'ธนาคารโลก' ชี้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าช่ วยเพิ่มกำลังซื้อ ขยายเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา
Posted: 18 Feb 2017 10:01 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ธนาคารโลกเผยการสร้างหลักประกั นสุขภาพถ้วนหน้าโดยภาครัฐ เพิ่มกำลังบริโภคของประชากร โดยเฉพาะกลุ่มประชากรรายได้น้อย ทำให้เกิดการขยายเศรษฐกิจประเทศ ยกต้นแบบ “ไทย” ประเทศเดียวในอาเซียนที่ใช้หลั กประกันสุขภาพถ้วนหน้าในช่ วงทศวรรษที่ผ่านมา ขยายเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่รายงานองค์การอนามัยโลก ระบุหลังไทยเดินหน้าหลักประกั นสุขภาพถ้วนหน้า ช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาลโรคค่ าใช้จ่ายสูงจาก 6.8 ปี 2539 เหลือ 2.8 ในปี 2551
19 ก.พ. 2560 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกั นสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่านักวิ ชาการจากธนาคารโลกได้ เคยออกบทความเรื่อง “ความมั่นคงด้านสุขภาพ: มุมมองใหม่ของรายจ่ายด้านสุขภาพ ที่ใช้เป็นกลไกชี้วัดการเจริ ญเติบโตของประเทศพัฒนาที่เกิ ดใหม่” (Health Is Wealth: Health Care Spending As An Emerging Market Growth Engine) เมื่อปี 2556 ระบุถึงวิธีกระตุ้นการบริ โภคภายในประเทศกำลังพัฒนาที่มี ประสิทธิผลและประสิทธิ ภาพมากประการหนึ่งคือ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้ วนหน้าให้กับประชาชน โดยได้ยกตัวอย่างความสำเร็ จของประเทศไทยที่รัฐบาลรั บภาระรายจ่ายด้านบริการสุ ขภาพแทนประชาชนผ่านโครงการหลั กประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ประชาชนลดความกังวลของค่ าใช้จ่ายด้านสุขภาพยามเจ็บป่ วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้เกิดความมั่นใจในการบริ โภคสินค้าจำเป็นอื่นๆ
ทั้งนี้ประเทศที่ไม่มีระบบหลั กประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ส่วนใหญ่ประชาชนมีรายได้จำกัด แต่มีภาระรายจ่ายที่จำเป็นค่ อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าการศึกษาของเด็ก ค่ารักษาพยาบาล การเลี้ยงดูครอบครัว และเงินออมยามฉุกเฉิน เป็นต้น รายได้ส่วนใหญ่จึงถูกออมไว้รั กษาตัวยามเจ็บป่วย การใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนอื่ นของครัวเรือนจึงถูกจำกัดอิ สระลง
ดังนั้นหากครัวเรื อนสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายที่ จำเป็นเหล่านี้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล โดยรัฐบาลรับผิดชอบดูแลผ่ านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้มีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้จ่ ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการอื่ นๆ เพิ่มเติมได้ ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตั วของการใช้จ่ายเพื่อการบริ โภคโดยรวม เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มครั วเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้ ประโยชน์จากนโยบายหลักประกันสุ ขภาพถ้วนหน้า
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า บทความนี้ยังได้ระบุถึงการสร้ างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ าของประเทศไทยที่เริ่มต้นในปี 2545 ข้อมูลจากธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย พบว่าสัดส่วนของรายจ่ายในสินค้ าพื้นฐานจำเป็นต่อการดำรงชีวิ ตของครอบครัวชาวนาไทยในครอบครั วที่มีผู้ป่วยด้วยโรคที่มีค่ าใช้จ่ายสูงกับครอบครัวที่ไม่มี ผู้ป่วยฯ นั้นไม่แตกต่างกัน เนื่องจากได้รับการดูแลเรื่องค่ ารักษาพยาบาลจากรัฐบาลแล้ว ขณะที่การศึกษาโดยองค์การอนามั ยโลกยังพบว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ าของไทย ทำให้ค่ารักษาพยาบาลโรคค่าใช้จ่ ายสูงลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 ในปี 2551 สอดคล้องกับข้อมูลระดับการบริ โภคในกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้ อยที่มีสัดส่วนการบริ โภคโดยรวมของประเทศที่สูงมากขึ้ น พร้อมกันนี้ผู้เขียนบทความนี้ยั งเห็นว่าการดำเนินระบบหลักประกั นสุขภาพถ้วนหน้ าของไทยสามารถดำเนินการได้อย่ างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงระดับอัตราค่าใช้จ่ายด้ านสุขภาพของภาครัฐต่อผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ไม่สูงเกินไป
“บทความนี้ได้สรุปในตอนท้ายว่า ไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิ ภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการมี ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ระดับการบริโภคของผู้บริ โภคที่มีรายได้น้อยมีสัดส่ วนโดยรวมเพิ่มสูงมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าในกลุ่ มประเทศกำลังพัฒนานั้น รายจ่ายด้านสุขภาพภาครัฐเป็นปั จจัยที่มีความสำคัญมากต่ อการขยายตัวการบริ โภคภายในประเทศ โดยประเทศที่มีรายจ่ายด้านสุ ขภาพของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นย่ อมมีโอกาสประสบความสำเร็ จในการขยายตัวของการบริ โภคมากกว่า ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตั วทางเศรษฐที่ยั่งยืนต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
แสดงความคิดเห็น