คนพิการยื่นฟ้องศาลปกครอง ระงับคำสั่งคลังเรียกคืนกองทุนคนพิการ 2 พันล้าน

Posted: 31 Jan 2017 01:10 AM PST  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทพร้อมตัวแทนคนพิการหลายองค์กร เข้าร้องศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ พิจารณาระงับ-เพิกถอนคำสั่งคลังเรียกคืนเงิน 2 พันล้านบาทจากกองทุนคนพิการฯ เข้าเป็นรายได้แผ่นดิน

ภาพจากเฟซบุ๊ก Monthian Buntan

31 ม.ค. 2560 ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย มณเฑียร บุญตัน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และชัยรัตน์ แสงอรุณ ทนายความ ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ระงับและเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ระบุให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนำเงิน 2,000 ล้านบาท ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2559 กระทรวงการคลังได้ออกหนังสือที่ 0406.2/ล.2973 เรื่อง การเรียกให้กองทุนฯ นำเงินสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็น ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นผู้จัดตั้งและกำกับดูแลกองทุนฯ นำเงินส่งคลังภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว สมาคมสภาคนพิการฯ จึงได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติซึ่งมี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลังหารือร่วมกับตัวแทนสมาคมสภาคนพิการฯ และองค์กรคนพิการอื่น แต่ผลก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากคนพิการเห็นต่างจากกระทรวงการคลังว่า

1.กองทุนคนพิการไม่ได้มีเงินที่เกินความจำเป็น แต่กลับมีแนวโน้มลดลง ไม่เพียงพอเพื่อใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากคนพิการที่มีจำนวนมากขึ้นทุกปี

2.ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะนำเงินของกองทุนไปจัดบริการให้แก่คนพิการก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

3.นโยบายให้นายจ้างจ้างคนพิการมากขึ้น จะทำให้นายจ้างที่ไม่จ้างคนพิการและต้องส่งเงินเข้ากองทุนแทนมีจำนวนลดน้อยลง เชื่อได้ว่าเงินไหลเข้ากองทุนจะลดน้อยลงกว่าเงินไหลออกจนกองทุนต้องประสบภาวะขาดสภาพคล่องในอนาคต

วิริยะกล่าวว่า เงินกองทุนคนพิการเป็นเงินที่ได้มาจากการจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะกิจ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่มาของเงินส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มาจากนายจ้างที่ไม่ได้รับคนพิการเข้าทำงานตามระบบโควตา และปรารถนาจะส่งเงินเข้ากองทุนแทน รวมทั้งเงินจากการออกสลาก หากมีการใช้อำนาจบังคับให้กองทุนฯ ส่งเงินเข้าคลังจะทำให้เกิดความเสียหายต่อกองทุน และคนพิการทุกประเภททั่วประเทศไทยเพราะกองทุนนี้เป็นทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตั้งแต่การฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา การกู้เงินประกอบอาชีพ และสวัสดิการต่างๆ เช่น ล่ามภาษามือ ผู้ช่วยคนพิการ สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เป็นต้น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีอำนาจ และวิธีการที่จะหาเงินหลากหลายวิธี จึงไม่ควรเอาเงินของคนพิการซึ่งแทบจะไม่พอใช้ในการดำรงชีวิตอย่างมีอิสระไปอุ้มชูคนอื่นทั่วไป เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อหลักการปกครอง จารตีประเพณีศีลธรรม และกติการะหว่างประเทศที่นานาอารยประเทศยอมรับเป็นหลักสากล

มณเฑียรกล่าวว่า เงินส่วนนี้หากเทียบแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเงินกองทุนประกันสังคม ที่ถูกสมทบมาจากหลายฝ่าย และเป็นแหล่งทุนเพียงแหล่งเดียวเท่านั้นที่คนพิการสามารถกู้ยืมได้ จึงอาจนับได้ว่า เป็นหลักประกันเดียวทางความมั่นคงการเงินของคนพิการ ถ้าความมั่นคงของกองทุนนี้ไม่มีแล้ว ก็คงไม่สามารถมั่นใจในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมอีกต่อไป และเสริมว่า ตัวเลขที่บอกว่ามากเกินความจำเป็นนั้นผกผันต่ออัตราการไหลเข้าและไหลออก ปัญหาขณะนี้เกิดจากความไม่คล่องตัวของกองทุนเอง ไม่เกี่ยวกับการที่คนพิการใช้เงินไม่เต็มที่ ดังนั้น ควรจะไปปรับปรุงประสิทธิภาพกองทุนเสียมากกว่า วันนี้จึงมายื่นต่อศาลให้พิจารณาว่า กองทุนอยู่ในข่ายที่่ต้องส่งเงินคืนหรือไม่ สภาคนพิการไม่ได้เห็นว่ามีเงินมากเกินความจำเป็น แต่ปัญหาคือไม่รู้จะนำเงินที่มีนั้นออกมาใช้ได้อย่างไร

วิริยะทิ้งท้ายว่า ทางที่ดีรัฐบาลควรมาร่วมกันคิดหาทางว่า ต่อไปจะเอาเงินส่วนนี้มาทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อคนพิการ ฉะนั้นถ้าเงินเหล่านี้ถูกวางแผนและใช้อย่างเหมาะสม ก็จะมีประโยชน์ในการช่วยสร้างงานให้กับคนพิการอย่างมาก คนพิการที่อยู่ในวัยทำงาน และสามารถประกอบอาชีพได้มีกว่า 4-5 แสนคนที่ยังว่างงานอยู่มีงานทำเพียง 1 แสนกว่าคน ทำไมรัฐบาลจึงไม่เร่งเอาเงินนี้ไปสร้างอาชีพ

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.