ขอเขียนแชร์ความคิดเห็นส่วนตัว:
.
.
1. บุคคลที่กล่าวว่า นักเรียน, นิสิต, นักศึกษา ไม่ได้เสียภาษีให้กับรัฐ จะมาเรียกร้องอะไร เพราะตนเองมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว
.
.
คนที่คิดแบบนี้คงจะไม่ทราบว่า บุคคลเหล่านี้แหละ (รวมทั้งลูกหลานของพวกเขา/พวกเธออีกหลายรุ่น) ที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับการจ่ายดอกเบี้ย ภาษี เงินกู้ยืมของรัฐบาลในปัจจุบัน รวมทั้งส่งบำเหน็จบำนาญให้กับบุคคลที่รับราชการและเกษียณอายุไปในเวลานี้ ซึ่งอาจจะเป็นเวลาหลายสิบปีสำหรับชีวิตรุ่นของเขา/ของเธอ
.
ภาษีอากรที่ใช้จ่ายไป มันคุ้มค่าสำหรับใครบ้าง และแทนที่จะจ่ายอย่างนั้น มาจ่ายเป็นแบบนี้แทนจะดีกว่าหรือไม่ คำถามแบบนี้ มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
.
อย่างไรก็ตาม คนที่มีอำนาจกู้ยืม ก็ยังได้รับบำเหน็จบำนาญอย่างปกติตลอดจนชั่วชีวิตของตนเองู่
.
.
2. เมื่อระบบที่แฟร์ในการสร้างโอกาสการหางานจากฝีไม้ลายมือของพวกเขา/พวกเธอเองถูกลดลงจากการใช้เส้นสาย และการช่วยเหลือพวกพ้อง นิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจะเผชิญกับสถานการณ์การว่างงานนับแสนคน ซึ่งเปรียบเสมือนกับการปิดประตูสำหรับชีวิตการทำงานและสร้างชีวิตในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า
.
เพราะฉะนั้น มันไม่มีอะไรสูญเสียอีกแล้วสำหรับการเรียกร้องโดยใช้เสียงและสิทธิ์ของตนเองเป็นเดิมพันในเวลานี้
.
.
-------------------------------------------------------
.
.
3. นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ เติบโตขึ้นมาจากโลกอินเตอร์เนท โลกออนไลน์ รวมไปถึงการค้นคว้าข้อมูลที่เข้ามานับร้อยชิ้นต่อวัน ทำให้นักศึกษาเหล่านี้ ได้รับฟังข้อมูลหลายด้าน บวกกับการเห็นการปฏิบัติตัวของ "ผู้มีอำนาจ" และการกระทำหลายมาตรฐานในเรื่องคล้ายคลึงกัน แต่ผลออกมาแตกต่างกันแทบทั้งสิ้น
.
เมื่อเห็นการกระทำแบบนี้กันอยู่ทุกๆ วัน ก็ทราบกันดีว่า ชีวิตในอนาคตจะต้องตัดสินใจอย่างไร เพื่อตนเองสามารถมีที่ยืนอยู่ในสังคมได้
.
เพราะฉะนั้น ระบบ “ท่องจำ” “ยัดเยียดความคิด” มันไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เนื่องจากเด็กๆ รุ่นใหม่ ตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไม” หรือ “เพราะอะไร” อยู่เสมอ เพื่อหาเหตุผลจากเรื่องนั้นๆ ต้องลองถามตนเองว่า ความคิดความอ่านของกลุ่ม Baby Boomers ที่พยายามนำเข้ามาปฏิบัตินั้น มันประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
.
.
4. นักเรียน นิสิต นักศึกษารุ่นนี้ทราบดีว่า สิ่งที่ตนเองเรียกร้องจริงๆ คือ ความยุติธรรมในสังคม ข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้น มันมีเรื่องใหญ่อยู่เรื่องเดียวคือ ความยุติธรรมที่แสวงหากันอยู่ เพราะจากที่เห็นจากการปฏิบัติและมาตรฐานต่างๆ แล้ว มันมีความแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่ว่า บุคคลนั้นเป็นใคร มันไม่ใช่แบบ Justice is blind อย่างที่สอนๆ กันมาในชั้นเรียนกันเลย
.
นิสิตนักศึกษาเหล่านี้ ทราบดีถึง "ความยุติธรรม" ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่คิดแต่ว่า ฝ่าย“ผู้ใหญ่” เองอาบน้ำร้อนมาก่อน จะต้องรู้ดีกว่าทุกอย่าง หากรู้ดีกว่าและเกิดมาก่อนเด็กๆ ทำไมถึงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่พัฒนาประเทศให้กลายเป็น "เสือ" อีกตัวหนึ่งของเอเชียกัน?
.
ยิ่งไปกล่าวหาว่า เด็กๆ นักศึกษาเหล่านี้ "ถูกจ้างมา" โดยใช้วาทะกรรมแบบเดิมๆ มันยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึง "การกล่าวร้ายป้ายสี" อย่างที่พวกเขา/พวกเธอได้ยินกันมาให้ประสบโดยตาตนเองได้
.
สิ่่งที่เด็กๆ นักศึกษาเห็นกันตอนนี้ ตัวอย่างคือ การอนุญาตให้ใช้สถานที่ทำกิจกรรมซึ่งผู้มีอำนาจเอง เคยยินยอมมาก่อนกับพวกพ้อง แต่ไม่สามารถใช้ได้ในเวลานี้ หรือแม้แต่มีการใช้อำนาจของ "การเป็นครู" เข้ามาข่มขู่ นักศึกษา ผู้ปกครอง รวมทั้ง "ตัดคะแนนความประพฤติ" อะไรแบบนั้น ก็เป็นเรื่องที่ "ขัด" กับการใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ จะอ้างว่า มี พรก ฉุกเฉิน แต่กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลก็สามารถกระทำได้โดยสะดวก เด็กๆ เหล่านี้ ถึงเห็นการปฏิบัติหลายมาตรฐานโดยตนเอง
.
สงสัยเหมือนกันว่า การที่ครูอาจารย์" เอา "คะแนน" มาใช้ข่มขู่กันแบบนี้ มันต่างกับ"โจรเรียกค่าไถ่" หรือเปล่า? รวมทั้งต้องมีการลงนามสัญญาเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน (Memorandum of Understanding หรือ MOU) เพื่อที่จะ "กวาดซุกปัญหา" ให้ไปอยู่ใต้พรมต่อหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ? ถ้าลงนามแล้ว ก็ถือว่า "ปล่อยตัว" ไปได้...
.
.
-------------------------------------------------------
.
.
ถ้ากล่าวจริงๆ สิ่งที่เรียกร้องนี้ ก็คือ What is in it for me? อนาคตเขาจะเป็นอย่างไรจากการกระทำและการปฏิบัติของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เมื่อพวกเขาและพวกเธอเกิดความหวั่นใจ การเรียกร้องเหล่านี้ จึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็นๆ กัน
.
และท่านก็คงทราบกันดีว่า วิธีการปลุกระดมอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น มันจะไม่เหมือนกับสมัยก่อนๆ แล้ว เพราะทุกๆ คน ต้องการมีโอกาสที่ดีสำหรับชีวิตเพื่ออนาคตของตนเอง
.
.
ขอตัวไปพักฟื้นต่อ Have a great and pleasant day. Stay safe ค่ะ
.
.
Doungchampa Spencer-Isenberg
[full-post]
แสดงความคิดเห็น