Posted: 27 Jul 2017 12:12 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เว็บไซต์ประชาไท)

1 ปี 10 เดือน สปท.มีงบฯ อย่างต่ำ 1,072.8 พันล้าน มีข้อเสนอ/วิธีการปฏิรูปอย่างน้อย 1,342 ข้อ แต่กลับมีรูปธรรมที่ทำได้ทันทีเพียง 329 ข้อ และยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด รวมไปถึงไม่มีงานวิจัยรองรับ บางข้อเสนอยังลอกเลียนแบบมาจาก สปช.

ณัชปกร นามเมือง ตัวแทนจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน 

27 ก.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า ณัชปกร นามเมือง ตัวแทนจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ เปิดเผยว่าไอลอว์ได้ทำรายงานสรุปผลงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ก่อนที่สภาดังกล่าวจะหมดวาระลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ โดยตลอดระยะเวลาการทำงาน 1 ปี 10 เดือน สปท.มีการทำงานรายงานการปฏิรูปออกมา 190 เล่ม ซึ่งไอลอว์ได้ทำการศึกษารายงาน 131 เล่ม ซึ่งเป็นข้อมูลเท่าที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของสปท.

โดยรายงานของไอลอว์ ทำการศึกษารายงานสปท. ตั้งแต่ 13 ต.ค. 2558 จนถึง 7 ก.ค. 2560 ซึ่งพบว่า สปท.มีข้อเสนอและวิธีการปฏิรูปอย่างน้อย 1,342 ข้อ แต่กลับมีรูปธรรมที่สามารถดำเนินการต่อได้ทันทีเพียง 329 ข้อ และในข้อเสนอดังกล่าว บางอย่างยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด รวมไปถึงไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดำเนินการตามข้อเสนอจะได้ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้หรือไม่ อย่างเช่น การเสนอให้เพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาศาสนา คุณธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง และอื่นๆ และจะต้องสอบโอเน็ต (O-net) ในรายวิชาดังกล่าว เพื่อจะทำให้เด็กเป็นคนดี เป็นต้น

ทั้งนี้ บางข้อเสนอยังเป็นข้อเสนอที่ลอกเลียนแบบมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เช่น รายงานเรื่องความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลของตำรวจจากการแทรกแซงทางการเมือง ที่เรียกได้ว่านำรายงานของสปช.มาแล้วตัดทอนกับแต่งเติมถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หรือข้อเสนอที่มีกฎหมายหรือหน่วยงานอื่นดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การเสนอให้นำระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว (Electronic Monitoring : EM) มาใช้ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 30) เพื่อเปิดช่องให้สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวได้ก่อนหน้าที่ สปท.จะมีข้อเสนอดังกล่าวออกมาเสียอีก

นอกจากนี้ สปท. ยังมีข้อเสนอที่ล้าหลังจนทำให้สังคมต้องออกมาคัดค้าน เช่น การเสนอ ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในชื่อ ร่าง พ.ร.บ.ตีทะเบียนสื่อ ที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 30 องค์กรออกมาคัดค้านและวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎหมายฉบับนี้จะเปิดทางให้อำนาจรัฐแทรกแซงการรายงานข่าวของสื่อ และมีเจตนาในการปิดปากไม่ให้ค้นหาข้อมูลเพื่อตรวจสอบโครงการต่างๆ ของรัฐที่ไม่ชอบมาพากล ผ่านการขึ้นทะเบียนกับองค์กรที่รัฐจัดตั้ง เช่น สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยองค์กรที่รัฐจัดตั้งนั้น มีอำนาจในการพิจารณาออกหรือเพิกถอนใบอนุญาตนักข่าวได้

ตลอดระยะเวลา 1 ปี 10 เดือน สปท.มีงบประมาณอย่างต่ำในการปฏิรูป 1,072,845,000 บาท โดยเป็นเงินที่ใช้สำหรับค่าตอบแทน ประธาน รองประธาน และสมาชิก สปท. พ่วงกับค่าผู้ช่วยของสมาชิก สปท. แต่ละคน รวมกับ ค่าใช้จ่ายที่เป็นการสนับสนุนการทำงาน เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง ค่าจัดสัมมนา เป็นต้น สำหรับโฉมหน้าของคนที่เข้ามาทำงานในสปท.มีทั้งคนหน้าเก่าที่เคยเป็นอดีตสปช. และคนหน้าใหม่คละกันไป แต่ถ้ามองที่สัดส่วนของอาชีพแล้วสภาแห่งนี้จะประกอบด้วยข้าราชการและอดีตข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของทั้งสภา นอกจากนั้นเป็นนักธุรกิจ นักการเมือง และสื่อมวลชน

"สังคมไทยควรตั้งคำถามถึง การปฏิรูปในยุคคสช. ว่าสามปีที่ผ่านประสบความสำเร็จและมีรูปธรรมมากน้อยแค่ไหน เพราะระยะเวลาเกือบสองปีของ สปท. ซึ่งมีงบการทำงานอย่างต่ำพันล้าน เรียกว่าถ้าเทียบตามจำนวนข้อเสนอจะตกข้อเสนอละเกือบหนึ่งล้านบาท แต่ว่าได้เพียงแค่รายงานหลายๆ เล่มมากองรวมกัน ซึ่งข้อเสนอส่วนใหญ่กลับเป็นนามธรรม บางข้อเสนอก็ซ้ำ บางข้อเสนอไม่มีงานวิจัยรองรับ แถมบางข้อเสนอนำประเทศถอยหลังลงไปอีก" ณัชปกร กล่าว

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https://ilaw.or.th/node/4577

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.