Posted: 04 Feb 2019 05:37 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)
Submitted on Mon, 2019-02-04 20:37


ชื่นชมพนักงานสนามบินหญิง หลังถูกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตบแต่ไม่ตอบโต้/เตรียมงานรองรับนักเรียน-นักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน กว่า 23,000 อัตรา เริ่มรับสมัคร 1 ก.พ. 2562 นี้/พรรคอนาคตใหม่ ดันตัวแทนแรงงานหญิงขึ้นที่ 3 บัญชีรายชื่อ มั่นใจได้เข้าสภา/หลังช้างตกมันกระทืบควาญดับ คนเลี้ยงช้างดันออกกฎหมายสับตะขอ-คล้องโซ่เลี้ยงตามขนบ/คนขอกลับคืนสิทธิเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 148,363 คน/รมว. แรงงาน สั่งการเร่งตรวจสอบ ติดตาม ดำเนินคดีผู้หลอกลวง ชักชวนไปทำงานฟินแลนด์

พบอาชีพ ‘พ่อครัว-แม่ครัวไทย’ เป็นที่ต้องการในต่างแดน

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภาย หลังพบปะและเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกอบการและแรงงานไทยที่ประกอบอาชีพด้านอาหารไทย ณ เมือง Hausach สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่าปัจจุบัน ในเยอรมนีมีร้านอาหารไทยกว่า 600 แห่ง และอาหารไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าในต่างประเทศมีความต้องการในตำแหน่งพ่อครัวแม่ครัวไปทำงานกว่า 4,000 คน

อย่างไรก็ตามแรงงานไทยที่ทำงานในเยอรมนียังต้องการที่จะพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะด้านภาษาเพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีความพร้อมจะขับเคลื่อนตามนโยบาย 3A ของกระทรวงในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการสร้างแรงงานคุณภาพ (Super Worker) โดยจัดให้มีการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานให้กับแรงงานไทยในต่างประเทศ ซึ่งในปีนี้ มีเป้าหมายดำเนินการ จำนวน 200 คน ในสาขาที่มีความต้องการในต่างประเทศ ได้แก่ สาขาการประกอบอาหารไทย พนักงานนวดไทย สปาตะวันตกและไทยสัปปายะ

โดยก่อนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในแต่ละสาขานั้นจะมีการให้ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อม เช่นการให้ความรู้ด้านภาษา กฎหมายแรงงาน และการประกอบธุรกิจในเยอรมนี เป็นต้น จากการติดตามผลผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 1 สาขาการประกอบอาหารไทย พบว่าแรงงานไทยมีความก้าวหน้าในอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเดือนละ 10,000 บาท

ด้านนายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จำนวนแรงงานไทยที่ผ่านการทดสอบตั้งแต่ปี 2554-2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,614 คน สำหรับในปีนี้มีผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาผู้ประกอบอาหารไทยแล้ว 88 คน ประกอบด้วยการทดสอบฯในไต้หวันจำนวน 60 คน และเนเธอร์แลนด์อีก28 คน นอกจากนี้ยังมีแผนจะไปทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในประเทศเดนมาร์ก สเปน และญี่ปุ่นอีกด้วย

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ได้ร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลใหญ่ นายกเทศมนตรี Mr.Wolfgang Hermann นางจิราภรณ์ ไมเออร์-คนัพพ์ ประธานสมาคมบ้านแสนสุข ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม และคณะผู้ดำเนินการจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ในประเด็นเกี่ยวกับโอกาสความก้าวหน้าในการทำงานในต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาทักษะให้กับผู้ประกอบกิจการร้านอาหารไทยและแรงงานไทยเพื่อให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้นซึ่งจะนำประเด็นเหล่านี้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานให้สอดรับกับความต้องการดังกล่าวต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 4/2/2562

รมว. แรงงาน สั่งการเร่งตรวจสอบ ติดตาม ดำเนินคดีผู้หลอกลวง ชักชวนไปทำงานฟินแลนด์

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งกรมการจัดหางาน เร่งตรวจสอบ ดำเนินคดีผู้แอบอ้างหลอกชักชวนไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน และฟินแลนด์ ด้วยรายได้เกินจริงกว่า 85,000 บาท พร้อมย้ำผู้ใดจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้มีความผิดตามกฎหมาย ถูกจับปรับติดคุก

นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายเน้นหนักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวงและลักลอบไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีผู้ชักชวนแรงงานไทยไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน และฟินแลนด์ โดยโพสต์โฆษณารายได้เกินจริงผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียว่ามีรายได้ถึง 70,000 – 85,000 บาท ซึ่งพบว่ามีแรงงานไทยหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ รมว.แรงงานห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยว่าจะถูกหลอก โดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานเร่งตรวจสอบและประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนคนหางาน ดังนั้น เพื่อมิให้แรงงานไทยหลงเชื่อคำชักชวนเกินจริงดังกล่าว กรมการจัดหางานจึงขอแจ้งให้ทราบว่า การไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์นั้น แรงงานจะมีรายได้จริงประมาณเดือนละ 1,000 – 1,200 ยูโร หรือประมาณ 39,000 – 46,800 บาท และก่อนเดินทางไปทำงาน แรงงานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 60,000-70,000 บาทต่อคน เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เป็นต้น และขณะนี้ยังไม่ได้เปิดรับแรงงานแต่อย่างใด เนื่องจากฤดูกาลเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน และฟินแลนด์จะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี จึงอย่าหลงเชื่อผู้ที่ชักชวนไปทำงานเก็บผลไม้ป่าดังกล่าว และขอให้แรงงานไทยศึกษาข้อมูลการทำงานให้รอบคอบกับกรมการจัดหางานก่อนตัดสินใจเดินทาง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 เฝ้าระวัง คุมเข้ม ตรวจสอบและสกัดกั้น เพื่อคุ้มครองคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศไม่ให้ถูกหลอกลวงจากสาย/นายหน้าเถื่อน รวมทั้งได้ตรวจสอบเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมในการโฆษณาชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ผ่านสายตรวจออนไลน์ อย่างเข้มงวด ซึ่งแรงงานไทยที่ถูกหลอกลวงสามารถแจ้งความหรือแจ้งเบาะแสได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสถานีตำรวจทั่วประเทศ หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

กรณีที่มีการโฆษณาการจัดหางานให้คนหางานไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์ โดยการโฆษณาจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2537 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้ใดจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่มีผู้มาร้องทุกข์ว่าถูกหลอกลวงไปทำงานเก็บผลไม้ป่า และพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิด จะมีความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ 2562 ตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2561 มีคนหางานมาร้องทุกข์กับกรมการจัดหางาน กรณีถูกสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อนหลอกจำนวน 123 ราย โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงานประเทศเกาหลีใต้มากที่สุด รองลงมาเป็นญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิตาลี และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับสาย/นายหน้าเถื่อนดังกล่าวแล้ว

ที่มา: ข่าวสด, 4/2/2562

คนขอกลับคืนสิทธิเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 148,363 คน

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการดำเนินการคืนสภาพผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนได้กลับเข้าสู่ระบบประกันสังคมเช่นเดิมอีกครั้ง ว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคม ได้ดำเนินการติดตามผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพกลับเป็นผู้ประกันตน โดยส่งหนังสือแจ้งไปยังกลุ่มผู้มีสิทธิจำนวน 777,228 คน

ซึ่งผลการติดตามมีผู้ประกันตนติดต่อกลับสู่ระบบประกันสังคมแล้วขณะนี้จำนวน 363,000 คน โดยแบ่งเป็นขอกลับคืนสิทธิเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 148,363 คน และกลับเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาสมัครมาตรา 40 หรือขอรับสิทธิชราภาพ หรือทายาทมาขอรับสิทธิกรณีตาย ไปแล้วจำนวน 214,637 คน โดยผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่จะคืนสภาพรีบดำเนินการติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ จังหวัด สาขา ทุกแห่งที่สะดวก หรือทางไปรษณีย์ (แนบแบบ สปส. 1-20/1) หรือทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2562

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกันตนจะต้องชำระเงินสมทบเดือนละ 432 บาท ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้กลับเป็นผู้ประกันตน โดยจ่ายเงินสมทบครบตามเงื่อนไขได้หลายช่องทางด้วยกัน คือ จ่ายด้วยเงินสด ณ สำนักงานประกันสังคมได้ทั่วประเทศ ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารธนชาต ทุกสาขา ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา (seven - eleven) ผ่านระบบ Pay at Post ที่เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ หรือจ่ายทางธนาณัติ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ พร้อมแนบแบบส่งเงิน (สปส.1-11) ส่งให้สำนักงานประกันสังคมผ่านเคาน์เตอร์เซ็นเพย์ (บริษัทห้างเซ็นทรัล)

ทั้งนี้ ยังสามารถจ่ายเงินสมทบโดยวิธีหักบัญชีธนาคาร 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารธนชาติ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ

โดยผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะได้รับสิทธิประโยชน์ 6 กรณีเช่นเดิม คือ กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ

ซึ่งผู้ประกันคนจะต้องปกป้องสิทธิของตนเองโดยให้ความสำคัญในการตรวจสอบการนำส่งเงินสมทบด้วยตนเองกับสำนักงานประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอ และควรนำเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกันตนขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่ครบ 9 เดือน จะสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนทันที ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง จังหวัด สาขา ที่สะดวก หรือโทร.1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: Sanook News, 3/2/2562

หลังช้างตกมันกระทืบควาญดับ คนเลี้ยงช้างดันออกกฎหมายสับตะขอ-คล้องโซ่เลี้ยงตามขนบ

ดร.บุญทา ชัยเลิศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยฝ่ายอาเซียนสัมพันธ์ ได้เปิดการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการปางช้างด้านการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ ประจำปี 2562 และการฝึกอบรมการควบคุมช้างอาละวาดและช้างตกมัน ที่สมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวแม่แตง ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนมกราคม 62 ที่ผ่านมา ณ ปางช้างแม่แตง จ.เชียงใหม่

สพ.ญ.ดร.ภัคนุช บันสิทธิ์ จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มช. ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยในการศึกษาระดับปริญญาเอก หัวข้อดุษฎีนิพนธ์ “ปัจจัยทางด้านการจัดการปางช้างที่มีผลต่อสวัสดิภาพและสุขภาพของช้าง” บรรยายถึงความเหมาะสมของการเลี้ยงช้างเพื่อสวัสดิภาพที่ดี กำลังเป็นที่จับตาของต่างชาติ

แม้สถานที่ประกอบการช้างหลายๆ แห่งจะใช้ชื่อว่าแซงชัวรี่ (Sanctuary) ก็ตาม แต่จะมีความเหมาะสมหรือไม่ สภาวะความเป็นอยู่ สวัสดิภาพดีเพียงพอไหม? เป็นจุดที่นักกิจกรรมอนุรักษ์สัตว์จากต่างประเทศดูอยู่ เราจะต้องทำอย่างไร ให้การเลี้ยงช้างของพวกเราเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ให้มีภาพรวมที่ดีขึ้น และต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ทั้งในด้านความปลอดภัยและสวัสดิการ สวัสดิภาพที่ดีของควาญช้างด้วย ไม่ใช่เพียงแต่มองในด้านสวัสดิภาพที่ดีของช้างเพียงฝ่ายเดียว

โดยในหลักการของการจัดการสัตว์เลี้ยงที่ได้มาตรฐานในระดับสากลนั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงช้างไทยให้มีสวัสดิภาพที่ดีได้ด้วย เช่น มีอาหารและน้ำสะอาดที่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคของช้าง อาหารมีความสดใหม่ และหลากหลาย ช้างมีความสะดวกสบายจากสภาพแวดล้อมที่ดี มีร่มเงาให้พัก มีการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ มีพื้นทีเพียงพอต่อการเคลื่อนไหว โซ่มีความยาวที่เหมาะสม ช้างมีสุขภาพที่ดี มียาและอุปกรณ์ในการรักษาดูแลที่เหมาะสม ช้างอยู่อย่างมีความสุขปราศจากความหวาดกลัวและทรมาน

และข้อสุดท้าย ช้างสามารถแสดงออกทางพฤติกรรมตามปกติวิสัยได้ มีการสืบพันธุ์ตามฤดูกาลที่เหมาะสมเพื่อเป็นการดำรงเผ่าพันธุ์ เป็นการอนุรักษ์ช้างโดยไม่มีการบังคับขืนใจแต่อย่างใด

ด้าน น.สพ.เพชรธิศักดิ์ สมบัติภูธร สัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ ผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมช้างตกมัน กล่าวถึงปัญหาช้างอาละวาดมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ความเครียด การตกใจ ความกลัว หรือช้างนั้นมีนิสัยที่ดุร้ายอยู่แล้ว รวมถึงการตกมันของช้างในช่วงฤดูการผสมพันธุ์ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ช้างอาละวาด ยากต่อการควบคุม เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตผู้คนที่อยู่ในบริเวณและยังเป็นอันตรายต่อช้างด้วยกันเองอีกด้วย

น.สพ.เพชรธิศักดิ์ บอกว่า ควาญช้างต้องมีความเข้าใจและเอาใจใส่ดูแลช้างของตนให้ดี มีวิธีการจัดการที่เหมาะสม ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งช้างและคน มีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดการช้างตกมัน ซึ่งต้องอาศัยการทำงานเป็นหมู่คณะ ไม่สามารถที่จะดำเนินการเพียงลำพัง แต่การจัดการจะง่ายและสะดวกต่อการควบคุมช้างได้มากขึ้น ถ้าควาญช้างได้รับการอบรมและมีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ช้างแสดงอาการเบื้องต้น

“โรงพยาบาลช้าง ของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยที่ จ.ลำปาง มีคณะทำงานเพื่อดูแลและจัดการช้างตกมันที่พร้อมจะดำเนินการช่วยเหลือ เมื่อมีการร้องขอทุกเมื่อ ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยที่จะจัดการช้างตกมันได้ด้วยตัวเอง”

ส่วนในการดูแลช้างปกติที่ไม่ได้อยู่ในช่วงของการตกมันนั้น ช้างโดยธรรมชาติเขาเป็นสัตว์ป่า แม้จะนับเป็นช้างบ้านที่อยู่อาศัยร่วมกับมนุษย์หลายช่วงอายุแล้วก็ตาม ก็ต้องฝึกให้เขายอมรับในการใช้ตะขอ และโซ่ในการควบคุมดูแล และต้องมีการใช้อย่างเหมาะสม ใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อให้การอยู่ร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย ใช้เพื่อเป็นภาษาในการสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องสับหรือทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บ ใช้เพื่อความปลอดภัยของคนเลี้ยง นักท่องเที่ยว และ แม้กระทั่งต่อช้างด้วยกันเอง เพื่อควบคุมการทะเลาะวิวาทในหมู่ช้างเกเร

“โซ่และตะขอสำคัญมากในการควบคุมช้าง เห็นควรว่าควรจะมีกฎหมายในการควบคุมการเปิดกิจการปางช้าง เพื่อเป็นการดูแลให้ความยุติธรรมทั้งช้างและคน เพื่อสวัสดิภาพและสวัสดิการที่ดีทั้งสองฝ่าย”

นายวนชาติ บูรพาเกียรติ ผู้จัดการและควาญช้างปางช้างไทยอิเลแฟนท์โฮม บ้านแมตะมาน ต.กื้ดช้าง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่าได้รับประโยชน์มากในการเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมดูแลช้างอาละวาด-ช้างตกมัน และวิธีการป้องกันตัว การระวังตัวในการเข้าหาช้างตกมัน ช้างอาละวาด

โดยส่วนตัวที่คลุกคลีกับช้างมานานตั้งแต่เป็นควาญช้างจนทุกวันนี้เป็นผู้จัดการปางช้าง ก็ยังคลุกคลีอยู่กับช้างมาโดยตลอด นับว่ารู้จักนิสัยช้างดีพอ ขอยืนยันว่าช้างกับตะขอเป็นของคู่กันที่ต้องใช้ เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ควบคุมลำบาก เราจะแจ้งกับลูกค้าตรงๆ ว่าเราต้องใช้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า และความปลอดภัยของตัวควาญเองด้วย

“เห็นควรที่ต้องออกเป็นกฎหมายควบคุมอย่างจริงจังว่าให้ผู้เลี้ยงช้าง ต้องใช้ตะขอต้องใช้โซ่ในการเลี้ยงช้าง เราต้องยอมรับความเป็นจริง อย่าไปบิดเบือนความจริงของการเลี้ยงช้างไทยเรา”

นายอภิชิต ดวงดี ควาญช้างและเจ้าของปางช้างเอเลแฟ่นท์เรสคิวย์ปาร์ก กล่าวว่าการเลี้ยงช้างโดยไม่ใช้โซ่กับตะขอนั้น ในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ ถ้าฝืนทำก็จะกลายเป็นข่าวเศร้าอย่างที่ปรากฏมาเมื่อปลายปีที่แล้ว เราต้องมองไปที่ความปลอดภัยก่อน บางแห่งใช้วิธีบอกลูกค้าว่าไม่ใช้ตะขอและโซ่ แต่ก็แอบใช้ในเวลากลางคืน หรือเวลาที่ไม่มีลูกค้า ไม่ให้ลูกค้าเห็นเวลาใช้

“ถ้าจะให้ตนไปทำงานในปางช้างที่ประกาศว่าไม่ใช้โซ่ใช้ตะขอในการเลี้ยงช้าง ก็จะไม่ไปทำเป็นอันขาด เพราะกลัวตาย แต่ก็มีเพื่อนๆ ทำงานในปางช้างประเภทนั้นบ้าง เขาก็ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ ต้องจำใจทำ เพราะเจ้าของเขาบังคับไม่ให้ใช้และให้รายได้ดี แต่พวกเขาก็รู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ เลยมีการแอบใช้หนังสติ๊กและตะปูในการควบคุมช้างแทน”

นายธีรภัทร ตรังปราการ เจ้าของกิจการภัทรเอเลแฟ้นท์ฟาร์ม และนายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย Thai Elephant Alliance Association ที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ช้างโดยภาคเอกชน ให้ความเห็นว่า กิจกรรมอบรมในครั้งนี้มีประโยชน์ ควรที่จะจัดอย่างต่อเนื่อง เพราะสภาวะจริงในการทำงานมีหลายเหตุปัจจัย ควรมีการซักซ้อมกันอย่างสม่ำเสมอในการดูแลและจัดการช้างอาละวาดช้างตกมัน ทางปางช้างภัทรของตนก็พร้อมที่จะช่วย เสียสละส่งทีมจิตอาสามาอบรมและพร้อมที่จะเข้าไปช่วยในเหตุการณ์จริงถ้ามีช้างอาละวาด

ส่วนในความเห็นเรื่องของการใช้อุปกรณ์ควบคุมช้างเช่นโซ่ หรือ ตะขอนั้น ที่ปางช้างของตนก็ใช้ในภาวะจำเป็นต่างๆ เช่น ในการรักษาพยาบาล เพื่อสะดวกในการให้สัตวแพทย์ตรวจรักษาในสถานการณ์ที่ต้องควบคุมบ้างเป็นพิเศษ ส่วนในกรณีปางช้างที่จะไม่ใช้ตะขอหรือโซ่ในการควบคุมในการเลี้ยงช้างนั้น ส่วนตัวเห็นว่าถ้าช้างมีจำนวนน้อยแค่ 1-3 เชือกก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นปางใหญ่มีช้างจำนวนมาก ก็ลำบากในการควบคุมดูแล

“ถ้ามองระยะสั้นอาจจะมองเห็นว่าการไม่ใช้อุปกรณ์ในการควบคุมดูแลช้างนั้นให้อิสระแก่ช้าง แต่ในความเป็นจริงนั้นช้างก็ถูกกักขัง ถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ในคอกกั้นอยู่ดี แม้ว่าจะไม่ล่ามโซ่ไว้ ซึ่งเป็นทฤษฎีลวงว่าช้างนั้นได้รับอิสระ แต่ไม่ใช่เลย มันกลับส่งผลเสียมากกว่าที่จะมีผลดีกับตัวช้างเสียด้วยซ้ำ คือช้างจะมีความเครียดมากกว่าช้างที่ถูกล่ามโซ่ในพื้นที่เปิด ซึ่งมีผลการวิจัยรับรองอย่างเป็นทางการในการตรวจหาฮอร์โมนความเครียดของช้างในดุฏฎีนิพนธ์ของ สพ.ญ.ภัคนุช บันสิทธิ์ จากศูนย์เพื่อความเป็นเลิศในการวิจัยช้างและสัตว์ป่า”

สำหรับแนวทางในการเลี้ยงช้างโดยไม่ใช้ตะขอกับโซ่เป็นอุปกรณ์ในการควบคุมดูแลช้างนั้น เป็นเพียงกระแสเพื่อลวงให้เข้าใจผิดว่าช้างได้รับอิสระ แต่บางแห่งก็เป็นการแค่ได้รับอิสระต่อหน้าลูกค้าเท่านั้น ในความเป็นจริงคือใช้แต่ไม่บอก ไม่เคยเห็นที่ไหนจะทำได้จริงเลย หรือแม้ว่าจะทำจริงๆ ก็เป็นการจับช้างเข้าขังในคอกเหมือนเดิม เป็นอิสระแค่เพียงในชั่วโมงที่ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเท่านั้น

ส่วนการเสนอให้มีข้อกฎหมายควบคุมการเลี้ยงช้างนั้น เห็นว่ามีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงออกต่อการรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้อื่น ทั้งนักท่องเที่ยว คนเลี้ยงช้าง หรือแม้แต่ช้างด้วยกันเองก็จะปลอดภัยจากอันตรายที่มาจากการทะเลาะวิวาทกันของช้างด้วย

“ขอเน้นย้ำว่าการเลี้ยงช้างโดยไม่มีอุปกรณ์การควบคุมดูแลช้างนั้น เป็นการริดรอนสิทธิของผู้เลี้ยงช้าง ของนักท่องเที่ยว และของตัวช้างเองด้วย”

ขณะที่นางสาวปักษธร สมินทรปัญญา นักวิชาการแรงงานชำนาญงาน สำนักงานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้เข้าร่วมศึกษาดูงานและอบรมในครั้งนี้ ให้ความเห็นว่า แรงงานจังหวัดฯ มีหน้าที่ดูแลลูกจ้างให้มีความปลอดภัยในการทำงาน ไม่ประสบอันตรายในการทำงาน ซึ่งการทำงานเกี่ยวกับช้าง ตามที่ได้เห็นมาถือว่ามีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยค่อนข้างสูง เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่สามารถสร้างอันตรายได้มาก ทางกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงได้เข้ามาศึกษา เพื่อหาทางดูแลและคุ้มครองคนเลี้ยงช้าง ให้มีความปลอดภัยในการทำงานและมีสวัสดิการที่ดี

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 3/2/2562

พรรคอนาคตใหม่ ดันตัวแทนแรงงานหญิงขึ้นที่ 3 บัญชีรายชื่อ มั่นใจได้เข้าสภา

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงาน แหล่งข่าวจากพรรค อนาคตใหม่ เปิดเผยว่า ตามที่พรรคอนาคตใหม่ให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง รับผู้คนหลากหลายสาขาอาชีพ สมัครเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ

ปรากฏว่ามีทั้งตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ คนพิการ คนที่มีความหลากหลายทางเพศ คนขับแท็กซี่ เกษตรกร เป็เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค อีกทั้งตลอดช่วงการหาเสียงที่ผ่านมา แกนนำพรรคอนาคตใหม่ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ประกาศบนเวทีปราศรัยอย่างมั่นใจหลายครั้งว่า พรรคอนาคตใหม่จะมีแรงงานตัวจริงเข้าสภาอย่างแน่นอน

ล่าสุด จากการจัดลำดับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ชื่อของนายธนาธร และนายปิยบุตร จะอยู่ในลำดับที่ 1 และ 2 ขณะที่ลำดับที่ 3 จะเป็น น.ส.วรรณวิภา ไม้สน เลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และกรรมการบริหารสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำเสนอนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคอนาคตใหม่ในวันแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่มีความมั่นใจว่า น.ส.วรรณิภา จะเป็นกรรมกรคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ได้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร

แหล่งข่าวระบุอีกว่าการมีชื่อของ น.ส.วรรณวิภา ปรากฏอยู่ในว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคในลำดับที่ 3 เป็นสิ่งยืนยันว่า พรรคอนาคตใหม่เอาจริงกับการสร้างรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและครบวงจรตั้งแต่เกิดจนตายให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ทำระบบสวัสดิการให้เป็นสิทธิ์ ไม่ใช่การสงเคราะห์ เพราะการยกระดับรายได้คุณภาพชีวิตของประชาชน คือรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ

ทำให้ประชาชนสามารถดึงเอาศักยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ โดยสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่มุ่งมั่นที่จะทำในส่วนของนโยบายรัฐสวัสดิการ ได้แก่ 1.เพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 180 วัน 2.สนับสนุนเงินเลี้ยงดูบุตรอายุ 0-6 ปี เดือนละ 1,200 บาท 3.สนับสนุนค่าครองชีพและเริ่มต้นชีวิตของเยาวชนอายุ 18-22 ปี เดือนละ 2,000 บาท 4.ขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ 5.เพิ่มเงินค่าครองชีพผู้สูงอายุเป็นเดือนละ 1,800 บาท 6.เพิ่มงบรายหัวในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็น 4,000 บาทต่อคนต่อปี

โดยคาดว่าทั้งหมดนี้จะใช้งบประมาณ 370,000 ล้านบาท ซึ่งแนวทางการหารายได้มาจากการจัดสรรงบประมาณประมาณเสียใหม่ เช่น ลดงบที่ไม่จำเป็นในระบบราชการ ลดงบประมาณอุดหนุนกองทัพ เป็นต้น

สำหรับ น.ส.วรรณวิภา อายุ 36 ปี เป็นชาว จ.อุตรดิตถ์ เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนศรีนคร จ.สุโขทัย, ปวช.คอมพิวเตอร์ธุรกิจ กาญจนาภิเษกสมุทรปราการ จากนั้นเดินทางเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในโรงงานหลายแห่ง ปัจจุบัน เป็นเลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และกรรมการบริหารสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งประเทศไทย

ที่ผ่านมาร่วมต่อสู้เคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อผู้ใช้แรงงานมาโดยตลอด จึงเข้าใจและทราบปัญหาของผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างดีว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิที่พึงได้รับของผู้ใช้แรงงานต่อผู้บริหาร รวมถึงหน่วยงานรัฐ มักถูกเมินเฉย ไม่ได้รับการตอบรับหรือดำเนินการตามข้อเรียกร้อง ปัญหาเก่าไม่ได้รับการแก้ไขและยังเพิ่มปัญหาใหม่ขึ้นมา

โดย น.ส.วรรณิภา เคยกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า การมีผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง นับว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น อยากให้ผู้ใช้แรงงานมั่นใจว่า ข้อเรียกร้องต่างๆ ของผู้ใช้แรงงานจะถูกผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มากกว่าที่ผ่านมา

แหล่งข่าวระบุอีกว่า สำหรับรายชื่อของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ในลำดับต้นๆ นอกจากนายธนาธร นายปิยบุตร และ น.ส.วรรณวิภา แล้ว ยังปรากฏรายชื่อของ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหน้าพรรค น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นักธุรกิจชื่อดัง เป็นต้น ทั้งนี้ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่จะมีการประชุมสรุปการจัดลำดับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง

ที่มา: ข่าวสด, 30/1/2562

รมว.แรงงาน มอบเงินเยียวยาทายาทลูกจ้างเสียชีวิต เหตุคอนโดมิเนียมย่านพระราม 3 ถล่ม

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยต่อสื่อมวลชน ถึงการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ประสบอันตรายขณะกำลังต่อเครน เพื่อก่อสร้างคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง บนถนนพระราม 3 ซอย 45 แขวงโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้ประสบอันตราย 10 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 5 ราย และได้รับบาดเจ็บ 5 ราย

โดยการประสบอันตรายดังกล่าวเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บมีสิทธิประโยชน์ทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงในส่วนของลูกจ้างที่เสียชีวิต ในวันนี้ (28 ม.ค. 2562) ตนได้มอบเงินให้กับทายาทผู้มีสิทธิจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมให้ผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 5 ราย ดังนี้

นายวิทูณ ไชยมี ทายาทจะได้เงินเป็นค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต พร้อมเงินบำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,812,728.60 บาท

นายเติมศักดิ์ ศรีพิทักษ์ ทายาทจะได้เงินเป็นค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต พร้อมเงินบำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,792,370.16 บาท

นายวิชา กาวีอ้าย ทายาทจะได้เงินเป็นค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต พร้อมเงินบำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,423,156.86 บาท

นายศิลป์ กาศสกุล ทายาทจะได้เงินเป็นค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต พร้อมเงินบำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,548,981.14 บาท

นายธนโชค บริคุต ทายาทจะได้เงินเป็นค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต พร้อมเงินบำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,368,890.40 บาท

ที่มา: คมชัดลึก, 30/1/2562

เตรียมงานรองรับนักเรียน-นักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน กว่า 23,000 อัตรา เริ่มรับสมัคร 1 ก.พ. 2562 นี้

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2562 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เป็นประธานเปิดตัวโครงการ “ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน ประจำปี 2562” พร้อมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านระหว่างภาครัฐและเอกชน ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ สถานประกอบการ 21 แห่ง เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียนหรือนักศึกษาในช่วงปิดภาคเรียน หรือช่วงว่างจากการเรียในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียน เปิดรับสมัครพร้อมกันทั่วประเทศ 1 ก.พ. 2562 เป็นต้นไป

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่าโครงการดังกล่าวเพื่อให้นักเรียนหรือนักศึกษาได้มีงานทำในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียน ได้รับการเสริมสร้างประสบการณ์ในการทำงานจริง ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ลดการมั่วสุมและการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รู้จักความอดทน มีระเบียบวินัย และได้เรียนรู้โลกของอาชีพอันเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว รวมทั้งมีรายได้ในระหว่างการเรียน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยมีการดำเนินงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามรูปแบบ “ประชารัฐ” และได้รับการตอบรับจากนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี มีสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการ จำนวน 1,163 แห่ง เป็นกรุงเทพมหานคร 124 แห่ง ส่วนภูมิภาค 1,039 แห่ง สามารถส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียนหรือนักศึกษาได้ถึง 35,403 คน จากเป้าหมาย จำนวน 30,000 คน สร้างรายได้จำนวนทั้งสิ้น 458,822,880 บาท

รมว.แรงงาน กล่าวว่าสำหรับในปีงบประมาณ 2562 มีเป้าหมายส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน/นักศึกษา จำนวน 50,000 คน ขณะนี้มีตำแหน่งงานว่างรองรับแล้ว 631 ตำแหน่ง 23,609 อัตรา อาทิ ตำแหน่ง พนักงานทั่วไป พนักงานบริการลูกค้า พนักงานฝ่ายผลิต สถานพนักงานประจำร้าน พนักงานจัดเรียงสินค้า เป็นต้น สถานประกอบการ 1,029 แห่ง งาน“ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน ประจำปี 2562” ในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2561 โดยได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน/นักศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียน “ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน” ระหว่าง กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสถานประกอบการ 21 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท เมเจอร์ซีนิเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด (บาร์บิคิว พลาซ่า) บริษัท บางจากกรีนเนท จำกัด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย ยามาซากิ จำกัด บริษัท ฟูจิ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เมซโซ่ จำกัดบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) บริษัท แมคไทย จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด (ซานตาเฟ้) บริษัท กาโตว์ เฮ้าส์ จำกัด บริษัท บิซิเนสเซอร์วิสเซสอัลไลแอนซ์ จำกัด (อเมซอน คาเฟ่) และบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวอีกว่า สำหรับอัตราค่าจ้างที่นักเรียน/นักศึกษาจะได้รับไม่ต่ำกว่าชั่วโมงละ 40 บาท ระยะเวลาทำงานคือ 1) เปิดภาคเรียนปกติ : วันเรียนปกติ ไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง วันหยุดเรียน วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ไม่เกินวันละ 6 ชั่วโมง 2) ปิดภาคเรียน : ไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง 3) สัปดาห์ละไม่เกิน 36 ชั่วโมง สำหรับในส่วนของการดูแลปฏิบัติงานนั้น จะมีการจัดหาพี่เลี้ยงในการสอนและมอบหมายงาน รวมทั้งเสริมสร้างวินัยให้แก่นักเรียน นักศึกษา และในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยระหว่างทำงาน นายจ้างยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ขณะที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจะจัดส่งนักเรียน นักศึกษา ฝึกอบรมความรู้เบื้องต้น เช่น การทำงานเป็นทีม มีจิตบริการ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น พร้อมทั้งปฐมนิเทศก่อนส่งตัวเข้าทำงานระหว่างวันที่ 1–8 มี.ค. 2562

ทั้งนี้นักเรียน นักศึกษาสามารถสมัครได้หลายช่องทางคือ 1. ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) ที่อาคาร 3 ชั้น ด้านหน้ากระทรวงแรงงาน เขตดินแดง กรุงเทพฯ , สำนักงานจัดหางานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10, สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด 2. สถานประกอบการที่รับนักเรียน นักศึกษาเข้าทำงาน 3. เว็ปไซต์ : www.smartjob.doe.go.th 4. สายด่วน 1506 สมัครตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2562 เป็นต้นไป

“โครงการ“ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน ประจำปี 2562” จะส่งผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งผู้ปกครองว่าบุตรหลานได้ฝึกการทำงาน ไม่ไปเล่นเกมส์ หรือเที่ยวแหล่งอบายมุขช่วงปิดภาคเรียน ขณะเดียวกันสถานประกอบการก็จะไม่ขาดแคลนแรงงาน และได้ทำประโยชน์ต่อสังคม ขณะที่นักเรียน นักศึกษาก็ได้ฝึกความอดทน ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ เห็นคุณค่าของเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เรียนรู้โลกแห่งการทำงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานจริง สอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506” รมว.แรงงาน กล่าว

ที่มา: สยามรัฐ, 28/1/2562

ชื่นชมพนักงานสนามบินหญิง หลังถูกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตบแต่ไม่ตอบโต้

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่าได้รับรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ขอสงวนสัญชาติ) รายหนึ่งได้ทำร้ายร่างกายพนักงานจุดตรวจค้นสัมภาระขณะที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงโดยเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 26มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า พนักงานได้ปฎิบัติหน้าที่ตามที่ถูกฝึกอบรมมาเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยขององค์การบินระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แต่กลับถูกนักท่องเที่ยวสาวรายนี้ไม่ยอมให้ตรวจและทำร้ายร่างกาย ซึ่งหลังเกิดเหตุทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ต้องขอชื่อชมพนักงานสาวรายนี้ที่มีความอดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ที่ผ่านมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเองได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการให้บริการและอบรมพนักงานให้มีความอดทนอดกลั้นต่อทุกสภาพอารมณ์ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน จากกรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าพนักงานคนดังกล่าวถึงแม้จะถูกกระทำแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรและไม่ติดใจเอาความ เนื่องจากเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกรงว่าอาจส่งผลกระทบภาพรวมของการให้บริการภายในสนามบินได้

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 28/1/2562



แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.