“ณัฐวุฒิ” ชี้ ม.44 ไม่ใช่ กม. การจะรักษา กม.โดยสิ่งที่ไม่ใช่ กม.จะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องไม่ได้ แนะต้องไม่ยุติความพยายามเจรจาหาทางออก หวั่นเหตุบานปลาย
วันนี้ (27 ก.พ.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ตนไม่ใช่ศิษย์วัดพระธรรมกาย ไม่เคยร่วมกิจกรรมใดๆ กับทางวัด สถานการณ์ปิดล้อมหลายวันที่ผ่านมาก็เป็นเพียงผู้ติดตามข่าวสาร แต่เมื่อมาถึงจุดที่มีการสูญเสียและยังไม่มีสัญญาณว่าเรื่องจะยุติลงง่ายๆ จึงอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้มีอำนาจว่า การใช้มาตรา 44 จะแก้ไขปัญหานี้ได้จริงหรือ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่วัดพระธรรมกายคือการรักษากฎหมาย แต่โดยหลักสากลอำนาจเบ็ดเสร็จแบบมาตรา 44 ไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย การรักษากฎหมายโดยสิ่งที่ไม่ใช่กฎหมายจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องได้อย่างไร
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ที่ปฏิเสธไม่ได้อีกอย่างคือ พระและลูกศิษย์ธรรมกายมีความเชื่อถือศรัทธาร่วมกัน และยืนหยัดจนถึงวันนี้ก็ด้วยปัจจัยข้อนี้เป็นสำคัญ การอภิปรายกันเรื่องถูกผิดเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่จะใช้อำนาจเด็ดขาดใดๆ ไปตัดสินและต้องการให้เกิดผลในทันทีย่อมเป็นไปได้ยาก เมื่อกลุ่มผู้มีอำนาจในรัฐบาลไปนั่งคุกเข่าให้พุทธอิสระเจิมหน้าผากได้ ก็ต้องเข้าใจและเคารพความเชื่อของคนที่เป็นลูกศิษย์วัดธรรมกายให้ได้ ทั้งนี้ การเผชิญหน้ากับมวลชนที่มากด้วยศรัทธาเช่นนี้ รัฐต้องสร้างศรัทธาในการใช้อำนาจให้เกิดขึ้น ไม่ให้มีลักษณะเลือกปฏิบัติหรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัย เช่นตอนนี้ที่กำลังมีการตั้งคำถามมาจากกลุ่มวัดพระธรรมกายว่า รัฐบาลต้องการยึดวัดหรืออย่างไร
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า การติดตามบุคคลตามหมายจับเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่หากเทียบกับการดำเนินการเรื่องนี้ในกรณีอื่นๆ ปฏิบัติการที่วัดพระธรรมกายดูจะแตกต่างจากที่สังคมเคยพบเห็นอยู่มาก และสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุไม่พึงปรารถนามากขึ้นทุกวัน รัฐบาลควรทบทวนประเด็นเหล่านี้อีกครั้ง และไม่ควรปิดช่องทางเจรจากับทางวัดไม่ว่ากรณีใดๆ ผู้ถืออำนาจและอาวุธต้องไม่ยุติความพยายามในการเจรจาหาทางออก คุยกันวันนี้ไม่รู้เรื่อง พรุ่งนี้อาจดีกว่าก็เป็นได้ ทั้งนี้ หากยังดันกันไปมาแบบนี้ หรือสมมุติว่าใช้กำลังบุกเข้าไปแล้วจับตัวพระธัมมชโยได้ แต่เกิดการสูญเสีย ไม่ว่าจะของฝ่ายใดก็มีแต่ความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าจับได้หรือไม่ได้วันนี้มีผลต่างกันไม่มาก แต่หากเกิดเรื่องบานปลายขึ้นมา น่าห่วงว่าจะเกิดผลที่คาดเดาลำบาก
แสดงความคิดเห็น