ธุรกิจหนังไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ: ทางเลือกของคนดูและทางเลือกของคนทำหนัง
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า การที่ธุรกิจโรงหนังของไทยมี 2 ค่ายใหญ่ถือครองส่วนแบ่งตลาดเกือบทั้งหมด และมีโรงหนังรายย่อยอยู่น้อยมากนั้น ในมุมของผู้บริโภคแล้วเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมีทางเลือกชมภาพยนตร์ที่หลากหลาย และอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนว่ากฎหมายป้องกันการกีดกันทางการค้าของไทยไม่มีประสิทธิภาพ
“พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้ามีมาเกือบ 20 ปี ไม่เคยมีการบังคับใช้ได้อย่างจริงจัง และไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางการค้าที่แท้จริง คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเป็นตัวแทนธุรกิจทางการเสียเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่มีสิทธิร้องเรียนต้องเป็นคู่กรณีทางธุรกิจ เราไม่ใช่คู่กรณีทางธุรกิจร้องเรียนไม่ได้ แต่เราเป็นผู้บริโภคที่เราได้รับผลกระทบ ที่สำคัญคือเราไม่มีการรองรับสิทธิของผู้บริโภคไว้เป็นกฎหมาย มันไม่ใช่แค่เรื่องค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่แต่เป็นเรื่องของผู้บริโภคด้วย”
ในส่วนของคนทำหนังนั้น ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ บอกว่า คนทำหนังก็ยังมองไม่เห็นทางรอดในสถานการณ์เช่นนี้
“พอจะวิ่งไปออนไลน์ คนก็รอจะดูฟรีอย่างเดียว พอออกแผ่นดีวีดี วันนี้ขายแผ่น พรุ่งนี้แผ่นหนังผีออนไลน์ก็มาแล้ว ขายออนไลน์ก็ราคาถูกมากกว่าอีก ทุกคนอยากจะดูฟรีแล้วใครจะทำหนัง พอไม่มีทางได้เงินกลับมา ลงทุนน้อยๆ ก็ด่าอีกว่าหนังเหี้ยแบบนี้ใครจะดู มันก็เป็นงูกินหางอยู่แบบนี้” ธัญญ์วารินกล่าว
ธัญญ์วารินยังบอกว่า เธอไมได้ต้องการรณรงค์ให้คนมาดูหนังไทยให้มากขึ้น เพราะคุณภาพของหนังก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอยากมาดูด้วย แต่ผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจหนังด้วยกันเองนั้นเป็นส่วนที่เธออยากขอร้องมากที่สุด ทั้งในส่วนของค่า VPF สำหรับการฉายด้วยระบบดิจิทัล ส่วนแบ่งรายได้ระหว่างโรงหนังกับค่ายหนังเล็กๆ ที่ขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตรา โรงหนัง 55 เปอร์เซ็นต์ และค่ายหนังได้ 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกระแสเกี่ยวกับโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ค่ายโรงหนังใหญ่กำลังชักชวนให้ผู้ผลิตหนังรายเล็กซื้อหน้าโฆษณานั้นเธอเห็นว่าเป็นการเพิ่มภาระที่หนักเกินไป
วิชา สุยะรา หนึ่งในทีมผลิตภาพยนตร์รายเล็กบอกบีบีซีไทยว่า ส่วนแบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายให้กับระบบ VPF นั้นทำให้กลายเป็นโจทย์ที่ยากจริงสำหรับคนทำหนังรายย่อย และเขาเริ่มคิดเรื่องการทำหนังให้ดูฟรี ๆ ออนไลน์กันไปเลย
“ถ้าถามว่าโรงหนังเครือใหญ่ผิดไหม จริงๆ แล้วทางเลือกมี แต่น้อย คือโรงเครืออื่นก็มีแต่เป็นเครือเล็ก ๆ คนก็ไม่ค่อยเข้าเท่าไหร่ ยังมีเรื่อง สายหนังด้วย ผมทำเรื่อง “คืนนั้น” ก็ต้องเอาหนังผ่านสายก่อน ถึงจะไปฉายโรงหนังต่างจังหวัด บางจังหวัดก็ไปไม่ได้เพราะสายหนังไม่ซื้อ มันไม่แฟร์กับคนต่างจังหวัดที่อยากดูหนังของเราและยุคนี้มีมันออนไลน์หมดแล้ว เราจะไปออนไลน์ดีกว่าไหม สำหรับผม ปัญหาเรื่องแผ่นเถื่อนมันเอาท์ไปแล้ว คนโหลดดูฟรีทางหน้าเพจ มีเพจดูหนังฟรี ในหน้าเพจก็แชร์กัน แล้วคนก็ดูเยอะ ช่วงก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าไปสู่ระบบสตรีมมิ่ง (ดูผ่านออนไลน์โดยไม่ต้องดาวน์โหลด) อาจจะเป็นคำตอบ แต่ก็อาจจะไม่ใช่เพราะยังไงก็ยังโดนแฮ็ก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สู้เราทำหนังให้ดูฟรี ๆ ทางยูทูปไปเลย แล้วเก็บค่าโฆษณา”
แนวคิดที่มาใหม่นี้ วิชาบอกว่ายังไม่แน่ใจว่ารายได้จะพอกับทุนทำหนังหรือไม่ และเขากำลังศึกษาข้อมูลดูว่าจะพอกับต้นทุนหรือไม่ แต่เมื่อคิดถึงสเกลการฉายผ่านยูทูป ก็คงต้องลดความคาดหวังเรื่องโปรดักชั่นลง เน้นหนังเล็กที่ลงทุนไม่สูงมากขึ้น
“มันไม่ใช่ทางออกหรอกครับ มันคือการหนีตาย ถ้าทำได้ผมอยากเอาเข้าโรง เพราะถ้าหนังเราทำให้คนได้ดูจอใหญ่ๆ เสียงดี ๆ มันก็ดีกว่าอยู่แล้ว” วิชากล่าวทิ้งท้าย


แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.