นักวิชาการค้าน กม.คุมสื่อ เชื่อสื่อเตะหมูเข้าปากหมาเอง เปิดช่องรัฐเข้าคุม
Posted: 16 Feb 2017 11:44 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
นักวิชาการนิเทศค้านกฎหมายคุมสื่ อ ไม่ว่ารัฐคุมหรือสื่อคุมกันเอง ชี้ไม่จำเป็นต้องออกเป็นกฎหมาย แต่องค์กรวิชาชีพต้องเพิ่มประสิ ทธิภาพในการดูแลกันเอง ไม่ใช่ดึงรัฐเข้ามา กลายเป็นเตะหมูเข้าปากหมา เชื่อสื่อกำลังอิงอำนาจรัฐเพื่ อความอยู่รอดทางธุรกิจ ขณะที่สื่อบางคนแปลงสภาพเป็นล็ อบบี้ยิสต์และมีวาระการเมืองส่ วนตัว
แรงกดดันจากองค์กรสื่อ 30 องค์กร ทำให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรู ปประเทศ (สปท.) ต้องยอมถอยร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิ ชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.... ออกไปก่อน โดยวันนี้คณะกรรมาธิการขับเคลื่ อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน จะประชุมหารือกันว่าจะดันต่อหรื อไม่
ข้อใหญ่ใจความหลักที่องค์กรวิ ชาชีพคัดค้านกฎหมายฉบับนี้คื อการที่มันเปิดช่องทางให้รัฐเข้ ามาควบคุมและแทรกแซงการทำหน้าที่ อย่างเป็นอิสระของสื่อ โดยเฉพาะประเด็นสภาวิชาชีพสื่ อมวลชนแห่งชาติ 13 คน ซึ่งจะมีสื่อเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นข้าราชการระดับปลั ดกระทรวงและบุคคลที่เลื อกโดยภาครัฐ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดแตกหักที่ องค์กรสื่อไม่สามารถยอมรับได้ พร้อมกับเรียกร้องให้ สปท. กลับไปทบทวนร่างกฎหมายฉบับนี้ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
แต่หากดูร่างกฎหมายทั้งของ สปท. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และขององค์กรวิชาชีพรวม 4 ฉบับ จะพบจุดที่เหมือนกันอยู่ ประการหนึ่งคือการตั้ งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่ อกำกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ความต่างจึงอยู่ที่ว่าจะให้รั ฐเข้ามาช่วยคุมด้วยหรือสื่อจะคุ มกันเอง แน่นอนว่าไม่ใช่ทางเลือกแรก แต่แน่ใจหรือว่าหนทางที่ 2 คือหนทางที่ควรเดิน
การกำกับดูแลกันเองของสื่อซึ่ งเป็นเรื่องประเด็นที่องค์กรวิ ชาชีพสื่อยืนยันมาโดยตลอด แต่สังคมมองว่ายังไม่มีประสิทธิ ภาพเพียงพอ เหตุนี้จึงนำอำนาจบังคั บทางกฎหมายมาใส่มือ นั่นอาจตอบคำถามเรื่องประสิทธิ ภาพและการบังคับให้เกิดการปฏิบั ติ แต่คมอีกด้านจะหมายถึ งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้ผู กขาดความเป็นสื่อและมาตรฐานจริ ยธรรมหรือไม่
สำหรับพิจิตรา สึคาโมโต้ หัวหน้าภาควารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตามหลักการไม่จำเป็นต้องมี กฎหมายออกมาควบคุมสื่อ เนื่องจากสามารถใช้กฎหมายอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วได้ ขณะที่ในรัฐธรรมนูญก็ระบุเรื่ องความมั่นคงที่เปิดโอกาสให้รั ฐตีความได้กว้างขวางมากอยู่แล้ว นอกจากนี้ เวลารัฐจะควบคุมอะไรต้องชั่งน้ำ หนักว่าจะกระทบระบบนิเวศของอุ ตสาหกรรมหรือไม่
ไม่ต้องมี กม.คุมสื่อ
“เราผ่านบทเรียนที่มีความขัดแย้ งในประเทศค่อนข้างสูง มีการใช้สื่อกระตุ้นให้เกิ ดความขัดแย้ง ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่สร้างให้ เกิดความขัดแย้งก็คือกลุ่ มการเมืองที่ใช้แพลตฟอร์มของสื่ อในการสร้างฐานมวลชนและสร้างเนื้ อหาที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เรามีสื่อที่ถูกใช้สร้างเฮทสปี ชเยอะมาก นำเสนอข้อมูลเท็จ เสนอโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งก็ต้องมีการควบคุม แต่ต้องให้น้อยที่สุด”
ขณะที่เหตุผลด้านมาตรฐานจริ ยธรรมที่มีการหยิบยกขึ้นมาอ้าง พิจิตรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่สื่ อต้องมีอยู่แล้วและต้องมี กลไกควบคุม แต่ไม่ควรเป็นระดับกฎหมาย รัฐต้องเข้าใจว่าตนเองมี บทบาทหน้าที่ระดับไหน เพราะเมื่อรัฐกระโดดเข้ามาในพื้ นที่ศีลธรรมและตัดสินดี-ไม่ดี เท่ากับรัฐกำลังทำสิ่งที่ไม่ใช่ หน้าที่ของตน
เตะหมูเข้าปากหมา
แต่ที่ผ่านมาการควบคุมกั นเองของสื่อกลับไม่มีประสิทธิ ภาพ ทำให้สื่อบางส่วนเห็นว่าการกำกั บกันเองไม่ทำงาน จึงต้องการให้อำนาจรัฐเข้ามาช่ วย เกิดเป็นสถานการณ์ที่พิจิตราเรี ยกว่าเตะหมูเข้าปากหมา รัฐจึงถือโอการลงมาคุมเอง พิจิตราเล่าประสบการณ์ว่า
“สื่อใหญ่ในบ้านเราโตขึ้นจากระบบอุปถัมภ์ที่อิงอำนาจรั ฐอยู่แล้ว เวลาเราทำวิจัย ทำการวิเคราะห์เนื้อหา อย่างตอนรัฐประหารปี 2549 สื่อหัวสีค่อนข้างให้ภาพบวกกั บทหาร คือเขาก็เปลี่ยนสีเพื่อความอยู่ รอดและเขาจะต้องดูโทนของสังคมด้ วยจะได้เลือกข้างถูก ในมุมหนึ่ง สื่อเป็นองค์กรที่ต้ องหากำไรและอยู่ได้ในทางธุรกิจ แล้วอยู่ในเมืองไทยก็จะต้องมี การอิงอำนาจรัฐ
“ตัวเองอยู่ในสภาวิชาชีพนักข่ าววิทยุ โทรทัศน์ พบว่ามันไม่ทำงานเลย เพราะการที่จะควบคุมกันเองได้ต้ องเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่ อถือและมีระบบการบริหารจัดการที่ ดีระดับหนึ่ง อย่างเรื่องความน่าเชื่อถือ เวลามีรายใดถูกร้องเรียน แล้วจะเข้าไปตรวจสอบ รายที่ถูกร้องเรียนก็ลาออก ไม่ให้ตรวจสอบ กับการบริหารจัดการ ดิฉันนั่งอยู่ในสภาเห็นเลยว่า เงินที่วิ่งอยู่ในองค์การวิชาชี พมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งคณะกรรมการก็ไปแบบไม่ได้ เตรียมพร้อมอะไร เป็นบอร์ดที่ให้ความเห็นเฉยๆ แต่ทำงานไม่ได้ตามหน้าที่ ฝ่ายเลขาฯ ก็ไปอิงกับสมาคมนักข่าว ใช้เลขาฯ คนเดียวกัน ถ้าจะให้ตัดสินจริงๆ จะต้องมีทีมเลขาฯ ที่เข้มแข็ง มีการเก็บข้อมูลสถิติ แต่ตอนนี้ทำงานเหมือนพาร์ทไทม์ จะไปเอาเงินองค์กรเอกชนก็ไม่ได้ เพราะอาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้การกำกับดูแลกันเองไม่ สามารถแสดงบทบาทได้เต็มที่
“ขณะที่ กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิ จการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ก็เอาเงินไปใช้อะไรก็ไม่รู้ แทนที่จะเอามาสนับสนุนตรงนี้ แต่ก็ไม่ได้มองว่าเงินคื อคำตอบทั้งหมด เพียงแต่เงินจะช่วยทำให้ที มเลขาฯ เข้มแข็ง เวลามีข้อร้องเรียนจะได้มีข้อมู ลสนับสนุนการตัดสินใจ
“แต่เมื่อทุกคนทำงานพาร์ทไทม์ หลายคนที่เข้ามาก็อาจจะมี วาระของตัวเอง เข้ามาอย่างน้อยช่องฉันไม่โดน อย่างช่องวอยซ์ถูกถอดรายการก็ ไม่เห็นมีใครปกป้องเขาเลย คือมันมีอคติอยู่ ดิฉันก็เห็น การบริหารจัดการและความน่าเชื่ อถือยังไม่พร้อม ทำให้การกำกับดูแลกันเองมีช่ องว่างอยู่”
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการกำกั บดูแลควบคุมไปถึงระดับสื่อตัวบุ คคล ซึ่งพิจิตราเห็นว่าไม่ควรมี โดยให้เหตุผลว่าอาชีพสื่อต้องมี หลักจรรยาบรรณ แต่อาชีพนี้จำเป็นถึงขั้นต้องมี ใบอนุญาตในการทำงานหรือไม่ คิดว่าไม่จำเป็น แล้วในยุคนี้ที่ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ ในทางปฏิบัติจะนิยามอย่างไรว่ าใครเป็นสื่อ จึงการเหมือนถอยหลังกลับ
“จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรามีกฎหมายที่คอยควบคุมสื่ อมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่จะควบคุมในลักษณะองค์กร อันนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะควบคุ มระดับตัวบุคคล เป็นการควบคุมที่ค่อนข้างลงลึ กและเบ็ดเสร็จ ส่วนตัวคิดว่ายิ่งทำยิ่งเป็ นการทำลายอุตสาหกรรม การสร้างเกณฑ์แบบนี้จะยิ่งทำให้ อุตสาหกรรมีคุณภาพมากยิ่งขึ้ นหรือ เห็นหรือไม่ว่ายิ่งเข้าไปควบคุ มมาก กำหนดศีลธรรมอันดีต่างๆ เนื้อหาที่ผลิตออกมาเริ่มแห้ งไปเรื่อยๆ คนก็เปลี่ยนแพลตฟอร์ม อุตสาหกรรมมีสิทธิล้มได้”
สื่อบางรายเสนอว่า การกำกับดูแลกันเองอาจเป็นเรื่ องที่ไม่จำเป็นอีกแล้วในยุคนี้ เพราะมันอาจหมายถึงการเซ็นเซอร์ ตัวเองของสื่อ แต่ควรปล่อยให้เกิดการแข่งขั นโดยมีตลาดและประชาชนเป็นฝ่ ายควบคุมสื่อ พิจิตรากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า แม้ว่าการควบคุมกันเองของสื่ อจะไม่มีประสิทธิภาพ แต่ยังควรต้องมี ระบบการตรวจสอบกันเอง เพียงแต่องค์กรวิชาชีพอาจจะต้ องเปลี่ยนบทบาทเป็นการทำงานเชิ งบวกหรือเชิงส่งเสริมมากขึ้น เช่นการให้ความรู้ การฝึกอบรม
เชื่อสื่ออิงรัฐเพื่อความอยู่ รอด ส่วนสื่อล็อบบี้ยิสต์มีเป้ าหมายทางการเมือง
พิจิตรา วิเคราะห์ว่า ท่าทีและการเคลื่อนไหวของสื่ อในปัจจุบันอาจมองแยกได้เป็น 2 ประเด็น หนึ่งคือสื่ออยากเป็นผู้คุมกฎ คงมีสื่อที่คิดอย่างนั้นและคิ ดว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะทำ กับสองคือตัวสื่อเองอาจจะเล่ นเกมกับขั้วอำนาจที่เปลี่ยนไป สื่ออาจมองว่าเมื่อจะมี คณะกรรมการควบคุมสื่อ การที่ไม่เข้าไปอาจทำให้ อำนาจการต่อรองลดลง แล้วการปล่อยให้คนที่ไม่รู้จั กสื่อมาควบคุมสื่อ สื่อบางส่วนจึงเห็นว่าต้องเข้ าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็เพื่อล็อบบี้ไม่ให้ กฎหมายไม่แรงเกินไปหรือเกิ ดการถ่วงดุล เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสื่อด้ วยกัน ถือเป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่ง
“สื่อใหญ่ในบ้านเราโตขึ้ นจากระบบอุปถัมภ์ที่อิงอำนาจรั ฐอยู่แล้ว เวลาเราทำวิจัย ทำการวิเคราะห์เนื้อหา อย่างตอนรัฐประหารปี 2549 สื่อหัวสีค่อนข้างให้ภาพบวกกั บทหาร คือเขาก็เปลี่ยนสีเพื่อความอยู่ รอดและเขาจะต้องดูโทนของสังคมด้ วยจะได้เลือกข้างถูก ในมุมหนึ่ง สื่อเป็นองค์กรที่ต้ องหากำไรและอยู่ได้ในทางธุรกิจ แล้วอยู่ในเมืองไทยก็จะต้องมี การอิงอำนาจรัฐ
“คิดว่าตัวเขาเองไม่ได้มองว่ าจะมาคุมเพื่อนๆ สื่อ แต่ผลประโยชน์ระยะสั้นก็แค่เข้ าไปอิงให้ธุรกิจของตนมีตำแหน่ งแห่งที่ เพราะยังต้องทำการค้า รัฐอยากได้อะไรตอนนี้ก็ พยายามทำให้ คือดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตั วเอง”
แต่พิจิตราทิ้งท้ายว่า ยังมีคนในวงการสื่ออีกระดับหนึ่ งที่อาจมีวาระทางการเมื องของตนเอง
“สภาวิชาชีพสื่อที่ดิฉันนั่งอยู่ คนในสภาคือระดับ บ.ก. ทุกคนต้องทำงาน คนเหล่านี้ยังเป็นระดับคนทำงาน แต่เราจะเห็นอีกระดับหนึ่งที่ ไม่ใช่ บ.ก. หรือนักข่าว แต่จะเป็นพวกที่มีตำแหน่งที่ไม่ ต้องนั่งทำงานในองค์ กรของตนเองแล้ว คนกลุ่มนี้เป็นล็อบบี้ยิสต์ เป็นนักการเมืองไปแล้ว คนกลุ่มนี้อาจจะมี วาระของตนเองที่อยากขับเคลื่ อนและมีเป้าหมายทางการเมือง”
แสดงความคิดเห็น