ดุลยภาค ปรีชารัชช: TU101 การเมืองเปรียบเทียบอุษาคเนย์- ทหารกับประชาธิปไตย
Posted: 18 Feb 2017 01:14 PM PST (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ดุลยภาค ปรีชารัชช บรรยายวิชา TU101 ที่ธรรมศาสตร์ นำเสนอการเมืองเปรียบเทียบอุ ษาคเนย์และการเปลี่ยนผ่ านประชาธิปไตย ทหารกับระบอบการเมืองในเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบการเจรจาของชนชั้นนำเพื่ อเปลี่ยนผ่านทางการเมือง โมเดลสืบทอดอำนาจและการถอนตั วออกจากการเมืองของกองทัพ
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ดุลยภาค ปรีชารัชช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายหัวข้อ "การเมืองเปรียบเทียบอุษาคเนย์- ทหารกับประชาธิปไตย" โดยการบรรยายนี้เป็นส่วนหนึ่ งของวิชา TU101 โลก อาเซียน และไทย
ในช่วงเริ่มการนำเสนอ ดุลยภาคระบุว่าจะแบ่ งการนำเสนอออกเป็น 4 ส่วนหลัก หนึ่ง สิ่งที่เรียกกันว่าการเมืองเปรี ยบเทียบคืออะไร ทำไมจึงต้องศึกษา
สอง ทำความรู้จักกับประชาธิปไตย ผ่านการศึกษานิยามและแนวคิดที่ เกี่ยวข้องว่าประชาธิปไตยคื ออะไร และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้และประเทศไทยถือเป็นกรณีศึ กษาที่น่าสนใจ ในเรื่องการเปลี่ยนผ่านประชาธิ ปไตย หลายครั้งมีการเปลี่ยนแต่ไม่ผ่ านเป็นเพราะอะไร
สาม ที่มีการเปลี่ยนแต่ไม่ผ่าน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของกองทัพ บทบาทของทหารในทางการเมือง การรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำมาสู่กรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่ างยิ่ง ก็คือการฟื้นคืนชีพขึ้ นมาของระบอบทหารในทางการเมือง ซึ่งขัดฝืนกับกระแสประชาธิ ปไตยในประวัติศาสตร์โลก จะมีการนำเสนอกรณีศึกษาการรั ฐประหาร ว่ากรณีของไทยให้ประโยชน์ในด้ านการศึกษาการเมืองเปรียบเที ยบอย่างไร โดยเฉพาะในโลกของทหารกับการเมื อง
สี่ ผสมผสานแนวคิดเรื่ องทหารและแนวคิดประชาธิปไตย และให้นักศึกษาได้อภิปราย
คลิปการบรรยายช่วงแรก "การเมืองเปรียบเทียบอุษาคเนย์ และการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย"
ดุลยภาค ปรีชารัชช บรรยายในวิชา TU101 โลก อาเซียน และไทย เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2560
โดยในคลิปการบรรยายช่วงแรก เป็นการบรรยายเรื่องการเมื องเปรียบเทียบในเอเชียตะวั นออกเฉียงใต้ และชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการเมื องการปกครองในภูมิภาคนี้ มีกรณีศึกษาใดบ้างที่เป็ นประโยชน์สำหรับการศึกษาเรื่ องการเมืองเปรียบเทียบ ประเด็นถกเถียงการเมืองเปรี ยบเทียบในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ทหารกับการแทรกแซงการเมือง ความรุนแรงและขัดแย้ งทางศาสนาและชาติพันธุ์ การจัดการปกครองและโครงสร้างรัฐ เศรษฐกิจและการเมือง ตลอดจนโลกาภิวัตน์และภูมิภาคนิ ยม
ในกรณีของการเปลี่ยนผ่านประชาธิ ปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้ น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ ยนผ่านประชาธิปไตย โดยรูปแบบและเส้นทางเปลี่ยนผ่ านมีหลายลักษณะ โดยที่การเปลี่ยนผ่านทางการเมื องนั้นมีทั้งที่สำเร็จ ล้มเหลว หรือเปลี่ยนผ่านแบบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งวนเวียนอยู่กับเปลี่ยนแต่ ไม่ผ่าน โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้ นในประเทศไทย
ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ของการเปลี่ ยนผ่านทางการเมืองในเอเชี ยและโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้นั้นมักเป็ นประชาธิปไตยแบบกึ่งอำนาจนิยม หรือประชาธิปไตยสไตล์เอเชียหรื อสไตล์อุษาคเนย์ ในกรณีของประเทศไทยเมื่อนำทฤษฎี คลื่นประชาธิปไตยกระแสโลกของ แซมมวล ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) มาพิจารณาจะพบว่า กรณีเปลี่ยนผ่านประชาธิ ปไตยของไทยในแต่ละยุค มักจะไม่สอดคล้องกั บกระแสประชาธิปไตยที่เกิดขึ้ นในโลก เช่น ฮันติงตัน เสนอช่วงของการเกิดประชาธิ ปไตยคลื่นลูกที่หนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1828 ถึง 1926 และมีคลื่นโต้กลับประชาธิ ปไตยในช่วง ค.ศ. 1922 ถึง 1942 รัฐในยุโรปหลายรัฐเอนมาทางเผด็ จการมากขึ้น แต่มีรัฐในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้คือ ประเทศไทยเกิดการเปลี่ ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือช่วง ค.ศ. 1932
หรือในช่วงประชาธิปไตยคลื่นลู กที่สองหลัง ค.ศ. 1943 ถึง 1962 ซึ่งญี่ปุ่น อิตาลี หรือเยอรมันซึ่งเป็นฝ่ายอั กษะเก่าแปลงสภาพมาเป็นรั ฐประชาธิปไตย ขณะที่รัฐในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้เพิ่งได้รับเอกราช หรือมีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเต็มพิ กัดเกิดขึ้นเช่น ระบอบซูการ์โนและต่อมาคือซูฮาร์ โตในอินโดนีเซีย หรือรัฐประหาร ค.ศ. 1962 โดยนายพลเนวินในพม่า รวมทั้งรัฐบาลทหารของไทยด้วย
คณะที่คลื่นลูกที่สามคือหลัง ค.ศ. 1974 หลังจากนั้นรัฐในยุโรปตะวั นออกในระบอบสังคมนิยมจะทยอยล่ มสลาย แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงปี 1974 ในพม่ายังคงเป็นรัฐบาลในระบอบสั งคมนิยมวิถีพม่า ในปี 1986 มีการลุกขึ้นสู้ล้มเผด็จการมาร์ กอสในฟิลิปปินส์ ปี 1988 มีความพยายามล้มรัฐบาลคณาธิ ปไตยเนวินในพม่า แต่การต่อสู้ของนักศึ กษาและพระสงฆ์ในพม่าจบลงด้ วยการที่กองทัพพม่ าลากยาวปกครองต่อไปอีก 20 กว่าปี
ส่วนประชาธิปไตยคลื่นลูกที่สี่ อาหรับสปริงเกิดขึ้นหลายประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พม่ามีการจัดเลือกตั้งเป็นครั้ งแรกในรอบหลายสิบปีคือการเลื อกตั้งปี 2010 และ 2015 อย่างไรก็ตามในประเทศไทยก็มี การฟื้นคืนของระบอบเผด็ จการอำนาจนิยม นั่นคือการรัฐประหาร 2014 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสวนทางกับการเปลี่ยนให้เป็ นประชาธิปไตยมากขึ้น
ส่วนต่อมามีการนำเสนอรู ปแบบการเปลี่ยนผ่านประชาธิ ปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบแรกเป็นการเปลี่ยนแปลงจากล่ างขึ้นบน เช่น กรณีฟิลิปปินส์ และไทยในบางยุคที่มีการชุมนุ มบนท้องถนนขับไล่รัฐบาลทหาร แบบที่สอง การเปลี่ยนแปลงจากบนลงล่าง เช่น กรณีเปลี่ยนผ่านทางการเมื องของพม่าครั้งล่าสุด และกรณีของไทยหลายยุค และรูปแบบที่สาม การเปลี่ยนแปลงจากภายนอก เช่น กัมพูชาและติมอร์ตะวันออก ที่นานาชาติมีบทบาททำให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ทั้งนี้ระดับประชาธิปไตยในเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อใช้เกณฑ์ชี้วัดประเภทการมี ส่วนร่วมทางการเมือง การแข่งขันผ่านสนามเลือกตั้ง และเสรีภาพทางการเมือง อาจจำแนกได้เป็น 1. ระบอบประชาธิปไตย 2. ระบอบกึ่งประชาธิปไตย 3. ระบอบกึ่งอำนาจนิยม 4. ระบอบอำนาจนิยม ซึ่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ในช่วงนี้ยังไม่มี ประเทศใดที่ถูกจัดว่าเป็ นประเทศในระบอบประชาธิปไตย แต่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่ มประเทศรูปแบบที่ 2 หรือ 3 รวมทั้งมีประเทศในรูปแบบที่ 4 คือระบอบอำนาจนิยมด้วย
คลิปการบรรยายช่วงที่สอง "ทหารกับระบอบการเมืองในเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้"
ในส่วนของคลิปการบรรยายช่วงที่ 2 เป็นการบรรยายเรื่อง โดยเริ่มแรกอธิบายความเข้มแข็ งขององค์กรทหาร ผ่านงานของแซมมวล ไฟเนอร์ เรื่อง "The man on horseback" ที่จำแนกลักษณะเด่นขององค์ กรทหาร 5 ส่วน ได้แก่ 1. มีการบังคับบัญชาที่รวมศูนย์ 2.มีการบังคับบัญชาเป็นลำดับชั้ น 3. มีระเบียบวินัย 4. มีการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่ วยงานภายในองค์กร 5. มีความสามัคคีรักพวกพ้องและเป็ นองค์กรเอกเทศ
จากนั้นเป็นการอธิบาย สาเหตุและรู ปแบบการแทรกแซงทางการเมื องของทหารในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ที่การแทรกแซงทางการเมื องของทหารมักเกิดจากโครงสร้างสั งคมที่เต็มไปด้วยความสับสนไร้ ระเบียบ รวมถึงความล้มเหลวของรั ฐบาลพลเรือนในการแก้ไขปัญหาบ้ านเมือง ในขณะที่ความเข้มแข็งขององค์ กรทหารโดยเฉพาะศักยภาพในการใช้ กำลังก็ส่งผลให้ทหารมั กประสบความสำเร็ จในการแทรกแซงการเมือง
พร้อมอธิบายระดั บการแทรกแซงของทหารแบบ "ตราชั่งเสนาธิปัตย์" (Scale of Praetorianism) ได้แก่ 1. ทหารผู้กดดันถ่วงดุล 2. ทหารผู้พิทักษ์ 3. ทหารผู้ปกครองโดยตรง
นอกจากนี้มีการนำเสนอเรื่ องการปกครองและการสื บทอดอำนาจของทหารในเอเชียตะวั นออกเฉียงใต้ ความไร้เสถียรภาพและรู ปแบบการถอนตัวออกจากการเมื องของทหารในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
เกณฑ์ชี้วัดความสัมพันธ์ระหว่ างทหารกับพลเมือง พิจารณาจากนโยบาย 5 เรื่อง ได้แก่ การเข้าสู่อำนาจของชนชั้นนำ นโยบายสาธารณะ ความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และการควบคุมองค์กรทหาร โดยเมื่อใช้เกณฑ์ทั้ง 5 ดังกล่าวเปรียบเทียบกรณีของไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเกาหลีใต้ จะพบว่า กรณีของไต้หวันและเกาหลีใต้นั้น รัฐบาลพลเรือนมีอิทธิพลในการตั ดสินใจนโยบายทั้ง 5 เรื่อง ขณะที่อินโดนีเซีย รัฐบาลพลเรือนมีอิทธิพลในเรื่ องการเข้าสู่อำนาจ และนโยบายสาธารณะ แต่อีก 3 เรื่องคือความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และการควบคุมองค์กรทหาร รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจจำกัด ส่วนฟิลิปปินส์รัฐบาลพลเรือนมี อำนาจจำกัดทั้ง 5 เรื่อง ส่วนไทย รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจจำกัดในเรื่ องการเข้าสู่ อำนาจและนโยบายสาธารณะ ขณะที่กองทัพมีอิทธิพลในเรื่ องความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และการควบคุมองค์กรทหาร
ในช่วงท้ายดุลยภาคยังเสนอชุ ดจำแนกประเภทระบอบการเมืองว่าด้ วยทหารกับประชาธิปไตยอุษาคเนย์ ที่เมื่อใช้แนวคิดตราชั่งเสนาธิ ปัตย์ 3 รูปแบบ ประกอบกับรูปแบบการเมือง 3 รูปแบบ ทำให้จำแนกระบอบการเมืองว่าด้ วยทหารกับประชาธิปไตยในเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ได้ 9 รูปแบบ
นอกจากนี้มีการอธิบายตั วแบบทหารกับประชาธิปไตยในอุ ษาคเนย์และรูปแบบการเจรจาต่ อรองในหมู่ชนชั้นนำในช่วงเปลี่ ยนผ่านทางการเมือง ซึ่งสามารถส่งผลหลังการเจรจาได้ ทั้ง 1. การพัฒนาประชาธิปไตยที่ก้าวหน้ าขึ้น 2. การพัฒนาประชาธิปไตยในคราวลู กผสม และ 3. การพัฒนาประชาธิปไตยที่ล้มเหลว
ทั้งนี้ดุลยภาคเสนอว่าสำหรับภู มิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรื ออุษาคเนย์ ประชาธิปไตยกับเผด็จการอาจไม่ ใช่ระบอบการเมืองที่เป็นคู่ ตรงข้ามกันอย่างเด็ดขาด หากแต่มีการเจือปนผสมผสานกั นในรูปแบบ "เผด็จการจำแลงในคราบประชาธิ ปไตย"
นอกจากนี้ อุษาคเนย์ตั้งอยู่ตรงจุดทางแพร่ งระหว่างสองสมการหลักคือ "ประชาธิปไตยที่ปราศจากกฎระเบี ยบที่มีค่าเท่ากับอนาธิปไตย" และ "กฎระเบียบที่ปราศจากประชาธิ ปไตยมีค่าเท่ากับเผด็จการ" ซึ่งหากแก้สองสมการนี้ได้จะช่ วยการพัฒนาประชาธิปไตย และการปฏิรูปองค์กรทหารในด้านที่ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ มากขึ้น
แสดงความคิดเห็น