Posted: 28 Oct 2017 09:15 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)ภรณ์ทิพย์ มั่นคง
ข้าพเจ้าจำแทบไม่ได้ว่าข้าพเจ้าไปเจอ “น้าซี” จันทนา วรากรสกุลกิจ นักโทษคดีอาวุธสงคราม ได้อย่างไรและ โดยการแนะนำของใครกันแน่ในหมู่นักโทษการเมืองด้วยกัน
แต่ข้าพเจ้าจำสายตาและท่าทีหวาดระแวง แคลงใจในตัวข้าพเจ้าของร่างผอมเกร็ง จนเห็นกระดูกปูดโปนผ่านผิวหนังสีขาวเหลืองที่ซีดเซียว ดวงตาเล็ก คล้ำลึก และผมที่ขาวจนเกือบหมดหัวของน้าซีได้ดี
“เธอเป็นใคร , ติดเข้ามาได้ยังไง , ต้องการอะไรจากพวกเรา ++++” คำถามเหล่านี้ถูกยิงเข้าหาข้าพเจ้าที่ดวงตาเปียกชุ่มน้ำตาเพราะความขี้แงของข้าพเจ้าขณะอยู่ในคุกนั่น ข้าพเจ้าไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายตัวเองกับใครๆ มาจนถึงตอนนี้
ความไว้วางใจเป็นสิ่งที่ได้มายากเย็นในหมู่นักโทษการเมือง โดยเฉพาะ กับน้าซี แกแทบจะไม่ไว้ใจใครเลย มีเพียงเพื่อนบางคนที่แกรู้จักที่มาที่ไปเท่านั้นที่แกจะให้ความไว้ใจ แต่ก็เพียงระดับหนึ่ง
“พอเราไว้ใจคนมากๆ พวกเขาก็จะหักหลังเรา ทำลายความไว้ใจของเรา”
น้าซีบอกข้าพเจ้าหลังจากที่ลดระดับความหวาดระแวงในตัวข้าพเจ้าลงแล้ว แกคงเห็นแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่มีพิษภัยอะไรกับใคร วันๆก็หมกมุ่นอยู่กับการเยี่ยมญาติและถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปพบแทบทุกวัน แกคงเห็นแล้วว่าข้าพเจ้าไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้เลย สิ่งที่แกทำคือ ทุกๆครั้งที่มีการประกาศเรียกชื่อข้าพเจ้า แกจะออกมายืนอยู่ตรงหน้าหน่วยงานของแก ซึ่งเป็นทางข้าพเจ้าจะเดินผ่าน ให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าของแก แม้ว่าจะต้องโดนด่า หรือโดนทำโทษ เพราะเขาไม่อนุญาตให้นักโทษยืน หรือเดินโดยพลการ แต่ที่น้าซีทำไปก็เพราะว่า อยากให้ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้ายังมีแกอยู่ บางครั้งข้าพเจ้าก็หันไปมอง บางครั้งข้าพเจ้าก็หลงลืมกำลังใจนั่น
“ถ้ามีอะไร วิ่งมาหาเจ้ ไม่ต้องร้องไห้ อย่าไปร้องไห้ให้พวกมันเห็น พวกมันไม่มีค่าพอจะเห็นน้ำตาของเธอ”แกจะย้ำทุกๆครั้งที่เห็นความทุกข์ยากผ่านสีหน้าและดองตาเปียกๆของข้าพเจ้า
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป น้าซีถูกขังอยู่ในคุกนั่นมาก่อนแล้ว …. และญาติก็มาบ้างไม่มาบ้าง เงินขาดพร่องบัญชีอยู่เนืองๆ จนวันหนึ่งแกเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า เพื่อจะฝากให้ข้าพเจ้า ตีไก่ต้มน้ำปลาให้แกสักตัว
“เจ้อยากกินไก่มากเลย เธอตีไก่มาให้เจ้ได้ไหม เจ้ไม่เอาฟรีๆ เดี๊ยวเจ้ไปรับจ้างถูพื้นมาทยอยจ่ายให้เธอ”เรารับปากก่อนจะตีไก่ต้มน้ำปลาซึ่งเป็นอาหารโอชะและหรูหราในคุกนั่นมาให้แก ก็ราคามัน 200 กว่าบาทนี่นะ นักโทษปกติจะมีเงินที่ไหนไปซื้อกิน แถมยังต้องสั่งจากการเยี่ยมญาติเท่านั้นอีกด้วย
น้าซีเดินถือไก่ไปขอยืมฝาปลาทูน่ากระป๋องจากพวกแกงค์ เพื่อตัดแบ่งไก่เป็นส่วนๆ ก่อนจะแบ่งมาให้ข้าพเจ้าส่วนหนึ่ง ให้ตัวเองส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งตัว แกหิ้วไปให้นักโทษชาวพม่าหลายสิบชีวิตที่โดนกวาดจับมาได้แบ่งกันกิน
ข้าพเจ้าบอกแกว่าต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตีไก่ให้กินอาทิตย์ละครั้ง แกดีใจมากแต่ก็แอบหนักใจว่าจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายให้ข้าพเจ้าเพราะว่าญาติไม่มา ข้าพเจ้าเลยบอกแกไปว่าข้าพเจ้าไม่คิดเงินหรอก แต่แกก็ไม่ยอม จนข้าพเจ้าต้องเสนอเงื่อนไขให้แลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
น้าซีไม่เคยอยู่นิ่ง แกจะรับจ้างทำโน่นทำนี่ด้วยความกระตือรือร้น พอได้กำไรมาบ้างก็เอามาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆคนอื่นๆ ทุกๆครั้งที่มีนักโทษการเมืองเข้ามาใหม่แกจะตามหา แล้วให้การช่วยเหลือ หางานให้รับจ้าง แบ่งปันอาหารที่แอบซ่อนออกมาจากกองเลี้ยงบ้าง เลือกหยิบของบริจาคมาให้ก่อนบ้าง
เดิมทีน้าซีนอนอยู่ห้อง 1/4 ส่วนข้าพเจ้าอยู่ 1/6 ห้องของพวกเราไม่มีกำแพงกั้น มีก็แต่ลูกกรงกั้นเท่านั้น เราจึงมองเห็นกันและกันได้ … น้าซีมีปัญหากับระบบและกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในคุก ทั้งในห้องนอน หรือในหน่วยงาน แม้แต่ในโรงอาหาร แกก็จะต่อต้านความไม่เป็นธรรม และคอยปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ จนหลายๆครั้งก็ถูกเป่าหูจากคนที่ร้ายกาจ หวังใช้แกเป็นเครื่องมือเพื่อการต่อรอง แม้ว่าข้าพเจ้าและหลายๆคนจะเตือนก็เปล่าประโยชน์ จนสุดท้ายแกก็เข้าใจได้เอง และตอบโต้คนเหล่านั้นอย่างสาสม
แต่พอถึงเวลาที่แกได้รับความอัดอั้นตันใจจากความคาดหวัง จากอดีต จากสิ่งที่ต้องเผชิญ และร้ายที่สุดคือจากการถูกทอดทิ้ง
“เจ้ไม่เคยคิดว่าเจ้จะมาติดคุก สิ่งที่เจ้หวังไว้คือ ตาย เจ้สู้ตาย เจ้ไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นภาระของใครเพราะการติดคุกบ้าๆนี่” แกก็จะมานั่งระบายให้ข้าพเจ้าฟัง บางครั้งข้าพเจ้ารับฟัง แต่บางครั้งประสาทหูของข้าพเจ้าก็ดับไป ข้าพเจ้าไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้ความเจ็บปวดใดๆของนักรบคนใดอีกต่อไป หลายครั้งที่ข้าพเจ้า ตวาด เดินหนี และ ไม่ยอมคุยกับน้าซี จนแกน้อยใจ หลายครั้งที่ใบหน้าเศร้าหมองกับน้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากตาของน้าซีเพราะความเอาแต่ใจและร้ายกาจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าหวังเพียงว่าวันหนึ่งแกจะเข้าใจความอ่อนแอของข้าพเจ้าน้าซีมักจะเอ่ยถึงสิ่งที่แกได้ทำลงไป ภาพที่แกเดินคล้องแขนกับพี่น้องเสื้อแดงของแกเพื่อประจันหน้ากับทหาร ไปจนถึงคลิปวีดีโอที่นักข่าวคนหนึ่งที่ต่อมากลายเป็นคนที่แกเรียกว่า “เพื่อน” ได้ถ่ายไว้ แกอยากเก็บภาพนั้นไว้ แกอยากเก็บคลิปวีดีโอนั้นไว้ให้ลูกหลานได้ดู มันคือความภูมิใจมากมายในชีวิตของแก
ข้าพเจ้ายิ้มและรับปากว่าจะพยายามหาและเก็บไว้ให้หลังจากที่ข้าพเจ้าฟังคำตัดสินแล้ว น้าซีก็ขอย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับข้าพเจ้า โดยให้เหตุผลว่า กลัวข้าพเจ้าจะโดนรังแก เพราะจะมีขาใหญ่ย้ายมาเข้าห้องข้าพเจ้า และเจ้าหน้าที่ก็อนุญาติ หลังจากถามความยินยอมจากข้าพเจ้าแล้ว
แน่นอนที่สุดว่า....คนในห้องไม่ค่อยชอบแกนัก ด้วยท่าทีที่โผงผางและตรงไปตรงมาคงขัดตาหลายต่อหลายคน พื้นที่หลังห้องจึงเป็นพื้นที่ของน้าซี แกถูกเขี่ยให้ไปนอนหลังห้อง ติดห้องน้ำ ด้วยเหตุผลว่าแกขายาวจะได้พอเหยียดขาได้ แต่ใครๆก็รู้ว่าพื้นที่หลังห้องเป็นพื้นที่ที่ถูกกันไว้ให้พวกที่ปัญหาเยอะ ไม่มีญาติ ไม่มีเงิน ผิดกับข้าพเจ้าที่ถูกอุ้มชูให้อยู่หน้าห้อง ใกล้หูใกล้ตาผู้ช่วยงานและเจ้าหน้าที่ มีทั้งญาติ มีทั้งเงิน ในสายตาของพวกเขา
แม้จะโดนเอาเปรียบบ้างแต่น้าซีไม่เคยปล่อยให้อะไรผ่านไปอย่างง่ายดาย แกเรียกสิทธิ์คืนให้กับนักโทษหลังห้องทุกๆคน ข้าพเจ้าจะเดินมานั่งเล่นที่หลังห้องในบางวัน เพราะหมอนวดมือดีอยู่ที่นั่น พลางได้เงี่ยหูฟังน้าซีคุยกับเพื่อนนักโทษหลังห้องอย่างออกรส
ศาลชั้นต้นตัดสินน้าซี สิบแปดปีกว่า ….แกยิ้ม และขอสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ แม้รู้ว่าจะไม่มีทางชนะ
“วันนี้เจ้ถามผู้พิพากษา เจ้บอกเขาว่า ถ้าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเจ้เป็นภัยต่อความมั่นคงขนาดนั้น ก็ให้ประหารเจ้ซะ เจ้ได้บอกลูก ว่าทำไมเจ้ถึงเป็นเสื้อแดง สะใจวะ”แต่หลังจากรอยยิ้มนั้นจางหาย คำถามที่ประเดประดังเข้ามาคือ
“ทำไมต้องเป็นเจ้ !!! มีคนมากมายหายไปจากคดี พวกนั้นหายไปไหน ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเจ้ได้เลย”ข้าพเจ้าเองก็ตอบอะไรไม่ได้ … พูดอะไรไม่ออก ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่ประจำเรือนนอนและผู้ช่วยงานที่คอยเป็นห่วง เรียกข้าพเจ้าและเพื่อนนักโทษการเมืองไปพูดคุยให้คอยช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมที่อาจจะนำไปสู่การฆ่าตัวตายของน้าซี ใช่....น้าซีคิดแน่ๆ ว่าจะฆ่าตัวตาย สายตาที่แปลกไป ทำให้พวกเรากลัว
หลายคนในห้องที่เคยไม่ดีกับน้าซีก็เริ่มเห็นใจและคุยกันด้วยความเป็นมิตรมากขึ้น หลังจากฟังคำตัดสินราวหนึ่งอาทิตย์...แกก็เริ่มชวนคนอื่นๆ คุย ผู้คนที่อยู่รอบข้าง ล้วนได้รับข้อมูลทางการเมือง สถานการณ์ต่างๆ ภายนอกถูกบอกเล่าให้เพื่อนผู้ต้องขังฟังอย่างออกรส แม้จะดึกดื่นแค่ไหนน้าซีก็ยังคงนั่งคุยให้ความรู้และให้ข้อมูลมากมายกับคนรอบๆข้าง จากแรกๆมีคนนั่งฟังแกแค่ 2 คน เพิ่มเป็น 4 เป็น 6 แต่ก็เพิ่มมากไปกว่านั้นไม่ได้เพราะที่ไม่พอ
ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าแกไปเอาข่าวสารจากข้างนอกมาจากไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เยี่ยมญาติเลย แต่ก่อนจะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง แกก็จะมาเช็คความถูกต้องกับข้าพเจ้าเสมอ พอข้าพเจ้าถามว่ารู้เรื่องนี้มาจากไหน ก็ได้คำตอบเพียงว่า
“เจ้มีสาย”หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเดินไปเข้าห้องน้ำตอนตี 2 ในสภาพงัวเงีย แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นน้าซีนั่งอยู่ริมขอบทางเข้าห้องน้ำอันคับแคบ พร้อมด้วยสมาชิกอีก 6-7 คน ที่นั่งฟังข้อมูลมากมายจากแก …
“มา มา มา ภรณ์ทิพย์ กำลังสนุกเลย เจ้กำลังปราศรัยเรื่องบ่อน้ำมันในประเทศไทยให้พวกเขาฟัง”ข้าพเจ้ายิ้ม....ด้วยดวงตาปรือก่อนจะปฏิเสธการร่วมวง “หนูปวดฉี่ ขอฉี่หน่อย” น้าซีขยับให้ทางข้าพเจ้า พอฉี่เสร็จข้าพเจ้าก็เดินเปะปะ ออกไปจากที่ตรงนั้นก่อนจะโดนแกเรียกให้ร่วมวงเป็นครั้งที่สอง
ยามเมื่ออากาศเย็นเยือกผ่านลูกกรงและพื้นกระเบื้อง น้าซีก็ยังคงนั่งปราศรัยข้อมูลต่างๆให้คนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปมาในคุกนั่นได้รับฟัง
“ถ้าพวกเขาเรียนรู้ ถ้าพวกเขามีข้อมูล เจ้เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ติดคุก แต่นี่สังคมมันบีบให้คนต้องเป็นคนเลว เธอดูเด็กๆพวกนี้สิ ถ้าพวกเขาโตมาในครอบครัวที่ดี พวกเขาจะไม่มาทำเรื่องผิดกฎหมายหรอก เราต้องให้ความรู้เขา ให้ข้อมูลเขา หาช่องทางทำมาหากินที่ถูกกฎหมายให้เขา”
น้าซีบอกกับข้าพเจ้าราวกับว่าตัวเองเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม
ในยามที่ผู้คนเริ่มป่วยไข้เพราะอากาศและสภาพคุกที่ไม่เอื้อให้สุขภาพของใครดีขึ้นแม้นิดเดียว ข้าพเจ้ากลายเป็นหนูลองยาของแกในที่สุด เมื่อข้าพเจ้าเจ็บคอจนไม่มีเสียง น้าซีปรุงยาบางอย่างจากสิ่งที่หาได้ในคุก คือ เกลือ ยาเขียว มะนาว บดรวมกันใส่กระปุกพิมเสนใบเล็ก แล้วบังคับให้ข้าพเจ้าอ้าปากเพื่อกวาดคอ แม้มันจะทรมานในขั้นตอนการกวาด แต่ไม่น่าเชื่อว่าข้าพเจ้าจะหายขาดได้ในสามวัน หลังจากนั้นสูตรยานี้ได้แพร่กระจายไป จนข้าพเจ้าต้องเป็นผู้สนับสนุนยาเขียวและส่วนผสมอื่นมาให้น้าซีเพื่อจะได้ปรุงยาช่วยคนอื่นต่อไป
คนมากมายต่อแถวให้น้าซีกวาดคอที่หน้าล๊อคเกอร์ในทุกๆเช้าและเย็น พอขึ้นห้องนอนแกก็รับจ้างถูพื้น เอาค่าแรงเป็นยาเพื่อเอาไปรักษาคนอื่นต่อ พอดึกก็วนเวียนปราศรัยแทบทุกคืน
น้าซีทำตัวเป็นผีที่ไม่เคยหลับจนตัวเองเริ่มไม่สบาย มีอาการถ่ายเป็นเลือด อ่อนเพลีย และ ตัวร้อน ถึงได้หยุดการปราศรัยในยามค่ำคืนของแกลง
แกให้ข้าพเจ้าพยายามติดต่อกับน้องสาว และ ลูกชาย เพื่อแจ้งข่าวให้เขามาเยี่ยมเยียนเวลาที่ไม่สบาย แต่การติดต่อสื่อสารจากในคุกถึงคนข้างนอกนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
แกรอคอยเสมอ รอคอยน้องสาว รอคอยลูกชายคนเดียว รอคอยจดหมายจากคนรัก และรอคอยทนาย
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าระหว่างรอนั้นแกมีความหวังหรือเปล่า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแกหยุดพูด หยุดคุยกับเยาวชนที่ติดอยู่ในคุกนี้สักวันเดียว แม้ว่าจะย้ายมาอยู่แดนนอกหลังจากที่ฟังคำตัดสิน ยืนตามศาลชั้นต้นจากศาลอุทธรณ์แล้ว น้าซีก็เขียนคำร้อง ขอย้ายออกมาอยู่แดนนอก เพื่อจะได้ทำงานและได้รับเงินปันผลน้อยนิด และน้าซีก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าห้องนอนจะไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่พูดคุยได้อีกต่อไป แต่แกมีลานต้นโพธิ์ที่กว้างขวางกว่าริมรั้วในแดนแรกรับและห้องนอนเป็นไหนๆ
ทุกๆวันจะมีเด็กวัยรุ่นที่ติดคดีเล็กๆน้อยๆมานั่งคุยกับแก หลายต่อหลายคน ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าพวกเขามาเพราะอยากรู้เรื่องที่น้าซีจะเล่า หรือ แค่อยากได้ขนมที่น้าซีจะแจก จากเงินปันผลเดือนละ 17 บาทของแก สมทบด้วยค่าจ้างถูห้องอีกเล็กน้อยก็ตาม
แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับอิสรภาพข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ติดต่อน้าซีทางจดหมายและโปสการ์ดเป็นประจำ มีเพื่อนบางคนอาสาไปเยี่ยมแก และเด็กๆหลายต่อหลายคนที่เคยนั่งฟังน้าซี ได้เดินออกมาจากหลังกำแพงสูงนั่นแล้วติดต่อมาหาข้าพเจ้า เพื่อจะฝากบอกไปถึงน้าซีว่า
“พวกเขาเป็นคนดีแล้วนะ พวกเขาทำงานสุจริตแล้วนะ พวกเขาจะไม่เล่นยาอีกแล้วนะ”
ข่าวแบบนี้ทำให้น้าซีมีกำลังใจเสมอจนข้าพเจ้ามารู้ข่าวการถูกย้ายเรือนจำของแก จึงได้รุดไปเยี่ยม สรุปความว่า น้าซีเขียนคำร้องขอเช็คหมายอายัดตัวจากเจ้าหน้าที่ จึงรู้ว่าตัวเองมีหมายอายัดตัว ที่จังหวัดตราด และ ลพบุรี ด้วยความที่อยากให้ทุกๆ อย่างจบลงโดยเร็วที่สุด ไม่อยากให้หมดโทษคดีแรกแล้วจะต้องมาโดนอายุดตัวต่อในคดีที่ 2 จึงได้เขียนคำร้องผ่านเรือนจำไปที่กระทรวงยุติธรรมและศาล เพื่อขอให้ดำเนินคดีโดยเร็ว โดยอ้างอิงถึงหลักสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนควรจะได้รับ ในกระบวนการยุติธรรม จึงมีคำสั่งย้ายน้าซี ด่วน เพื่อไปดำเนินการในชั้นศาลที่จังหวัดตราด
และ คงเป็นความชื่นใจอย่างหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า หลังจากได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่น้าซีเขียนมาบอกว่าเสียใจที่เคยไม่ไว้ใจข้าพเจ้า เพราะตอนนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนที่แกพึ่งพาได้มากที่สุด
ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่มีความมั่นคงใดจะให้แกพึ่งพา แต่อย่างน้อยๆข้าพเจ้าก็เชื่อว่าเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้ คนบ้าบิ่น คนกล้าหาญ คนที่จะปกป้องคนอื่นเสมอ และข้าพเจ้าปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อน้าซี แต่เพื่อตัวข้าพเจ้าเองจะยังมั่นใจในตัวเองอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง