Aarhus 2017 เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรป: เดนมาร์ก ความเปิดกว้าง และความหลากหลาย
Posted: 23 Feb 2017 06:04 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ในรอบปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่วิกฤตการณ์ ทางสังคมเริ่มส่งผลคุกคามความมั่ นคงในทวีปยุโรปเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัย เหตุก่อการร้าย รวมไปถึงการตัดสินใจแยกตั วออกจากสหภาพยุ โรปของสหราชอาณาจักรอังกฤษที่สั่ นคลอนเสถียรภาพต่อการดำรงอยู่ ของรัฐสมาชิกอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางความไม่แน่ นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ เกิดขึ้น โครงการเล็กๆ โครงการหนึ่งของทางสหภาพเพื่ อความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่ างประเทศ อันมีจุดประสงค์ในการสร้ างความกลมเกลียวและยอมรั บความแตกต่างหลากหลายในภาคพื้ นทวีปนี้ยังคงดำเนินต่อไป European Capital of Culture ประจำปี 2017 นี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นที่เมื องออร์ฮูส (Aarhus) ประเทศเดนมาร์ก และเมืองปาฟอส (Pafos) ประเทศไซปรัส
โครงการ European Capital of Culture ได้รับการริเริ่มมาตั้งแต่ปี 1983 โดยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมแห่ งประเทศกรีซ และจัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์เป็นที่ แรก โครงการนี้จัดตั้งขึ้นโดยมุ่งชี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของวั ฒนธรรมที่จำเป็นต่อความร่วมมื อระหว่างประเทศไม่แพ้ปัจจัยด้ านเศรษฐกิจและการเมืองที่มักได้ รับความสนใจเป็นอันดับแรกๆ จุดประสงค์หลักของความริเริ่มนี้ ไม่เพียงเน้นย้ำความแตกต่ างหลากหลายแต่ยังรวมไปถึ งความคล้ายคลึงทางวั ฒนธรรมของกลุ่มประเทศสมาชิก เพื่อเพิ่มพูนความรู้สึกเป็นอั นหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนแม้ อยู่คนละประเทศกัน ในทุกๆ ปี เมืองต่างๆ จากประเทศสมาชิ กสหภาพจะสามารถเข้าร่วมการพิ จารณาเพื่อได้รับการแต่งตั้งให้ เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม และในเมืองนั้นๆ จะมีการจัดนิทรรศการหรืองานเฉลิ มฉลองทางศิลปวัฒนธรรมเกิดขึ้ นไปตลอดทั้งปี ในระยะเวลา 32 ปีที่โครงการนี้เริ่มต้นขึ้น มีเมืองกว่า 50 เมืองแล้วที่ได้รับการคัดเลื อกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวั ฒนธรรมของยุโรป(1)
โครงการ European Capital of Culture ได้รับการริเริ่มมาตั้งแต่ปี 1983 โดยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมแห่
พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Aros และ Concert Hall ประจำเมืองออร์ฮูส
หากพูดถึงประเทศเดนมาร์ก คนส่วนมากคงนึกถึงเพี ยงโคเปนเฮเกนเป็นจุดหมายหลั กของการเยี่ยมเยือน แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึงเมื องออร์ฮูส ที่แม้เป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ สองของประเทศก็ดูเหมือนจะไม่มี ความน่าตื่นตาตื่นใจอะไรที่ แปลกใหม่ไปจากเมืองหลวงเท่าไรนั ก ด้วยขนาดพื้นที่รวมปริมณฑลแล้ วยังเล็กกว่าเกาะภูเก็ตและมี พลเมืองเพียงกว่า 3 แสนคน กระนั้น เมืองนี้ก็เริ่มได้รั บความสนใจจากนานาชาติในแง่ ของการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้ นเรื่อยๆ เมื่อปีที่ผ่านมา ออร์ฮูสได้รับยกย่องจากเว็บไซต์ ท่องเที่ยวของเหล่านักเดินทางอิ สระชื่อดังอย่าง Lonely Planet ให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดั บสองของยุโรป และปีนี้ก็เป็นโอกาสสำคัญที่ ออร์ฮูสจะได้ โปรโมตตนเองในฐานะเจ้าภาพ European Capital of Culture แห่งใหม่ นับเป็นครั้งที่สองของเดนมาร์ กหลังโคเปนเฮเกนได้รับเกียรตินั้ นไปตั้งแต่ปี 1996 โดยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจั ดขึ้นไปเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ ผ่านมา ซึ่งเต็มไปด้วยการจัดแสดงแสง สี เสียงอย่างตระการตาทั่ วใจกลางเมือง และตลอดทั้งปีจะมี การวางแผนตารางกิจกรรมทางศิลปวั ฒนธรรมต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ออร์ฮู สเท่านั้น แต่ยังกระจายออกไปตามเมืองต่างๆ ทั่วภาคกลางของประเทศ
การแสดงแสงไฟจากโบสถ์และอาคารว่
การแสดงแสง สี เสียงระหว่างพิธีเปิดอย่างเป็
สโลแกนในฐานะเจ้าภาพเมื องหลวงแห่งวัฒนธรรมของออร์ฮูสนั้ นคือ Let’s rethink โดยคำบรรยายจากเว็บไซต์ ทางการระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่ างมหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่ านมาได้สร้างความท้าทายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม การแบ่งแยกทางสังคม วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆ อีกมากมาย เราจึงควรหันกลับมาคิดทบทวนเพื่ อสร้างความเปลี่ยนแปลงในมุ มมองใหม่ๆ ผ่านการสร้างสรรค์ของศิลปะและวั ฒนธรรม เพื่อการพัฒนาแก้ไขปัญหาที่มั่ นคงในระยะยาวต่อไปในภายภาคหน้า โดยคำสำคัญที่ปรากฏให้เห็นระหว่ างพิธีนั้นรวมถึงความยั่งยืน (sustainability) ความหลากหลาย (diversity) ประชาธิปไตย (democracy) และการเปลี่ยนแปลง (change)
นิทรรศการซึ่งจัดแสดงบริ
ภายใต้แนวคิด “ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน” หนึ่งในค่านิยมสำคั
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและสะท้ อนออกมาจากแนวคิดที่กล่าวมาข้ างต้น นั่นคือทิศทางการเมืองและสั งคมในปัจจุบันของเดนมาร์กนั้ นแทบจะไม่สอดคล้องกับภาพการเรี ยกร้องถึงพัฒนาการทางสั งคมและความเปิดกว้างที่ แสดงออกมาในงานนี้เลย เดนมาร์กขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่ งในประเทศยุโรปที่มี ความสามารถในการยอมรั บความหลากหลายทางชาติพันธุ์น้ อยที่สุดและมีนโยบายการรับผู้ย้ ายถิ่นที่เข้มงวดที่สุด กระแสเชิงลบต่อผู้อพยพในเดนมาร์ กนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ในช่วงก่อนหน้าวิกฤตการณ์ผู้ ลี้ภัยที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2015 ประเทศนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ จากนานาชาติมาอย่างต่อเนื่องถึ งกฎหมายผู้อพยพที่ตึงเครี ยดและซับซ้อนเกินความจำเป็นอั นสะท้อนถึงแนวคิดเหยียดเชื้ อชาติ รวมไปถึงนโยบายการช่วยเหลือผู้ อพยพในการปรับตัวนั้นดูจะไม่ ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องด้วยสังคมเดนมาร์กนั้นมี แนวโน้มที่จะปิดกั้นและต่อต้ านวัฒนธรรมที่แตกต่าง และเรียกร้องให้ชาวต่างชาติต้ องละทิ้งตัวตนเดิมและกลมกลื นตนเองเข้ากับวิถีชีวิตท้องถิ่ นอย่างแนบเนียนที่สุดเพื่อรักษา “ความเป็นเดนมาร์ก” เอาไว้
หลังการเลือกตั้งในช่วงกลางปี 2015 พรรคฝ่ายขวาซึ่งมีหนึ่ งในนโยบายหลักคือเพิ่มความเข้ มงวดในกฎหมายเกี่ยวกับการรับผู้ อพยพให้มากกว่าเดิมพลิกกลับขึ้ นมากำชัยชนะเหนือพรรคฝ่ายซ้ายรั ฐบาลเดิม แสดงให้เห็นถึงความเอนเอี ยงทางทัศนคติของชาวเดนมาร์กที่ เป็นไปในทางต่อต้าน ‘คนนอก’ หนักขึ้น และเพียงไม่กี่เดือนหลังการจั ดตั้งรัฐบาล เดนมาร์กก็เข็นนโยบายมุ่งจำกั ดจำนวนผู้อพยพและลี้ภัยที่หวั งเข้ามาสร้างถิ่นที่อยู่ใหม่ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสวัสดิ การทางสังคม การริบทรัพย์สิน การยกเลิกโควต้ารับผู้ลี้ภั ยตามคำขอของสหประชาชาติ รวมไปถึงออกกฎเพิ่มเติมให้ชาวต่ างชาติซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศแล้ วสามารถขอใบอนุญาตพำนักอยู่ ถาวรและขอสัญชาติได้ยากยิ่งขึ้น ในปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ที่ต้องการลี้ภัยมายั งเดนมาร์กลดลงมากกว่าครึ่งเมื่ อเทียบกับตัวเลขในปี 2015 และทางรัฐก็ยังแสดงความจำนงที่ จะลดจำนวนผู้อพยพให้น้อยลงไปกว่ านี้อีก (3)
กระนั้น หากเดนมาร์กมีความตั้งใจจริงที่ จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงผ่านสื่ อกลางทางศิลปวัฒนธรรมที่กำลั งจะเกิดขึ้นในรอบปีนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี อย่างยิ่ง แม้ภาพลักษณ์ของสังคมเดนมาร์ กโดยรวมนั้นดูจะมีความเสรีนิ ยมสูง และชาวเดนมาร์กเองก็ภาคภูมิใจต่ อความเชื่อมั่นในหลักการความเท่ าเทียมของตนเองค่อนข้างมาก ทัศนคติต่อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ย้ายถิ่นนั้นกลับย้ อนแย้งกับแนวคิดดังกล่าวอยู่ไม่ น้อยทีเดียว การใช้ชีวิตในเดนมาร์กในฐานะผู้ อพยพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในปัจจุบันที่กระแสสั งคมในทวีปยุโรปเริ่มจะเอนเอี ยงไปทางชาตินิยม จนก่อความกังวลถึ งความถดถอยของหลักการประชาธิ ปไตยซึ่งตั้งอยู่บนการเข้ าใจและยอมรับความหลากหลายไม่ว่ าจะเป็นความคิดเห็น อุดมการณ์ ศาสนา เพศสภาพ ชาติพันธุ์ รวมไปถึงวัฒนธรรม โครงการนี้ถือเป็นช่องทางอันดี ที่จะสร้างความตระหนักรู้ถึ งความสำคัญของการเปิดกว้างทางทั ศนคติ ว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้หมายถึ งความขัดแย้งเสมอไป แต่ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ ยนมุมมองเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจต่อความเป็ นไปของโลกภายนอก ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้ างความสามารถในการอยู่ร่วมกั นอย่างสันติสุขของทุกฝ่ายไม่ว่ าจะมีพื้นเพผิดแผกกันไปอย่ างไรก็ตาม
หลังการเลือกตั้งในช่วงกลางปี 2015 พรรคฝ่ายขวาซึ่งมีหนึ่
กระนั้น หากเดนมาร์กมีความตั้งใจจริงที่
เชิงอรรถ
(2) http://www.aarhus2017.dk/en/ calendar/nathan-coley-the- same-for-everyone/10991/
(3) http://www.thelocal.dk/ 20160923/denmarks-asylum- numbers-at-a-five-year-low
(3) http://www.thelocal.dk/
แสดงความคิดเห็น