นานาทัศนะกรณีปฏิบัติการไล่จับ 'พระธัมมชโย'
Posted: 21 Feb 2017 12:41 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ท่ามกลางข้อมูลอัพเดตปฏิบัติ การตรวจค้นวัดพระธรรมกาย จนวันนี้ล่วงเข้าวันที่ 6 แล้ว "ประชาไท" ชวนอ่านทัศนะต่อปฏิบัติการครั้ งนี้ จาก พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ, วิจักขณ์ พานิช และ สุรพศ ทวีศักดิ์ เหตุการณ์นี้สะท้อนอะไร รวมถึงข้อเสนอต่อปฏิบัติ การในระยะสั้นและยาว
เตือนดำเนินการเฉพาะคดีพระธั มมชโย อย่าเบี่ยงประเด็นอื่น
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ
ถ้าจะให้พูดอย่างซีเรียสจริงจริ ง ในการจัดการกับวัดพระธรรมกาย รัฐจะต้องมีความเป็นกลางในเรื่ องของลัทธิความเชื่อทางศาสนาให้ ได้เสียก่อน คือ คนที่ใช้อำนาจรัฐ จะต้องสำเนียกว่า ตัวเองไม่มีอำนาจหน้าที่ ในการเข้าไปก้าวก่ายหรือตัดสิ นชี้นำในเรื่องลัทธิความเชื่ อของพลเมือง ซึ่งเป็นสิ่งอันรัฐธรรมนูญให้ การคุ้มครองไว้
ถ้าตราบใด คนของรัฐเอง อย่างหัวหน้ารัฐบาลในตอนนี้ ยังคงออกมาให้ความเห็น พูดถึงเรื่องของลัทธิความเชื่ อว่าสำนักนี้เป็นแบบนั้น สำนักนั้น เป็นแบบนี้ รัฐจะไม่มีทางเป็นกลางหรือแก้ ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับวั ดพระธรรมกายได้เลย เพราะมันส่อให้เห็นได้ชัดว่า รัฐหรือผู้มีอำนาจมีความอคติชิ งชังต่อองค์กรทางศาสนานั้นนั้น เป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว ทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็ไม่ได้ เป็นไปเพื่อการรักษานิติรัฐอย่ างที่กล่าวอ้างเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของการจัดการกั บกลุ่มคนซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่ อความเชื่อของตน นี่เป็นเรื่องที่ต้องระวัง
คือจะดำเนินคดีกับพระธัมมชโยก็ ทำไป ดำเนินการเฉพาะในส่วนที่เกี่ ยวข้องกับการกระทำความผิดส่วนตั วของบุคคลที่เป็นผู้ต้องหา โดยที่ต้องไม่พยายามเบี่ ยงประเด็นหรือมุ่งเป้าไปในส่ วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง อันนี้ควรเป็นท่าทีและความชั ดเจนในการทำงานของรัฐแต่เบื้ องต้น และในการดำเนินการนั้น อะไรที่ผ่อนปรนได้ หากไม่เป็นการขัดขวางการทำงาน หรือทำให้การปฏิบัติหน้าที่ล้ มเหลว ก็ควรจะผ่อนปรน โดยเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยเป็ นสำคัญ
คือจะดำเนินคดีกับพระธัมมชโยก็
อนึ่ง อาตมาอยากจะบอกว่า การขนเจ้าหน้าที่จำนวนมากมาก ไปปิดล้อมวัด โดยที่ไม่ยอมดำเนินการใดใดเลย เมื่อผ่านไปหลายวันเข้า ย่อมสร้างความลำบากเดือดร้อนให้ กับคนจำนวนมาก ทั้งชาวบ้านที่อยู่รอบวัด ซึ่งต้องสัญจรไปมา ทั้งพระเณรภายในวัดด้วย ก็ได้ยาก หากมีกิจที่ต้องเข้าออก อันนี้คนที่มีอำนาจควรจะพิจารณา
การจับกุมตัวพระธัมมชโยนั้น แม้ว่าจะกระทำไม่ได้ในทันที ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ความล้มเหลวของระบบนิติ รัฐอย่างที่คนมีอำนาจเป็นห่วง เพราะสังคมย่อมทราบดีว่า ภายใต้ความล้มเหลวนั้น มีเงื่อนไขและเหตุปัจจัยอะไรบ้ าง ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ สามารถปฏิบัติงานได้
ถึงต่อตัวของพระธัมมชโยเอง การหนีความผิด ดั่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นความสุขสบาย หรือการอยู่เหนือกฎหมายก็หาไม่ การมีตัวตนอยู่ โดยที่ต้องทำเหมือนไม่มีตัวตน นี่ก็เป็ นผลของการทำงานของกฎหมายอย่ างหนึ่งแล้ว
ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีความสุขุมคัมภีรภาพมากกว่านี้ โดยเห็นแก่ผลกระทบที่ จะตามมาจากการใช้อำนาจอย่างเกิ นขอบเขต มากกว่าการต้องจับกุมตัวพระธั มมชโยให้ได้ หรือควบคุมเครือข่ายของวั ดพระธรรมกายทั้งหมด ท่านย่อมจะมีอุปายโกศล ในการหาช่องทางที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ดีกว่ าการขนคนจำนวนมากไปปิดล้อมวัด โดยที่ไม่ยอมกระทำการใดใดเลย แล้วส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง
เรียกร้องตรวจสอบเสมอหน้า ระยะยาวแยกศาสนาจากรัฐ
วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านปรั ชญาศาสนา
จริงๆ เรื่องคดีฟอกเงิน รับของโจร นี่น่าสนใจนะครับ ถ้าตั้งสติดีๆ และมองว่าเป็นปัญหาร่ วมในวงการสงฆ์มานมนาน ทุกวัดมีปัญหาหมด จะทำอย่างไรให้เงินที่ไหลเวี ยนเข้าออกวัดตรวจสอบได้และโปร่ งใสมากกว่านี้ เงินบริจาคเกินเท่าไหร่ ต้อง declare ที่มา วัดต้องมีรูปแบบองค์กรอย่างไร บริหารจัดการอย่างไร สัมพันธ์กับรัฐอย่างไร แหล่งรวมศรัทธาจึงจะไม่กลายเป็ นมุมมืดที่ง่ายต่อการทุจริตคอร์ รัปชั่น
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับธรรมกายมั นสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้ างของสถาบันสงฆ์ทั้งหมด ตอนนี้ปัญหามีอยู่ในทุกวัด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะถูกเล่นเท่ านั้น ใครจะขึ้นมามีอำนาจ ใครจะอยู่เป็นและประสานประโยชน์ กับผู้มีอำนาจได้... การเมืองที่ครอบงำศาสนาพุ ทธแบบนี้ทำให้การอ้างเรื่อง "ความถูกต้องทางศาสนา" มีลักษณะสองมาตรฐานอยู่ตลอดเวลา บอกว่าธรรมกายทำผิดกฎหมาย อ่าว แล้วพุทธะอิสระล่ะทำไมทำอะไรก็ ไม่ผิด? แล้วพระในองค์กรคณะสงฆ์ล่ะทำไม DSI ไม่จัดการบ้าง? ทำไมทรัพย์สินและที่ดินของสำนั กอื่นล่ะถึงไม่ถูกตรวจสอบบ้าง?
ถ้ามองเห็นว่าปัญหาของศาสนาพุ ทธไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แล้วมีความจริงใจในการแก้ปัญหา ก็ควรมองไปที่การแก้ไขอย่างเป็ นมาตรฐานเดียวกับทุกวัด ทุกสำนัก ทุกองค์กรทางศาสนา ไม่ใช่แค่ป้ายความเป็นปีศาจให้ หนึ่งสำนัก กำจัดมันให้ได้ แล้วตัวเองก็ดูบริสุทธิ์ขึ้ นมาทันที...
สำคัญคือการตระหนักว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากการที่รัฐเข้ ามาก้าวก่ายเรื่องศาสนาและใช้ ศาสนาเป็นเครื่องมือของรัฐ การแยกศาสนาออกจากรัฐ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระยะยาว ให้แต่ละศาสนา แต่ละความเชื่อ แต่ละสำนัก ได้ดูแลจัดการกันเองบนพื้ นฐานของความแตกต่าง ส่วนรัฐก็มีระยะห่างและสร้ างมาตรฐานเดียวในการสัมพันธ์กั บทุกองค์กรทางศาสนาไม่ว่าจะเป็ นในแง่ของการสนับสนุนเสรี ภาพในการนับถือศาสนา ปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือการตรวจสอบทางการเงิน
การส่งเสริ มบรรยากาศของการเคารพกันและกั นทั้งทางศาสนาและทางการเมือง น่าจะดีกว่าแนวทางที่รัฐเผด็ จการปฏิบัติต่อประชาชนอยู่ ในเวลานี้นะครับ
3 ปัญหาพื้นฐานเรื่องการวิจารณ์- โจมตี กับอำนาจรัฐประหาร
สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา
ผมเคารพความเชื่อทางศาสนา และการวิพากษ์วิจารณ์ เปิดโปง โจมตีนักการเมือง และธรรมกายของคนแบบพุทธะอิสระ นายไพบูลย์ นิติตะวัน และอาจารย์มโน เลาหวนิช แต่การกระทำของพวกเขาได้ก่อให้ เกิดปัญหาพื้นฐานสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1.คุณไม่แฟร์กับคนอื่น เพราะคุณวิจารณ์ เปิดโปง โจมตีความเชื่อทางศาสนาของคนอื่ น หรือการทุจริตของคนอื่นๆ พร้อมกับเรียกร้องให้ใช้รั ฐประหารและอำนาจรัฐบาลที่ มาจากรัฐประหารจัดการกับคนอื่น
2.ต่อให้กลุ่มศาสนา กลุ่มการเมือง หรือบุคคลทางศาสนา บุคคลทางการเมืองที่คุณกล่ าวหาได้ทำผิดจริง และการกระทำของคุณอาจอ้างได้ว่ ามีประโยชน์ต่อสังคม เพราะสามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ แต่ประโยชน์ต่อสังคมดังกล่าวก็ เทียบไม่ได้กับความเสี ยหายจากการล้มระบบ ปชต.และล้มหลักนิติรัฐของสังคม
3.การวิจารณ์ เปิดโปง โจมตีคนอื่นพร้อมๆ กับสนับสนุนเรียกร้องให้อำนาจรั ฐประหารจัดการกับคนอื่น ย่อมไม่ใช่การใช้เสรี ภาพในการแสดงออกตามหลักปชต. และสิทธิมนุษยชน แต่เป็นการสนับสนุนการทำลายเสรี ภาพดังกล่าวโดยตรง ทำให้คุณเองหรือใครๆ ก็ไม่มีเสรีภาพวิจารณ์ ตรวจสอบอำนาจที่คุณเรียกร้องให้ จัดการกับคนอื่นได้ เท่ากับคุณกำลังสนับสนุ นการดำรงอยู่ของอำนาจที่ ทำลายหลักสิทธิเสรี ภาพของประชาชนทุกคน พูดง่ายๆ คือกำลังสร้างบรรทัดฐานที่มุ่ งตรวจสอบเอาผิดคนอื่นฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะมองด้วยหลักการศาสนา หลักการทางการเมืองที่มีความเป็ นอารยะ การกระทำดังกล่าวมันย่อมไม่มี ความถูกต้องชอบธรรม
แสดงความคิดเห็น