นายทรัมป์ กำแพงเบอร์ลินและคลื่นผู้อพยพ
Posted: 05 Feb 2017 03:44 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
นายมิคาเอล มูลเลอร์ นายกเทศมนตรีของนครเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันออกมาเตื อนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าอย่าได้สร้ างกำแพงตามชายแดนสหรัฐอเมริ กาและเม็กซิโกเพื่อป้องกั นการหลบหนีเข้าประเทศอย่างผิ ดกฎหมายเพราะจะสร้างความทุกข์ ทรมานให้กับประชาชน เช่นเดียวกับกำแพงเบอร์ลินที่มี ตัวตนอยู่ช่วงปี 1960 ถึง ปี 1989 เคยทำเช่นนั้น คำเตือนเช่นนี้ได้รับการตอกย้ำ โดยประธานาธิบดีของอิหร่านซึ่ งประชาชนของตนถูกสั่งห้ามเข้ าประเทศสหรัฐฯ ชั่วคราวที่แสดงผ่านทวิตเตอร์ ในการเปรียบเปรยกำแพงของนายทรั มป์กับกำแพงเบอร์ลิน หรือก่อนหน้านี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสตรั สก่อนจะมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ต่อนโยบายหาเสียงของนายทรัมป์ว่ าเขาไม่ใช่ชาวคริสต์ หากเรียกร้องให้มีการเนรเทศผู้ อพยพผิดกฎหมายและสัญญาว่าจะสร้ างกำแพงระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิ โก
บุคคลสำคัญโดยเฉพาะ 2 คนแรกดังได้กล่าวมาทำให้ผู้เขี ยนรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดจึ งใช้กำแพงเบอร์ลินเป็นตัวเปรี ยบเปรยกับการสร้ างกำแพงตามชายแดนของสหรั ฐฯและเม็กซิโก ทั้งที่บริบททางการเมืองของสิ่ งก่อสร้างทั้ง 2 นั้นแตกต่างกันอย่างยิ่ง สำหรับกำแพงเบอร์ลินนั้นถูกสร้ างในช่วงสงครามเย็นโดยรั ฐบาลเยอรมันตะวันออกซึ่งเป็ นคอมมิวนิสต์ เพื่อปิดกั้นไม่ให้ชาวนครเบอร์ ลินตะวันออกและส่วนอื่นๆ ของประเทศซึ่งเป็นแรงงานที่มีทั กษะฝีมือหลั่งไหลไปสู่เยอรมั นตะวันตกที่เป็นทุนนิยม เป็นที่น่าสนใจว่าเยอรมันตะวั นออกไม่ได้รับการรับรองจากสหรั ฐฯ กับตะวันตกและประเทศโลกที่ 3 อีกเป็นจำนวนมาก เยอรมันตะวันออกจึงถือได้ว่ามี ความเปราะบางทางการเมืองอย่างยิ่ ง การปกครองประเทศแบบเผด็จการเช่ นเดียวกับการสังหารพลเมื องของตนเพื่อไม่ให้หลบหนีผ่ านกำแพงเบอร์ลินซึ่งเป็นสัญลั กษณ์แห่งความชั่วร้ายของลัทธิ คอมมิวนิสต์ ยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรั ฐบาลในการปกครองประเทศลดลงเรื่ อยๆ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อพรรคคอมมิ วนิสต์ของเยอรมันตะวั นออกหมดอำนาจ ประเทศเยอรมันก็สามารถรวมตัวเป็ นหนึ่งเดียวกัน โดยสามารถกล่าวได้ว่าเยอรมั นตะวันออกเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่ งของตะวันตกเสียมากกว่ าเพราะระบอบการปกครองและเศรษฐกิ จรวมไปถึงรัฐธรรมนูญเป็ นของเยอรมันตะวันตกทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน สำหรับสหรัฐอเมริกาและเม็กซิ โกนั้นมีความเป็นรัฐชาติกับรู ปแบบการเมืองที่ได้รับการยอมรั บจากนานาประเทศทั่วโลกและถูกต้ องชอบธรรมอย่างชัดเจน ที่สำคัญประชาชนก็ไม่ได้มี ความผูกพันเป็นประเทศเดียวกั นเหมือนกับชาวเยอรมันตะวั นออกและตะวันตก แม้จะมีความผูกพันอยู่ก็ได้แก่ ชาวเม็กซิโกที่อพยพมาตั้ งรกรากในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ มลรัฐชายแดนกับบ้านเกิ ดของพวกเขา แม้ว่าพื้นที่หลายส่วนของสหรั ฐฯจะเคยเป็นของเม็กซิโกมาก่ อนแต่สหรัฐฯมีความชอบธรรมต่อพื้ นที่เหล่านั้นมานานกว่า 100 ปี การเปรียบเปรยระหว่ างกำแพงเบอร์ลินและกำแพงที่ นายทรัมป์จะสร้างจึงไม่สมเหตุ สมผล ด้วยสหรัฐฯมีสิทธิในการสร้ างกำแพงดังเช่นเรามีสิทธิ ในการสร้างรั้วกั้นที่ดินของตั วเอง
นอกจากนี้การตำหนิเฉพาะนายทรั มป์ ในเรื่องการสร้างกำแพงก็ไม่ยุติ ธรรมอีกเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้สหรัฐฯ พยายามสร้างสิ่งกีดขวางระหว่ างชายแดนระหว่างตนกับเม็กซิ โกมากว่า 2 ทศวรรษแล้วคือในรูปแบบของรั้ว โดยเริ่มต้นในสมัยของประธานาธิ บดีบิล คลินตันเมื่อปี 1994 ซึ่งปัจจุบันมีความยาวกว่า 930 กิโลเมตร แต่ก็ถือว่าไม่เพี ยงพอเพราะความยาวของชายแดนของสห รัฐฯกับเม็กซิโกซึ่งมี ความยาวกว่า 3 พันกิโลเมตร อันก่อให้เกิดปัญหาสารพัดสำหรั บการก่อสร้างรั้ว (ซึ่งนายทรัมป์ต้องพบแน่ นอนในอนาคตในการสร้ างกำแพงและอาจหนักหนากว่าด้วย) อย่างเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อม สิทธิเหนือที่ดินของชาวท้องถิ่ นในบริเวณก่อสร้าง ทุนและแรงงานในการสร้าง ฯลฯ
เช่นเดียวกับปัญหาทางการเมื องภายในของสหรัฐฯ เอง แต่ก็มีความพยายามของรั ฐบาลอเมริกันภายใต้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช (ผู้ถวายการต้อนรับแก่สั นตะปาปาองค์ก่อนคือสมเด็จพระสั นตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 อย่างอบอุ่น) และพรรครีพับลิกันในการเสริมสร้ างรั้วเพื่อป้องกันการลักลอบเข้ าประเทศอย่างผิดกฎหมายหรือแม้ แต่รัฐบาลยุคประธานาธิบดี บารัก โอบามาเองก็ยังดำรงนโยบายเช่นนี้ สืบมา ด้วยการลักลอบเข้าประเทศไม่ได้ มาจากชาวเม็กซิโกเพียงอย่างเดี ยวแต่ยังจากชาวอเมริ กากลางจำนวนมากซึ่งใช้เม็กซิ โกเป็นทางผ่านในการหลบหนีเข้ าสหรัฐฯ อันก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ผู้ อพยพในปี 2014 นั่นคือคลื่นการหลบหนีเข้าสหรั ฐฯ ของผู้หญิงและเด็กจำนวนหลายหมื่ นคนจากเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส
อย่างไรก็ตามการสร้างรั้วดังกล่ าวทำให้ผู้อพยพต้องหลีกเลี่ ยงไปยังการเดินทางผ่ านทะเลทรายอันกว้างใหญ่แทน เพื่อหลบหนีเข้าสหรัฐฯ ช่วงระหว่างปี 1998 จนถึงปี 2004 มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 1,954 ศพตามชายแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโก ในขณะมีผู้เสียชีวิ ตจากความพยายามในการข้ ามกำแพงเบอร์ลินเช่นถู กทางการเยอรมันตะวันออกสั งหารเพียงแค่ 139 ศพ ดังนั้นถึงแม้นายทรัมป์จะไม่สร้ างกำแพง ปัจจุบันและอนาคตก็จะยังมีผู้ เสียชีวิตและทุกข์ทรมานอีกเป็ นจำนวนมาก
นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังต้องใช้รั้วในการป้องกั นการนำเข้ายาเสพติ ดทางชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ โดยกลุ่มค้ายาเสพติดของเม็กซิโก ประมาณการว่ากลุ่มค้ายาเสพติ ดของเม็กซิโกทำเงินได้มากที่สุ ดเกือบ 3 หมื่นล้านเหรียญฯ จากการค้ายาในสหรัฐฯ ผสมกับอาชญากรรมด้านอื่นๆ อันเกิดจากคลื่นผู้อพยพซึ่ งทำให้คนอเมริกันจำนวนมากวิตกกั งวล มีการระแวงถึงขั้นที่ว่าผู้ก่ อการร้ายอย่างเช่นกลุ่ มไอเอสจะสามารถแทรกซึมเข้ ามาในประเทศผ่านชายแดนเม็กซิโก อีกทั้งรัฐยังต้องใช้งบประมาณอี กเป็นจำนวนมหาศาลในการขับไล่ผู้ อพยพที่สร้างปัญหาและมีสถิติ อาชญากรรมออกไป จึงทำให้ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่ งประธานาธิบดีโดยเฉพาะนายทรัมป์ สัญญาว่าจะสร้างกำแพงอันมี ความมั่นคงและทั่วถึงกว่ารั้ วไปตลอดพรมแดน
การปิดกั้นพรมแดนอย่างหนาแน่ นอย่างกำแพงของนายทรัมป์อาจไม่ สามารถรับประกันได้ว่าจะแก้ไขปั ญหาผู้อพยพ การลักลอบนำเข้ายาเสพติ ดและอาชญากรรมอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง แต่ผลที่เห็นชัดเจนคืออาจช่ วยสร้างความนิยมให้กับนายทรัมป์ ได้ อย่างน้อยก็ลบคำสบประมาทที่ว่ าเขาไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้ ตอนหาเสียง สมมติว่าในอนาคต นายทรัมป์สามารถสร้างกำแพงได้ เสร็จสมบูรณ์และใช้กลยุทธ์อื่ นควบคู่ไปด้วยจนสามารถสกัดกั้ นการไหลบ่าของคลื่นอพยพได้ ก็จะทำให้เม็กซิ โกและหลายประเทศในอเมริ กากลางขาดรายได้จากที่ แรงงานเหล่านั้นส่งกลับมายั งครอบครัว ซึ่งตามมุมมองของสันตะปาปาเป็ นการขัดแย้งกับศีลธรรมที่ ปรารถนาให้รัฐเป็นผู้ใจบุญสุ นทานคอยช่วยเหลือผู้ยากไร้แม้ เป็นชาวต่างชาติ แต่สำหรับมุมมองของคนอเมริกั นจำนวนมากก็คงไม่ต่างจากมุ มมองของชาวไทยพุทธต่อแรงงานพม่ าหรือชาวโรฮิงญาที่พยายามลี้ภั ยเข้ามาในประเทศไทย ศีลธรรมจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ าใดนัก
ถ้าโยงไปถึงเรื่องประชาธิปไตยก็ ถือได้ว่าซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก ศีลธรรมตามแบบสันตะปาปานั้ นสอดคล้องกับแนวคิดประชาธิ ปไตยเสรีนิยมที่ยอมรั บความหลากหลายของเชื้อชาติ และศาสนาจนก้าวล่วงพรมแดนรั ฐชาติ แต่ในขณะเดียวกับคนอเมริกั นจำนวนมากซึ่งยึดถือประชาธิ ปไตยที่อิงกับลัทธิชาตินิยมเห็ นว่าผู้อพยพอย่างเช่นเม็กซิ โกและอเมริกากลางนั้นเข้ ามากอบโกยทรัพยากรและแย่ งงานของคนอเมริกันเช่นเดียวกั บการสร้างปัญหาอื่นๆ
เหล่านี้เป็นสาเหตุว่ าทำไมนายทรัมป์จึงได้เรียกร้ องให้เม็กซิโกจ่ายค่าก่อสร้ างกำแพงเพราะเม็กซิโกได้ ประโยชน์จากบรรดาผู้อพยพเหล่านั้ นมานาน[1] แม้คนอเมริกันจำนวนไม่น้ อยตระหนักดีว่าบรรพบุรุษของตนก็ เป็นผู้อพยพเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็ภูมิใจว่าตระกู ลและตัวเขาเองสามารถถูกดูดกลื นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสั งคมอเมริกันได้ อันแตกต่างจากชาวเม็กซิ โกและชาวอเมริกากลางจำนวนมากที่ ยังคงยึดติดอยู่กับอัตลักษณ์ และผูกพันกับประเทศของตน[2] การที่รัฐไม่ได้ให้สัญชาติ รวมไปถึงขับไล่คนเหล่านั้ นออกไปย่อมเป็นประชาธิปไตยในอี กมิติหนึ่งที่รัฐในฐานะเป็นองค์ กรของประชาชนได้ทำเพื่ อประชาชนซึ่งผูกพันและภักดีต่ อประเทศนั้นอย่างแท้จริง แนวคิดเช่นนี้ล้วนมีอิทธิพลต่ อการเมืองของสหรัฐฯ ก่อนตัวนายทรัมป์จะเข้ ามาในแวดวงดังกล่าวเสียอีก
นอกจากนี้ คำสั่งฝ่ายบริหารของนายทรัมป์ที่ ห้ามไม่ให้พลเมืองของประเทศที่ ส่วนใหญ่นับถืออิสลามจำนวน 7 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯเป็ นเวลา 90 วันและยุติการรับผู้ลี้ภัยเข้ าประเทศเป็นเวลา 120 วัน โดยเฉพาะชาวซีเรียนั้นไม่มี เวลาจำกัด อันนำไปสู่การประท้วงของคนอเมริ กันหัวเสรีนิ ยมและชาวโลกจำนวนมหาศาล ยังน่าจะตอกย้ำให้มุมมองต่ อการสร้างกำแพงและนโยบายผู้ อพยพของนายทรัมป์เกิดความอื้ อฉาวยิ่งขึ้นในภายหลัง นางสาวมาลาลา ยูซาฟไซ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติ ภาพภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่ าวได้บอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ปิดประตูต่ อหน้าบรรดาเด็กๆ แม่ๆ และพ่อๆ เธอหัวใจแตกสลายที่ว่า อเมริกาหันหลังให้กับประวัติ ศาสตร์อันน่าภูมิใจในการต้อนรั บผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ประชาชนผู้ซึ่งช่วยสร้างประเทศ ซึ่งพร้อมจะทำงานหนักสำหรั บโอกาสดีๆในการใช้ชีวิตใหม่ ความคิดของเธอซึ่งสอดคล้องกั บแนวคิดเสรีนิยมในวงการฮอลลีวู ดอันผลิตภาพยนตร์ที่มีแนวคิดเช่ นนี้จำนวนมากค่อนข้างคลาดเคลื่ อนจากความจริง อันทำให้มีคนเข้าใจผิดคิดว่ าสหรัฐฯ พร้อมจะรับใครเข้ามาก็ได้
เป็นเรื่องจริงที่ว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมาล้วนแต่ มีรากฐานมาจากผู้ลี้ภัยและผู้ อพยพ[3] แต่สหรัฐฯ ได้กลายเป็นรัฐชาติที่มีความชั ดเจนในเรื่องการคัดเลือกหรือจั ดการกับผู้อพยพและผู้ลี้ภั ยมานานแล้ว มีสถิติว่าสหรัฐฯ รับผู้อพยพเข้าประเทศปีละ 1 ล้านคน ซึ่งถ้าปราศจากการคัดเลือกก็ คงมีคนเข้าหลั่งไหลเข้ามามากกว่ านี้ไม่รู้จักกี่เท่า แม้แต่การขอวีซ่าเพื่อเข้าไปยั งสหรัฐฯ เพียงชั่วคราว ผู้ขอยังต้องพบกับกรรมวิธี มากมายและซับซ้อนดังที่โน้ส อุดม แต้พานิชได้เสียดสี ในการแสดงเดี่ยวครั้งหนึ่ งของเขา เช่นเดียวกับการรับผู้ลี้ภัยซึ่ งตามสถิติของปี 2016 สหรัฐฯ รับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศ 84,000 คนโดยมีชาวซีเรียเพียง 12,486 คน ซึ่งน้อยมากหากเทียบกับเยอรมั นซึ่งรับผู้อพยพซีเรียในปีเดี ยวกันถึง 300,000 คน (ปี 2015 รับไปจำนวนกว่าล้านคน) เพราะแต่เดิมนั้นสหรัฐฯ ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มี กระบวนการคัดเลือกผู้ลี้ภัยที่ เข้มงวดที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง จึงน่าเป็นปัจจัยให้นายทรัมป์ กล้าตัดสินใจสั่งระงับการรับเข้ าผู้อพยพชั่วคราว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมื องอาจเพราะเห็นว่าเป็นจำนวนเล็ กน้อย แต่ก็ถูกนักกิจกรรมและพวกหั วเสรีนิยมโจมตีและประท้ วงจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการสั่ งห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ของบุคคลที่มีสัญชาติ ของประเทศต้องห้ามดังที่ได้กล่ าวมาด้วย อันถือได้ว่าเป็นความคลุมเครื อและความบกพร่องของคำสั่งฝ่ ายบริหารที่ส่งผลให้นายทรัมป์ เสียคะแนนความนิยมไปอี กมากโดยเฉพาะผลกระทบที่มีกับบุ คคลที่ถือ 2 สัญชาติ ผสมกับการเล่นเกมการเมื องของพรรคเดโมแครต
สาเหตุสำคัญที่สหรัฐฯ มีนโยบายเข้มงวดดังกล่าวก็ เพราะมันกลายเป็นประเด็ นทางการเมืองที่อยู่คู่กับสหรั ฐฯ มานานสำหรับโดยเฉพาะพรรครีพับลิ กันนั้นมักต่อต้านผู้อพยพเป็นพิ เศษ อย่างเช่นในปี 1924 ประธานาธิบดีแคลวิน คูลิดจ์ได้ลงนามในกฎหมายซึ่งยุ ติคลื่นของผู้อพยพครั้งใหญ่สุ ดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา และกฎหมายดังกล่าวใช้ศาสตร์ จอมปลอมในการจำกัดการเข้ ามาของกลุ่มเชื้อชาติซึ่งรัฐถื อว่าด้อยทางสังคมอย่างเช่นคนเชื้ อสายอิตาลีและ ยิวจากยุโรปตะวันออก แม้แต่ประธานาธิบดีที่ มาจากพรรคเดโมแครตเอง อย่างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ไม่ยอมรับผู้อพยพ (หรือผู้ลี้ภัย) ชาวยิวจากยุโรป จนกระทั่งปลายสงคราม ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี โรสเวลต์จึงได้ยอมรับผู้ อพยพเหล่านั้นจำนวนแค่ 1 พันคนเข้าประเทศและจำกัดพื้นที่ ของพวกเขาให้อยู่แต่ในฐานทั พประจำนครนิวยอร์ก
นอกจากนี้นางสาวมาลาลาซึ่งได้ เดินทางเข้าพบและแสดงความชื่ นชมนายโอบามาในปี 2013 อาจลืมไปว่านายโอบามาในช่วง 8 ปีที่ดำรงตำแหน่งก็ถือว่าเป็ นประธานาธิบดีที่เนรเทศผู้ อพยพผิดกฎหมายมากที่สุดในประวั ติศาสตร์คือ 2.5 ล้านคน มากเสียยิ่งกว่าประธานาธิบดีทุ กคนรวมกันในประวัติศาสตร์ (อาจเพราะเธอสนใจแต่ drone หรืออากาศยานไร้คนขับเป็นสำคัญ) แม้ว่าเขาจะมีหัวเสรีนิ ยมและมาจากพรรคเดโมแครตก็ตาม อันสะท้อนให้เห็นว่ าความพยายามในการดูดกลืนผู้ อพยพต่างชาติเข้ากับสังคมอเมริ กันซึ่งมักโอ้อวดตนว่าเป็น Melting Pot หรือสังคมแห่งการอยู่ร่วมกั นของคนต่างเชื้อชาติและต่างวั ฒนธรรมก็ประสบกับปั ญหามากมายเพราะผู้อพยพจำนวนไม่ น้อยโดยเฉพาะจากชายแดนเม็กซิโก มีประวัติอาชญากรรมและเป็นภัยต่ อความมั่นคงดังที่ได้กล่าวมาแล้ ว การที่นายทรัมป์สัญญาว่ าจะเนรเทศผู้อพยพดังกล่าวกว่า 3 ล้านคนก็ไม่ใช่ความแตกต่างที่น่ าตกใจเท่าไร หรือไม่น่าจะให้สมเด็จพระสั นตะปาปาฟรานซิสทรงตำหนินายทรั มป์ได้ถนัดพระโอษฐ์นัก เพราะก่อนหน้านี้พระองค์ทรงมี ความสัมพันธ์อันดีต่ อนายโอบามาจนดูเหมือนว่าได้ มองข้ามสถิติเช่นนี้ของรัฐบาลชุ ดก่อนไป
สามารถกล่าวได้ว่าทั้ งนายกเทศมนตรีนครเบอร์ลิน ประธานาธิบดีอิหร่าน สันตะปาปาหรือแม้แต่ นางสาวมาลาลาอาจสนใจข้อมูลในปั จจุบันและภาพพจน์ของนายทรัมป์ เสียมากกว่า
เชิงอรรถ
[1] นายทรัมป์อาจตั้งใจลืมไปว่ าคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยไม่ว่ าระดับชาวบ้าน ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต่างๆ เช่นเดียวกับเศรษฐกิ จโดยภาพรวมของสหรัฐฯ ก็ได้ประโยชน์จากแรงงานต่างชาติ เหล่านี้ กระนั้นรัฐก็สามารถคั ดกรองและลงทะเบียนผู้อพยพได้มี ประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้ อนคนเหล่านั้นเข้ากั บระบอบแรงงานในสหรัฐฯ
[2] นายทรัมป์นั้นมีพฤติกรรมอันไม่ ถูกต้องที่กล่าวหาว่าชาวเม็กซิ โกเป็นนักข่มขืน (rapist) ด้วยผู้อพยพจำนวนมากเป็ นคนธรรมดาๆ แต่ต้องการสร้างอนาคตและส่งเงิ นไปช่วยเหลือครอบครัวของตั วเองที่บ้านเกิด แต่นายทรัมป์เป็นนักการเมื องแบบประชานิยมที่ใช้ คำหลอกลวงดังกล่าวในการชักจู งการตัดสินใจของคนอเมริกัน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เขาสามารถชนะฮิลลารี คลินตัน (ซึ่งเน้นนโยบายการยอมรับผู้ อพยพเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสั งคมอเมริกัน) เป็นเรื่องจริงว่าทรัมป์แพ้ คะแนนเสียงจากประชาชนให้กั บนางคลินตันไปเกือบ 3 ล้านเสียง แต่หากคำนึงถึงภาพพจน์อันไม่ดี ไม่งามของเขาตั้งแต่ก่อนการเลื อกตั้ง เช่นเดียวกับประสบการณ์ ทางการเมืองซึ่งไม่สามารถเที ยบกับนางคลินตันได้เลย ก็ถือได้ว่านายทรัมป์สามารถเรี ยกคะแนนเสียงไม่ว่าระดับคณะผู้ เลือกตั้ง (Electoral college) และระดับประชาชนได้อย่ างมากมายเกินคาด นั่นคือถึง 304 เสียง และ 62,985,105 เสียง ตามลำดับ ซึ่งคงมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ เลือกนายทรัมป์เพราะคำสั ญญาในการสร้างกำแพงบริ เวณชายแดนหรือการมีอคติทางเชื้ อชาติ (อันไม่สามารถแสดงออกมาอย่างชั ดเจนได้เหมือนพวกเสรีนิยม ซึ่งส่งผลต่อโพลสำรวจความนิยมก่ อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่ อปีที่แล้ว)
[2] นายทรัมป์นั้นมีพฤติกรรมอันไม่
[3] ผู้อพยพ (Immigrant) กับผู้ลี้ภัย (Refugee) มีความแตกต่างกันก็คือผู้ อพยพเดินทางไปตั้งรกรากที่ ประเทศอื่นด้วยความเต็มใจหรื อเลือกเอง ส่วนผู้ลี้ภัยเกิดจากความจำเป็ นหรือถูกบังคับด้วยสถานการณ์ บางประการเช่นสงคราม สงครามกลางเมือง ทุพภิกขภัย ฯลฯ
แสดงความคิดเห็น