Atukkit Sawangsuk

ทหารเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โกหกแน่นอน ฉะนั้นเมื่อทหารบอกว่า ไอ้สื่อพวกนี้ต้องจับไปยิงเป้า ก็ไม่โกหกแหงๆ 555

ถึงแม้ "บิ๊กเยิ้ม" พูดกระทบชิ่งเสรี เตมียเวส แต่ที่ผ่านมา สื่อด่าทหารได้ที่ไหน ทัศนะบิ๊กเยิ้มก็ไม่ต่างจากทหาร ข้าราชการทั่วไป หรือแม้แต่อธิการบดีใหญ่ คือมีอำนาจแล้วเกลียดสื่อ ไม่อยากถูกตรวจสอบ แล้วหาว่าสื่้อเป็นอภิสิทธิ์ชน (ทหารไม่ใช่?) ไม่เห็นหรือ ประยุทธ์ก็ยังปรามสื่อ ไม่ให้เสนอข่าวเรือดำน้ำมากไปเพราะเป็นเรื่อง "ละเอียดอ่อน"

กฎหมายคุมสื่อที่ผ่าน สปท.ด้วยคะแนนท่วมท้น ยิ่งกว่าคะแนนที่ลงมติว่าป๋าเขกหัวเด็กผิดจริยธรรม สะท้อนว่ารัฐทหารรัฐราชการต้องการคุมสื่อจริงๆ ไม่ใช่ยอมถอย ถามว่า เอ๊ะ ทำไม ก็สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่เป่านกหวีดมาเองไม่ใช่หรือ ใช่ครับ แต่ยุทธศาสตร์ชาติภายใต้ยุทธศาสตร์กองทัพ ต้องการสถาปนารัฐแห่งความมั่นคง ที่อ้างตัวอย่างจีน สิงคโปร์ จำกัดสิทธิเสรีภาพ ทำให้ชาติเจริญ ฉะนั้น ยังไงๆ ก็ต้องจำกัดเสรีภาพสื่อ ปล่อยไว้ไม่ได้


ถ้าเข้าใจตรงกันว่า กระบวนการออกกฎหมายออกระเบียบควบคุมต่างๆ ในช่วงปีครึ่งจากนี้ไป คือกระบวนการสถาปนารัฐแห่งความมั่นคง ไม่ใช่กระบวนการนับถอยหลังสู่เลือกตั้ง เราก็จะได้เห็นการควบคุมสื่อ ควบคุมสิทธิเสรีภาพด้านต่างๆ มากขึ้นๆ แทนที่จะลดลงๆ ถอยอำนาจ ปล่อยให้เกิดเลือกตั้ง เพราะนี่คือเลือกตั้งลวงตา ของจริงคือรัฐที่จะคุมเข้ม แต่อ้างว่ามีเลือกตั้งแล้วไง

ปัญหาคือระบอบนี้ ที่พยายามควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่สื่อกระแสหลัก สังคมออนไลน์ พรรคการเมือง ไปจนถึงรถกระบะ จะยิ่งสร้างความขัดแย้ง ซึ่งแม้ยังไม่ปะทุง่ายแต่จุดติดเมื่อไหร่ มันใหญ่โตและตีกลับนะครับ ยิ่งระบอบที่วางไว้ให้ 5 ผบ.เหล่าทัพ เป็นซูเปอร์บอร์ดยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมเป็น ส.ว.แต่งตั้ง มันจะทำให้ทหารถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้น เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งไมใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นผลประโยชน์ของสถาบันกองทัพ การจัดสรรงบประมาณ การซื้ออาวุธ การใช้งบต่างๆ ตำแหน่งนายพลนายพันล้นหลาม เลื่อน 2 ขั้นสมนาคุณกัน หรือเอาลูกหลานเข้ารับราชการ ฉะนั้นถ้าความเสื่อมถามหา ก็ไม่ใช่เฉพาะตัวใคร แต่ทั้งกองทัพ

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.