รินดา พรศิริพิทักษ์ (ที่มาภาพ เฟสบุ๊ค Banrasdr Photo)
ยกฟ้องแม่เลี้ยงเดี่ยวเสื้อแดง คดีโพสต์ข่าวลือเมื่อปี 58 หลังตำรวจฟ้องตามมาตรา 14 (2) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำคนตระหนก เป็นคดีความมั่นคง ก่อนหน้านี้เคยฟ้องที่ศาลทหารมาแล้วด้วยมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น แต่ศาลจำหน่ายคดีเหตุไม่เข้าข่ายความมั่นคง
มาตรา 14 (2) ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นราวเดือนกรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่รัฐบาลประยุทธ์กำลังเจอกระแสกดดันจากการฝากขังนักศึกษาจากขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) หลังทหารบุกจับกุมรินดาแล้วส่งต่อให้ตำรวจ มีการจัดแถลงข่าวว่าจะมีการสืบสวนหาเครือข่ายที่เชื่อมโยงต่อไปและเตือนประชาชนไม่ให้กระทำการในลักษณะนี้
แรกเริ่มคดีนี้ส่งฟ้องคดีที่ศาลทหารด้วยมาตรา 116 ก่อน ในตอนนั้นรินดาถูกคุมขังในเรือนจำอยู่ 4 วันก่อนได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดศาลทหารและศาลอาญาเห็นร่วมกันว่า คดีไม่เข้าข่ายเป็นคดีความมั่นคง ตามมาตรา 116 เพียงเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทโดยทั่วไป ศาลทหารจึงสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณา แต่แล้วตำรวจได้ยื่นฟ้องเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ออีกครั้งต่อศาลอาญา และศาลอาญามีคำพิพากษาในวันนี้
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
ในรายละเอียดเกี่ยวกับการสืบพยานนั้น คดีนี้ใช้เวลาสืบพยาน 2 วัน พยานโจทก์ได้แก่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) 3 คน พยานจำเลยได้แก่ ตัวจำเลย และสาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งสังเกตการณ์และรายงานการสืบพยานทั้งหมดระบุด้วยว่า การสืบพยานในคดีนี้ แม้ว่าศาลจะไม่ได้มีคำสั่งพิจารณาคดีลับ แต่ก็ได้สั่งห้ามผู้สังเกตการณ์จดบันทึกระหว่างพยานเบิกความต่อศาล
รินดาเบิกความต่อศาลว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง โดยคัดลอกมาจากในไลน์ที่มีการส่งต่อกัน เนื้อหาของข่าวพาดพิงถึงพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรีและภรรยาในทางลบ แต่ก็ไม่ได้อ่านละเอียด จนกระทั่งถูกจับกุมแล้วเจ้าหน้าที่ทหารนำมาให้อ่านอีกครั้ง
ตำรวจระบุว่าตรวจพบสเตตัสเฟสบุ๊คของรินดาที่ตั้งการเผยแพร่เป็นสาธารณะ (Public) ในวันที่ 7 ก.ค. 2558 ซึ่งข้อความดังกล่าวโพสต์เอาไว้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.เห็นว่าเป็นข้อความเท็จ ทำให้ผู้อื่นตระหนกตกใจและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงตรวจสอบประวัติบุคคลดังกล่าวแล้วไปร้องทุกข์กล่าวโทษวันที่ 8 ก.ค.ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งว่าศาลทหารได้ออกหมายจับรินดาในวันที่ 9 ก.ค. และยังได้รับแจ้งจาก มทบ.11 ว่าได้จับกุมตัวหลินเอาไว้แล้ว (ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.- ประชาไท) จึงเดินทางไปรับตัวผู้ต้องหามา
นอกจากนี้ทนายความยังได้นำชุดเอกสาร “ผลการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งเป็นประมวลผลการสืบสวนเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าวและใช้ในการแถลงข่าวมาถามพยานตำรวจด้วย เนื่องจากในเอกสารระบุว่ารินดาเป็น “เป้าหมาย” และการดำเนินการกับเธอเป็น “การป้องปรามบุคคลที่มีแนวคิดต่อต้าน คสช. และนายกรัฐมนตรีโดยตรง” เพื่อลดระดับแนวร่วม และน่าจะส่งผลให้ “เกิดความเกรงกลัวในการเผยแพร่ข้อความที่ไม่เหมาะสม” ในเอกสารดังกล่าวยังมีภาพถ่ายที่รินดาถ่ายกับแกนนำกลุ่ม นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นกลุ่มย่อยต่างๆ แต่ในเอกสารไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลินเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นอย่างไร ในตอนแรกพยานตำรวจไม่รับว่าเป็นผู้จัดทำ แต่ท้ายสุดก็รับกับอัยการว่าเขาเป็นผู้จัดทำ และเป็นเพียงการสืบสวนวิเคราะห์รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ได้อ้างอิงหลักฐานเพื่อใช้ในคดี
พยานตำรวจอีกนายหนึ่งยังให้การว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลบัญชีพล.อ.ประยุทธ์ไปยังธนาคารกสิกร ซึ่งเป็นธนาคารที่ปรากฏในข่าวลือด้วย ปรากฏไม่พบว่าพล.อ.ประยุทธ์และภรรยาได้เปิดปัญหาที่ธนาคารกสิกร
ด้าน สาวตรี พยานฝ่ายจำเลยได้เบิกความไว้ในหลายประเด็น สรุปความได้ว่า
1.คดีไม่เข้าข่ายความผิดตามฟ้อง เนื่องจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14(2) มีการแก้ไขใหม่ให้ชัดเจนในเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า มุ่งไปที่ข้อความเท็จที่กระทบความมั่นคง เนื้อหาของข้อความตามฟ้องกล่าวถึงตัวพล.อ.ประยุทธ์และภรรยาเท่านั้น และเป็นเพียงข่าวลือที่เรียกร้องให้ช่วยกันตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินดังกล่าวว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ฝ่ายอัยการซึ่งเป็นโจทก์เองก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความดังกล่าวจะกระทบความมั่นคงอย่างไร และศาลทหาร-ศาลอาญาต่างเคยวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่คดีความมั่นคง
2.การฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทนั้น ผู้เสียหาต้องเป็นผู้กล่าวโทษเอง แต่ไม่ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์และภรรยามาแจ้งความดำเนินคดีกับรินดาแต่อย่างใด
3.ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำสืบได้ว่าการโอนเงินของพล.อ.ประยุทธ์และภรรยาเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ข้อความที่รินดาโพสต์ไม่ได้กล่าวถึงเพียงบัญชีส่วนตัวของคนทั้งสอง แต่ยังได้กล่าวถึงบัญชีที่ทั้งสองคนอาจจะให้บุคคลอื่นไปเปิดบัญชีแทนด้วย แต่จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยมีเพียงว่าทั้งสองคนไม่ได้เปิดบัญชีกับทางธนาคารเท่านั้น แต่ไม่ได้มีข้อมูลบัญชีของคนอื่นๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้อง และระยะเวลาที่ทำการตรวจสอบก็เพียงแค่วันที่ 5-16 มิ.ย. 2558 เท่านั้น ข้อเท็จจริงที่มีอยู่จึงยังไม่พอจะกล่าวได้ว่าข้อความในสเตตัสของหลินเป็นเท็จหรือไม่
แสดงความคิดเห็น