เปิดนิทรรศการภาพ 'แด่นักสู้ผู้จากไปสัญจรภาคอี สาน' พบถูกสังหาร-อุ้มหายเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
Posted: 24 Feb 2017 05:21 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
เปิดนิทรรศการภาพถ่าย 'แด่นักสู้ผู้จากไปสัญจรภาคอีสา น' ถกการต่อสู้นักสิทธิฯอีสาน พบถูกสังหาร-อุ้มหายเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากใต้ พร้อมร้องรัฐให้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่ างสงบ ไม่ใช้กระบวนการข่มขู่คุกคามให้ เกิดความหวาดกลัว กสม.วอนรัฐวางตัวเป็นกลางปกป้ องชาวบ้าน ยอมรับสิทธิประชาชนเข้าถึงข้ อมูลข่าวสาร-ตรวจสอบรัฐ
เจ้าหน้าที่ทหารเข้าเยี่ยมชมนิ ทรรศการ ภาพถ่าย “For Those Who Died Trying แด่นักสู้ผู้จากไปสัญจรภาคอี สาน
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างวันที่ 21-25 ก.พ. นี้ ที่ห้องประชุม 415 มหาวิทาลัยมหาสารคาม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทาลัยมหาสารคาม องค์กร Protection international สถานทูตแคนาดา ร่วมกับโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เ พื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม (มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม) โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ด้านทรัพยากรแร่ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนา เอกชน อีสาน (กป.อพช.) สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมและวิทยาลัยการเมืองการ ปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดงานเปิดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย “For Those Who Died Trying แด่นักสู้ผู้จากไปสัญจรภาคอีสาน โดยได้มีการจัดเสวนาวิเคราะห์สถ านการณ์การต่อสู้ของนักสิทธิมนุ ษยชนภาคอีสาน
ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนองค์กร Protection international
ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนองค์กร Protection international กล่าวว่า นิทรรศการภาพถ่ายแด่นักสู้ผู้จา กไปได้จัดแสดงมาแล้วหลายที่ และสิ้นสุดที่ภาคสุดท้ายคือจังห วัดมหาสารคามภาคอีสาน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่านักสิทธิ มนุษยชนภาคอีสานที่ลุกขึ้นมาต่ อสู้เพื่อรักษาทรัพยากรในบ้ านเกิดของตนเองนั้นต่างก็ถูกสั งหารและบังคับให้สูญหายกันไปเป็ นจำนวนมาก ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของ Protection international พบว่าภาคอีสานเป็นภาคที่นักต่อสู้ ถูกสังหารและบังคับให้สูญหายมาก ถึง 7 คน เป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคใต้ และมีกรณีของพ่อเด่น คำแหล่ แกนนำนักต่อสู้ชุมชนโคกยาวจังหวั ดชัยภูมิที่สูญหายเป็นระยะเวลาเ กือบหนึ่งปีโดยที่กระบวนการยุติ ธรรมไม่สามารถให้คำตอบและให้ ความเป็นธรรมกับครอบครั วของนายเด่นได้ ทั้งนี้ตนมองว่าการคุ้มครองนัก ปกป้องสิทธิมนุษยชน ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของนักสิ ทธิมนุษยชนที่เขาจะต้องมีเสรีภา พในการรวมตัวเสรีภาพในการแสดงคว ามคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออ กอย่างสงบ ซึ่งเสรีภาพต่างๆ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบขั้นพื้น ฐานในการที่จะทำให้ประชาชนสามาร ถมี สิทธิในการกำหนดใจตนเอง (มาตรา 1 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมืองและสิทธิทางการเมือง [IC CPR], กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม [IECSCR])และนำไปสู่ความสามารถใ นการปกป้องสิทธิมนุษยชนได้
ตัวแทนองค์กร Protection international กล่าวว่าเพิ่มเติมอีกว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ที่เราได้มีการเก็บข้อมูลนักต่อ สู้ที่ถูกสังหารและบังคับให้สูญ หายไม่มีคนไหนเลยได้รับความเป็น ธรรม และนอกจากจะไม่ได้รับความเป็นธร รมแล้วคนที่อยู่ข้างหลังที่ยั งต้องต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินแ ละทรัพยากรของตนเองนั้นก็ยังคงถู กปิดกั้นการเข้าถึงกระบวนการยุ ติธรรมอีกด้วย จะเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีที่ล่ าสุดจากสถานการณ์ของกลุ่มคนรักบ้ านเกิดจังหวัดเลยที่ยังต่อสู้กั บบริษัทเหมืองทองเพียงลำพัง ทั้งที่มีคำสั่งอย่างชัดเจนให้ปิ ดเหมืองทองทั่วประเทศแต่บริษัทก็ ยังมีการดำเนินการขนแร่โดยที่เจ้ าหน้าที่รัฐล่าช้าในการตรวจสอบ ตนเชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์นั กต่อสู่ภาคอีสานจะยิ่งเลวร้ายลง เรื่อยๆ หากรัฐยังปิดกั้นการแสดงออกอย่า งสงบของชาวบ้านและนักปกป้องสิทธิ มนุษยชน ซึ่งสถานการณ์แบบนี้จะไม่ก่อให้ เกิดประโยชน์กับใครเลยไม่ว่าจะเ ป็นประชาชนหรือว่ารัฐ และเราก็จะถูกจัดอันดับสถานการณ์ สิทธิมนุษยชนให้ต่ำลงไปอีกเรื่ อยๆ นั่นเอง
นักศึกษาจากม.มหาสารคามสนใจเข้ าเยี่บมชมนิทรรศการเป็นจำนวนมาก
ยุทธณา ลูนสำโรง นักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ภาคอีสานกล่ าวว่า ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกเอารัดเอา เปรียบอยู่ตลอดเวลาทั้งจากคนในพื้ นที่เองและจากคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากรธรรม ชาติ เรื่องเขื่อนเรื่องป่าไม่ก็ถูกเ อารัดเอาเปรียบเสมอ ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวบ้านก็ได้มีก ารเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการรัก ษาทรัพยากรของตนเองอยู่ตลอด ซึ่งท่านมาไม่ว่าจะรัฐบาลชุดไหน ชาวบ้านก็ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน อยู่ตอลดเวลา แต่ในการละเมิดนั้นชาวบ้านก็ยัง เคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นหรือมี พื้นที่ให้แสดงออกได้ก็ แต่หลังจากวันที่ 22 พ.ค.ปี 57 ที่มีการทำรัฐประหารการละเมิดสิ ทธิของนักต่อสู้ก็รุนแรงมากยิ่ง ขึ้น และชาวบ้านก็ไม่มีพื้นที่ให้แสด งออกอะไรได้เลย ตัวอย่างในพื้นที่ของจังหวัดมหา สารคาม ซึ่งหลังจากรัฐประหารมีนักศึกษา จำนวนมากโดนหมายเรียกให้ไปรายงา นตัวเป็นอันดับต้นๆ และมีการควบคุมสิทธิเสรีภาพในกา รแสดงออก นอกจากนี้หน่วยงานหลายภาคส่วนที่ควรจะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ต้องทำ งานให้หนักเพื่อที่จะช่วยเหลื อนักต่อสู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ และในส่วนนักต่อสู้เองก็ควรจะพิ จารณาถึงแนวทางในการเคลื่อนไหวที่ จะทำให้ตนเองปลอดภัยและสามารถสร้ างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้ และหากรัฐบาลชุดนี้หมดวาระในการ ดำเนินงานแล้วนักต่อสู้ก็ ควรมองแนวทางในการเคลื่อนไหวระย ะยาวที่ยั่งยืนและควรหาแนวร่ วมเพิ่มขึ้นผ่านกิจกรรมใหม่ๆ อาทิภาพยนตร์ ดนตรี หรือเพลง
ขณะที่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษากล่าวว่ า เวลาพูดถึงความรุนแรงแล้วนับเพี ยงจำนวนศพ มันอธิบายปัญหาเกี่ยวกับความรุน แรงไม่หมดเพราะความตายมันคือควา มรุนแรงแนวดิ่งที่ปักทิ่มลงมาพื้ นผิวของสังคมที่ดูสงบนิ่งจนทำให้ เกิดระลอกคลื่นบนพื้นผิวแผ่ กระจายออกไป เหมือนระลอกน้ำกระเพื่อมออกไปจา กหินที่เราโยนลงไป ไอ้ระลอกน้ำกระเพื่อมในส่วนนี้แ หละที่คือความรุนแรงแนวราบและมั นมีทั้งเรื่องข่มขู่คุกคาม ทำร้ายร่างกาย บาดเจ็บพิกลพิการ และโดนฟ้องคดี ดังนั้น คำถามสำคัญของความรุนแรงก็คือ “อำนาจรัฐแบบใดที่กระทำให้เกิด ส่งเสริม สนับสนุน เป็นใจ เข้าข้างหลีกทางให้ หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับความ รุนแรงเพราะว่าอำนาจรัฐแบบใดกฎห มายก็เป็นแบบนั้นซึ่งกฎหมาย ระเบียบหรือคำสั่งของบ้านเมืองมั นจะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐกระทำ ส่งเสริมหรือสนับสนุนความรุนแรง หรือเปล่า
ทั้งนี้เวลาที่เราพูดถึงความรุน แรงมันไม่อาจพูดเพียงแค่กรณีควา มโหดเหี้ยมของมือปืนหรือนักฆ่า เพราะความรุนแรงในสังคมไทยมันมา กกว่าที่เห็น 37 ศพ ที่มาแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ไม่ ว่าจะเป็น พี่น้องที่ต่อสู้คัดค้านเหมืองท องเลยโดนฟ้องคดีเกือบ 30 คดีจากบริษัทเหมืองทอง ม ถึงแม้นักสิทธิมนุษยชนจะไม่ถูกสั งหารจนตาย แต่มันเป็นความรุนแรงแนวระนาบที่ถูกกดขี่ข่มเหง กลั่นแกล้งและทำร้ายร่างกายจากอำ นาจรัฐและทุน และที่ตนพูดมาทั้งหมด ไม่ได้ตั้งใจโจมตีเพียงแค่รัฐบา ลที่มาจากรัฐประหารแต่ตนหมายถึ งทุกรัฐบาลที่ผ่านมา หากแต่รัฐบาลยุคนี้มีลักษณะเด่น และพิเศษแตกต่างออกไปจากความรุน แรงที่เกิดขึ้นในรัฐบาลอื่น คือที่ผ่านมาเราจะเห็นความรุนแร งจากข้าราชการ นักการเมืองและทุน แต่ในรัฐบาลนี้เราเห็นความรุนแร งจากคนที่ใส่เครื่องแบบทหารแทรก ตัวเข้ามาในสังคม นำหน้าความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น จากข้าราชการ นักการเมืองและทุนและก็ไม่มีแนว โน้มที่จะลดลงแต่อย่างใด มีแต่เพิ่มขึ้น ซึ่งโครงสร้างความรุนแรงในสังคม ไทยมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจากคนที่ใส่ชุดเครื่องแบ บสีน้ำตาลเป็นสีเขียว และใช้อำนาจแทรกซึมและสอดส่องไป ทั่วในทุกอณูของสังคม อย่างกรณีไผ่ดาวดิน เหตุใดกันเพียงแค่การแชร์ข้อควา มที่มีผู้คนแชร์เกือบสามพันคน แต่โดนเล่นงานอยู่เพียงคนเดียว และสิทธิประกันตัวในการสู้คดีก็ ทำไม่ได้ในประเทศนี้ คือมันไม่เหลือกฎหมายอะไรให้ยึด เหนี่ยว 'จิตใจของสังคม' เอาไว้อีกแล้ว
อังคณา นีละไพจิตร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายแด่นั กสู้ผู้จากไปสัญจรภาคอีสาน เป็นการจัดงานครั้งที่ 4 ในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดค วามตระหนักในการหากลไกที่จะปกป้ องนักสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยถูกเรียก ร้องจากองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ ให้หามาตรการในการดูแล ปกป้องนักสิทธิมนุษยชน โดยหลายคนในรูปที่ปรากฏอยู่ในนิ ทรรศการนี้ก็ได้ถูกเอ่ยถึงด้วย นอกจากนั้นในการประชุมทบทวนรายง านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามกติ กาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิ ทธิทางการเมือง ICCPR ในวันที่ 13-14 มีนาคมนี้ จะมีการหารือกันเกี่ยวกับเรื่อง ปกป้องนักสิทธิมนุษยชนด้วย ทั้งนี้บทบาทหน้าที่ของนักสิทธิ มนุษยชนคือการตรวจสอบ การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อปกป้องสิทธิชุมชน หรือสิทธิมนุษยชน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำงานตรวจส อบ เราจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าใจว่าจริงๆ แล้วการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและ การเข้าถึงสิทธินั้นเป็นสิทธิ ของประชาชนอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีปฏิญญาว่าด้วยนักสิ ทธิมนุษยชนอยู่ด้วย จึงถือว่าคนที่มาทำงานด้านปกป้อ งสิทธิมนุษยชน เป็นคนที่สังคมต้องให้การดูแลเป็ นพิเศษ เนื่องจากว่าถ้าเราปกป้องคนๆ เดียวนี้ได้ เท่ากับสามารถปกป้องคนอีกนับพัน คนได้ เพราะนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะทำ หน้าที่ปกป้องคนอื่นๆ ต่อไป
อังคณา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในต่างประเทศมีการให้ความสำคัญกั บนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมาก แต่ในบ้านเราดูจะละเลย เห็นได้ชัดจากภาพถ่ายในนิทรรศกา รภาพถ่ายแด่นักสู้ผู้จากไป ที่ยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้มีตัว ตนจริงๆ ไม่ได้เป็นการอ้างอิงลอยๆ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคม ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นของนักปกป้องสิทธิมนุ ษยชน ที่ไม่มีความก้าวหน้าและไม่สามา รถหาตัวคนผิดมาลงโทษได้ นอกจากนี้ หน่วยงานความมั่นคงต้องไม่คิดว่ านักปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นศัตรู ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมาได้มีโ อกาสไปตรวจสอบเรื่องของการคุกคา มนักสิทธิมนุษยชน ได้เห็นว่าในบางเรื่อง เช่น กรณีการคัดค้านการทำเหมือง คนที่ชาวบ้านต่อสู่คัดค้านด้วยเ ป็นบริษัททุน ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐทีควรวางตัวเ ป็นกลาง กลับกลายเป็นว่าเป็นมาทะเลาะกับ ชาวบ้าน ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าเรื่อง นี้เป็นความขัดแย้งระหว่างชาวบ้ านกับบริษัททุน แต่ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐที่ควรจะเ ป็นกลาง จึงกลายมาเป็นคู่กรณีกับชาวบ้าน แทนบริษัททุนซะเอง แล้วยังมีการอ้างว่าจะใช้อำนาจต ามมาตรา 44 มาควบคุม ซึ่งต้องถามว่าอำนาจ ม.44 นี้เป็นของนายกรัฐมนตรีคนเดียวใ ช่หรือไม่ แล้วเจ้าหน้าที่จะนำมาอ้างกับปร ะชาชนได้อย่างไร ทั้งนี้ในกรณีที่ชาวบ้านหรือนั กสิทธิมนุษยชนมีปัญหากับบริษั ททุน ภาครัฐจะต้องวางตัวเป็นกลาง และต้องปกป้องชาวบ้าน อีกทั้งต้องยอมรับสิทธิของประชา ชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ที่สำคัญคือการตรวจสอบอำนาจรัฐ ที่ภาครัฐมักจะบอกว่า มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กับ คณะกรรมการป้องกนและปราบปรามการ ทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าอำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน เพราะฉะนั้นประชาชนก็สามารถใช้อำ นาจนี้
ในฐานะคณะกรรมการสิทธิมนุ ษยชนแห่งชาติ ก็ได้ให้ความสำคัญเรื่ องของการปกป้องนักสิทธิมนุ ษยชนเป็น 1 ใน 3 เรื่องสำคัญที่จะขับเคลื่อนกั นในปีนี้ และตอนนี้มี การตรวจสอบในการละเมิดและคุ กคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลังจากนี้คงจะมีการเปิดเวที เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็ นรวมถึงการหารือกับผู้ที่เกี่ ยวข้องและรวบรวมเป็นข้ อเสนอแนะส่งให้รัฐบาลพิจารณาต่ อไป
แสดงความคิดเห็น