บีบีซีไทย - BBC Thai

"จุฬาฯ เป็นเครื่องสะท้อนสังคมไทยได้ในระดับหนึ่ง เพราะมีคนที่มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น มีฐานะดีกว่าคนอื่น กระเดียดไปในทางว่าถ้าฉันเป็นนิสิตจุฬาฯ ต้องไม่เหมือนประชาชนทั่วไป แต่ความจริงอีกอย่างก็คือที่นี่มีความแตกต่างหลากหลาย เคยมีคนเตือนว่าผมจะอยู่ไม่ได้ แต่ผ่านมาจนตอนนี้ผมก็อยู่ได้ และมีเพื่อนจำนวนมาก" นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ว่าที่ประธานสภานิสิตจุฬาฯ คนล่าสุด

"ผมต้องการกู้ศรัทธา ต้องการทำให้สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสภาผู้ทรงเกียรติจริงๆ สภาปัจจุบันไม่ทรงเกียรติ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทบทวน" คือ "วรรคทอง" ที่นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตชั้นปี 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวระหว่างการแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อชิงเก้าอี้ประธานสภานิสิตจุฬาฯ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2560

ผลคือสมาชิก 27 เสียง จากองค์ประชุมทั้งหมด 36 คน ลงคะแนนเลือกเขาเป็น "ประมุขฝ่ายนิสิต" คนใหม่

นายเนติวิทย์เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า เหตุที่เพื่อนนิสิตเลือกเขาอาจเพราะต้องการเห็น "การเปลี่ยนแปลง" ส่วนเหตุที่เขาลงสมัครเป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ เพราะเห็นบ้านเมือง "วิกฤต" และต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เขาเห็นว่าการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้หลายคนสูญสิ้นศรัทธา อยากหนีไปต่างประเทศ แม้แต่เขาเองไม่อยากอยู่

"แต่คิดว่าในเมื่อเราเกิดในแผ่นดินไทย มาเรียนหนังสือแล้ว การศึกษาสอนให้เราเป็นมนุษย์ จึงต้องการพิสูจน์ว่าผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่พยายามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง" นายเนติวิทย์กล่าว
ย้อนไปปีที่แล้ว นายเนติวิทย์เลือกสมัครเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นอันดับแรก เพราะตั้งใจ "เข้าไปหาสังคมใหม่" และดูเหมือนการใช้ชีวิตในฐานะ "สิงห์ดำ" จะตอบโจทย์เขา และทำให้ "ตัวตน" ของเขาเปลี่ยนไปเป็นแบบ "อัตลักษณ์ของชาวจุฬาฯ" หรือไม่

"ผมเปลี่ยนไป แต่ก่อนตอนเป็นนักเรียนมัธยมไม่มีความสุข เรียนอะไรก็ไม่รู้ แต่มาที่นี่มีเพื่อน มีกัลยาณมิตรที่ดี มีสังคม แม้คนคิดต่าง แต่ก็คุยกันได้ ผมเห็นว่าประเทศจะเปลี่ยนได้ต้องทุกคณะคุยกัน ก็มีความหวัง มีความสุข"

ส่วนภาพลักษณ์ศักดินา-อนุรักษ์นิยมที่อยู่คู่กับสถาบันเก่าแก่แห่งนี้ นายเนติวิทย์ชี้ว่าบางอย่างคือเครื่องสะท้อนสังคม แต่ก็มีบางมุมที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คนนอกเข้าใจ


"จุฬาฯ เป็นเครื่องสะท้อนสังคมไทยได้ในระดับหนึ่ง เพราะมีคนที่มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น มีฐานะดีกว่าคนอื่น กระเดียดไปในทางว่าถ้าฉันเป็นนิสิตจุฬาฯ ต้องไม่เหมือนประชาชนทั่วไป แต่ความจริงอีกอย่างก็คือที่นี่มีความแตกต่างหลากหลาย เคยมีคนเตือนว่าผมจะอยู่ไม่ได้ แต่ผ่านมาจนตอนนี้ผมก็อยู่ได้ และมีเพื่อนจำนวนมาก" นายเนติวิทย์กล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายกิจกรรมที่เขาคิด-ทำในฐานะ "เยาวชนหัวก้าวหน้า" สร้างภาพจำไปพร้อมกันว่าเป็น "พวกหัวรุนแรง" ทั้งต่อต้านระบบรับน้อง ตัดผมทรงหัวเกรียน ตั้งคำถามกับพิธีกรรมไหว้ครู ฯลฯ
เขาอธิบายว่า ตลอด 6 ปีที่เคลื่อนไหวในนามกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท" ได้แสดงออกอย่างเปิดเผย-ไม่มีเป้าหมายอื่นนอกจากทำให้สังคมดีขึ้น ยอมถูกด่าว่า ถูกขู่ฆ่า แต่ก็ยังเชื่อมั่นและไม่ทิ้งจุดยืนตัวเอง

นั่นทำให้เขาไม่ทิ้งวาระการศึกษา ประกาศ "ปฏิรูปการรับน้อง" เป็นภารกิจแรกในฐานะประธานสภานิสิตจุฬาฯ คนใหม่หลังเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิ.ย.นี้

"ที่ต้องปฏิรูปเพราะมีบางคณะที่รุนแรงไปบ้าง แม้หลายอย่างจะเปลี่ยนไป หลายคณะไม่มีว๊าก ไม่มีความรุนแรง แต่ผมคิดว่าทำอย่างไรให้เป็นบรรทัดฐานในการจำกัดอำนาจ ให้เป็นประเพณีไปเลย เพื่อให้เป็นหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพแบบถาวร มากกว่ามาออกคำสั่งระงับการรับน้องหลังเกิดเหตุรุนแรง แล้วปีหน้าปัญหาก็กลับมาอีก ในบ้านนี้เมืองนี้ การจะคิดทำอะไร ต้องคิดยาวๆ"

นอกจาก "รื้อระบบรับน้อง" เขายังพร้อม "ปฏิวัติอำนาจ" ตัวเองด้วยการออกแถลงการณ์วิจารณ์ตนเองในอีก 6 เดือนข้างหน้า


"ผมคิดว่าพอทำงานครึ่งเทอม ต้องรู้มีอะไรผิดพลาด เป็นประธานก็ต้องวิจารณ์ตัวเอง ไม่ใช่รอคนอื่นวิจารณ์ ก็จะออกเป็นแถลงการณ์ การเป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ ผมแค่อยากเป็นต้นแบบว่าต้องกล้าพูด เทคแอคชั่น เพื่อตอกย้ำว่าในสังคมเราต้องพูดกันให้ได้"

การขึ้นสู่ตำแหน่ง "ประมุขฝ่ายนิสิตจุฬา" ของนายเนติวิทย์ ทำให้ "ประมุขฝ่ายบริหารของประเทศ" ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับบอกว่า "ผมนึกเสียดายและเป็นห่วง เพราะเสียชื่อสถาบัน" เนื่องจากเขาเป็นเจ้าของแนวคิดยกเลิกพิธีหมอบกราบ

นายเนติวิทย์หัวเราะเล็ก ๆ ก่อนบอกว่า "เป็นเกียรติมากที่พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงผม ครั้งนี้โดนแรงมาก เกิดมานายกฯ ไม่เคยพูดถึงผมเลยนะ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไร เพราะผมเป็นคนนอกระบบ ก็โดนมาเยอะแยะ อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนพูดจาเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น แต่คนไทยไม่ชอบคนพูดตรง ๆ สำหรับเมืองไทยแทบไม่มีที่ยืน"

ในฐานะประธานสภานิสิตจุฬาฯ เขาต้องการบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ว่า "ไม่ใช่ประธานสภาแบบขนบ ต้องยิ่งใหญ่ ต้องเป็นท่าน เหนือกว่าคนอื่น นี่คือคนธรรมดาที่จริงใจ และให้คนจำว่าผมเป็นคนหัวก้าวหน้าที่ไม่ปิดบังตัวเอง หากเราทำให้ทุกคนมีศรัทธาร่วมกัน เราก็จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้"


source :- https://goo.gl/QC4d8V

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.