การยกเลิกโทษประหารชีวิตเป็นสั นติวิธีโดยรัฐอย่างไร
Posted: 31 Jan 2017 08:30 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
บทนำ
“ไม่มีกฎหมาย ไม่อำนาจ” จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐใช้อำนาจผ่านทางกฎหมาย จึงมีความรุนแรงโดยรัฐที่ กระทำผ่านทางกฎหมาย เช่น การปราบจลาจล การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การบัญญัติกฎหมายที่ละเมิดสิทธิ ขั้นพื้นฐานของประชาชน และการประหารชีวิต โดยการประหารชีวิตคื อการลงโทษพลเมืองของรัฐ อันเป็นหนึ่งในโทษทางอาญา 5 ชนิด ตามที่บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก ปรับ และริบทรัพย์ กล่าวได้ว่าโทษประหารชีวิตเป็ นโทษที่มีความรุนแรงสูงสุด เพราะถึงขั้นทำลายล้างชีวิ ตของบุคคล[1] และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุ ษยชน ซึ่งขัดต่อหลักปฏิญญาสากลว่าด้ วยสิทธิมนุษยชน ข้อ3 บุคคลมีสิทธิในการดำรงชีวิ ตในเสรีธรรมและในความมั่นคงแห่ งร่างกาย และข้อ5 บุคคลใดจะถูกทรมานหรือได้รั บการปฏิบัติหรือการลงทัณฑ์ซึ่ งทารุณโหดร้ายไร้มนุษยธรรมย่ำยี ศักดิ์ศรีไม่ได้[2] อีกทั้งยังขัดกับลั กษณะเฉพาะของสิทธิมนุษยชนที่ ระบุไว้ในปฏิญญาสากล คือ เป็นสิทธิที่ไม่สามารถถู กพรากหรือยกให้แก่กันได้ คือไม่มีใครจะมาพรากเอาสิทธิ จากบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ ถึงแม้ว่ากฎหมายของประเทศจะไม่ ยอมรับสิทธิมนุษยชนหรือแม้ จะละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม ประชาชนของประเทศก็ยังมีสิทธิ มนุษยชนอยู่[3] ทั้งนี้รายงานฉบับนี้เป็นการศึ กษาประเด็นการยกเลิกโทษประหารชี วิตที่แสดงให้เห็นว่าเป็นสันติ วิธีโดยรัฐอย่างไร และพยายามชี้ให้เห็นว่ารัฐยั งสามารถใช้สันติวิธี กำหนดนโยบายอื่นๆที่นอกเหนื อจากการนำไปใช้เพื่อสลายการชุ มนุมต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งรายงานฉบับนี้ได้ พยายามท้าทายมายาคติที่สนับสนุ นการประหารชีวิตด้วยหลักทฤษฎี และข้อมูลเชิงสถิติอีกด้วย
รัฐกับสันติวิธีว่าด้วยการยกเลิ กโทษประหารชีวิต : ลักษณาการ, มายาคติของการสนับสนุ นโทษประหารชีวิต, ความท้าทายมายาคติ, กรณีศึกษา
การประหารชีวิต(Capital Punishment) เป็นการลงโทษพลเมืองผู้กระทำผิ ดหรือขัดแย้งกับรัฐ และเป็นการลงโทษที่มีมาตั้งแต่ สมัยโบราณที่ปรากฏในทุกอารยธรรม โดยจะมีลักษณะการลงโทษที่ต่างกั นไปตามแต่ละบริบททางวั ฒนธรรมและช่วงเวลา เช่น การประหารชีวิตด้วยการกดให้จมน้ำ ตาย การใช้หินขว้างให้ตาย การเผาให้ตาย การตัดศีรษะ เป็นต้น ส่วนการประหารชีวิตในปัจจุบันทุ กประเทศพยายามที่จะทำให้เป็ นไปด้วยความเจ็บปวดทรมานน้อยที่ สุด เช่น การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า การแขวนคอ การรมแก๊ส และการประหารชีวิตด้วยปืน[4] ในปัจจุบันประเทศไทยได้เปลี่ ยนจากวิธีการประหารชีวิตด้วยปื นเป็นการฉีดยาให้ตาย เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2546 รัฐบาลได้มีการเสนอแก้ ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 19 ว่า “ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรื อสารพิษให้ตาย”[5] สำหรับการประหารชีวิตครั้งล่าสุ ดในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2552 เป็นการฉีดยาพิษประหารนักโทษชาย 2 รายในข้อหาคดียาเสพติด[6] ถึงแม้ว่าการประหารชีวิ ตในประเทศไทยจะไม่ได้ใช้ ในทางปฏิบัติมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว แต่ประเทศไทยยังไม่ยกเลิ กกฎหมายกำหนดโทษประหารชีวิต ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่าความรุ นแรงโดยรัฐในนามของการประหารชี วิตย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ
หากพิจารณาตามหลักอาชญาวิทยาที่ ประกอบด้วย2สำนักคิดที่สำคัญ ได้แก่ สำนักคิดดั้งเดิม (Classical School) เป็นสำนักที่มุ่งเน้นการลงโทษผู้ กระทำผิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” โดยการลงโทษจะเป็นเพื่อการแก้ แค้นทดแทนในสิ่งที่ได้กระทำไป เพื่อให้ได้รับผลที่ตนได้ กระทำอย่างสาสม ต่อมาก็เริ่มมีพัฒนาการโดยสำนั กปฏิฐานนิยม(Positive school)ที่เน้นการแก้ไขฟื้นฟู ที่เป็นการแก้ไขเยียวยาให้กลั บคืนเป็นคนดีของสังคม เพราะเชื่อว่าคนที่กระทำความผิ ดเพราะมีเหตุปัจจัยสภาพแวดล้ อมอื่นทำให้ก่ออาชญากรรม เช่น ความยากจน ชุมชนเสื่อมโทรม ถูกกระทำความรุนแรง เป็นต้น[7] ประกอบกับการพิจารณาตามหลักปรั ชญาการลงโทษ ซึ่งอธิบายถึงวัตถุประสงค์ ของการลงโทษทางอาญา 5 ประการด้วยกัน ดังนี้ 1.เพื่อการข่มขู่ยับยั้ง( Deterrence) 2.เพื่อทำให้ อาชญากรหมดความสามารถที่ จะกระทำความผิดได้อีก( incapacitation) 3.เพื่อการแก้แค้นทดแทน( Retribution) 4.เพื่อการฟื้นฟูเยียวยาแก้ ไขพฤติกรรมอาชญากรรมของผู้ กระทำความผิด(rehabilitation) 5.เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูเหยื่ ออาชญากรรมมากกว่าอาชญากรหรื อการใช้ความยุติธรรมเชิงสมานฉั นท์ (restorative justice)[8] จะพบว่าโทษประหารชีวิตมีลั กษณะที่ตรงกับสำนักคิดดั้งเดิ มของหลักอาชญวิทยาที่เป็ นการลงโทษเพื่อการแก้แค้นทดแทน และยังมีลักษณะที่ตรงกับปรั ชญาการลงโทษประการที่ 1. 2. และ3.
นอกจากนี้โทษประหารชีวิตยังมีลั กษณะที่เป็นการเมืองแบบอำนาจนิ ยม(Authorities) ซึ่งพิจารณาจากทฤษฎีของฟรีดริ กซ์ เฮเกล ที่สรุปได้ดังนี้ 1.รัฐมีความสำคัญกว่ามนุษย์ 2.มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ เกิดรัฐ 3.รัฐจึงมีอำนาจเหนือประชาชน 4.ประชาชนมีหน้าที่ต้องเชื่อฟั งรัฐอย่างเด็ดขาด[9] การประหารชีวิตจึงแสดงให้เห็นว่ า รัฐมีความสำคัญกว่ามนุษย์ รัฐจึงมีอำนาจชี้ขาดการตัดสิ นของพลเมืองไม่ว่าคำตัดสินนั้ นจะเป็นอย่างไร พลเมืองจะต้องยอมรับการตัดสิ นใจของรัฐ และการเมืองแบบอำนาจนิยมจึงเป็ นหนึ่งในสิ่งที่สร้ างความชอบธรรมให้รัฐใช้ความรุ นแรงในการจัดการความขัดแย้งต่ างๆ ไม่ว่าการใช้ความรุนแรงนั้ นจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นอย่ างไร อาทิ หากเกิดความผิ ดพลาดในกระบวนการยุติธรรมแล้วมี การประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่ ไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด ย่อมเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ ายอย่างมหันต์ เพราะเป็นความผิดพลาดที่รัฐไม่ อาจทำให้ผู้เสียหายกลับมามีชีวิ ตและมีสิทธิต่างๆได้อีกครั้ง และการเมืองแบบอำนาจนิยมที่ ทำให้รัฐใช้ความรุนแรงแก้ ไขความขัดแย้ง ย่อมเป็นอีกปัจจัยในความผิ ดพลาดนี้
ขณะที่การเมืองแบบเสรีนิยม( Liberalism) เชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพมาตั้ งแต่กำเนิด แม้แต่รัฐบาลก็จะละเมิดไม่ได้ และให้ความสำคัญกับตัวบุคคล( Individual)มากกว่ารัฐ(State)[ 10] ประกอบกับวัฒนธรรมการเมื องแบบประชาธิปไตยที่จะต้องยึดมั่ น ในความสำคัญของและศักดิ์ศรี ของบุคคล ตลอดจนจะต้องเชื่อมั่ นในความสามารถของบุ คคลและมองโลกในแง่ดี[11] หากเปรียบเทียบการเมื องแบบอำนาจนิยมกับการเมื องแบบเสรีนิยม จะพบว่าการเมืองแบบเสรีนิ ยมและวัฒนธรรมการเมื องแบบประชาธิปไตยไม่สนับสนุ นการมีโทษประหารชีวิต จึงสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุ ษยชนซึ่งเป็นกระแสโลกในปัจจุบั นที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ หลายประเทศยกเลิกโทษประหารชีวิต แต่ยังมีบางประเทศที่ยังคงใช้ โทษประหารชีวิตอยู่ และหากสันติวิธีหมายถึงวิธี การจัดการซึ่งปราศจากความรุนแรง รัฐที่ยังคงมีการประหารชีวิตจึ งไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นรัฐที่ ปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนอย่ างถ้วนหน้า
หากพิจารณาตามหลักอาชญาวิทยาที่
นอกจากนี้โทษประหารชีวิตยังมีลั
ขณะที่การเมืองแบบเสรีนิยม(
ทั้งนี้การยกเลิกโทษประหารชีวิ
1.การลงโทษประหารชีวิตเหมาะสมต่
2.โทษประหารชีวิตสามารถยับยั้
3.อาชญากรบางคนเป็นอันตรายเกิ
ความท้าทายมายาคติ
ดังนั้นผู้ศึกษาจึงท้าทายข้อคั ดค้านนี้ด้วยสถิติการยกเลิ กโทษประหารชีวิตใน พ.ศ.2556 จากเว็บไซต์ Amnesty International Thailand ที่เปิดเผยข้อมูลดังนี้ ปัจจุบันกว่าสองในสามประเทศทั่ วโลกได้ยกเลิกมาตรการลงโทษขั้ นเด็ดขาดในรูปแบบนี้ และแสวงหาทางเลือกของการลงโทษที่ ไม่ละเมิดสิทธิในการมีชีวิต โดยสถิตินับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ปรากฏดังนี้ 98ประเทศยกเลิกโทษประหารสำหรั บความผิดทางอาญาทุกประเภท เช่น กัมพูชา แคนาดา ภูฎาน เป็นต้น, 7ประเทศยกเลิกโทษประหารสำหรั บความผิดทางอาญาทั่วไป เช่น โบลิเวีย ชิลี บราซิล เป็นต้น, 35ประเทศยกเลิ กโทษประหารในทางปฏิบัติ เช่น ลาว ตูนีเซีย โมร็อคโค เป็นต้น, 140ประเทศยกเลิกโทษประหารชีวิ ตในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติ เช่น ลาว ศรีลังกา เกาหลีใต้ เป็นต้น, 58ประเทศที่ยังคงมี บทลงโทษประหารชีวิต เช่น ไทย เกาหลีเหนือ ยูเครน สหรัฐฯ จีน อินเดีย เป็นต้น[15] ทั้งนี้เมื่อเทียบกับสัดส่ วนพบว่าประเทศที่มีโทษประหารชี วิตมีจำนวนน้อยกว่าประเทศที่ไม่ มีโทษประหารชีวิต ซึ่งหากการประหารชีวิ ตสามารถลดอาชญากรรมลงได้จริง แล้วเหตุใดหลายประเทศจึงทยอยกั นยกเลิกโทษประหาร
หากพิจารณาอัตราการมี อาชญากรของบางประเทศที่มียกเลิ กโทษประหารชีวิต เช่น ในแคนาดา อัตราการฆาตกรรมต่อประชากร 100,000 คนลดจากตัวเลขสูงสุดที่ 3.09 ในปี 2518 ก่อนที่จะมีการยกเลิกโทษประหาร ลงมาเหลือ 2.41 ในปี 2523 และจากนั้นมาก็มีอัตราลดลงเรื่ อยๆ และในปี 2546 ยี่สิบเจ็ดปีหลังจากยกเลิ กโทษประหาร อัตราการฆาตกรรมอยู่ที่ 1.73 ต่อประชากร 100,000 คน ตํ่ากว่าปี 2518 ถึง 44% และถือว่าตํ่าสุดในรอบสามทศวรรษ แม้ว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.0 ในปี 2548 แต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตราที่ตํ่ ากว่าตัวเลขในช่วงที่เริ่มมี การยกเลิกโทษประหารถึงหนึ่ งในสาม[16] จะพบว่าเกิดอาชญากรลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มี การประหารชีวิต เช่น ได้แก่ อิหร่าน (ตัวเลขอย่างเป็นทางการ 289 ครั้ง แต่เชื่อว่ามีอย่างน้อย 454 ครั้งหรือกว่านั้น แต่ทางการไม่ได้ยอมรับ) ซาอุดิอาระเบีย (อย่างน้อย 90 ครั้ง) อิรัก (อย่างน้อย 61 ครั้ง) และสหรัฐฯ (35 ครั้ง) ยกเว้นประเทศจีน มีข้อมูลการประหารชีวิตอย่างน้ อย 607 ครั้งในปี 2557[17] สถิติผู้ถูกประหารชีวิตคร่าวๆนี้ สามารถแสดงให้เห็นการละเมิดสิ ทธิมนุษยชนของรัฐตามจำนวนของผู้ เสียชีวิตที่อาจกระทำผิดจริง และการยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ ได้ทำให้อาชญากรเพิ่มขึ้น
แต่กติการะหว่างประเทศเรื่องสิ ทธิพลเมืองสิทธิทางการเมืองระบุ ว่า แม้จะเป็นนักโทษประหาร แต่พวกเขายังคงมีสิทธิอื่ นๆในฐานะความเป็นมนุษย์ ดังนั้นนักโทษประหารและวิธี การประหารจะต้องไม่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม[18] ฉะนั้นจึงไม่อาจเป็นไปได้ที่ การประหารชีวิตจะเป็นการสร้ างภาพหรือเป็นการข่มขวัญให้ อาชญากรคนอื่นยำเกรงในโทษประหาร เพราะหากประหารชีวิตตามกติกาดั งกล่าว
หากพิจารณาอัตราการมี
แต่กติการะหว่างประเทศเรื่องสิ
กรณีศึกษาการยกเลิกโทษประหารชี วิตเป็นสันติวิธีโดยรัฐอย่างไร
การยกเลิกโทษประหารชีวิตคือ การลงโทษโดยรัฐที่จัดได้ว่าเป็ นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่ กล่าวไปแล้วในบทนำ โดยประเทศแรกที่ยกเลิ กโทษประหารชีวิตคื อประเทศเอกวาดอร์ ค.ศ.1906[19] และมีประเทศอื่นๆต่างทยอยยกเลิ กโทษประหารชีวิตมากขึ้นเรื่ อยๆกว่าร้อยประเทศ เมื่อรัฐดำเนินการแล้วย่อมต้ องมีการใช้ลักษณะร่วมของสันติวิ ธีคือการเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรี ของผู้คนเป็นสำคัญมาเป็ นแนวทางการแก้ไขโทษหรือยกเลิ กโทษประหารชีวิต ซึ่งอย่างน้อยสันติวิธีจะเป็ นหนทางที่ทำให้รัฐเผชิญกั บความขัดแย้งในรูปแบบที่ 1.รัฐต้องปราศจากความเกลียดชั งต่อคู่ขัดแย้งที่เป็นพลเมื องของตนเอง คือรัฐต้องเข้าใจว่าปั ญหาอาชญากรไม่ได้เกิดจากตัวบุ คคลอย่างเดียว แต่มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างอี กด้วย 2.ทำให้รัฐสามารถมุ่งสู่ ประชาชนได้อย่างถ้วนหน้า และสามารถป้องกันกรณีที่เกิ ดความผิดพลาดทางกระบวนการตุ ลาการจนอาจเกิดการสั่งประหารชี วิตผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดจริง 3.รัฐที่ใช้สันติวิธี ในการออกแบบนโยบายด้ านกระบวนการยุติธรรมต้องยอมรั บผลจากการใช้สันติวิธีเช่นกัน[ 20] เพราะรัฐต้องมองคู่ขัดแย้งว่ าเป็นพลเมืองของตน ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องนำไปประหารชี วิต
ทั้งนี้ผู้ศึกษาไม่อาจนั บรวมประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชี วิตในความอาญาบางกรณีและยังไม่ ยกเลิกโทษประหารชีวิตในแง่ ของกฎหมาย เพราะหากการยกเลิกโทษประหารชีวิ ตจะเป็นสันติวิธีโดยรัฐได้ ก็ต่อเมื่อรัฐต้องยกเลิ กโทษประหารชีวิตทุกกรณีและยกเลิ กทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ แต่จะต้องหาวิธีอื่นๆมาลงโทษหรื อเยียวยาผู้กระทำผิดและผู้เสี ยหายแทนเท่านั้น เพราะหากรัฐไม่ยกเลิกตามเงื่ อนไขนี้ย่อมมีโอกาสที่รัฐจะใช้ ความรุนแรงประเภทนี้ได้เสมอ ไม่ต่างไปจากการใช้สันติวิธี และความรุนแรงควบคู่กัน ซึ่งจะทำให้ความชอบธรรมของฝ่ ายสันติลดลงหรือสูญไป[21]
ทั้งนี้ผู้ศึกษาไม่อาจนั
ผู้ศึกษาเห็นว่าการยกเลิ กโทษประหารชีวิตเป็นสันติวิธี โดยรัฐ อย่างน้อย 4 ประการคือ
1.รัฐเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ว่ า มนุษย์ทุกคนย่อมมีความเป็นมนุ ษย์เหมือนกัน แม้แต่ผู้ที่เหี้ยมโหดในส่วนลึ กก็ยังมีความโน้มเอียงต่อความรั กความกรุณา[22] จึงไม่กำจัดประชาชนของตนด้ วยการใช้ความรุนแรงหรื อการประหารชีวิต
2.การยกเลิกโทษประหารชีวิ ตแสดงให้เห็นว่ารัฐเข้าใจที่ มาแห่งอำนาจ เพราะอำนาจไม่ไม่ได้เกิดจากอาวุ ธ หากอยู่ที่การยอมรับหรือยิ นยอมเชื่อฟังผู้อื่น[23] การที่รัฐไม่ใช้ความรุนแรงด้ วยการประหารชีวิตเพื่อผดุ งความถูกต้องของสังคม แต่ให้โอกาสในการให้ผู้กระทำผิ ดได้กลับออกมาอย่างพลเมืองที่ เชื่อฟังและยอมรั บอำนาจทางกฎหมายของรัฐ หรืออาจใช้วิธีคุมขังผู้กระทำผิ ดได้ทบทวนการกระทำของตนไปตลอดชี วิต
3.เป็นวิธีแห่งการใช้พลังทางสั งคม เศรษฐกิจและการเมือง เพื่อการเปลี่ยนแปลง[24] เพราะมีหลายประเทศ เช่น ประเทศในแถบยุโรปที่ไม่มี โทษประหารชีวิตแต่อาชญากรรมน้ อยจนต้องปิดฑัณทสถาน เช่น เนเธอร์แลนด์[25] ซึ่งหากสังเกตการพัฒนาด้ านระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จะพบว่าหลายประเทศที่ไม่มี โทษประหารชีวิตเป็นประเทศที่มี ระบบระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่มีเสถียรภาพ เช่น มีกระบวนการการยุติธรรมที่โปร่ งใส มีการออกกฎหมายที่เหมาะกับวิถี ชีวิตของพลเมือง จึงประสบความสำเร็จในการใช้ นโยบายนี้และไม่มีการแนวโน้มที่ จะนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีก
2.การยกเลิกโทษประหารชีวิ
3.เป็นวิธีแห่งการใช้พลังทางสั
4.เป็นเทคนิคในการเผชิญหน้ากั บความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิ ภาพชนิดที่ทำให้หลุดพ้ นจากความรุนแรงได้ เพราะการที่รัฐเลือกที่จะปฏิ เสธความรุนแรงด้วยการให้มี โทษประหารชีวิต ย่อมส่งผลให้รัฐไม่มีการลงมือสั งหารพลเมืองของตนเอง ทำให้รัฐมีโอกาสที่จะพัฒนาหาวิ ธีการที่สามารถให้ความคุ้ มครองสวัสดิภาพแก่พลเมื องของตนได้โดยไม่ต้องใช้ความรุ นแรง
บทสรุป
ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของสั งคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่ างบุคคลที่สถานะทางเศรษฐกิ จทางสังคมเสมอกัน หรือไม่เท่ากัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรั ฐในกรณีต่างๆ ดังนั้นการจัดการความขัดแย้งไม่ ว่าจะวิธีใดก็ตามแต่ไม่มีวิธี การใดที่จะทำให้ความขัดแย้ งหายไปอย่างถาวร เหมือนกับโทษประหารชีวิตที่ไม่ สามารถทำให้ความขัดแย้งระหว่ างพลเมืองกับรัฐยุติลงได้ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้วิธีดังกล่ าวมาเป็นระยะเวลานานแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ าความรุนแรงไม่สามรถทำให้ปั ญหาสังคมซึ่งเป็นปัญหาความขั ดแย้งระหว่างรัฐกับพลเมื องบางกรณียุติลงได้ เช่น ปัญหาอาชญากรรมต่างๆที่ต้ องโทษประหารชีวิต
หากกล่าวในแง่ของการจั ดการความขัดแย้ง การยกเลิกโทษประหารชีวิตถือว่ าเป็นการใช้สันติวิธีโดยรัฐอี กรูปแบบหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้ องนำไปใช้เฉพาะการปราบปรามผู้ชุ มนุมประท้วงต่อต้านรัฐเท่านั้น แต่ยังสามารถนำรูปแบบวิธี การของสันติวิธี ในการกำหนดนโยบายของรัฐเพื่ อทำให้เกิดประโยชน์ที่สอดคล้ องกับค่านิยมสิทธิมนุ ษยชนและประชาธิปไตยที่เป็นค่านิ ยมที่ส่งเสริมคุณค่าความเป็ นพลเมืองได้เช่นกัน
หากกล่าวในแง่ของการจั
เชิงอรรถ
[1] สำนักงานรัฐธรรมนูญ. เอกสารวิชาการส่วนบุคคล เรื่องโทษประหารชีวิต : หลักคิดด้านสิทธิมนุษยชน (สิงหาคม 2557).
[2] คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ . กสม.7รายงานผลเพื่อพิ จารณาเสนอแนะนโยบายหรือข้ อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย. (24 มีนาคม 2558)
[3] เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว, “แนวทางการปฏิบัติตามหลักการสิ ทธิมนุษยชน” ใน คู่มือกติการะหว่างประเทศ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมื อง (มปก. มปก. 2556) 6.
[4] ศิริกัลยา ธงชัย, “การใช้โทษอื่นแทนโทษประหารชีวิ ต,” (สารนิพนธ์ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขางานบริหารงานยุติธรรม ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553), 14-16 ใน https://www.digi.library.tu. ac.th/thesis/sw/2875/ 03chapter2.pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[5] นายพรชัย อักษรเสือ, “แนวโน้มการยกเลิกโทษประหารชีวิ ตในประเทศไทย,” http://www.ptu.ac.th/ StudentServe/input/thesis/[1][ 080916100219].pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[6] ไทยรัฐออนไลน์, “ฉีดยาประหาร 2นักโทษ คดียาเสพติด,” ไทยรัฐ, 25 สิงหาคม 2552, http://www.thairath.co.th/ content/28540 (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[7] จิฬาภรณ์ ตามชู และ อานนท์ ยังคุณ, “หลักอาชญาวิทยาและนโยบายการยุ ติธรรม” ใน เอกสารทางวิชาการรณรงค์เปลี่ ยนแปลงโทษประหารชีวิต ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล (กรุงเทพฯ, กองส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม, 2557). 8-9.
[8] นางสาวจิฬาภรณ์ ตามชู และ นายอานนท์ ยังคุณ, “หลักอาชญาวิทยาและนโยบายการยุ ติธรรม” ใน เอกสารทางวิชาการรณรงค์เปลี่ ยนแปลงโทษประหารชีวิต ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล (กรุงเทพฯ, กองส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม, 2557), 10-13.
[9] พิทักษ์ไท เทพนอก, “ทฤษฎีอำนาจนิยม” ใน ทฤษฎีสังคมและการเมือง (นครราชสีมา : สำนักพิมพ์ตะวันรุ่งซินดิเคท มปก.), 85.
[10] พิทักษ์ไท เทพนอก, “ทฤษฎีเสรีนิยม” ใน ทฤษฎีสังคมและการเมือง (นครราชสีมา : สำนักพิมพ์ตะวันรุ่งซินดิเคท มปก.), 91.
[11] พิทักษ์ไท เทพนอก, “ตารางที่1 แสดงการเปรียบเทียบวั ฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิ ปไตยกับวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม” ใน ทฤษฎีสังคมและการเมือง (นครราชสีมา : สำนักพิมพ์ตะวันรุ่งซินดิเคท มปก.), 85.
[12]ดวงดาว กีรติกานนท์ , “โทษประหารชีวิต Capital Punishment,” www.bu.ac.th/knowledgecenter/ epaper/jan_june2009/pdf/ Duangdaew.pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[13] ดวงดาว กีรติกานนท์ , “โทษประหารชีวิต Capital Punishment,” www.bu.ac.th/knowledgecenter/ epaper/jan_june2009/pdf/ Duangdaew.pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[14] ดวงดาว กีรติกานนท์ , “โทษประหารชีวิต Capital Punishment,” www.bu.ac.th/knowledgecenter/ epaper/jan_june2009/pdf/ Duangdaew.pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[15] มปก, “แนวโน้มและสถิติระดับโลก ข้อเท็จจริงและสถิติ,” https://www.amnesty.or.th/our- work/death-penalty/global- trend (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[16] ชำนาญ จันทร์เรือง, “โทษประหารชีวิตไม่ทำให้ อาชญากรรมลดลง,” http://prachatai.com/journal/ 2013/09/48823 (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[17]มปก. “แอมเนสตี้เผยแพร่ รายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิ ตทั่วโลก ประจำปี 2557.” https://www.amnesty.or.th/ news/press/560 (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[18] เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว, “แนวทางการปฏิบัติตามหลักการสิ ทธิมนุษยชน” ใน คู่มือกติการะหว่างประเทศ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมื อง (มปก. มปก. 2556) 13.
[19] ศิริกัลยา ธงชัย, “การใช้โทษอื่นแทนโทษประหารชีวิ ต,” (สารนิพนธ์ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขางานบริหารงานยุติธรรม ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553), 44ใน https://www.digi.library.tu. ac.th/thesis/sw/2875/ 03chapter2.pdf (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
[20] ชัยวัฒน์ อานนท์, “สันติวิธีจากแง่มุมของรัฐ” ใน ท้าทายทางเลือก ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2557). 256.
[21] ชัยวัฒน์ อานนท์, “สันติวิธีจากแง่มุมของรัฐ” ใน ท้าทายทางเลือก ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2557). 309.
[22] ชัยวัฒน์ อานนท์, “สันติวิธีจากแง่มุมของรัฐ” ใน ท้าทายทางเลือก ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2557). 306.
[23] ชัยวัฒน์ อานนท์, “เคล็ดลับสันติวิธี” ใน ท้าทายทางเลือก ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2557). 306.
[24] ชัยวัฒน์ อานนท์, “เคล็ดลับสันติวิธี” ใน ท้าทายทางเลือก ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2557). 306.
[25] โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, มติชนออนไลน์, “เนเธอร์แลนด์ปิดคุก แต่ประเทศไทยสร้างคุกเพิ่ม,”มติ ชน, 19 ธันวาคม 2556, http://www.matichon.co.th/ news_detail.php?newsid= 1387362115 (สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559).
หมายเหตุ: จากบทความเดิมชื่อ "รัฐกับสันติวิธีว่าด้ วยการยกเลิกโทษประหารชีวิต : กรณีศึกษาการยกเลิกโทษประหารชี วิตเป็นสันติวิธีโดยรัฐอย่างไร"
แสดงความคิดเห็น