นโยบาย 'ทวงคืนผืนป่า' ส่งผลให้สิทธิมนุ ษยชนของประชาชนลดลง
Posted: 19 Feb 2017 07:07 AM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ผู้ผลิตรายการ backpack jounalist ลงพื้นที่ชุมชนของสมาชิก คปอ.ในจังหวัดชัยภูมิ และหล่มสัก เพื่อเยี่ยมเยือน ศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่ได้รับปัญหาผลกระทบเรื่องที่ ดินทำกิน โดยเฉพาะผลกระทบล่าสุ ดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า
ช่วงระหว่างวันที่ 15 - 17 ก.พ.2560 นักเดินทางอิสระจากรายการ backpack jounalist เดินทางลงพื้นที่ชุมชนของสมาชิ กเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)เพื่อเยี่ยมเยือน ศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่ได้รับปัญหาผลกระทบเรื่องที่ ดินทำกิน โดยเฉพาะผลกระทบล่าสุ ดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า
ช่วงวันดังกล่าว นักเดินทางอิสระจากรายการ backpack jounalist ลงพื้นที่ 3 ชุมชน ในจังหวัดชัยภูมิ และอีก 1 ชุมชน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ดังนี้
วันที่ 15 ก.พ.2560 ลงพื้นที่ชุมชนโคกยาว และชุมชนบ่อแก้ว อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
ชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จัดตั้งเป็นชุมชนขึ้นมาในวันที่ 17 ก.ค.2552 โดยชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้บุ กเข้ามายึดที่ดินทำกินเดิมกลั บคืนมา หลังจากที่ถูกองค์การอุ ตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้สัมปทานปลูกป่าเมื่อปี 2521 โดยการนำต้นยูคาลิปตัสเข้ามาปลู กทับที่ดินทำกินชาวบ้าน ส่งผลให้ผู้ได้รับความเดือดร้อน เข้ายื่นหนังสือ และเรียกร้อง ผลักดันให้มีการแก้ไขปั ญหาในระดับนโยบายมาหลายครั้ง เพื่อให้ยกเลิกสวนป่ายูคาฯ และนำที่ดินทำกินคืนให้กับผู้ เดือดร้อน เมื่อมีมติที่ประชุมให้ยกเลิ กดังกล่าว แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้รั บการตอบสนอง จนกระทั่งชาวบ้านผู้เดือดร้ อนพร้อมใจกันกลับเข้ามายึดที่ดิ นทำกินคืนมาในวันที่ 17 ก.ค.2552 แต่ผลของการต่อสู้เพื่อความถู กต้อง กลับถูกแจ้งความดำเนินคดีรวมทั้ งสิ้น 31 ราย
ขณะเดียวกันหลังจากที่ยึดที่ ทำกินเดิมกลับมาได้ ชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องให้ ภาครัฐดำเนินแนวทางแก้ไขปั ญหาให้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม มาโดยตลอด ต่อมาในวันที่ 26 ส.ค.2557 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ามาในชุ มชนบ่อแก้ว โดยนำแผ่นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ปิ ดประกาศคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 64/2557 ให้ชุมชนอพยพ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกจากพื้นที่
เช่นเดียวกันกับที่ชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ามาในวั นที่ 25 ส.ค.2557 โดยนำแผ่นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ปิ ดประกาศคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 64/2557 ให้ชุมชนอพยพ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ทั้งสองชุมชน ต่างร่วมกันเดินทางเข้ายื่นหนั งสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ทบทวนพิจารณายกเลิ กประกาศจังหวัดชัยภูมิ ในคำสั่งที่จะขับไล่ชาวบ้ านออกจากพื้นที่ กระทั่งได้มีการประชุมหารือร่ วมกันระหว่างฝ่ายนโยบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนขบวนการประชาชนเพื่อสั งคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 โดยมีมติที่ประชุมให้ ชะลอการดำเนินการใดๆ ที่อาจเป็นมูลเหตุให้เกิดความขั ดแย้งจนกว่ากระบวนการพิจารณาแก้ ไขปัญหาจะมีผลเป็นที่ยุติต่อไป
แต่ในชุมชนโคกยาว ยังได้รับปัญหาความเดือดร้ อนตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น วันที่ 1 ต.ค.2557 เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่ าที่ ชย.4 (คอนสาร) นำแผ่นป้าย "ยุทธการทวงคืนผืนป่า ตามประกาศจังหวัดชัยภูมิ เรื่องการป้องกันและลักลอบตั ดไม้และบุกรุกพื้นที่ป่าชัยภูมิ พื้นที่โคกยาว เนื้อที่ 80 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผั กหนาม” เข้ามาปิดประกาศในชุมชน และวันที่ 8 ต.ค. 2557 นายอำเภอคอนสาร ได้ประชุมวางแผนขอทวงคืนผืนป่ าสงวนแห่งชาติภูมิซำผักหนาม ในที่ประชุมมีมติให้ชุมชนโคกยาว รื้อถอนเองภายใน 19 วัน หากไม่ดำเนินตาม จะเข้ามาดำเนินการรื้อถอนเอง
ต่อมาวันที่ 6 ก.พ. 2558 เจ้าหน้าที่สนธิกองกำลังทหาร ตำรวจ ป่าไม้ เข้ามาปิดป้ายหนังสือประกาศ โดยคำสั่งที่ ทส.1621.4/2404 ให้รื้อถอนสิ่งปลุกสร้าง พืชผลอาสินทั้งหมดออกจากป่ าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ซึ่งชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้ องให้มีการแก้ไขปั ญหาทางนโยบายกับภาครัฐมาโดยตลอด กระทั่งวันที่ 16 เม.ย.2559 แกนนำชาวบ้าน คือนายเด่น คำแหล้ (ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว) หายตัวไปในบริเวณสวนป่าโคกยาว
ชุมชนโคกยาวได้รับผลกระทบมานั บแต่ช่วงรัฐได้เข้ามาดำเนิ นโครงการหมู่บ้านรักษ์ป่า ประชารักษ์สัตว์ นับแต่ช่วงปี 2528 และได้ดำเนินการจะปลูกป่า โดยการนำต้นยูคาลิปตัสเข้ามาปลู กทับที่ทำกินชาวบ้าน ให้ชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่ กลายเป็นคนไร้ที่ทำกิน ชาวบ้านจึงได้ต่อสู้เรียกร้อง กระทั่งวันที่ 5 มิถุนายน 2551 ได้มีการประชุมคณะทำงานแก้ไขปั ญหาความเดือดร้อน ณ ห้องประชุมอำเภอคอนสาร ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการแก้ ไขปัญหา โดยมีมติให้ชาวบ้านเข้าทำกินได้ ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่ าจะได้ข้อยุติ ขณะที่ชาวบ้านเข้ามาทำกินอย่ างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 1 ก.ค.2554 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ามาล้ อมจับชาวบ้านโคกยาว และดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่า จำนวน 10 ราย
วันที่ 16 ก.พ.2560 ลงพื้นที่ชุมชนหินรู ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ
ชุมชนหินรู เป็นอีกหนึ่งในจำนวน 5 ชุมชน ที่ถูกประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ไทรทองทับที่ดินทำกิน ในพื้นที่ ต.ห้วยแย้ ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ มานับแต่ปี 2535 ต่อมา ได้รับความเดือดร้อนหนักขึ้ นภายหลังจากรัฐบาลมีนโยบายทวงคื นผืนป่า ตามแผนแม่บทแก้ไขปั ญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา นั้น ได้สร้างผลกระทบต่อชาวบ้านที่ อาศัยทำกินในพื้นที่ โดยมีลักษณะปัญหาที่ได้รั บผลกระทบ เช่น เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้ ามาหาชาวบ้านเป็นรายคน เพื่อให้เซ็นเอกสารยิ นยอมออกจากพื้นที่ โดยใช้วิธีการอ้างว่าชาวบ้ านรายอื่นๆยอมเซ็นกั นไปหลายรายแล้ว ทั้งนี้เมื่อไม่ยินยอมเซ็นจะใช้ วิธีการข่มขู่ จะมีหมายจับ และถูกดำเนินคดี เป็นต้น
นับแต่วันที่ 3 ต.ค.2559 ถึงปัจจุบันนี้ มีชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่อุ ทยานแห่งชาติไทรทอง แจ้งความดำเนินคดี ในฐานข้อหาหรือฐานความผิดบุกรุ กป่า โดยเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.วังตะเฆ่ มีหมายเรียกเข้าไปรับทราบข้อกล่ าวหา รวมแล้ว 15 ราย
และ ในวันที่ 23 ก.พ.2560 ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจะเดิ นทางไปยังสำนักงานอัยการจังหวั ดชัยภูมิ หลังจากเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 ได้เข้าพบเจ้าพนักงานอัยการ ณ สำนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิ และยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ ออัยการเพื่อให้ชะลอการส่งฟ้อง โดยทางสำนักงานอัยการจังหวัดชั ยภูมิ ได้อนุญาตให้เลื่ อนระยะเวลาในการยื่นส่งฟ้ องออกไปเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ที่จะถึงนี้
17 ก.พ.2560 ลงพื้นที่บ้านห้วยกลฑา ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
ผลกระทบจากที่ดินของชาวบ้านห้ วยกลฑา นำมาสู่การถูกดำเนินคดีโลกร้อน โดยเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559 ศาลจังหวัดหล่มสักนัดฟังคำพิ พากษา“ คดีโลกร้อน” ในคดีความเเพ่ง ระหว่าง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าเสี ยหายทางเเพ่งกับนางมณีรัตน์ คำเบ้า กับพวกรวม 16 คน ตกเป็นจำเลย ทั้งนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ ค่าเสียหายไร่ละ 20,000 บาท ในจำนวนกว่า 9 ไร่
คดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อประมาณต้นเดื อนสิงหาคม 2548 ได้มีการยื่นฟ้องคดีอาญา ในข้อหาหรือฐานความผิดพระราชบั ญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 กับ ชาวบ้านห้วยกลทา หมู่ที่ 6 ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ จำนวน 11 ราย ต่อศาลจังหวัดหล่มสัก ในคดีหมายเลขดำที่ 831/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 349/2550 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดหล่มสัก โจทก์ นางมณีรัตน์ คำเบ้า ที่ 1 กับพวกรวม 11 คน จำเลย
ต่อมาได้แยกฟ้องจำเลย 2 คน ซึ่งเป็นเยาวชนต่อศาลจังหวั ดเพชรบูรณ์แผนกคดี เยาวชนและครอบครัว ในคดีหมายเลขดำที่ 340/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 89/2550 คือนางสาวมะลิ คำหมู่ กับพวกรวม 2 คน ในข้อหาหรือฐานความผิดพระราชบั ญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 โดยทั้ง 2 คดีมีพฤติการณ์ในคดีเป็ นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ จำเลยที่ถูกฟ้องคดีทั้งหมดได้ เข้าไปรับจ้างหักข้าวโพดในเขตรั กษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาเเดง ในพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ 46 ตารางวา และคดีถึงที่สุดแล้ว
ต่อมา ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯได้ยื่ นเป็นโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งอี กครั้งต่อศาลหล่มสัก กับนางมณีรัตน์ คำเบ้า กับพวกอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ยื่นฟ้องผู้ แทนโดยชอบธรรมของจำเลยซึ่งเป็ นเยาวชนทั้งสองเป็นคดีนี้รวมเข้ าไปในคดีนี้ด้วยอีก 3 ราย รวมเป็นจำเลยในคดีนี้ทั้งหมด 16 คน โดยอาศัยข้อหาหรือฐานความผิ ดอาญา บุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครอง อันเป็นการทำลายป่าเเละเป็นอั นตรายต่อสัตว์ป่าเพื่อให้รับผิ ดทางแพ่งในมูลละเมิดด้วย ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตาม มาตรา 97 เเห่งพระราชบัญญัติส่งเสริ มเเละรักษาคุณภาพสิ่งเเวดล้อม พ.ศ. 2535 เพื่อฟ้องเรียกมูลค่าความเสี ยหายเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้นรวม 470,978.79 บาท โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายสื บพยานเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลจังหวัดหล่มสักนัดฟังคำพิ พากษา เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559 ที่กล่าวมาแล้วนั้น และผู้ถูกดำเนินคดีได้ทำการยื่ นอุทรณ์
ทั้งนี้ ชาวบ้านห้วยกลฑา ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนในที่ ดินทำกิน หลังจากถูกประกาศเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าภูผาแดง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542 โดยได้มีการประกาศให้ชาวบ้ านออกจากพื้นที่ และใช้กำลังเข้ามาข่มขู่ จับกุมชาวบ้าน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการถื อครองทำประโยชน์ในสิทธิที่ดิ นทำกิน ที่อยู่อาศัย และการใช้ประโยชน์จากทรั พยากรในพื้นที่ป่าไม้ กระทั่งช่วงปี 2548 ชาวบ้านถูกดำเนินคดีหลังจากเข้ าไปหักข้าวโพดในที่ดินของตัวเอง
ปัจจุบันชาวบ้านบอกว่ายังได้รั บผลกระทบจากการทำมาหากินในเขตรั กษาพันธ์สัตว์ป่า มาโดยตลอด โดยมีลักษณะที่เจ้าหน้าที่เข้ ามาข่มขู่ เช่น ห้ามไม่ให้เข้าไปหาเก็บเห็ด หน่อไม้ ผักหวาน ในเขตป่า รวมทั้งห้ามนำไปวางขายตามริมทาง หากพบเห็น จะเข้ามาจับกุมดำเนินคดี เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าจากการลงพื้นที่จาก 4 ชุมชน ในจำนวนทั้งหมด 25 ชุมชน ของสมาชิกเครือข่าย คปอ. แต่ละพื้นที่ต่างได้รับปั ญหาผลกระทบที่แตกต่างกั นออกไปตามแต่ละสถานที่ที่เจ้ าหน้าที่ใช้วิธีต่ างๆในความพยายามที่จะผลักดั นในชาวบ้านออกจากพื้นที่ แต่สิ่งหนึ่งนอกจากปัญหา ผลกระทบ ความเดือดร้อน ที่ชาวบ้านต่างประสบซะตากรรมที่ ไม่ต่างกันเลย คือ การทวงคืนผืนป่า ส่งผลให้สิทธิของชาวบ้านลดลง
นโยบายทวงคืนผืนป่าอย่างเด็ ดขาดและเข้มข้น ที่เกิดขึ้นในหลายๆพื้นที่ทั่ วประเทศ ทำให้ชาวบ้านหลายๆชุมชนเกิ ดความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน สิทธิที่ชาวบ้านเรียกร้องกลั บไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาที่ถู กต้องและเป็นธรรม ทั้งยังมีการดำเนินการออกคำสั่ งปิดประกาศขับไล่ให้ชาวบ้ านออกจากพื้นที่มาอย่างต่อเนื่ อง ตามมาด้วยการแจ้งความดำเนินคดี กับชาวบ้านผู้ที่ต่อสู้และเรี ยกร้องความเป็นธรรม แม้แต่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่นำเสนอข่าวต่างถู กดำเนินคดีตามไปด้วย
เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐมีนโยบายทวงผืนป่า แต่กลับส่งผลให้สิทธิมนุ ษยชนของประชาชนลดลง
แสดงความคิดเห็น