สถาบันวิจัยสังคมฯ จัดเสวนา จากโรงไฟฟ้ากระบี่ สู่โจทย์ใหญ่จัดการพลังงานยั่ งยืน
Posted: 21 Feb 2017 10:32 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2560 เวลาประมาณ 16.30 น. สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีนโยบายสังคม (Social Policy Forum) เรื่อง การจัดการพลังงานที่เป็นธรรมกั บเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน: โจทย์ท้าทายในอนาคต มีนักวิชาการที่มีความเชี่ ยวชาญทางทฤษฎีและปฏิบัติร่ วมแลกเปลี่ยน มีโจทย์สำคัญจะจัดการพลังงานอย่ างไรให้มีความยั่งยืนและเป็ นธรรม ศึกษาจากความขัดแย้งด้ านนโยบายการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิ นที่กระบี่จากมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา
ผศ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า พลังงานเป็นเรื่องประชาธิปไตย ประกอบด้วยความเป็ นธรรมและความยั่งยืน จากสถานการณ์ความขัดแย้งการสร้ างโรงไฟฟ้าถ่านหินจ.กระบี่ ทำให้ยกระดับความรู้เป็นที่น่ าชื่นชม โจทย์สำคัญจะทำอย่างไรให้ ทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่องว่า การใช้ถ่านหินมีต้นทุนสู งและทำให้โลกร้อนถึงแม้จะเอาพื้ นที่มหาสมุทรมาปลูกต้นไม้ยังไม่ สามารถทำให้ธรรมชาติกลับมาสมดุ ลได้ เราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ พลังงานฟอสซิล ทั้งนี้ในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็ สามารถทำได้ ถ้ามีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยื น เนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำด้ านการเข้าถึงพลังงาน เราจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจเรื่ องนี้ง่ายขึ้น ทั้งที่ทั่วโลกเขาก็ ทำมานานและสามารถทำได้
ขณะที่ เลิศชาย ศิริชัย จากคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การสร้างโรงไฟฟ้าถ่ านหินที่ภาคใต้ ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์เรากลับใช้ วิธีคิดแบบเดิม รัฐบาลคิดเอาเองพอใครไม่เห็นด้ วยก็ใช้อำนาจผลักภาระให้ประชาชน การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ กระบี่รัฐบาลไม่ได้เข้ามาศึ กษาร่วมซึ่งรัฐบาลรู้ดีว่ าโครงการมันมีผลกระทบ แต่ไม่สื่อสารต่ อประชาชนและเสนอข้อมูลเพียงด้ านเดียว ทั้งนี้ต้องมีการจัดการทรั พยากรโดยท้องถิ่น แต่กลุ่มทุนกลับมาใช้ประโยชน์ และจัดแจงเสียเองโดยมองข้ามท้ องถิ่น ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง พูดแต่เรื่องการใช้พลังงานแต่ ไม่พูดเรื่องคน
เลิศชาย กล่าวต่อว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ และสงขลา หรือพื้นที่อื่นๆ ถูกต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ภาคใต้ถูกกำหนดตำแหน่งแห่งที่ ให้เป็นเขตน้ำมันและก๊ าซธรรมชาติ จากการศึกษากระบวนการผลิ ตกระแสไฟฟ้ากลายเป็นธุรกิจข้ ามพรมแดน ขึ้นอยู่ว่าที่ไหนได้กำไรมากกว่ ากัน จึงมีคำถามว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิ ตแห่งประเทศไทย (กฝพ.) มีการแปรรูปให้เอกชนเข้ามาถือหุ้ น ขณะนี้เรากำลังเอาชีวิตคนไปค้ าขายใช่หรือเปล่า แล้วจะเกิดความเป็ นธรรมในอนาคตได้อย่างไร
“กฝพ. กับ รัฐบาล มีวาทกรรมในทางเดียวกันว่า โครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ กระบี่ไม่ผลกระทบ โฆษณาว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้นั้ นสะอาด บอกว่าถ้ามีโรงไฟฟ้าแล้วลู กหลานจะมีโอกาสทำงานใกล้บ้าน แต่ความจริงคือชาวบ้านแต่ละครั วเรือนที่ภาคใต้ใช้ไฟฟ้าแค่นิ ดเดียว ทั้งนี้ยังบอกให้ชาวบ้านมองให้ กว้างกว่าเรื่องของตัวเองและไม่ เห็นแก่ตัว รัฐนำวาทกรรมนี้สื่อสาธารณะเพื่ อให้คนภาคใต้สนับสนุน ขณะที่ NGO ในพื้นที่กลายเป็นแพะรับบาป ทำไม กฝผ. และรัฐบาล จ้างคนไปนำเสนอโครงการได้ ทำไมรัฐจัดงบประมาณพาชาวบ้ านไปดูงานที่ถูกจัดแจงไว้ได้ เช่น กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ จ.ลำปาง มีการพาชาวบ้านไปดูงานที่ โรงไฟฟ้า แต่ไม่ได้พาชาวบ้านไปดูคนที่เจ็ บป่วยจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ดร.เลิศชายกล่าว
เลิศชาย กล่าวอีกว่า การอนุมัติโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ กระบี่ถือได้ว่าเป็นการแย่งชิ งทรัพยากรท้องถิ่น เกิดการขูดรีดทรัพยากรผ่านคน ลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคน ซึ่ง ดร.เลิศชายเสนอทางออกดังนี้ 1.ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เริ่มอย่างจริงจัง ทำการศึกษาและทำวิจัยออกมา 2. ให้รัฐบาลยกเลิกการดำเนินการที่ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 3. สร้างหน่วยงานกลางขึ้นมาจั ดการแก้ไขปัญหา
ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ จากคณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า มติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ กระบี่ จากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา รัฐบาลพูดถึงแค่ทางเลือกด้ านพลังงาน ทางผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิ จและทางการท่องเที่ยว ซึ่งในทางท้องถิ่นชาวบ้านก็มี ความรู้และมีคุณค่า ดังนั้นการพูดถึงโรงไฟฟ้าถ่านหิ นที่กระบี่และที่อื่นๆ จึงไม่ใช่แค่การพู ดความสะอาดทางเทคโนโลยี เนื่องจากจะมีคำถามที่ท้ าทายตามมาว่า เทคโนโลยีสำหรับกระบวนการสร้ างนั้นสะอาดจริงหรือไม่ จากที่เคยมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเมื่ อปี 2504 เป็นโรงไฟฟ้ากระบี่โรงเก่าที่ ใช้ถ่านหินก็เริ่มดำเนินการก่ อสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ เริ่มเดินเครื่องผลิตกระแสไฟอย่ างเป็นทางการในปี พ.ศ.2507 โดยมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ งแรกเริ่ม 20 เมกกะวัตต์ ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 60 เมกกะวัตต์ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2538 จึงยกเลิกการผลิตกระแสไฟฟ้าด้ วยถ่านหิน และหันมาใช้น้ำมันเตาแทน ในช่วงที่มีการเดินเครื่องเพื่ อผลิตไฟฟ้า งานวิจัยนี้พบว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิ นขนาด 60 เมกกะวัตต์ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อมและชุมชนอย่างรุนแรง โดยขี้เถ้าถ่านหินจากการเผาไหม้ ฟุ้งกระจาย และชาวบ้านหมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 3 และหมู่ 4 ต.ปกาสัย ได้รับผลกระทบ โดยที่หมู่ 4 หรือบ้านทุ่งสาครได้รั บผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากอยู่ ใต้ลมของโรงไฟฟ้าเป็นเวลา 7-8 เดือนต่อปี (เดือน 6 - เดือน 12 หรือเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิ กายน) และขี้เถ้าถ่านหินทำให้ชาวบ้ านจำนวนมากป่วย ส่วนใหญ่เป็นโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ข้อมูลนี้ได้จาก รพ. เหนือคลอง จ.กระบี่
ไชยณรงค์ กล่าวต่อว่า ด้านการใช้ระบบหล่อเย็นสำหรั บการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรส่วนรวมและความมั่ นคงทางอาหาร ทั้งนี้มีการต่อสู้ของประมงพื้ นบ้านกับประมงพานิชย์มาอย่ างยาวนานเพื่อปกป้องทรัพยากรส่ วนรวม
“ด้านรายงานของ EHIA ไม่มีการพูดถึงความสำคั ญทางเศรษฐกิจและความมั่ นคงทางอาหาร ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพไม่ มี ทำให้โครงการขนาดใหญ่นี้เป็นข้ อถกเถียงและข้อมูลถูกบิดเบือน ชาวบ้านจึงไม่เชื่อมั่นในความรู้ ของรัฐบาลจึงทำการคัดค้าน” ไชยณรงค์ กล่าวไว้ตอนท้าย
สมพร เพ็งค่ำ นักวิชาการอิสระด้านการประเมิ นผลกระทบสุขภาพโดยประชาชน กล่าวถึงผลกระทบสุขภาพจากการสร้ างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ว่า ภาครัฐมองแค่มิติด้านพลังงานแต่ ไม่ได้มองมิติด้านสุขภาพ กรณีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านที่ กระบี่และเทพา จ.สงขลานั้น หากกล่าวว่าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่ านหินนั้นมีราคาถูก แล้วถ้าถามถึงราคาด้านสุขภาพมี ราคาถูกด้วยหรือไม่ แล้วเทคโนโลยีสำหรับการสร้ างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้ นสะอาดและป้องกันการเกิดโรคได้ จริงหรือไม่ ผลกระทบไม่ใช่แค่ทำให้โรคหอบหื ดและโรคทางเดินหายใจ แต่ยังมีความรุนแรงส่งผลต่ อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจด้วย และเมื่อพูดถึงมลพิษทางอากาศ จะมีงานทางวิชาการระบุว่า มลพิษทางอากาศในพื้นที่โรงไฟฟ้ าถ่านหินไม่ว่าที่ไหนจะมี การปนเปื้อนโลหะหนัก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งสามารถเข้าสู่กระแสเลื อดคนได้ คำถามคือเทคโนโลยีการสร้ างโรงไฟฟ้าถ่านที่กระบี่ สะอาดจริงหรือไม่
“ถ่านหินราคาถูกกว่าพลังงานอื่ นๆ เนื่องจากไม่ได้รวมเรื่องราคาด้ านสุขภาพ เราควรคุยกันในเรื่องต้นทุ นระยะยาว ,ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและสิ่ งแวดล้อม ภาระค่าใช้จ่ายล้วนมาจากกองทุ นประกันสุขภาพ มุมมองด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคั ญ ไม่ใช่พูดถึงแค่จ่ายค่าไฟถูก” สมพรกล่าว
ศุภกิจ นันทะวรการ จากมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กล่าวว่า ขณะนี้สื่อมวลชนทั้งสนใจและสั บสนกับประเด็นพลังงาน กระทรวงพลังงาน และ กฝผ. ชี้ไปในทางเดียวกันว่า ไฟฟ้าไม่พอใช้ แต่หากมองไปแต่ละท้องถิ่นจะพบว่ ามีการใช้ไฟฟ้าแค่นิดเดียว กฝผ. อ้างว่า หากกระบี่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100 % แล้วจะไม่มีความมั่นคง จึงเกิดนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่ อการสร้างพลังงานหมุนเวียน สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ประชาชนเข้าไม่ถึงการมีส่วนร่ วมด้านการจัดการพลังงาน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วม จะได้ไม่ต้องรอการตัดสิ นใจและเกิดความขัดแย้งดังที่ผ่ านมา ข้อเสนอของศุภกิจคือ การปฏิรูป กพช. เพื่อแผนพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยประชาชนในท้องถิ่นต้องเข้ าไปมีส่วนร่วม และ กพช. ต้องเป็นกลไกหลักในการจัดการพลั งงานครั้งนี้
ศุภกิจ เสนออีกว่า กรณีการจัดการพลังงานที่กระบี่ เสนอให้ 1. ให้มีการจัดการภายในจังหวัด ให้ชาวบ้านตัดสินใจด้วยตัวเองว่ าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร 2. กระทรวงพลังงานให้ความเข้ าใจในความรู้ด้านพลังงานกับชุ มชน ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเพื่ อให้คนรับรู้ว่า ปัญหาคืออะไร พลังงานอยู่ร่วมและทำงานกับสั งคมยังไง และจะจัดการพลังงานอย่างมีส่ วนร่วมอย่างไร
แสดงความคิดเห็น