"วีรพัฒน์"จัดหนัก ร่างรัฐธรรมนูญผิดตั้งแต่อารัมภบท ไม่แปลกใจที่ทั้งฉบับเต็มไปด้วยการปิดกั้น-ตัดตอนการเรียนรู้ของประชาชน
********************************
ร่างรัฐธรรมนูญ: ผิดตั้งแต่อารัมภบท
.
เมื่อได้ผลิกอ่าน 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ฉบับล่าสุด ก็เศร้ากับอนาคตของ 'ประเทศไทย' ที่คงต้อง 'ขัดแย้ง' กันไปอีกหลายปี
.
หากไม่พูดซ้ำถึงเรื่องที่มาและกระบวนการ เนื้อหา 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ฉบับนี้ก็มีปัญหาตั้งแต่อารัมภบทในหน้าแรกเสียแล้ว
.
ผู้ร่างบรรจุอารัมภบท โดยกล่าวถึงการทำรัฐประหารในประเทศไทยเพื่อ "จัดระเบียบ" ประชาธิปไตย ประหนึ่งสามารถใช้กำลังจัดเรียงวัตถุสิ่งของให้เข้าที่
.
ทั้งที่ 'ประชาธิปไตย' เป็นผลจากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ซึ่งไม่มีใครไป "จัดระเบียบ" ได้
.
แต่สิ่งที่ทำได้ คือ การสร้างเงื่อนไขและบรรยากาศที่เอื้อให้ประชาชนเรียนรู้จากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของตน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองตนเองที่ต้องเติบโต ผิดพลาด และสำเร็จไปตามกาลเวลา
.
เมื่อผู้ร่างเข้าใจผิดตั้งแต่อารัมภบทหน้าแรก จึงไม่แปลกใจที่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ทั้งฉบับจะเต็มไปด้วยความคิดที่ปิดกั้นและตัดตอนการเรียนรู้ของประชาชน ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และ ปลายทาง
.
ต้นทาง - 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความแน่นอน เพราะเปิดช่องรองรับเหตุจำเป็นให้เลื่อนเลือกตั้งได้อย่างไม่จำกัดเวลาจนกว่าเหตุจำเป็นจะสิ้นสุด หากประชาชนออกไปเลือกตั้ง ก็ใช่ว่าจะได้นับคะแนน
.
กลางทาง - ถึงจะได้เลือกตั้ง แต่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ก็ทำลายความเชื่อมโยงระหว่าง 'ประชาชน' กับ 'ผู้แทน' ทางการเมือง ทั้งการออกแบบการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน การแต่งตั้ง ส.ว. หรือการเปิดช่องให้ 'นายกรัฐมนตรี' ไม่ต้องมาจากการยอมรับของประชาชน
.
ปลายทาง - แม้ได้เลือกผู้แทนมาดำรงตำแหน่งแล้ว แต่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ตัดโอกาสไม่ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเรื่องในทางการเมือง โดยสร้างกลไก 'มาตรฐานจริยธรรม' ที่ให้องค์กรอิสระและศาลสามารถนำมาบังคับจัดการกับนักการเมืองให้พ้นตำแหน่ง แทนที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสตัดสินใจว่าจะเลือกคนเหล่านี้ให้ดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ แม้เรื่องจริยธรรมเหล่านี้อาจไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนเหมือนประเด็นความถูกผิดในทางกฎหมายก็ตาม
.
ซ้อนเข้าไปกับปัญหาเหล่านี้ คือ การฝังรากของระบอบอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ที่ครอบกลไกการปกครองอีกชั้น ไม่ว่าจะเป็น คสช. ที่ยังคงมีอำนาจต่อไปไม่ว่าผ่านตนเองก่อนมี ครม. หรือ ผ่านอำนาจและคำสั่งที่สร้างไว้ให้มีผลหลังมี ครม. ได้ หรือ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนกว้างให้ตีความอำนาจองค์กรอื่นได้หมด และอำนาจที่อ้างนาม "ปฏิรูป" ให้ ส.ว. แต่งตั้งกำหนดทิศทางกฎหมายที่พรรคการเมืองและประชาชนอาจไม่ได้เห็นพ้องด้วย
.
แน่นอนว่าเมื่อ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ออกแบบกลไกมากดประชาชนไว้ ผู้ร่างก็ต้องป้องกันไม่ให้ประชาชนลุกขึ้นมาแก้ได้โดยง่าย จึงสร้างกลไกประชามติและศาลรัฐธรรมนูญมาเพิ่มความลำบากในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนที่กดประชาชนไว้อีกชั้น
.
สิ่งที่ผู้ร่างไม่เข้าใจก็คือ ความพยายามใด ๆ ที่จะจัดการให้นักการเมืองมีคุณภาพ ต้องเกิดจากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดร่วมกันของประชาชน แต่หากผู้ร่างมุ่งจัดการนักการเมืองโดยสร้างกลไกที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเสียแล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจหากประชาชนจะยังคงเลือกที่จะทนกับนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพ เพื่อแลกกับการไม่ต้องอยู่ภายใต้กลไกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน
.
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่เขียนให้เห็นไว้ใน 'ร่างรัฐธรรมนูญ' แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะยังมีกลไกกดทับตัดตอนประชาชนอื่นใดอีก ที่อาจปรากฏมาในรูปแบบคำสั่งของ คสช. หรือ กฎหมาย เอกสาร นโยบาย และการต่อสู้กันแย่งชิงอำนาจที่จะปรากฏตามมาในบรรยากาศการปกครองที่ฝืนธรรมชาติ และสุมเชื้อความขัดแย้งตลอดอีกหลายปีที่จะมาถึงนี้
.
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ
.
เมื่อได้ผลิกอ่าน 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ฉบับล่าสุด ก็เศร้ากับอนาคตของ 'ประเทศไทย' ที่คงต้อง 'ขัดแย้ง' กันไปอีกหลายปี
.
หากไม่พูดซ้ำถึงเรื่องที่มาและกระบวนการ เนื้อหา 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ฉบับนี้ก็มีปัญหาตั้งแต่อารัมภบทในหน้าแรกเสียแล้ว
.
ผู้ร่างบรรจุอารัมภบท โดยกล่าวถึงการทำรัฐประหารในประเทศไทยเพื่อ "จัดระเบียบ" ประชาธิปไตย ประหนึ่งสามารถใช้กำลังจัดเรียงวัตถุสิ่งของให้เข้าที่
.
ทั้งที่ 'ประชาธิปไตย' เป็นผลจากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ซึ่งไม่มีใครไป "จัดระเบียบ" ได้
.
แต่สิ่งที่ทำได้ คือ การสร้างเงื่อนไขและบรรยากาศที่เอื้อให้ประชาชนเรียนรู้จากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของตน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองตนเองที่ต้องเติบโต ผิดพลาด และสำเร็จไปตามกาลเวลา
.
เมื่อผู้ร่างเข้าใจผิดตั้งแต่อารัมภบทหน้าแรก จึงไม่แปลกใจที่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ทั้งฉบับจะเต็มไปด้วยความคิดที่ปิดกั้นและตัดตอนการเรียนรู้ของประชาชน ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และ ปลายทาง
.
ต้นทาง - 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความแน่นอน เพราะเปิดช่องรองรับเหตุจำเป็นให้เลื่อนเลือกตั้งได้อย่างไม่จำกัดเวลาจนกว่าเหตุจำเป็นจะสิ้นสุด หากประชาชนออกไปเลือกตั้ง ก็ใช่ว่าจะได้นับคะแนน
.
กลางทาง - ถึงจะได้เลือกตั้ง แต่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ก็ทำลายความเชื่อมโยงระหว่าง 'ประชาชน' กับ 'ผู้แทน' ทางการเมือง ทั้งการออกแบบการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน การแต่งตั้ง ส.ว. หรือการเปิดช่องให้ 'นายกรัฐมนตรี' ไม่ต้องมาจากการยอมรับของประชาชน
.
ปลายทาง - แม้ได้เลือกผู้แทนมาดำรงตำแหน่งแล้ว แต่ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ตัดโอกาสไม่ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเรื่องในทางการเมือง โดยสร้างกลไก 'มาตรฐานจริยธรรม' ที่ให้องค์กรอิสระและศาลสามารถนำมาบังคับจัดการกับนักการเมืองให้พ้นตำแหน่ง แทนที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสตัดสินใจว่าจะเลือกคนเหล่านี้ให้ดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ แม้เรื่องจริยธรรมเหล่านี้อาจไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนเหมือนประเด็นความถูกผิดในทางกฎหมายก็ตาม
.
ซ้อนเข้าไปกับปัญหาเหล่านี้ คือ การฝังรากของระบอบอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ที่ครอบกลไกการปกครองอีกชั้น ไม่ว่าจะเป็น คสช. ที่ยังคงมีอำนาจต่อไปไม่ว่าผ่านตนเองก่อนมี ครม. หรือ ผ่านอำนาจและคำสั่งที่สร้างไว้ให้มีผลหลังมี ครม. ได้ หรือ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนกว้างให้ตีความอำนาจองค์กรอื่นได้หมด และอำนาจที่อ้างนาม "ปฏิรูป" ให้ ส.ว. แต่งตั้งกำหนดทิศทางกฎหมายที่พรรคการเมืองและประชาชนอาจไม่ได้เห็นพ้องด้วย
.
แน่นอนว่าเมื่อ 'ร่างรัฐธรรมนูญ' ออกแบบกลไกมากดประชาชนไว้ ผู้ร่างก็ต้องป้องกันไม่ให้ประชาชนลุกขึ้นมาแก้ได้โดยง่าย จึงสร้างกลไกประชามติและศาลรัฐธรรมนูญมาเพิ่มความลำบากในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนที่กดประชาชนไว้อีกชั้น
.
สิ่งที่ผู้ร่างไม่เข้าใจก็คือ ความพยายามใด ๆ ที่จะจัดการให้นักการเมืองมีคุณภาพ ต้องเกิดจากประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดร่วมกันของประชาชน แต่หากผู้ร่างมุ่งจัดการนักการเมืองโดยสร้างกลไกที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเสียแล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจหากประชาชนจะยังคงเลือกที่จะทนกับนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพ เพื่อแลกกับการไม่ต้องอยู่ภายใต้กลไกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน
.
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่เขียนให้เห็นไว้ใน 'ร่างรัฐธรรมนูญ' แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะยังมีกลไกกดทับตัดตอนประชาชนอื่นใดอีก ที่อาจปรากฏมาในรูปแบบคำสั่งของ คสช. หรือ กฎหมาย เอกสาร นโยบาย และการต่อสู้กันแย่งชิงอำนาจที่จะปรากฏตามมาในบรรยากาศการปกครองที่ฝืนธรรมชาติ และสุมเชื้อความขัดแย้งตลอดอีกหลายปีที่จะมาถึงนี้
.
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ
แสดงความคิดเห็น