ผู้เชี่ยวชาญชี้ นโยบายทรัมป์ ทำสหรัฐฯ เสื่อม เปิดโอกาสจีน-รัสเซียผงาดเวที โลก
Posted: 19 Feb 2017 11:16 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
บทความของไมเคิล ที แคลร์ ศาตราจารย์ด้านสันติ ภาพและความมั่นคงของโลกจากวิ ทยาลัยแฮมป์เชียร์ ในเว็บไซต์วิเคราะห์นโยบายต่ างประเทศ Foreign Policy in Focus (FPIF) ชี้การดำเนินนโยบายการต่ างประเทศที่ผิดพลาดของประธานาธิ บดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้รั สเซียและจีน
20 ก.พ. 2560 ถึงแม้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรั ฐอเมริกา จะอ้างว่ายึดหลักดำเนิ นนโยบายโดยเอา "อเมริกามาก่อน" แต่ไมเคิล ที แคลร์ ศาตราจารย์ด้านสันติ ภาพและความมั่นคงของโลกจากวิ ทยาลัยแฮมป์เชียร์ ก็มองว่าการดำเนินนโยบายของทรั มป์จนถึงตอนนี้กลับจะส่งผลดีต่ อจีนและรัสเซียที่เป็นคู่ปรั บรายใหญ่ไม่ว่าเขาจะจงใจหรือไม่ ก็ตาม ทำให้แคลร์ระบุว่ามันน่าจะเรี ยกว่านโยบายที่เอา "อเมริกามาเป็นอันดับที่สาม" มากกว่า
หลังจากการรณรงค์หาเสียงต่อหน้ าประชาชนจำนวนมากเป็นเวลา 19 เดือน ด้วยวาทศิลป์แบบเสแสร้งทำเป็ นกล้าหาญ ทำให้หลายคนอาจจะมองว่าทรัมป์ ไม่น่าจะทำอะไรที่ให้ประโยชน์กั บคู่แข่งของสหรัฐฯ ทรัมป์แสดงท่าทีว่าจีนเป็ นพวกคนค้าขายแบบ "ล่าเหยื่อ" อยู่เสมอและอ้างว่ าจะพยายามฉวยโอกาสได้เปรียบถ้ าหากสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายอย่างอ่อนแอ ขณะที่กับรัสเซียแล้วทรัมป์ แสดงออกในทำนองว่าเขาชื่ นชมการเป็นผู้นำ "เข้มแข็ง" ในแบบของวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แต่ก็ประกาศไม่พอใจที่รัสเซียพั ฒนาอาวุธนิวเคลียร์ระดับขั้นสู งขึ้น
เรื่องเหล่านี้อาจจะมีคนคิดว่ าพอทรัมป์เข้าไปในทำเนียบขาวแล้ วก็จะดำเนินนโยบายต่อต้านคู่แข่ งสองประเทศนี้อย่างแข็งขั นและอาจจะสืบต่อนโยบายเดิ มของบารัก โอบามา ที่แคลร์มองว่ามีความสุดโต่งอยู่ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเสริมทั พของนาโตในยุโรปตะวั นออกและการจัดกำลังทัพใหม่ ในแถบเอเชียแปซิฟิกพร้อมไปกั บการใช้ข้อตกลงทางการค้าอย่าง ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้ นแปซิฟิก (TPP) ควบคู่ไปด้วย แต่ทรัมป์ก็แสดงออกว่าไม่ ชอบนาโตและ TPP
มีคนมองว่าทรัมป์ อาจจะเสนอแผนใหม่มาแทนแผนยุ ทธศาสตร์โลกของสหรัฐฯ เหล่านี้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นสิ่ งแรกที่ทรัมป์ทำเพื่อ "อเมริกามาก่อน" กลับเป็นนโยบายกำจัดคนที่เขาเรี ยกว่าเป็น "การก่อการร้ายของกลุ่มอิสลามหั วรุนแรง" และพยายามปรับสมดุลการค้าข้ ามประเทศ ซึ่งมีการถกเถียงกันพอสมควรว่ าวัตุประสงค์ของนโยบายพวกนี้มี ความสำคัญมากแค่ไหน แต่ก็มีบางส่วนมองว่าทรัมป์ไม่ ได้ใส่ใจเลยว่าสหรัฐฯ กำลังร่วมต่อสู้แย่งชิ งอำนาจและความมั่งคั่งกับคู่แข่ งสุดเขี้ยวที่ต่างก็พยายามใช้ แผนของตัวเองเข้าสู่ "ความยิ่งใหญ่"
แคลร์ มองว่าไม่เพียงแค่ทรัมป์ไม่ใส่ ใจในเรื่องที่ทางของสหรัฐฯ ในสภาพแวดล้อมทางการเมืองโลกเท่ านั้น สิ่งที่เขาทำยังจะกลายเป็ นประโยชน์กับรัสเซียและจีนอีกด้ วย
นโยบายของทรัมป์จะส่งผลดต่อจี นอย่างไร
ขณะที่ทรัมป์แสดงออกว่าจะจั ดการกับจีนที่ดำเนินการค้าอย่ างไม่เป็นธรรม เขาเสนอชื่อแต่งตั้ง โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ คนที่วิจารณ์การค้าของจีนเป็นตั วแทนรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ แคลร์ระบุว่าถึงแม้เรื่องการค้ าจะเป็นประเด็นสำคัญในเรื่ องความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน แต่การที่ทรัมป์เน้นยึดติดอยู่ เรื่องนี้เรื่องเดียวทำให้ ละเลยประเด็นอื่นๆ ไป อย่างเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ การทูต และการทหาร ในแง่ของการเป็นมหาอำนาจที่มีอิ ทธิพลในเวทีโลก
การละเลยประเด็นอื่นๆ ส่งผลให้เห็นในการประชุมสมั ชชาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาจากการที่สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนขึ้ นประกาศประณามคนที่เบนเข็ มออกจากโลกาภิวัตน์โดยไม่เอ่ยชื่ อออกมาโดยตรงและแสดงออกราวกับว่ าจีนจะเป็นตัวอย่างใหม่สำหรั บแนวคิดการค้าเสรีและสากลนิยม สำหรับพวกซีอีโอ เซเล็บ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายแห่ งในโลกแล้วท่าทีแบบนี้ของจีนดู จะเป็นการปรับสมดุลของอิทธิ พลทางการเมืองระดับโลก เมื่อสหรัฐฯ ปล่อยให้ตำแหน่งสำคั ญของพวกเขาถูกจีนแย่งชิงไปได้
อีกประเด็นหนึ่งคื อการถอนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิ จภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ของทรัมป์โดยอ้างว่าจะเป็ นการทำลายงานและการผลิตของสหรั ฐฯ ที่มีฝ่ายซ้ายบางส่วนเห็นด้วย แต่ในขณะเดียวกันหลายคนก็มอง TPP ว่าจะเป็นการสร้างอิทธิ พลของสหรัฐฯ เพื่อสกัดกั้นจีนแต่เมื่อไม่มี TPP แล้ว แคลร์มองว่าจะกลายเป็นโอกาสให้ จีนเข้าไปมีอิทธิพลและปรั บสภาพการค้าขายในแถบเอเชียได้ ไมเคิล โฟรแมน ผู้แทนการค้าที่เจรจาการทำข้ อตกลง TPP ในสมัยโอบามากล่าวว่าผลลัพธ์ที่ เกิดขึ้นนี้จะส่งผลให้จี นกลายเป็นผู้ชนะอย่างใหญ่หลวง
จีนเองก็มีแผนการจะให้กลุ่ มประเทศในเอเชียเข้าร่วมสั ญญาทางการค้าของพวกเขาเองคือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิ จระดับภูมิภาค (RCEP) เป็นแผนความตกลงการค้าเสรีที่ รวมเอา 10 ประเทศประชาคมอาเซียน (รวมถึงไทย) กับประเทศอื่นๆ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ไม่มีสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย บทความของแคลร์ระบุว่า RCEP เป็นการทลายกำแพงการค้าโดยที่ ไม่มีการระบุถึงสิทธิด้านสิ่ งแวดล้อมและสิทธิแรงงานรวมอยู่ ด้วย
ในแง่ของการทูต ทรัมป์ยั งคงทำลายสถานภาพทางการเมื องของสหรัฐฯ ในเอเชียด้วยการทะเลาะกับนายกรั ฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบูล แห่งออสเตรเลียในเรื่องผู้ลี้ภั ยจากกรณีที่เทิร์นบูลเคยเรียกร้ องให้สหรัฐฯ ในสมัยบารัก โอบามา รับผู้ลี้ภัยราว 1,250 คนที่ส่วนมากมาจากอิรักเข้ าประเทศโดยในปัจจุบันพวกเขาถู กกักตัวอยู่ที่สถานกักกั นในสภาพชีวิตย่ำแย่นอกชายฝั่ งโดยรัฐบาลออสเตรเลีย แต่ทรัมป์ก็ปฏิเสธอย่างไม่เป็ นมิตร ทั้งที่ออสเตรเลียเป็นพันธมิ ตรที่สำคัญของสหรัฐฯ มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และในออสเตรเลียก็มีฐานทัพสหรั ฐฯ อยู่หลายแห่ง รอรี เมดคาล์ฟ หัวหน้าวิทยาลัยความมั่นคงแห่ งชาติจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ออสเตรเลียมองว่าการที่สหรัฐฯ ทำเช่นนี้จะยิ่งส่งผลดีต่อจี นเพราะจีนมุ่งหวังให้การเป็นพั นธมิตรที่แน่นหนาในแถบแปซิฟิกอ่ อนแอลงเพื่อจะฉวยโอกาสอยู่แล้ว
ในแง่มุมเรื่องโลกร้อน
แคลร์ระบุว่าอีกหนึ่งเรื่องที่ กลายเป็นของขวัญที่ดีที่สุ ดสำหรับจีนคือการที่ทรัมป์มีจุ ดยืนไม่สานต่อพันธกิจเรื่องแก้ ไขปัญหาโลกร้อนที่รั ฐบาลโอบามาเคยให้ความร่วมมือไว้ กับข้อตกลงที่ปารีส ทรัมป์เอากลุ่มคนที่ปฏิเสธปั ญหาโลกร้อนเข้าสู่ทำเนี ยบกลายเป็นการเปิดทางให้จี นพยายามผุดตัวเองเป็นทั้งผู้ นำโลกในด้านพลังงานสะอาดและเรื่ องการแก้ปัญหาโลกร้อน การพยายามสร้างความก้าวหน้าด้ านพลังงานสะอาดสมัยรั ฐบาลโอบามาไม่เพียงแค่เพื่ ออนาคตโลกเท่านั้นแต่ยังเป็นเรื่ องการสร้างอิทธิพลของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกไปสู่เทคโนโลยี สำหรับอนาคต แต่กลายเป็นว่าจี นอาจจะหาโอกาสฉวยขึ้นเป็นผู้ นำในด้านนี้แทน
บทความของแคลร์ยังระบุอีกว่ าการที่รัฐบาลโอบามาเคยเน้นเรื่ องเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวี ยนและเข้าพบกับผู้นำจีนและอิ นเดียในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทำให้โลกจะมองว่าสหรัฐฯ มีออร่าของการเป็นผู้นำด้านพลั งงานโลก แต่ทรัมป์กลับต้องการย้อนถอยหลั งกลับไปเพื่อเอาใจพวกอุ ตสาหกรรมพลังงานจากซากดึ กดำบรรพ์ที่เป็นเพื่อนกับเขา ยังไม่แน่ชัดว่าทรัมป์ จะสามารถยุบแผนการก้าวหน้าด้ านพลังงานสมัยรัฐบาลโอบามาได้ทั้ งหมดหรือไม่ แต่เขาก็พ่ายให้กับจีนไปแล้ วในเรื่องบทบาทบนเวทีโลก จากที่เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เซียเจิ้นหัว หัวหน้าผู้แทนเจรจาด้านโลกร้ อนของจีนประกาศว่าจีนมีศั กยภาพจะเป็นผู้นำโลกในการต่อสู้ กับโลกร้อนได้
นอกจากนี้จีนยังมีท่าทีว่าจะพั ฒนาพลังงานสะอาดที่จะมาตี ตลาดโลกในอนาคต ฝ่ายพลังงานของจีนประกาศเมื่อต้ นปีที่ผ่านมาว่าจะทุ่ มงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ ในด้านพลังงานสะอาดจนถึงปี 2563 ซึ่งการลงทุนนี้จะช่วยสร้ างงานใหม่ราว 13 ล้านตำแหน่ง แม้ว่าจะยังไม่มี การประกาศแผนงานชัดเจนก็ตาม แต่ก็มีคนสันนิษฐานว่าอาจจะเป็ นการติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิ ตย์ที่จีนมีข้อได้เปรียบในด้ านนี้อยู่แล้ว
แคลร์ระบุว่าการริเริ่มด้านพลั งงานนี้เป็นการมองแนวโน้ มในอนาคตเผื่อไว้ด้วย เพราะผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่ อว่าความต้องการด้านน้ำมั นและเชื้อเพลิงพลังงานจากซากดึ กดำบรรพ์จะลดลงเรื่อยๆ และความต้องการพลั งงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำนักงานพลังงานนานาชาติในกรุ งปารีส ระบุว่าระหว่างปี 2557-2583 ความต้องการใช้พลังงานลมจะเพิ่ มสูงขึ้น 440% ขณะที่ความต้องการพลั งงานแสงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นกว่า 1,100% จึงมีโอกาสที่จะทำเงินหลายล้ านล้านดอลลาร์ให้กับธุรกิจใหม่ การที่ทรัมป์หันเหตั วเองออกมาจากพลังงานสะอาดจึงเป็ นการส่งความมั่งคั่งไปให้กับจีน
นโยบายทรัมป์ส่งผลดีต่อรัสเซี ยได้อย่างไร
บทความของแคลร์ระบุต่อไปว่าถึ งแม้จีนจะดูมาเป็นอันดับหนึ่ งได้จากนโยบายของทรัมป์ รัสเซียก็ดูจะมาเป็นอันดับที่ 2 ในการที่ทรัมป์พยายามเรียกร้ องให้ทางการรัสเซียช่วยต่อสู้กั บกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ดูเหมือนว่าทรัมป์จะเปิดทางให้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียแผ่อิทธิพลในพื้นที่ อดีตสหภาพโซเวียตและพื้นที่อื่ นๆ ที่เคยอยู่ภายใต้รัสเซียด้วย
ปูตินแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่ หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่ อปี 2543 ว่าเขาต้องการทำให้รัสเซียกลั บมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และพยายามต่อต้านสิ่งที่ เขามองว่าเป็นการที่ นาโตพยายามบีบรัสเซียไม่ให้แผ่ อิทธิพลไปสู่ยุโรปตะวันออกและยุ โรปตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ รัสเซียยุบรวมไครเมีย อดีตเขตปกครองตนเองของยูเครนให้ กลายเป็นของรัสเซีย ทำให้กลุ่มประเทศคาบสมุทรบอลติ กอย่างเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย และประเทศยุโรปตะวันออกอื่นๆ ที่เคยอยู่ใต้อุ้งมือของรัสเซี ยมาก่อนกลัวว่าพวกเขาจะถูกแย่ งอิสรภาพไปอีก นอกจากนี้รัสเซียยังพยายามมี ความสัมพันธ์กับตะวั นออกกลางในแบบยุคสหภาพโซเวียต เช่นกรณีการใช้กำลังทหารเข้ าไปแทรกแซงสถานการณ์ในซีเรีย
แคลร์ชี้ว่าก่อนหน้านี้รั ฐบาลโอบามาพยายามสกัดกั้ นแผนการของปูตินโดยการเพิ่ มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียและเพิ่ มการคุ้มกันรัฐแนวหน้าของนาโต จากเมื่อเดือน ก.ค. 2559 โอบามาและผู้นำตะวันตกอื่นๆ อย่างแคนาดา อังกฤษ และเยอรมนี ต่างก็ตกลงร่วมกันเสริมกำลั งใหม่ในโปแลนด์และรัฐบอลติ กสามรัฐอีกครั้งเพื่อต้านทานไม่ ให้รัสเซียโจมตีประเทศเหล่านี้ และแคลร์ก็ประเมินว่าถ้าคลินตั นได้เป็นประธานาธิบดีเธอก็ อาจจะกดดันรัสเซียหนักขึ้น
แต่สำหรับทรัมป์แล้วแคลร์มองว่ าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องการที่ รัสเซียพยายามรุกคืบยุโรปตะวั นออกน้อยกว่าเรื่องความร่วมมื อในการสู้รบกับไอซิส ทรัมป์เคยแสดงความเห็นใจเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องที่ยุโรปและนาโตกังวลว่ ารัสเซียจะรุกล้ำพวกเขาอีกแต่ก็ ไม่ได้แสดงออกว่าจะช่วยเสริ มกำลังป้องกันให้กับพวกเขา ทรัมป์ยังเคยกล่าวถึงนาโตในเชิ งลบด้วยเมื่อปีที่แล้วโดยอ้างว่ านาโตไม่ได้ช่วยต่อสู้กับการก่ อการร้ายมากพอ
แคลร์ตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์ปฏิ บัติกับนาโตราวกับคนรักเก่าแต่ ท่าทีกับรัสเซียกลับต่างออกไป เขาไม่แสดงออกใดๆ ในตอนที่เขาไปเยือนเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษตอนที่เธอพู ดถึงเรื่องว่าควรจะมีการกดดันรั สเซียผ่านการคว่ำบาตรมากขึ้น ต่อมาเขาโทรศัพท์คุยกับปูติ นยาวนานและจากการเปิ ดเผยบทสนทนาของพวกเขาแล้ว ทรัมป์ไม่ได้พูดถึงประเด็นที่อ่ อนไหวอย่างเรื่องไครเมียหรือเรื่ องอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ ว่ามีชาวรัสเซียแฮกการเลือกตั้ งของสหรัฐฯ แต่เน้นพูดเรื่องความร่วมมือต่ อต้านการก่อการร้ายซึ่งรัสเซี ยก็แสดงออกไปในทำนองพอใจกั บการสนทนาระหว่างพวกเขา สื่อรัสเซียเองก็ นำเสนอในทำนองว่าสหรัฐฯ กับรัสเซียเข้าใจกันมากขึ้ นและสหรัฐฯ เอื้อให้รัสเซียมีขอบเขตอิทธิ พลในพื้นที่อดีตสหภาพโซเวี ยตมากขึ้นด้วย
แคลร์ระบุว่าไม่ว่าทรัมป์จะเห็ นด้วยกับแผนการของรัสเซียหรื อไม่แต่ดูเหมือนว่ารัสเซียจะเล่ นบทรุกมากขึ้นในทางตะวั นออกของยูเครนในช่วงไม่กี่สั ปดาห์ที่ผ่านมา แคลร์ยังมองอีกแง่หนึ่งว่าการที่ สหรัฐฯ เปิดท่าทีร่วมมือกับรัสเซี ยในการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายนั้ นเป็นเสมือนการยอมรับว่ารัสเซี ยเป็นผู้เล่นที่ยืนอยู่ระดับเดี ยวกับสหรัฐฯ ในเวทีโลก
แคลร์ชี้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็ นเพราะทรัมป์มีมุมมองการจัดลำดั บความสำคัญนโยบายการต่ างประเทศที่คับแคบคือไปเน้นเรื่ องการต่อต้านการก่อการร้ายกั บกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง การกีดกันชาวมุสลิมและชาวเม็กซิ กันจากสหรัฐฯ และพยายามปรับดุลการค้า โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความสั มพันธ์ระหว่างประเทศในมุมกว้างๆ เลย เรื่องเหล่านี้อาจจะส่งผลให้จี นและรัสเซียเหลิงจนหาความได้ เปรียบจากประเด็นขัดแย้งต่างๆ อย่างข้อพิพาทในแถบทะเลจีนใต้ หรือแถบทะเลบอลติก เป็นประเด็นที่ล้วนสำคัญต่ อความน่าเชื่อถือกับเกียรติภูมิ ของสหรัฐฯ และถ้าหากว่าผู้นำสหรัฐฯ เริ่มรู้สึกว่าความเหนือกว่ าของตัวเองถูกท้าทายแล้วก็ อาจจะทำให้เกิดวิกฤตใหญ่กว่าอย่ างวิกฤตอาวุธนิวเคลียร์
และถึงแม้ว่าอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ ให้เกิดวิกฤตได้แต่สหรัฐฯ ก็ยังจะสูญเสียอิทธิพลในแแถบยุ โรปตะวันออกและเอเชียใต้ไป ทำให้มีคู่ค้าลดลง อาจจะถึงขั้นทำให้สิทธิและเสรี ภาพถดถอยกลับแม้กระทั่งในสหรัฐฯ เองด้วย
"เรื่องนี้ควรถูกมองว่าเป็ นการทรยศต่อชาวอเมริกันทั้งหมด โดยเฉพาะคนที่โหวตเขาเข้ามาด้ วยเชื่อว่าเขาจะเน้นการเมื องและเศรษฐกิจเพื่อสหรัฐฯ มาเป็นอันดับแรก" แคลร์ระบุในบทความ
เรียบเรียงจาก
Trump’s ‘America Third’ Foreign Policy, Michael Klare, 15-02-2017
http://fpif.org/trumps- america-third-foreign-policy/
http://fpif.org/trumps-
แสดงความคิดเห็น