Posted: 19 Oct 2017 10:10 PM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท www.prachatai.com)

ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เผยคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นอุทธรณ์ในคดีโครงการเขื่อนปากแบง ในประเทศลาว กรณีหน่วยงานรัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย


ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ภาพจาก:iLaw

20 ต.ค. 2560 ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่า คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นอุทธรณ์ในคดีโครงการเขื่อนปากแบง ในประเทศลาวที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงราย ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยผู้ฟ้องคดี คือ กลุ่มรักษ์เชียงของ โดยนิวัฒน์ ร้อยแก้ว จีรศักดิ์ อินทะยศ และพิศณุกรณ์ ดีแก้ว รวม 4 ราย และผู้ถูกฟ้องคดี คือ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

ส.รัตนมณีกล่าวว่าในคำอุทธรณ์ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 เป็นประชาชนที่มีภูมิลำเนาและประกอบอาชีพอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากแบงมากที่สุด เนื่องจากอยู่ห่างจากโครงการเพียงประมาณ 97 กิโลเมตร และยังมีจังหวัดที่ติดริมน้ำโขงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวอีก 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยที่แม่น้ำโขงมีระบบนิเวศน์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่สมบูรณ์ และเป็นสินทรัพย์ธรรมชาติที่มูลค่ามหาศาลต่อประเทศที่ติดลำน้ำโขงทุกประเทศ

ทนายความกล่าวว่า การมีอยู่ของแม่น้ำโขงก่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และมาตรฐานการครองชีพของประชาชน หากมีการก่อสร้างโครงการเขื่อนปากแบงขึ้นบนแม่น้ำโขงย่อมทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ได้รับความเดือดร้อนหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเฉพาะในส่วนที่ได้มีการจัดการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่ครอบคลุม ครบถ้วน และไม่ได้สัดส่วน ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม จึงเป็นการกระทำที่ถือได้ว่า ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงทั้ง 8 จังหวัด รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ด้วย

ส. รัตนมณี กล่าวต่อว่า อีกทั้ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 56 มาตรา 57 มาตรา 58 และตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 58 และมาตรา 59 ได้บัญญัติไว้ในทำนองเดียวกันว่า การกระทำทางปกครองต่างๆ ที่จะมีผลหรืออาจจะมีผลต่อประชาชน หรือมีผลกระทบกระเทือนต่อประชาชน รัฐต้องดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น จะต้องจัดให้ข้อมูลแก่ประชาชน และจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารได้ แต่ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้ดำเนินการใดๆ แม้แต่น้อย ทั้งที่ผ่านมาผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ได้ดำเนินการส่งหนังสือร้องเรียนคัดค้านโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด แต่กลับนิ่งเฉยไม่ได้รับความสนใจและไม่ได้รับคำตอบจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 แต่อย่างใด และในทุกครั้งที่มีการจัดเวทีของกรมทรัพยากรน้ำปรากฏว่า ในทุกเวทีข้อมูลที่ให้ก็ไม่เพียงพอ และได้มีการขอให้มีการบันทึกไว้ทุกครั้ง โดยได้มีการกล่าวถึงผลกระทบทั้งหมด และในทุกเวทีก็ยังมีการยืนยันให้มีการศึกษาก่อนที่จะอนุมัติโครงการ

ส.รัตนมณี กล่าวว่าคณะทำงานเชื่อว่าศาลปกครองสูงสุดจะให้ความเป็นธรรมและให้ความคุ้มครองผลกระทบข้ามพรมแดน เช่นเดียวกับการที่มีคำสั่งรับฟ้องคดีโครงการเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงเช่นกัน คดีนี้เป็นคดีที่มีลักษณะของการขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจนในการคุมครองปกป้องแม่น้ำโขง

“เราเพียงขอให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่ หลังจากเราพบว่าเขาไม่ทำหน้าที่มานานาแล้ว คดีเขื่อนปากแบงเป็นตัวอย่างที่หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องแม่นำโขงซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและประชาชนไทย ไม่ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ เช่น การจัดการรับฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึง หรือการไม่ออกกฎระเบียบปฏฺิบัติที่ทำให้เกิดการรับฟังความคิดเห็นที่เป็นธรรม ที่สำคัญคือ หน่วยงานไม่ได้ให้ความเห็นว่าโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงแห่งนี้จะมีผลกระทบข้ามพรมแดน ทั้งๆที่มีหน้าที่ทักท้วงและคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง ต่อคณะกรรมการแม่น้ำโขง และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจนกว่าจะมีการศึกษาและมาตรการที่มั่นใจได้ว่าโครงการจะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในประเทศไทย เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของคนในชาติ” หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายกล่าว

อนึ่งโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Bang Dam) เป็นโครงการเขื่อนพลังน้ำไหลผ่าน (Run Off River) ซึ่งจะก่อสร้างอยู่บนแม่น้ำโขงสายประธาน เมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางภาคเหนือของ สปป.ลาว ห่างไปทางตอนบนของเมืองปากแบง ประมาณ 14 กิโลเมตร ในแม่น้ำโขง ลักษณะของเขื่อนปากแบง ประกอบด้วย เขื่อนคอนกรีต โรงไฟฟ้า ประตู ระบายน้ำ ประตูเรือสัญจร และทางปลา วัตถุประสงค์ คือ ใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า และปรับปรุงการเดือนเรือบริเวณทางตอนบนของเขื่อน และสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อน โดยระดับน้ำบริเวณเขื่อนจะมีความหลากหลายตั้งแต่ 16-27 เมตร ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำในช่วงแต่ฤดู ซึ่งโรงไฟฟ้าจะมีกำลังผลิต 912 เมกกะวัตต์ การส่งออกไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในแต่ฤดูกาล โดยโครงการเป็นของกลุ่มบริษัท ต้าถังโอเวอร์ซีส์ อินเวสต์เม้นต์ (Datang Overseas Investment) ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้าง ในปี 2560 การก่อสร้างจะแล้วเสร็จและจ่ายกระแสไฟฟ้าในปี 2566

ทั้งนี้คณะกรรมมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปลัดกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพยากรน้ำในดิน ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อธิบดีกรมสนธิสัญญาทางกฎหมาย อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมเจ้าท่า อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเป็นกรรมการและเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ มีหน้าที่ดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 และกรอบความร่วมมือกับองค์กรลุ่มน้ำนานานชาติ ให้ความเห็นชอบต่อแผนพัฒนาลุ่มน้ำ ที่สอดคลองกับกลยุทธ์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และ เสนอแนะ แนะแนวทางในกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในลุ่มแม่น้ำโขงของไทย และเสนอวิธีแก้ไขปัญหา หรือข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.