศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของประตูวิเศษนี้ก็คือ สามารถทำให้คนทั้งโลกปักใจเชื่อว่า การที่ใครจะได้สิทธิ์เข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนมีวิธีเดียวที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือวิธีที่จะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง” นี้เท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นที่จะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว
ใครเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่ผ่านประตูนี้จะถูกประณามว่าเลวทรามต่ำช้าหาที่เปรียบมิได้
ตามความเป็นจริงนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีคัดกรองคนที่จะเข้าไปทำงานเท่านั้น ไม่ใช่วิธีควบคุมการทำงานของเขา
สิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนต้องการที่สุดคือวิธีทำงานของใครคนนั้นที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
แต่เราถูกประตูวิเศษสาปให้สนใจเฉพาะวิธีที่จะผ่านเข้าประตู โดยไม่ต้องสนใจวิธีทำงานของคนที่ผ่านประตูเข้าไปได้
อันที่จริงทฤษฎีการเลือกตั้งนั้นต้องนับว่าดี เช่น -
ประชาชนมีอำนาจในการปกครองโดยการเลือกตัวแทน คนที่ได้รับเลือกคือคนที่มาจากประชาชน คือคนที่ประชาชนยินดีพอใจให้เป็นตัวแทนเข้าไปบริหารบ้านเมือง
แต่ข้อเท็จจริงที่ทฤษฎีเลือกตั้งไม่สามารถควบคุมได้ก็คือ กลวิธีโกงเลือกตั้ง แม้จะมีกลไกควบคุมกำกับดูแลขนาดไหน การโกงเลือกตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายก็มีมาตลอด จนเป็นที่ยอมรับกันไปแล้ว
นี่เป็นโจทย์ข้อแรกที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
ทฤษฎีเลือกตั้งบอกว่า คนที่เราเลือกเข้าไปถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล เขาก็จะไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน คือเป็นหูเป็นตาให้ประชาชน เป็นฝ่ายควบคุมรัฐบาล ไม่ให้โกงกิน
แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสมคบกันโกงกินบ้านเมือง อย่างที่เรียกว่า “ฮั้ว” กัน หรือแบ่งเค้กกัน อันเป็นที่มาของคำพูดว่า-แบ่งเค้กกันลงตัวหรือไม่ลงตัว
นี่เป็นโจทย์ข้อที่สองที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
ทฤษฎีเลือกตั้งบอกต่อไปว่า คนที่เราเลือกเข้าไป ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี คราวต่อไปเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เลือก - แล้วก็เปรียบเทียบกับผู้ที่เข้ามากุมอำนาจด้วยวิธีเผด็จการที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนตัวได้
แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวกันกี่รอบ คนที่ประชาชนเลือกเข้าไปก็เข้าไปโกงกินกันทุกรอบไป จนเป็นที่รู้กันแล้วว่านักการเมืองก็คือคนที่จ้องจะเข้ากอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง
ไม่พอใจก็เปลี่ยนตัวได้ ก็จริง
แต่ตัวที่มีให้เปลี่ยนเข้ามา ก็โกงทุกตัว
คนดีก็พอมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีพลังที่จะต้านพวกโกงกินได้
นี่เป็นโจทย์ข้อที่สามที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
คำถามที่เคยได้ยินผู้บูชาการเลือกตั้งถามย้อนกลับมาก็คือ ก็เมื่อคุณเชื่อว่าคุณไม่โกง คุณก็มีสิทธิ์โดดเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อที่คุณจะได้บริหารบ้านเมืองแบบไม่ต้องโกง
คุณรวมพวกคนไม่โกงไม่ได้เอง
แล้วคุณจะมาบ่นคนโกงทำไม
ระบบเขาให้สิทธิ์คุณแล้ว คุณไม่มีความสามารถจะใช้สิทธิ์เอง
แล้วคุณจะไปโทษใคร
ผมก็คงไม่กล้าจะตอบว่ากระไร นอกจากยอมรับว่า เป็นความผิดของคนไม่โกงที่ยอมยกบ้านเมืองให้คนโกง
-----------------
ถ้าจะเปรียบเทียบพอขำๆ การเลือกตั้งก็เหมือนชามใส่อาหาร
วิธีทำงานเหมือนอาหารที่อยู่ในชาม
เราตั้งกติกากันไว้ว่า ใครสามารถหยิบชามใบนั้นไปได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด คนนั้นได้สิทธิ์ที่จะไปทำอาหารใส่ชามมาให้เรากิน
ใครที่ได้ชามใบนั้นไปโดยไม่ถูกต้องตามกติกา แม้จะทำอาหารดี อร่อยขนาดไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอาหารให้เรากิน
นั่นคือ เราสนใจแต่เรื่องชาม แต่เราไม่ได้สนใจอาหารที่อยู่ในชาม
นักการเมืองเขารู้ธรรมชาติเรื่องนี้ดี เขาจึงสนใจแต่วิธีที่จะได้ชามไป และวิธีที่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ชามเพื่อตัวเองเท่านั้น
นักการเมืองสนใจอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น คือ -
๑ ทำอย่างไรจึงผ่านประตูวิเศษไปได้ เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะชนะการเลือกตั้ง ผิดถูกชั่วดีไม่ต้องพูดถึง
นี่ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีก
๒ ทำอย่างไรจึงจะกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องให้ได้มากที่สุด
นี่ก็ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีกเช่นกัน
ช่วงที่ชิงกันเข้าประตูวิเศษ เขาจะเอาอาหารส่วนตัวใส่ชามส่วนตัวมาวางให้ประชาชนกิน
แต่พอเข้าประตูวิเศษไปได้แล้ว เขาจะเอาชามที่เขาได้สิทธิ์ถือครองนั้นใส่อาหารของประชาชนเอาไปกินกันในหมู่ญาติพี่น้องพวกพ้องของเขาอย่างเอร็ดอร่อยและอิ่มหมีพีมัน
แต่เอาเศษๆ ใส่ชามมาวางให้ประชาชนกิน
..................
โปรดจำไว้ว่า บ้านเมืองเรา-หรือจะว่าไปแล้วก็คือโลกของเรา-สั่งสอน อบรม และเชื่อกันเสียแล้วว่า ใครจะทำประโยชน์อะไรให้แก่เพื่อนมนุษย์และแก่สังคม เขาจะต้องมีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีผลประโยชน์ตอบแทน และที่สำคัญ-จะต้องผ่านประตูวิเศษเข้าไปเสียก่อน
ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่านี้ละก็ ต่อให้สิ่งที่ควรทำหล่นตุ้บลงมากองอยู่ตรงหน้า ก็จงอย่าได้ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าคุณทำ คุณจะกลายเป็นไอ้งั่งอะไรตัวหนึ่งไปทันที
เราสอนกันไว้อย่างนี้
ฟังเหมือนผมกำลังแอนตี้นักการเมืองและการเลือกตั้ง
ขอเรียนให้ทราบว่าผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
ตั้งแต่มีสิทธิ์เลือกตั้งมา ผมไปเลือกตั้งทุกครั้ง
มีอยู่ครั้งเดียวที่ผมไม่ได้ไปเลือกตั้ง คือครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่มีการขอร้องว่าอย่าไปเลือกตั้งเนื่องจากมีอะไรหลายอย่างไม่ชอบมาพากล
ผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตย
แต่ผมไม่ศรัทธานักการเมือง-ซึ่งแทบทั้งหมดไร้คุณธรรม
นักการเมืองที่ดีต้องมีจิตใจแบบพระโพธิสัตว์
คือมุ่งบำเพ็ญประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกหน้า
และไม่หวังประโยชน์ส่วนตัวด้วยประการทั้งปวง
พระโพธิสัตว์ บริหารตนเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
แต่นักการเมือง บริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน
พูดอย่างนี้จะมีคนบอกว่า ลุงหลงยุคแล้ว มนุษย์แบบที่ลุงว่าน่ะไม่มีหรอก
ก็คงเหมือนกับที่ไอสไตน์เคยพูดถึงมหาตมะคานธีว่า ในอนาคตจะไม่มีใครเชื่อว่าเคยมีคนอย่างคานธีเดินอยู่บนโลกใบนี้
....................
เราเคยแต่ได้ยินนักการเมืองปราศรัยต่อหน้าฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน
แต่มีใครสักกี่คนที่เคยได้ยินนักการเมืองพูดคุยกันในหมู่พรรคพวกของเขา-พูดคุยกันลับหลังฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน
ในวงข้าววงเหล้า ในหมู่พรรคพวกของเขา ในที่ลับหลังฝูงชน เขาพูดกันแต่เรื่องที่-จะทำอะไรและทำอย่างไรเขาและพวกพ้องของเขาจึงจะได้ประโยชน์อะไร
ประเทศชาติและประชาชนจะได้อะไร-เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
ใครจะว่า-ผลพลอยได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย-ก็เชิญว่ากันไป
เพาะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ อย่าเชื่อผม และอย่าเชื่อใคร แต่จงศึกษาอดีต เทียบเคียงปัจจุบัน และเตรียมตัวเผชิญอนาคต-ด้วยตัวของแต่ละคนเอาเอง
ถ้ายังงงอยู่ก็จงย้อนกลับไปอ่านมาจากข้างต้นอีกเที่ยวหนึ่ง แล้วตั้งสติ
เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชิงกันเข้าประตูวิเศษอีกแล้ว
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๗ มีนาคม ๒๕๖๒
๑๐:๓๐
ประตูวิเศษ
-----------
ญาติมิตรสังเกตไหมครับว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา-ตั้งแต่มีคณะ คสช.- บรรดาคนที่เราเรียกว่า “นักการเมือง” หายเงียบไปหมด
ประเทศชาติและประชาชนเผชิญปัญหาสารพัด แต่ไม่มีนักการเมืองออกมาช่วยแก้ไข ชั้นที่สุดแม้แต่ออกมาบอกวิธีแก้ไขก็ไม่มี-ราวกับเขาไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศไทยและไม่ได้มีตัวตนอยู่ในประเทศไทย
เหตุผลสำคัญมีข้อเดียว คือ ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า
และเหตุผลสำคัญที่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า ก็คือ-เขามีคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย
นักการเมืองเป็นบุคคลที่แสดงตัวต่อสาธารณชนว่าต้องการเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน
เพียงแต่มีเงื่อนไขที่ยอมรับกันทั่วโลกอยู่ในเวลานี้ว่า คนที่จะได้สิทธิ์ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนจะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง”
การเลือกตั้งจึงนับได้ว่าเป็นประตูวิเศษ
ความวิเศษของประตูเลือกตั้งนี้มิใช่มีเพียงแค่ทำให้ผู้ผ่านประตูกลายเป็นผู้วิเศษเท่านั้น แต่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ผู้ผ่านประตูเข้าไปได้แล้วสามารถเข้าไปทำอะไรก็ได้ตามสบาย เพราะผู้คนจะถูกสะกดจิตให้สนใจเฉพาะตรงประตูเท่านั้น
มีน้อยที่สุดที่จะสนใจเลยประตูเข้าไปว่า-คนที่เข้าประตูไปนั้นไปทำอะไรบ้าง
ความศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของประตูวิเศษนี้ก็คือ สามารถทำให้คนทั้งโลกปักใจเชื่อว่า การที่ใครจะได้สิทธิ์เข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนมีวิธีเดียวที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือวิธีที่จะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง” นี้เท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นที่จะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว
ใครเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่ผ่านประตูนี้จะถูกประณามว่าเลวทรามต่ำช้าหาที่เปรียบมิได้
ตามความเป็นจริงนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีคัดกรองคนที่จะเข้าไปทำงานเท่านั้น ไม่ใช่วิธีควบคุมการทำงานของเขา
สิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนต้องการที่สุดคือวิธีทำงานของใครคนนั้นที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
แต่เราถูกประตูวิเศษสาปให้สนใจเฉพาะวิธีที่จะผ่านเข้าประตู โดยไม่ต้องสนใจวิธีทำงานของคนที่ผ่านประตูเข้าไปได้
อันที่จริงทฤษฎีการเลือกตั้งนั้นต้องนับว่าดี เช่น -
ประชาชนมีอำนาจในการปกครองโดยการเลือกตัวแทน คนที่ได้รับเลือกคือคนที่มาจากประชาชน คือคนที่ประชาชนยินดีพอใจให้เป็นตัวแทนเข้าไปบริหารบ้านเมือง
แต่ข้อเท็จจริงที่ทฤษฎีเลือกตั้งไม่สามารถควบคุมได้ก็คือ กลวิธีโกงเลือกตั้ง แม้จะมีกลไกควบคุมกำกับดูแลขนาดไหน การโกงเลือกตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายก็มีมาตลอด จนเป็นที่ยอมรับกันไปแล้ว
นี่เป็นโจทย์ข้อแรกที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
ทฤษฎีเลือกตั้งบอกว่า คนที่เราเลือกเข้าไปถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล เขาก็จะไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน คือเป็นหูเป็นตาให้ประชาชน เป็นฝ่ายควบคุมรัฐบาล ไม่ให้โกงกิน
แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสมคบกันโกงกินบ้านเมือง อย่างที่เรียกว่า “ฮั้ว” กัน หรือแบ่งเค้กกัน อันเป็นที่มาของคำพูดว่า-แบ่งเค้กกันลงตัวหรือไม่ลงตัว
นี่เป็นโจทย์ข้อที่สองที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
ทฤษฎีเลือกตั้งบอกต่อไปว่า คนที่เราเลือกเข้าไป ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี คราวต่อไปเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เลือก - แล้วก็เปรียบเทียบกับผู้ที่เข้ามากุมอำนาจด้วยวิธีเผด็จการที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนตัวได้
แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวกันกี่รอบ คนที่ประชาชนเลือกเข้าไปก็เข้าไปโกงกินกันทุกรอบไป จนเป็นที่รู้กันแล้วว่านักการเมืองก็คือคนที่จ้องจะเข้ากอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง
ไม่พอใจก็เปลี่ยนตัวได้ ก็จริง
แต่ตัวที่มีให้เปลี่ยนเข้ามา ก็โกงทุกตัว
คนดีก็พอมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีพลังที่จะต้านพวกโกงกินได้
นี่เป็นโจทย์ข้อที่สามที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้
คำถามที่เคยได้ยินผู้บูชาการเลือกตั้งถามย้อนกลับมาก็คือ ก็เมื่อคุณเชื่อว่าคุณไม่โกง คุณก็มีสิทธิ์โดดเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อที่คุณจะได้บริหารบ้านเมืองแบบไม่ต้องโกง
คุณรวมพวกคนไม่โกงไม่ได้เอง
แล้วคุณจะมาบ่นคนโกงทำไม
ระบบเขาให้สิทธิ์คุณแล้ว คุณไม่มีความสามารถจะใช้สิทธิ์เอง
แล้วคุณจะไปโทษใคร
ผมก็คงไม่กล้าจะตอบว่ากระไร นอกจากยอมรับว่า เป็นความผิดของคนไม่โกงที่ยอมยกบ้านเมืองให้คนโกง
-----------------
ถ้าจะเปรียบเทียบพอขำๆ การเลือกตั้งก็เหมือนชามใส่อาหาร
วิธีทำงานเหมือนอาหารที่อยู่ในชาม
เราตั้งกติกากันไว้ว่า ใครสามารถหยิบชามใบนั้นไปได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด คนนั้นได้สิทธิ์ที่จะไปทำอาหารใส่ชามมาให้เรากิน
ใครที่ได้ชามใบนั้นไปโดยไม่ถูกต้องตามกติกา แม้จะทำอาหารดี อร่อยขนาดไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอาหารให้เรากิน
นั่นคือ เราสนใจแต่เรื่องชาม แต่เราไม่ได้สนใจอาหารที่อยู่ในชาม
นักการเมืองเขารู้ธรรมชาติเรื่องนี้ดี เขาจึงสนใจแต่วิธีที่จะได้ชามไป และวิธีที่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ชามเพื่อตัวเองเท่านั้น
นักการเมืองสนใจอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น คือ -
๑ ทำอย่างไรจึงผ่านประตูวิเศษไปได้ เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะชนะการเลือกตั้ง ผิดถูกชั่วดีไม่ต้องพูดถึง
นี่ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีก
๒ ทำอย่างไรจึงจะกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องให้ได้มากที่สุด
นี่ก็ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีกเช่นกัน
ช่วงที่ชิงกันเข้าประตูวิเศษ เขาจะเอาอาหารส่วนตัวใส่ชามส่วนตัวมาวางให้ประชาชนกิน
แต่พอเข้าประตูวิเศษไปได้แล้ว เขาจะเอาชามที่เขาได้สิทธิ์ถือครองนั้นใส่อาหารของประชาชนเอาไปกินกันในหมู่ญาติพี่น้องพวกพ้องของเขาอย่างเอร็ดอร่อยและอิ่มหมีพีมัน
แต่เอาเศษๆ ใส่ชามมาวางให้ประชาชนกิน
..................
โปรดจำไว้ว่า บ้านเมืองเรา-หรือจะว่าไปแล้วก็คือโลกของเรา-สั่งสอน อบรม และเชื่อกันเสียแล้วว่า ใครจะทำประโยชน์อะไรให้แก่เพื่อนมนุษย์และแก่สังคม เขาจะต้องมีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีผลประโยชน์ตอบแทน และที่สำคัญ-จะต้องผ่านประตูวิเศษเข้าไปเสียก่อน
ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่านี้ละก็ ต่อให้สิ่งที่ควรทำหล่นตุ้บลงมากองอยู่ตรงหน้า ก็จงอย่าได้ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าคุณทำ คุณจะกลายเป็นไอ้งั่งอะไรตัวหนึ่งไปทันที
เราสอนกันไว้อย่างนี้
ฟังเหมือนผมกำลังแอนตี้นักการเมืองและการเลือกตั้ง
ขอเรียนให้ทราบว่าผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
ตั้งแต่มีสิทธิ์เลือกตั้งมา ผมไปเลือกตั้งทุกครั้ง
มีอยู่ครั้งเดียวที่ผมไม่ได้ไปเลือกตั้ง คือครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่มีการขอร้องว่าอย่าไปเลือกตั้งเนื่องจากมีอะไรหลายอย่างไม่ชอบมาพากล
ผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตย
แต่ผมไม่ศรัทธานักการเมือง-ซึ่งแทบทั้งหมดไร้คุณธรรม
นักการเมืองที่ดีต้องมีจิตใจแบบพระโพธิสัตว์
คือมุ่งบำเพ็ญประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกหน้า
และไม่หวังประโยชน์ส่วนตัวด้วยประการทั้งปวง
พระโพธิสัตว์ บริหารตนเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
แต่นักการเมือง บริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน
พูดอย่างนี้จะมีคนบอกว่า ลุงหลงยุคแล้ว มนุษย์แบบที่ลุงว่าน่ะไม่มีหรอก
ก็คงเหมือนกับที่ไอสไตน์เคยพูดถึงมหาตมะคานธีว่า ในอนาคตจะไม่มีใครเชื่อว่าเคยมีคนอย่างคานธีเดินอยู่บนโลกใบนี้
....................
เราเคยแต่ได้ยินนักการเมืองปราศรัยต่อหน้าฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน
แต่มีใครสักกี่คนที่เคยได้ยินนักการเมืองพูดคุยกันในหมู่พรรคพวกของเขา-พูดคุยกันลับหลังฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน
ในวงข้าววงเหล้า ในหมู่พรรคพวกของเขา ในที่ลับหลังฝูงชน เขาพูดกันแต่เรื่องที่-จะทำอะไรและทำอย่างไรเขาและพวกพ้องของเขาจึงจะได้ประโยชน์อะไร
ประเทศชาติและประชาชนจะได้อะไร-เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
ใครจะว่า-ผลพลอยได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย-ก็เชิญว่ากันไป
เพาะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ อย่าเชื่อผม และอย่าเชื่อใคร แต่จงศึกษาอดีต เทียบเคียงปัจจุบัน และเตรียมตัวเผชิญอนาคต-ด้วยตัวของแต่ละคนเอาเอง
ถ้ายังงงอยู่ก็จงย้อนกลับไปอ่านมาจากข้างต้นอีกเที่ยวหนึ่ง แล้วตั้งสติ
เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชิงกันเข้าประตูวิเศษอีกแล้ว
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๗ มีนาคม ๒๕๖๒
๑๐:๓๐
แสดงความคิดเห็น