Atukkit Sawangsuk

็อยู่ไม่ได้ (ถึงพยายามเลื่อนเลือกตั้ง)
ชอบที่ อ.ประจักษ์พูดเรื่องประเทศที่มีความแตกแยกแบ่งเป็นสองขั้วอย่างลึกซึ้งรุนแรง (deep polarization)
"ท้ายที่สุด จุดจบของสถานการณ์เป็นไปได้สามแบบ หนึ่ง ถ้าพลังมวลชนและนักการเมืองเข้มแข็ง ก็จะจบแบบตุรกี นั่นคือ ยึดระบอบประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งไว้ได้ แม้ทหารจะพยายามทำรัฐประหาร ก็ไม่สำเร็จ สอง ถ้าพลังของฝ่ายอนุรักษนิยมและชนชั้นนำเดิมเข้มแข็ง ก็จะจบลงด้วยรัฐประหาร ถูกยึดอำนาจกลับไปเป็นแบบเดิม สาม ถ้าพลังของทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน ก็จะนำไปสู่อนาธิปไตยภายใต้รูปแบบที่อาจารย์เกษียรบอก ก็คือสู้กันไปสู้กันมา เหมือนชักเย่อ ไม่มีฝ่ายไหนชนะเด็ดขาด"
ไทยเป็นแบบที่ 3 แล้วก็เลยมาอยู่ใต้อำนาจนิยมพักใหญ่
แต่(ส่วนตัวนะ) ผมมองว่าขั้นต่อไปคืออำนาจนิยมก็จะล่มสลาย
เราอยู่ในภาวะนี้ ตามลำดับ 1.หลังขัดแย้ง 10 ปี คนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตย เบื่อหน่าย เกลียดชัง แตกแยก วุ่นวาย ไม่สงบ ไม่ได้ทำมาหากิน
2.หลัง คสช.4 ปี คนส่วนใหญ่และคนชั้นกลางเองก็จะเริ่มไม่เอาเผด็จการทหาร มีอำนาจแล้วเหิมเกริม ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ป้องพวก แก้ปัญหาประเทศไม่ตก น่าเบื่อหน่าย รัฐราชการเป็นใหญ่ ทั้งที่ไม่มีความสามารถ มีแต่อภิสิทธิ์
3.แต่เนื่องจากไม่เอาประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่สามารถให้คำตอบ ก็ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ไม่เกิด 14 ตุลา พฤษภา 35 เพราะไม่มีความหวัง ไม่เห็นอนาคต ได้แต่ทนกันไป แต่อำนาจเผด็จการก็ง่อนแง่น แม้ไม่ล้มเพราะอยู่ได้ด้วยการใช้อำนาจ ด้วยกำลัง ยิ่งถ้ามีเลือกตั้ง ก็จะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ ถูกรุมถล่มถูกเตะตัดขา (ชนชั้นนำด้วยกันเองนี่ละตัวดี)
4.Chaos หาฉันทามติหาระเบียบอำนาจใหม่ไม่ได้ง่ายๆ หรอก ไม่มีใครยอมใคร มันก็จะเละไปเรื่อยๆ แบบฉิบหายๆๆ ไปเรื่อยๆๆ แต่ไม่ถึงตายทันที ตามทฤษฎีกบต้ม ไม่ใช่วิบัติแบบที่ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย อยู่ไม่ได้แล้วนะ ต้องแก้ไข แต่เป็นวิบัติแบบพอทนได้ๆๆๆ เอาตัวรอดกันไปๆๆๆ เป็น Chaos แบบที่ไม่รู้สึกว่ามัน Chaos
สุดท้ายจะลงเอยไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แบบนี้ละ สะใจดี

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.