
ค่าฉายภาพยนตร์ระบบดิจิทัล ต้นทุนที่ค่ายหนังรายย่อยต้องต่อรองกับเครือโรงหนังรายใหญ่
ความอยู่รอดของคนทำภาพยนตร์รายย่อย นอกจากจะขึ้นกับต้นทุนที่นับวันจะสูงขึ้นและการดิ้นรนแข่งขันกับค่ายใหญ่ที่มีโอกาสฉายมากโรงและมากรอบกว่า ยังมีต้นทุนที่คนดูหนังทั่วไปคงไม่เคยได้ยิน นั่นคือการจ่ายค่าฉายหนังด้วยระบบดิจิทัล หรือค่าวีพีเอฟ ซึ่งกลายมาเป็นต้นทุนที่ค่ายหนังเล็ก ๆ ต้องคิดหนัก
สุภาพ หริมเทพาธิป ผู้ก่อตั้งนิตยสารไบโอสโคปอธิบายว่า ธุรกิจหนังค่ายเล็กในเมืองไทยนั้นไม่ได้หมายความถึงผู้ผลิตหนังไทยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีค่ายเล็กที่เลือกซื้อหนังจากต่างประเทศเข้ามาฉาย ซึ่งค่ายเหล่านี้มีอำนาจต่อรองกับโรงภาพยนตร์เครือใหญ่ไม่มากนักในเรื่องของจำนวนโรงและรอบที่จะฉาย อีกทั้งมีต้นทุนในการฉายหนังสูงกว่าเครือใหญ่ โดยสัดส่วนรายได้ขณะนี้ ค่ายหนังเครือใหญ่อาจจะแบ่งรายได้จากการฉายกับทางโรงหนัง 50:50 แต่สำหรับค่ายเล็กนั้น ส่วนใหญ่สัดส่วนอยู่ที่โรงฉาย 55 เปอร์เซ็นต์ และค่ายหนังได้ 45 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องฉายหนัง ที่เปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัล หรือค่า VPF ซึ่งค่ายเล็กจะต้องจ่ายต่อเรื่องต่อโรงประมาณ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตีเป็นเงินไทย 24,000 บาท ซึ่งมีอัตราการจ่ายที่ต่างกันอยู่ระหว่างค่ายหนังที่เป็นสตูดิโอใหญ่ หรือเครือใหญ่ที่เป็นบริษัทในเครือของสตูดิโอต่างประเทศ กับค่ายเล็ก ๆ ภายในประเทศ
“ค่า VPF เกิดจากการที่สตูดิโอต่างประเทศต้องการเปลี่ยนระบบฉายเป็นดิจิทัลทั้งหมด จากเดิมที่เป็นโปรเจกเตอร์ก็ต้องลงทุนใหม่ เขาก็เลยคิดว่าให้โรงหนังกับสตูดิโอช่วยจ่ายค่า VPF ต่อหนังที่เข้าฉายต่อหนึ่งจอ อย่างเครือเมเจอร์ คิดค่าฉาย 1 โรง เก็บ 500 เหรียญ แต่ค่ายอิสระทั้งหลายไม่ได้ร่วมจ่ายแต่ต้น ก็จะเก็บ 800 เหรียญ เป็นกุศโลบายเพื่อให้โรงหนังเปลี่ยนจากระบบฟิล์มเป็นดิจิทัล แต่สำหรับโรงใหม่ที่เกิดใหม่ ก็ไม่ต้องจ่าย เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยนระบบทดแทน หนังจากสตูดิโอใหญ่ก็จะไม่จ่าย แต่โรงหนังยังให้ค่ายอิสระต้องจ่าย 800 เหรียญ ค่ายเล็กค่ายน้อยก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูด เพราะหนังแค่โดนลดรอบเหลือสามรอบก็ตายแล้ว” สุภาพกล่าว
ด้านธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยบอกว่า ค่า VPF นี้เป็นค่าใช้จ่ายที่หนักที่สุดสำหรับคนทำหนังรายย่อย และเป็นสิ่งที่อยากต่อรองกับทางเครือโรงภาพยนตร์มากที่สุด
“ประมาณ 24,000 ต่อวัน ทั้งวันเราเข้าฉายสิบโรงก็สองแสนสี่ แต่ถ้าเราฉายสิบโรงจ่ายสองแสนสี่ หนังเราได้ส่วนแบ่งไม่ถึงล้าน เงินลงทุนเราอยู่ตรงไหน ขนาดของเรารายได้เยอะกว่าเรื่องอื่น แล้วคนอื่นล่ะ ที่เขาได้รายได้น้อยกว่า.....คือจริงๆ ถ้าอยากจะฝากอะไร ตอนนี้ที่หนักสุดคือ VPF หนักมาก สองคือ เป็นไปได้ไหม เราเสียเงินสองร้อยเท่ากัน แต่ค่าผลิตหนังมันไม่เท่ากัน คนไม่แปลกใจว่าดูหนังที่ลงทุนมากกว่าอย่างหนังจากต่างประเทศ กับหนังไทยที่ลงทุนต่ำกว่าแต่จ่ายค่าตั๋วราคาเท่ากัน ถ้าราคาตั๋วหนังไทยต่ำกว่า คนจะดูมากขึ้นไหม ทุกวันนี้คนทำหนังก็ทำให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมายตัวเอง” ธัญญ์วารินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามประเด็นนี้จากเครือโรงหนังใหญ่อย่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ธนกร ปุลิเวคินทร์ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจฟิล์มภาพยนตร์กล่าวว่า อาจจะมีความเข้าใจกันว่าค่า VPF นั้นเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องมือ ต้องเปลี่ยนมาสู่เครื่องฉายแบบดิจิทัล ซึ่งแพงพอสมควร แต่หลังจากเปลี่ยนมาสู่ระบบดิจิทัลแล้วจึงพบว่าอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดคือหลอดไฟที่ใช้สำหรับเครื่องฉายภาพยนตร์ ซึ่งมีอายุการใช้งานสั้นและสิ้นเปลืองงบประมาณกว่าร้อยล้าน ขณะที่ค่ายหนังก็ประหยัดเรื่องค่าฟิล์มแล้วเนื่องจากไม่ต้องใช้ฟิล์ม จึงอยากให้ทางค่ายหนังช่วยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ของโรงฉายด้วย
“ค่ายหนังบางทีไม่เข้าใจ คิดว่าโรงสบาย ๆ จริง ๆ ไม่ใช่เลย เครื่องฉายแต่ก่อนใช้ 15-20 ปี ใช้ได้สบาย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ 5 ปีก็ต้องเปลี่ยนเครื่องบ่อยต้องซ่อมบ่อย และมีการอัพเกรดอยู่เรื่อย ๆ บางทีค่ายหนังไม่เข้าใจ”ธนกร กล่าว
แสดงความคิดเห็น