สปท.มติ 141 เสียง เห็นชอบกฎหมายคุมสื่อ นิยามคลุมสื่อออนไลน์-เพจดัง

Posted: 01 May 2017 04:04 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)  

กมธ. ตัดบทลงโทษสื่อฯ ไม่มี 'ใบประกอบวิชาชีพ' โดยเปลี่ยนเป็น 'ใบรับรอง' ออกโดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน นิยามคลุมสื่อออนไลน์ แฟนเพจ อภิปราย 'หนุน-ค้าน' กษิต คำนูณ นิกร ชี้อาจขัด รธน. ด้าน หมอพรทิพย์หนุนคุมสื่อ พล.ท.ธวัชชัย แรง อัดสื่อเสนอข่าว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น่าเอายิงเป้าให้หมด

1 พ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) วันนี้ (1 พ.ค.60) เริ่มขึ้น เวลา 9.30 น. มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน จำนวน 2 เรื่อง คือ รายงานการปฏิรูปการสื่อสารมวลชน ที่เสนอให้มีร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ....ซึ่งก่อนเข้าสู่วาระการประชุม สมาชิกหลายคนแสดงความเห็น โดยประธานสปท.แสดงความเห็นส่วนตัวว่า สื่อควรมีใบรับรองจากสภาวิชาชีพเพื่อกำกับดูแลกันเองได้

โดยหลังสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง ในที่สุดมีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวด้วยคะแนน 141 ต่อ 13 เสียง งดออกเสียง 17

สำหรับการพิจารณานั้นเริ่มจาก พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน ชี้แจงว่า เนื้อหาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว กมธ.รับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน และเมื่อเช้าวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้นัดประชุมกมธ.นัดพิเศษ เพื่อฟังข้อคัดค้านจากสื่อมวลชน กรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และมีมติเสียงข้างมากว่า จะขอปรับเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเป็นใบรับรองวิชาชีพที่ออกให้โดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ดังนั้น จึงไม่มีบทลงโทษจำคุกและปรับสื่อมวลชนและเจ้าของสื่อตามมาตรา 91 และ 92 อยู่ในร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม กมธ.ยังเห็นควรให้มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติเพื่อส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพ และส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองในทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ 15 คน แต่ได้ปรับลดโควตาตัวแทนคณะกรรมการฯจากภาครัฐจาก 4 คน เหลือ 2 คน และเพิ่มโควตาให้มีคณะกรรมการฯที่เป็นตัวแทนจากสื่อเพิ่มเป็น 7 คน
ตัดบทลงโทษสื่อฯ ไม่มี 'ใบประกอบวิชาชีพ' นิยามคลุมสื่อออนไลน์ แฟนเพจ

ขณะที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการฯชี้แจงว่า กมธ.ยอมแก้ไขตัดมาตรา 91 และ 92 เรื่องบทลงโทษสื่อมวลชนที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทิ้งไปตามข้อห่วงใยของสื่อมวลชน โดยจะเปลี่ยนจากใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นใบรับรองที่จะให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนเป็นผู้ออกใบรับรองให้ ส่วนคำนิยาม “สื่อมวลชน” ตามร่างกฎหมายฉบับนี้ จะครอบคลุมไปถึงสื่อออนไลน์ เจ้าของเพจที่มีแฟนเพจติดตามเป็นหมื่นๆ คนด้วย เพราะกลุ่มเหล่านี้ถือเป็นทั้งนักข่าว และบรรณาธิการ แต่ไม่มีสังกัด แม้จะอ้างว่า ไม่มีรายได้เป็นค่าตอบแทนโดยตรงจากงานที่ทำ แต่มีรายได้ทางอ้อมเกิดขึ้นจากรายได้โฆษณาออนไลน์ เพราะมีผู้ติดตามจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องบัญญัติให้กลุ่มเหล่านี้เป็นสื่อด้วย ยืนยันกมธ.ไม่มีเจตนาควบคุม แทรกแซงสิทธิเสรีภาพสื่อ แต่ต้องการให้การติดต่อสื่อสารอยู่ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมตามที่กฎหมายกำหนด

13 กก. สภาวิชาชีพ

พล.ต.ต.พิสิษฐ์ ชี้แจงความจำเป็นในการมีคณะกรรมการวิชาชีพและกรรมการจริยธรรมสื่อมวลชน ที่จะเข้ามากำกับดูแลการทำหน้าที่ของสื่อ เนื่องจากปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป มีสื่อที่เข้ามาแฝงการทำงานมากมาย โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและสร้างความเสียหายในวงกว้าง พร้อมยืนยันคำนิยามสื่อมวลชนว่าจะครอบคลุมผู้ที่ทำเว็บเพจต่างๆ ที่ทำธุรกิจเพื่อรายได้ด้วย ทั้งนี้ จะไม่ถอยการพิจารณาร่างกฎหมายนี้อีกแล้ว เพราะถอยมาแล้วถึง 3 ครั้ง

“สำหรับสัดส่วน คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนผู้บริโภค กรรมสิทธิ์มนุษยชน กรรมการอื่นๆอีก 4 คน และผู้แทนสภาวิชาชีพ 7 คน รวม 15 คน ดำรงตำแหน่งวาระละ 3 ปี แต่ช่วงจัดตั้ง 2 ปีแรก กำหนดไว้ 13 คน โดยคณะกรรมการฯ มีหน้าที่ออกกฎ มาตรฐานกลาง รับเรื่องร้องเรียน” พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าว
อภิปราย 'หนุน-ค้าน' กษิตชี้อาจขัด รธน.

จากนั้น ที่ประชุมเปิดให้สมาชิกอภิปราย โดยความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับกมธ.สื่อได้รุมคัดค้านใน 2-3 ประเด็น 1.เรื่องการให้จดทะเบียนสื่อมวลชนกับสภาวิชาชีพ 2.กรณีสภาวิชาชีพจะมีสัดส่วนตัวแทนรัฐ 2 คน มีช่องโหว่อันตรายให้รัฐแทรกแซงสื่อได้ โดยเสนอให้สื่อควบคุมกำกับดูแลกันเอง เพราะที่ผ่านมาดูแลกันเองได้ หลายกรณีได้ลงโทษสื่อมวลชนที่ขัดจริยธรรมด้วย ห้ามมีเจ้าหน้าที่หรือองค์กรของรัฐมายุ่งเกี่ยว และ 3.ท้วงติงความไม่ชัดเจนในนิยามกฎหมายที่อาจครอบคลุมเกินเลยไปถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่สื่อ อย่าง กษิต ภิรมย์ สปท.ได้ลุกขึ้นอภิปรายถามว่า “ผมเป็นนักการเมือง หากเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ถือว่า เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนตาและต้องมีใบอนุญาติสื่อมวลชนหรือไม่” อีกทั้งยังมีสปท.อภิปรายโดยมองว่า ร่างพ.ร.บ.นี้ อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ 26- 34 -35 และมาตรา 77 จนถึงขั้นมีคนส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ขณะที่ สปท.ที่ลุกขึ้นอภิปราบไม่เห็นด้วย ให้เหตุผลว่า สื่อขาดจรรยาบรรณควบคุมกันเองไม่ได้ สื่อบางสำนักสร้างความแตกแยก บิดเบือน เสนอข่าวโจมตีรัฐบาลกระทบต่อความมั่นคง ควรมีหน่วยงานกำกับดูแล และ เห็นด้วยให้มีสัดส่วนของรัฐเข้าไปในคณะกรรมการใดๆที่ตั้งขึ้นมาดูแลจริยธรรมสื่อ
คำนูณชี้สัดส่วน จนท.รัฐใน สภาวิชาชีพ อาจขัด ม.35 ในรธน.

คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก สปท. อภิปรายแสดงความเห็นด้วยกับการมีสภาวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมีสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นอิสระ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปสื่อ และบังคับใช้จริยธรรมวิชาชีพได้อย่างแท้จริง โดยสนับสนุนให้สื่อควบคุมกันเอง แบบมีสภาพกฎหมายบังคับ แต่ไม่เห็นด้วย 3 ประเด็น คือ การมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้าร่วมในสภาวิชาชีพ การบัญญัติความบังคับให้ผู้ประกอบวิชาชีพต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือใบรับรอง โดยสภาวิชาชีพที่มีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในสภาวิชาชีพ และไม่เห็นด้วยกับการนิยามสื่อมวลชนในร่างกฎหมายกว้างเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่นอกวิชาชีพสื่อ และขอให้กลับไปใช้ร่างที่ผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เป็นต้นร่างพิจารณากฎหมายสื่อ

คำนูณ กล่าวว่า การกำหนดให้มีสัดส่วนเจ้าหน้าที่รัฐในสภาวิชาชีพสื่อ อาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 35 เพราะถือเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน พร้อมเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการชุดพิเศษติดตามการแก้ไขรายงานของกรรมาธิการ และเสนอให้แยกการลงมติ เช่นเห็นด้วยหรือไม่ให้มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
นิกร ชี้คุมสื่อมากกว่าคุ้มครอง

นิกร จำนง สมาชิก สปท. กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการควบคุมสื่อมากกว่าคุ้มครองสื่อ และเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 34 เรื่องเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ทั้งเชื่อว่าจะมีการยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ เพราะอาจขาดการรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นระบบตามมาตรา 77

หมอพรทิพย์หนุนคุมสื่อ

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กล่าวสนับสนุนให้มีกฎหมายควบคุมสื่อและเร่งปฏิรูปสื่อ เพราะเล็งเห็นความจำเป็นในการควบคุมสื่อโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างวิชาชีพแพทย์กับสื่อว่าไม่เหมือนกันเพราะแพทย์มีหน้าที่รักษาพยาบาล ต้องมีการควบคุมการทำงานหากเกิดความผิดพลาด แต่สื่อบทลงโทษและจริยธรรมเป็นเรื่องยาก กรณีที่สื่อทำความเสียหายต่อสังคม

“ทุกวันนี้สื่อเอาคลิปมาตัดต่อ ด่าสิ่งในคลิปที่นำเสนอ ซึ่งคุมยากมาก และเขียนข้อกำหนดในเรื่องเหล่านี้ยาก แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายสังคม สภาวิชาชีพ มีหน้าที่คุ้มครองประชาชนและสังคม สิ่งที่พูดถึงคือองค์ประกอบของคณะกรรมการค่อนข้างยาก และมีบทเรียนว่าพวกเดียวกันเองเป็นกรรมการสภาวิชาชีพยังมีปัญหา และเป็นแหล่งของผลประโยชน์ ไม่สามารถทำหน้าที่คุมผลประโยชน์ได้ เช่น แพทยสภาไม่มีคนอื่นเข้ามา หลักถูกหรือไม่ ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเป็นกรรมการ” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว

วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา กล่าวว่า สื่อไม่ใช่ฐานันดรที่ 4 และไม่ได้เป็นดั่งคำเปรียบเทียบว่าสื่อเป็นแมลงวันที่ไม่ตอมแมลงวันด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อลงโทษที่กระทำขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมไป 2 คน ขับออกจากอาชีพสื่อมวลชนคือกรณีการรับทรัพย์และกรณีบิดเบือนข่าว
พล.ท.ธวัชชัย อัดสื่อเสนอข่าว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น่าเอายิงเป้าให้หมด

พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร สปท. อภิปรายเห็นด้วยกับการตีทะเบียนสื่อมวลชน เพราะสื่อถือเป็นคนไทย ไม่ใช่อภิสิทธิชน จึงต้องยอมรับกติกาและกฎหมาย ทั้งนี้ หลายประเทศมีกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้ อาทิ สิงคโปร์ จีน ขณะเดียวกันระบุว่า เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการนำเสนอของสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวโดยไม่ไตร่ตรอง

"ขนาดวันก่อน ผมอ่านสื่อออนไลน์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ด่าทหารประจำ ไม่รู้อยากเล่นการเมืองหรือไม่ อยู่ดี ๆ มาบอกว่าถ้าเอาก้อนหินปาไปในค่ายทหารโดนแต่หัวพลเอก แล้วยังถามว่ารถถังซื้อมาทำไม เคยไปรบหรือไม่ เขาเป็นรุ่นพี่ ผมเป็นเตรียมทหารรุ่น 12 พี่เขารุ่น 7 พูดแบบนี้ผมไม่เคารพกันแล้ว แล้วสื่อที่เผยแพร่ก็น่าเอายิงเป้าให้หมด ปัญหาภาคใต้ก็รายงานกันทุกวัน สิ่งที่สร้างความเสียหายไม่ควรรายงาน อย่างกรณีผู้ว่าแม่ฮ่องสอนยังไม่ได้ข้อสรุปก็นำเสนอกัน ฟังแล้วผมทนไม่ได้" พล.อ.ธวัชชัย กล่าว

พล.ต.ท. อำนวย นิ่มมะโน กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือสื่อต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมเห็นควรให้มีสภาวิชาชีพสื่อ เพราะผ่านมาสื่อไม่ได้คำนึงถึงหน้าที่

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.