คดี ‘ชายชุดดำ ปี 53’ ศาลสั่งจำคุก 10 ปี 2 จำเลย อีก 3 ยกฟ้องแต่สั่งขังระหว่างอุทธรณ์
Posted: 31 Jan 2017 03:05 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
คดีประวัติศาสตร์ “ชายชุดดำ” ถูกฟ้องข้ อหาครอบครองและพกพาอาวุธสงคราม จำคุก 10 ปี 2 คน อีก 3 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ จำเลยแต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ 1 ในนั้นเป็นแม่ค้าขายไข่เจียว จำเลยทั้ง 5 ถูกจับหลัง รปห.57-เคยร้องเรียนถูกซ้อม ติดคุกมาแล้ว 2 ปีกว่า ด้าน ‘ศรีวราห์’ ดีใจศาลลงโทษ แสดงว่ามีชายชุดดำจริง ‘วิญญัติ’ โต้คดีนี้สร้างความชอบธรรมให้ ศอฉ. พร้อมตั้งคำถามความน่าเชื่อถื อของพยาน
แฟ้มภาพ
31 ม.ค.2560 ที่ห้อง 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดี “ชายชุดดำ” ซึ่งมีจำเลย 5 คนหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิง ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันมี อาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่ สามารถออกใบอนุญาตและพกพาอาวุ ธไปในที่ชุมชน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” ของ ศอฉ. หรือที่เรียกกันว่า การสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ซึ่งในวันดังกล่าวมีผู้เสี ยชีวิตเป็นประชาชน 21 ราย เป็นทหารที่ปฏิบัติการ 5 นาย หนึ่งในนั้นคือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศขณะนั้น) ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3,4,5 นั้นยังมีเหตุแห่งความสงสัยจึ งยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ จำเลย พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาญาติผู้ ต้องขังทั้ง 5 พากันร่ำไห้ ขณะที่ทนายจำเลยเตรียมยื่นอุ ทธรณ์ให้จำเลยที่ 1-2 และเตรียมทางช่องทางยื่นประกั นตัวจำเลยที่ 3-5 ซึ่งทนายระบุน่าจะต้องใช้หลั กทรัพย์ค่อนข้างสูงแต่ครอบครั วจำเลยล้วนมีฐานะยากจน
ทั้งนี้ จำเลยทั้งห้าได้แก่
จำเลยที่ 1 นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน อายุ 47 ปี อาชีพ รับจ้าง (ขับรถตู้วิน)
จำเลยที่ 2 นายปรีชา อยู่เย็น หรือไก่เตี้ย อายุ 27 ปี อาชีพ รับจ้าง
จำเลยที่ 3 นายรณฤทธิ์ สุวิชา หรือนะ อายุ 35 ปี อาชีพ รับจ้าง
จำเลยที่ 4 นายชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็ก อายุ 47 ปี อาชีพ รับจ้าง
จำเลยที่ 5 นายปุณิกา ชูศรี หรืออร อายุ 41 ปี อาชีพรับจ้าง (แม่ค้าขายข้าวแกง)
ผู้ต้องหาระบุถูกซ้อมให้รั บสารภาพ
จำเลย 5 ถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.2557 โดยถูกทยอยจับกุมไล่เลี่ยกันแล้ วนำไปควบคุมตัวในค่ายทหารหลายวั น ก่อนที่ทหารจะนำตัวส่งตำรวจเพื่ อให้แจ้งข้อกล่าวหา จากนั้นถูกคุมขังในเรือนจำเรื่ อยมาจนปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 2 ปี 4 เดือน ระหว่างพิจารณาคดีเคยยื่นประกั นตัววางหลักทรัพย์คนละ 5 แสนบาท 3 ครั้งแต่ศาลปฏิเสธโดยให้เหตุ ผลว่าคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่ าจะหลบหนี ก่อนหน้าจะมีการสืบพยาน ทนายจำเลยได้เคยร้องขอความเป็ นธรรมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพนักงานอัยการโดยระบุว่า จำเลยถูกซ้อมทรมานภายในค่ ายทหารเพื่อให้รับสารภาพ (อ่านที่นี่)
‘ศรีวราห์’ ยินดีศาลลงโทษ เครื่องยืนยัน “ชายชุดดำมีจริง”
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษาจำคุ กจำเลย 1-2 เพราะทำให้สังคมเห็นว่าชายชุ ดดำมีจริง พนักงานสอบสวนทำงานเหนื่อย มีผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ได้ทำตามใบสั่งใคร คดีนี้จะทำให้คดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีน้ำหนักในการพิพากษาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เท่าที่ตรวจสอบได้พบว่าคดีนี้ เป็นเดียวที่มีการจับกุ มและดำเนินคดีผู้ต้องหาจากเหตุ การณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษา เรียกกันว่า “คดีชายชุดดำ” (ไม่นับคดีที่เกี่ยวเนื่องอีก 1 คดีซึ่งศาลยกฟ้อง) โดยอัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จำเลยทั้งห้ากับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิ ดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชี วิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสี ยหายได้ คือ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 , ปืนเอ็ม 16 ,ปืนเอชเค 33 หรือปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ ไม่ได้ ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว, ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุ จำเป็น เร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุ มกันของประชาชนจำนวนมาก
ทนายโต้รองผบ.ตร. มี “ชายชุดดำ” จะได้รองรับความชอบธรรมปฏิบัติ การของ ศอฉ.?
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลย จากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิ และเสรีภาพ (สกสส.) ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการได้มาซึ่งพยานหลั กฐานในคดีนี้ โดยเฉพาะการสอบสวนซึ่งไม่ได้เริ่ มจากการสอบสวนที่เป็ นการทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญา ซึ่งผู้จับตัวและนำมาสอบสวนเป็ นทหาร ที่ใช้อำนาจพิเศษจาก คสช.ซึ่งข้อเท็จจริงยุติว่า ทหารใช้อำนาจคุมตัวจำเลยทั้ง 5 สอบปากคำที่ค่ายทหาร แม้การสอบสวนจะมีตำรวจบางนายร่ วมด้วยก็ตาม ผู้ต้องหาทั้ง 5 ในขณะนั้นให้ข้อมูลที่สำคัญว่ าพวกเขาถูกบังคับ ขู่เข็ญ ในระหว่างสอบสวนในค่ายทหาร และต่อมาได้มีการขอความเป็ นธรรมต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการด้วย จึงเป็นประเด็นของความชอบด้ วยคำรับสารภาพที่เป็นปฐมเหตุ ของการตั้งรูปคดีนี้ นอกจากนี้การสอบสวนที่มีการบั นทึกภาพและเสียงไว้นั้นก็เป็ นการสอบสวนภายหลังจากที่มี การสอบสวนจากทหารแล้ว โดยการบันทึกไว้นั้นมีพนั กงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่ งชาติเข้าร่วม มิใช่ดีเอสไอ ทั้งที่คดีเช่นนี้เป็นคดีพิ เศษตั้งแต่ปี 2553 แต่กลายเป็นตำรวจชุดที่ตั้งขึ้ นพิเศษโดย ผบ.ตร.หลังจากการยึดอำนาจปี 2557
“การที่บางคนบอกว่าต้องมีชายชุ ดดำในทางคดีและมีการปฏิบัติ การจริงในการชุมนุม ทำให้เชื่อว่าน่าจะนำไปเป็นเหตุ ผลที่ทำให้การใช้กำลังทหารของ ศอฉ.เข้าสลายการชุมนุมเป็นเรื่ องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะมีความพยายามอธิบายเรื่ องชายชุดดำให้เป็นกองกำลังติ ดอาวุธของผู้ชุมนุม และทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ เสียชีวิตจำนวนมาก” วิญญัติกล่าว
เปิดคำพิพากษาบางส่วน
ในการอ่านคำพิพากษาศาลบรรยายถึ งข้อเท็จจริงพื้นฐานที่รับฟั งได้ว่า มีชายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้ าเข้าไปในที่เกิดเหตุ และตำรวจได้ยึดปืนจากชายคนหนึ่ งที่หลบหนีไปไว้ได้ ระหว่างนั้นมีการยิงปืนและระเบิ ดทำให้ทหารประชาชนเสียชีวิ ตจำนวนมาก ต่อมามีผู้แจ้งว่าพบรถฮอนด้าซี วิคจอดทิ้งไว้ที่อพาร์ตเมนต์บ้ านริมน้ำ ตรวจพบวัตถุระเบิดและอาวุธปืน นอกจากนี้ยังพบรถตู้สีขาวจอดทิ้ งไว้หน้าบริษัทเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งมีชื่อของบุคคลหนึ่งเป็นเจ้ าของซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ให้ นายธนเดช หรือนายไก่ ผู้ต้องหาอีกคนที่ไม่ได้ตัวมาฟ้ องในคดีนี้เช่าไปขับรถรับจ้าง ต่อมา พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ได้อาศัยกฎอัยการศึกและคำสั่งหั วหน้า คสช.นำตัวจำเลยทั้ง 5 คนมาสอบปากคำและจำเลยทั้ง 5 คนได้ให้ถ้อยคำไว้ เมื่อส่งมอบตัวให้ตำรวจแจ้งข้ อกล่าวหาจำเลยทั้ง 5 ให้การรับสารภาพ
ส่วนการวินิจฉัยว่าจำเลยผิ ดตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าในส่วนจำเลยที่ 1 นั้นมีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้ าที่ทหารม้าและเป็นพลขับรถฮัมวี นำกำลังพลมาในวันเกิดเหตุ ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลั งพลในเวลา 21.00 น.ขณะจอดรถบริเวณจุดเกิดเหตุ พบรถตู้สีขาววิ่งสวนมาและชะลอ จำเลยที่ 1 ได้ลดกระจกชะโงกหน้ามาด่าพยาน และพยานเห็นปืนอาก้า ปืนเอ็ม 16 วางอยู่ที่พื้นรถและเบาะหลัง แม้รถจะวิ่งสวนกันใช้เวลาไม่ นานยากที่จะจดจำรายละเอียด และพยานก็ไม่ได้รู้จักกับจำเลย แต่เมื่อพิจารณาว่ารถฮัมวีมี พวงมาลัยอยู่ทางซ้าย รถตู้ขณะวิ่งสวนก็ชะลอความเร็ว เป็นไปได้ที่จะทำให้เห็นหน้าชั ดเจน นอกจากนี้พยานที่เป็ นทหารอาจจะมีความสามารถจดจำเหตุ การณ์ เป็นคนช่างสังเกต ประกอบกับพยานโจทก์อีกคนหนึ่งคื อ พี่สาวของนายธนเดช ที่มาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 อยู่วินรถตู้เดียวกันกับน้องชาย วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และพวกมีการขนกระเป๋าสีดำยาวขึ้ นรถ คืนก่อนเกิดเหตุก็เห็นอาวุธปื นโผล่ออกจากกระเป๋าดังกล่าวด้วย พี่สาวนายธนเดชรู้จักกันดีกั บจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไม่มีเหตุโกรธเคืองให้ต้องปรั กปรำจำเลยที่ 1 หากจะปรักปรำหรือถูกข่มขู่ให้ กลัวตามที่จำเลยต่อสู้ พี่สาวนายธนเดชย่อมต้องให้ การรวมไปถึงจำเลยคนอื่นๆ ด้วยแต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เชื่อว่าเป็นการเบิกความตามจริง ตรงไปตรงมา สอดคล้องกับที่พ.อ.วิจารณ์เบิ กความว่า จำเลยที่ 1 รับว่าได้ติดต่อวางแผนระดมคนกั บนายธนเดชเพื่อไปต่อต้านทหาร และจำเลยที่ 1 ยิงปืนใส่ทหาร ที่จำเลยอ้างว่าทหารข่มขู่จึงรั บสารภาพเพราะกลัวจะเกิดอันตราย เมื่อฟังบันทึกเทปคำให้การปกติ และพยานทุกคนก็เบิกความสอดคล้ องต้องกันจึงไม่น่าเชื่อว่าจะถู กซ้อม นอกจากนี้ข้อต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 เดินทางกลับลำปางในเวลา 20.00 น.ก็ไม่มีพยานยืนยัน
ส่วนของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลอ้างถึงพยานโจทก์ซึ่งเป็ นตำรวจ 2 คนที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุม ซึ่งเบิกความไว้ว่า การ์ดของผู้ชุมนุมได้จั บชายสวมหมวกไหมพรม 2 คน เมื่อเปิดหมวกออกพบเป็นจำเลยที่ 2 จึงถ่ายรูปไว้ ขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นหลบหนี ไปได้และตำรวจได้ยึดอาวุ ธของคนนั้นไว้ได้ ศาลเชื่อว่าตำรวจแฝงตัวไปในวั นเกิดเหตุจริง จำเลยที่ 2 ก็รับว่าเป็นการ์ดและต่อสู้ว่ าวันเกิดเหตุไปรับจ้างเดิ นสายไฟที่ศูนย์ราชการ แต่ไม่มีพยานบุคคลหรือสัญญาจ้ างมายืนยันทั้งที่เป็นเรื่องที่ ไม่ยาก จึงเป็นคำเบิกความที่ไม่น่าเชื่ อถือ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 รับสารภาพข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธ แต่ปฏิเสธข้อหาสะสมกำลังพลเพื่ อก่อการร้าย เห็นชัดเจนว่าเป็นการรั บสารภาพโดยสมัครใจ ไม่เช่นนั้นก็ต้องปฏิเสธข้อหานี้ ด้วย ส่วนที่สู้ว่าภาพชายชุดดำที่ถู กถอดหมวกไหมพรมออกเป็นภาพตัดต่ อนั้น ไม่ปรากฏว่ามีข้อพิรุธหรือข้อบ่ งชี้ดังกล่าว จึงเชื่อว่าเป็นภาพจริง
ส่วนจำเลยที่ 3, 4, 5 นั้นมีเพียงบันทึกซั กถามและการรับสารภาพในชั้ นสอบสวน แม้โจทก์จะมีทหารและพนั กงานสอบสวนมาเบิกความแต่บันทึ กซักถามดังกล่าวก็เป็นเพี ยงพยานบอกเล่าและเป็นพยานซัดทอด ซึ่งต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง ต้องมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรื อพยานแวดล้อม แต่ไม่ปรากฏพยานปากใดยืนยันว่ าจำเลยที่ 3-5 เป็นคนร้าย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยที่ 3-4 มีความเกี่ยวพันเป็นการ์ด จำเลยที่ 5 เข้าไปขายข้าวไข่เจียวในที่ชุ มนุม แต่ไม่ได้หมายความว่า จำเลยที่ 3-5 จะครอบครองอาวุธปืน มีเหตุให้สงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ จำเลยที่ 3-5
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษในคดีครอบครองอาวุธคนละ 8 ปี คดีพกพาอาวุธคนละ 2 ปี รวมเป็นจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ยกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์
ทนายเปิดประเด็นโต้แย้งความน่ าเชื่อถือพยาน
วิญญัติ หนึ่งทีมทนายจำเลยให้สัมภาษณ์ ในภายหลังอีกว่า จำเลยทั้ง 5 คนถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาเพิ่มเติม คือ ข้อหาก่อการร้าย แต่อัยการไม่สั่งฟ้อง ขณะนี้กำลังรอคำชี้ขาดจากอธิบดี ดีเอสไอ
นอกจากนี้ พยานที่ศาลอ้างเพื่ อลงโทษจำเลยที่ 1-2 นั้น ปากหนึ่งคือ พี่สาวนายธนเดชหรือไก่ พยานปากนี้เคยให้การในคดีที่เกี่ ยวพันกันคือเรื่องอาวุ ธในรถฮอนด้า ซีวิค ซึ่งศาลยกฟ้องไปแล้ว โดยศาลเห็นว่าพยานปากนี้รับฟั งไม่ได้ ให้การในชั้นตำรวจอย่างหนึ่ง ในชั้นศาลอีกอย่างหนึ่ง ขัดแย้งกันในสาระสำคัญ ส่วนพยานที่เป็นทหารม้าที่เป็ นพลขับรถฮัมวีที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ลดกระจกลงตะโกนด่าเขานั้นก็ เคยเบิกความในการไต่ สวนการตายคดีนายฮิโรยูกิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิ ตในที่เกิดเหตุ เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในที่ เกิดเหตุ ในครั้งนั้นเขาเบิกความถึงรถตู้ ที่วิ่งสวนมาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นใคร เนื่องจากคนในรถตู้ สวมหมวกไหมพรม เห็นแต่ลูกตา และไม่ได้เบิกความว่าเห็นอาวุ ธบนเบาะรถแต่อย่างใด
แสดงความคิดเห็น